ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57025 |
หน้า 4 จากทั้งหมด 7 |
เจ้าของ: | sssboun [ 21 ม.ค. 2019, 14:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: :b12: โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: น่าสงสารๆ อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง |
เจ้าของ: | โลกสวย [ 22 ม.ค. 2019, 04:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
กบนอกกะลา เขียน: เปิดกระทู้...เพื่อให้เพื่อนๆ...มาแชร์ความรู้.หรือ..หลักความคิด..ประยุกต์ใช้ความรู้แห่งพุทธะ...มาใช้กับการดูแลสุขภาพร่างกาย จั่วหัวก่อนเลยว่า.. โรคทุกโรคเกิดจากใจ.. อีกอัน... โรคทุกโรค..เกิดจากกรรม.. อีกสักนิด.. สติปัฏฐาน 4 รักษาโรคได้ มา..มา...มาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน...นอกตำราก็ได้..ฟรีสไตล์..ได้เลย.. คริคริ เพราะพี่กบไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยได้แต่คิด ไม่รู้ว่า มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 22 ม.ค. 2019, 05:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
Rosarin เขียน: กรัชกาย เขียน: Rosarin เขียน: :b12: โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ ก็คุมกำเนิดดิถ้าไม่ยากเกิด ปัจจุบันมีวิธีป้องกันเยอะแยะ ที่เกิดมาแล้วก็ปฏิบัติให้ถึงนิพพาน คือ ดับกิเลสได้ แต่ก็อีกแหละสำนักแม่สุจินบอกไม่ต้องปฏิบัติมันมีอยู่แล้วว่า คิกๆๆ มันขัดกันหมดขอรับโผม สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรปิดลานเถอะ โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส ขอพูดตรงๆสักทีนะขอรับ ขัดใจใครบ้างก็ขออภัย ดูๆตามบอร์ดซึ่งเรียกกันว่าบอร์ดธรรมะทั่วๆไปนะ บ้าธรรมะ บ้ากันแบบไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร เมื่อไม่รู้ว่ามันคืออะไรแล้วก็เสียของดิ คิกๆๆ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 24 ม.ค. 2019, 05:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
กบนอกกะลา เขียน: กบนอกกะลา เขียน: เปิดกระทู้...เพื่อให้เพื่อนๆ...มาแชร์ความรู้.หรือ..หลักความคิด..ประยุกต์ใช้ความรู้แห่งพุทธะ...มาใช้กับการดูแลสุขภาพร่างกาย จั่วหัวก่อนเลยว่า.. โรคทุกโรคเกิดจากใจ.. อีกอัน... โรคทุกโรค..เกิดจากกรรม.. อีกสักนิด.. สติปัฏฐาน 4 รักษาโรคได้ มา..มา...มาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน...นอกตำราก็ได้..ฟรีสไตล์..ได้เลย.. โรคทุกโรคเกิดจากใจ... คำคำนี้..ไม่ใช่คำของกระผม..นะครับ.. หากจำไม่ผิด...เป็นของนักปราชญ์ชาวกรีก นามว่า..อริสโตเติล..ประมาณ 384 ปีก่อนคริสตกาล..ซึ่งก็ไม่รู้แก่คิดยังงัย...มีหลักฐานอะไร...ได้ยินครั้งแรก..ผมก็ว่าแกเพ้อ..แน่แน่ แต่พอมาเข้าวัดเข้าวา...กะเขาบ้าง...ก็มีมุมมองที่เพิ่มมากขึ้น... ก่อนจะไปทางศาสนา...มาดูว่า..นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน..ก็มีแนวคิดนี้มากขึ้น.. มาดู..แพทย์ท่านว่าอย่างไร.. อ้างคำพูด: ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกายที่พบบ่อย ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกายที่พบบ่อย โดย ผศ. นพ. ปราโมทย์ สุดคนิชย์ (คณะแพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี) ข้อมูลจาก : หนังสือจิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี โรคภาวะทางจิตใจสามารถทำให้เกิดโรคทางกายได้หลายชนิดมักผ่านการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมน โรคทางกายที่พบบ่อยได้แก่ 1. ปวดศีรษะ ถือเป็นอาการที่พบบ่อยมากที่สุดอาการหนึ่ง เนื่องมาจากมีสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้มากมาย แต่การตรวจร่างกายแล้วพบสาเหตุนั้น กลับพบไม่บ่อย ซึ่งทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยไม่สบายใจ เชื่อว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากอารมณ์และความเครียด เช่น ภาวะวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า มากระตุ้นให้เกิดอาการขึ้น อย่างไรก็ตาม อาการปวดศีรษะนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออกของอารมณ์ภายในแล้ว ยังอาจมาจากความเชื่อแบบหลงผิด (delusion) หรือเป็นการสื่อให้บุคคลภายนอกรอบตัวผู้ป่วยให้ความสนใจกับผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งแพทย์ควรให้ความสนใจกับผลของอาการนี้ต่อชีวิตทั่วไปของผู้ป่วยและครอบครัวด้วย ชนิดของโรคปวดศีรษะที่สัมพันธ์กับจิตใจคือ 1.1. ไมเกรน มีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องด้วยกว่า 2 ใน 3ของผู้ป่วยและมักพบในผู้มีอาการมีบุคลิกภาพแบบพยายามควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้ดี มีระเบียบ ไม่แสดงความโกรธ แต่ไม่พบว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่เจาะจงให้เกิดอาการนี้ อาศัยการรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการ และใช้จิตบำบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกดังกล่าวในระยะยาว 1.2. ปวดศรีษะจากความตึงเครียด (Tension headache) ส่วนใหญ่มีอาการในช่วงบ่ายหรือเย็นหลังการงานที่ทำให้เครียด หรือบางรายก็มีปัญหากับครอบครัว โรคทางจิตเวชเกือบทุกโรคทำให้เกิดอาการชนิดนี้ได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่จริงจังและแข่งขัน ควรค้นหาว่ามีโรคทางจิตเวชหรือไม่ โดยถามถึงอาการร่วมอื่นๆ อาจให้ยาคลายกังวล ในระยะยาว นอกจากนี้ การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัดจะช่วยป้องกันอาการเป็นซ้ำได้ 2. โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน มีข้อสังเกตมานานแล้วว่า เมื่อบุคคลมีความเครียด จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายและบ่อยขึ้นจากโรคต่างๆ ไม่ว่าโรคติดเชื้อหรือโรคภูมิแพ้ ปัจจุบันจึงมีการศึกษาทางการแพทย์ในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น แม้การศึกษาจะไม่บ่งชี้ชัดนักในแง่การวัดปริมาณเม็ดเลือดหรือสารภูมิคุ้มกัน เช่น มีเส้นใยประสาทในไขกระดูกหรือต่อมไทมัสหรือหากไฮโปทาลามัส ถูกทำลายจะทำให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างไปจากเดิม นอกจากนี้ การทำงานของเม็ดเลือดขาว ก็ขึ้นกับสื่อประสาทและฮอร์โมนหลายชนิด หรือโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบางอย่าง รวมทั้งผู้ป่วยเอดส์ มีอาการรุนแรงมากน้อยตามความเครียด มีผู้พบว่าผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการช่วยเหลือทางจิตใจจะฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น 3. ปวดหลัง เช่นเดียวกับอาการปวดศีรษะ กว่าร้อยละ 95 ของผู้มีอาการปวดหลังไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ชัดเจนได้ นอกจากนั้น พบว่าผู้มีอาการนี้ไม่น้อยมีความกังวลหรือซึมเศร้าร่วมอยู่ด้วย การรักษาจึงอาจให้ยารักษาภาวะดังกล่าวร่วมกับยาแก้ปวด รวมทั้งให้คำแนะนำ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และสนับสนุนให้กลับไปทำหน้าที่เดิม 4. ไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ มีผู้สนใจในบุคลิกภาพของผู้ป่วยด้วยโรคนี้ว่า มักมีลักษณะเสียสละ ทำตนให้ลำบาก อดกลั้น และต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด โดยไม่แสดงความรู้สึก และมีบางรายพบว่า อาการกำเริบตามความเครียดทางจิตใจ ผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสเกิดความซึมเศร้าอันเป็นผลมาจากความพิการจากโรคได้ง่ายกว่าคนทั่วไป 5. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจขาดเลือด เกิดอาการได้เสมอหากผู้ป่วยเกิดความเครียดหรือโกรธ มีผู้เสนอว่า ผู้ที่ป่วยโรคเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพที่แข่งขัน รุนแรง ทะเยอทะยาน ไขว่คว้า แต่อารมณ์ฉุนเฉียว โดยจะพบระดับโปรตีนในเลือด, คลอเลสสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดสูงด้วย จนเสี่ยงต่อภาวะดังกล่าว โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ คนเหล่านี้มักมีท่าทีเป็นมิตร เชื่อฟังเคร่งครัดตามกฎ และเก็บงำความโกรธไว้ไม่แสดงออก ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของการป่วยโรคนี้ การรักษาของทั้ง 2 โรค ได้แก่ การทำจิตบำบัดเพื่อเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต แนวคิดมุ่งหวัง ให้รู้จักผ่อนคลาย ทำเทคนิคคลายเครียดอย่างมีหลักการ ร่วมกับการใช้ยาควบคุมโรคดังกล่าวโดยตรง 6. โรคระบบทางเดินอาหาร โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด เป็นที่ยอมรับมานานแล้วว่า อาการและโรคนี้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรควิตกกังวลเรื้อรัง โดยเฉพาะแผลในกระเพาะอาหารมากกว่าแผลในลำไส้เล็กมีการศึกษาด้วยว่า ความกังวลทำให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวของกระเพาะอาหารผิดปกติ ร่วมกับรายงานที่ว่า เมื่อบุคคลต้องเผชิญกับเหตุการณ์เครียดที่รุนแรง เช่น การสูญเสียคนใกล้ชิด จะมีอาการท้องอืดมากกว่าคนทั่วไป การรักษาด้วยยารักษาโรคกระเพาะเท่านั้น จึงอาจไม่เพียงพอในการรักษาหรือป้องกันในระยะยาว การฝึกผ่อนคลาย การแก้ปัญหา และจิตบำบัดร่วมไปด้วย จะทำให้ผู้ป่วยปลอดจากอากรดังกล่าวได้นานกว่าผ็รับประทานยารักษาโรคกระเพาะเพียงอย่างเดียว ภาวะกลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (Irritable bowel syndrome) มักมีอาการทองผูกสลับท้องเสีย ปวดท้องมีลมในทางเดินอาหารมากอย่างเรื้อรัง โดยไม่สัมพันธ์กับชนิดของมื้ออาหาร หรือการติดเชื้อ หรือการใช้ยา ในสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ไปพบแพทย์ระบบทางเดินอาหารมากกว่าร้อยละ 50 มีอาการนี้ และกว่าร้อยละ 32 มีสมาธิในครอบครัวที่มีอาการนี้เช่นกัน การทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาพบว่า ผู้ป่วยจะมีความกังวล ขาดความเชื่อมั่น โทษตนเอง และอาจบอกอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อีกคล้ายในโรคความผิดปกติทางจิตใจที่แสดงอาการออกทางร่างกาย (กลุ่ม somatization disorder) และเมื่อมีความเครียด ผู้ป่วยจะเกิดอาการมากขึ้น คนรอบข้างจะให้ความสนใจผู้ป่วยมากขึ้นด้วย การรักษาจึงต้องอาศัยหลายวิธี ทั้งการใช้ยารักษาอาการท้องผูก ท้องเสีย การควบคุมชนิดของอาหาร การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด ให้ให้ยาต้านเศร้า กลุ่ม tricyclic ร่วมกับการเปลี่ยนการสนองต่อการของครอบครัวของผู้ป่วยด้วย 7. อาการของระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยมากในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล คืออาการของระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง (hyperventilation syndrome) ที่มีอาการคล้ายหอบหืด โดยผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบเร็ว หัวใจเต้นแรง บ่นแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มือเท้าชา เกร็ง บางรายจะมีนิ้วมือจีบร่วมด้วย โรคหอบหืด แม้ว่าจะมีการพิสูจน์แล้วว่าอาการของโรคเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันแต่มีข้อสังเกตว่า ผู้ป่วยมักมีลักษณะเก็บความโกรธ ไม่สามารถแสดงความอยากพึ่งพิงผู้อื่นออกได้ และอารมณ์ดังกล่าวถูกส่งผ่านระบบประสาทอัตโนมัติและระบบภูมิคุ้มกันจนเกิดอาการ ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการเป็นประจำ การมองหาปัจจัยทางจิตใจและแก้ไขนอกเหนือไปจากการให้ยาขยายหลอดลม อาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสภาพจิตใจกับการเกิดมะเร็งนั้น ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเป็นเหตุและผลต่อกันได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีปัจจัยอื่นอีกหลายประการที่เข้ามามีบทบาทในการเกิดมะเร็ง เช่น พันธุกรรม การใช้ชีวิต การได้เผชิญกับสารต่างๆ ตลอดจนภาวะภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าสภาพจิตใจมีผลต่อการดำเนินโรคของมะเร็งอยู่ไม่น้อย จะเห็นได้ว่า โรคทางกายที่เป็นผลจากจิตใจดังกล่าว แม้จะมีพยาธิสภาพทางกายหรือพยาธิสรีระที่เกิดขึ้นจริง แต่การใช้ยารักษาอาการทางกายโดยไม่สนใจสภาพจิตใจ จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้อยลง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงการรักษาด้านจิตสังคม การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย ********************************************** 19 October 2547 By ผศ. นพ. ปราโมทย์ สุดคนิชย์ (คณะแพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี) Views, 19743 แม้ความเห็นของนายแพทย์ท่านนี้..จะไม่ได้บอกว่า..ทุกโรค...แต่..ก็เริ่มที่จะเห็น..ความสัมพันธ์กันระหว่าง..ใจ..กับ...กาย..บ้างแล้ว โรคทุกโรค..เกิดจากใจ เป็นวลีของนักปราชญ์โบราณ..สมัยที่ยังไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์อะไรซับซ้อนอย่างปัจจุบัน ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องจิตใจแล้วละก้อ...เราเราในพระพุทธศาสนา...น่าจะมีความรู้ที่พอจะอธิบายวลีดั่งกล่าวได้ดีกว่าศาสนาอื่นๆ...หรืออาจจะพูดได้ดีกว่า..เจ้าของวลีนี้..ซะอีก..พวกเรามันลูกพระพุทธเจ้า...เจ่งที่สุดในจักรวาลกันอยู่แล้ว..หรือมีใครไม่มั่นใจในความเจ่งของพวกเรา.. เพราะอะไรกระผมถึงมั่นใจขนาดน้าน..ว่าเราเราน่าจะสามารถหาเหตุผลที่ดีกว่าเจ้าของวลี? ก็เราเราเป็นที่ที่เดียว...ที่บอกว่า..รูปเกิดจากความไร้รูป.(อวิชชาเป็นปัจจัย..สังขารจึงมี)..ร่างกายเกิดจากใจ (วิญญาณเป็นปัจจัย...นามรูปจึงมี) ............................. หมายเหตุ... หากวลีว่า.."โรคทุกโรค..เกิดจากใจ"..เป็นสมมุติฐาน การหาเหตุ..หาผล..มาสนับสนุนสมมุติฐานดั่งกล่าว...เป็นแต่เพียงการสนับสนุนในเชิงหลักการให้สมมุติฐานนี้อยู่ในการสังเกตของเราเราต่อไป..เท่านั้น..ไม่ใช่เป็นการหาข้อสรุป..หรือ..ไม่ใช่หาว่าโรคอะไรบ้างที่เกิดจากใจ..โรคอะไรที่ไม่ได้เกิดจากใจ. ............................. |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 24 ม.ค. 2019, 06:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
กบนอกกะลา เขียน: โรคทุกโรค..เกิดจากใจ เป็นวลีของนักปราชญ์โบราณ..สมัยที่ยังไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์อะไรซับซ้อนอย่างปัจจุบัน ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องจิตใจแล้วละก้อ...เราเราในพระพุทธศาสนา...น่าจะมีความรู้ที่พอจะอธิบายวลีดั่งกล่าวได้ดีกว่าศาสนาอื่นๆ...หรืออาจจะพูดได้ดีกว่า..เจ้าของวลีนี้..ซะอีก..พวกเรามันลูกพระพุทธเจ้า...เจ่งที่สุดในจักรวาลกันอยู่แล้ว..หรือมีใครไม่มั่นใจในความเจ่งของพวกเรา.. เพราะอะไรกระผมถึงมั่นใจขนาดน้าน..ว่าเราเราน่าจะสามารถหาเหตุผลที่ดีกว่าเจ้าของวลี? ก็เราเราเป็นที่ที่เดียว...ที่บอกว่า..รูปเกิดจากความไร้รูป.(อวิชชาเป็นปัจจัย..สังขารจึงมี)..ร่างกายเกิดจากใจ (วิญญาณเป็นปัจจัย...นามรูปจึงมี) ............................. หมายเหตุ... หากวลีว่า.."โรคทุกโรค..เกิดจากใจ"..เป็นสมมุติฐาน การหาเหตุ..หาผล..มาสนับสนุนสมมุติฐานดั่งกล่าว...เป็นแต่เพียงการสนับสนุนในเชิงหลักการให้สมมุติฐานนี้อยู่ในการสังเกตของเราเราต่อไป..เท่านั้น..ไม่ใช่เป็นการหาข้อสรุป..หรือ..ไม่ใช่หาว่าโรคอะไรบ้างที่เกิดจากใจ..โรคอะไรที่ไม่ได้เกิดจากใจ. ............................. "โรคทุกโรค..เกิดจากใจ" ได้ยกเอากรณีที่หมอท่านยืนยันแล้วว่า...มีอาการทางใจอะไรบ้างที่เกิดร่วมกับโรคหลายๆโรค..ซึ่งสนันสนุนสมมุติฐานที่ว่า..โรคเกิดจากใจ..ได้..จึงขอไม่ยกเอาบทความของท่านอื่นๆ..มาอีก ทีนี้..ก็มาที่ประสพการณ์..ที่เกิดกับตัวเองดูบ้าง... โรคหวัด..ไข้หวัด.. ก่อนอื่น..ก็ควรจะรู้เรื่องพื้นฐานของโรคหวัดทางวิทยาศาสตร์..เสียก่อน https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82 ... 1%E0%B8%94 อ้างคำพูด: โรคหวัด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน หรือโรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน (อังกฤษ: Acute nasopharyngitis) เรียกโดยทั่วไปว่า โรคหวัด หรือ ไข้หวัด (อังกฤษ: Common cold) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนที่กระทบต่อจมูกเป็นหลัก อาการของโรคมีทั้งไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล และไข้ซึ่งมักหายไปเองในเจ็ดถึงสิบวัน แต่บางอาการอาจอยู่ได้นานถึงสามสัปดาห์ ไวรัสกว่า 200 ชนิดเป็นสาเหตุของโรคหวัด โดยไรโนไวรัสเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนจำแนกได้หลวม ๆ ตามบริเวณที่ได้รับผลจากไวรัส โดยโรคหวัดกระทบต่อจมูก คอหอย (คอหอยอักเสบ) และโพรงจมูก (โพรงจมูกอักเสบ) เป็นหลัก ส่วนใหญ่อาการเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อมากกว่าการทำลายเนื้อเยื่อจากไวรัสเอง การล้างมือเป็นวิธีการป้องกันหลัก และหลักฐานบางชิ้นสนับสนุนประสิทธิภาพของการสวมหน้ากากอนามัย โรคหวัดไม่มีวิธีรักษาจำเพาะ แต่สามารถรักษาอาการได้ โรคหวัดเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อยที่สุดในมนุษย์ และอยู่คู่กับมนุษยชาติมาแต่โบราณ ผู้ใหญ่ติดโรคหวัดโดยเฉลี่ยสองถึงสามครั้งต่อปี ขณะที่เด็กโดยเฉลี่ยติดโรคหวัดระหว่างหกถึงสิบสองครั้งต่อปี อาการและอาการแสดง อาการทั่วไปของโรคหวัดมีทั้งไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก และเจ็บคอ บางครั้งอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ความล้า ปวดศีรษะและสูญเสียความอยากอาหาร ในผู้ป่วยโรคหวัด 40% พบอาการเจ็บคอ[1] และ 50% พบอาการไอ[2] ขณะที่อาการปวดกล้ามเนื้อพบในผู้ป่วยราวครึ่งหนึ่ง[3] ผู้ป่วยในวัยผู้ใหญ่มักไม่พบอาการไข้ แต่พบทั่วไปในทารกและเด็ก[3] อาการไอมักไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่[3] ขณะที่อาการไอและไข้ในผู้ใหญ่มีแนวโน้มบ่งชี้ไข้หวัดใหญ่มากกว่า แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างโรคหวัดกับไข้หวัดใหญ่[4] ไวรัสหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดยังอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไร้อาการ[5][6] สีของเสมหะอาจมีได้ตั้งแต่ไม่มีสีไปจนถึงเหลือง เขียว และไม่บ่งชี้ถึงประเภทของตัวที่กระทำให้เกิดการติดเชื้อ[7] การลุกลาม ตามปกติโรคหวัดเริ่มต้นจากความเหนื่อยล้า รู้สึกหนาวสะท้าน จามและปวดศีรษะ ตามด้วยอาการน้ำมูกไหลและไอหลายวัน[1] อาการอาจเริ่มขึ้นใน 16 ชั่วโมงนับแต่การสัมผัส[8] และมักมีอาการรุนแรงที่สุดสองถึงสี่วันหลังเริ่มมีอาการ[3][9] โดยปกติอาการจะหายไปเองในเจ็ดถึงสิบวัน แต่บางรายสามารถมีอาการได้นานถึงสามสัปดาห์ 35-40% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 10 วัน[10] และ 10% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 25 วัน[11] สาเหตุ ไวรัส โรคหวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนบน ไวรัสที่พบมากที่สุด คือ ไรโนไวรัส (30-80%) ซึ่งเป็นพิคอร์นาไวรัสที่มีเซโรไทป์รู้จักกัน 99 ชนิด[12][13] ไวรัสชนิดอื่นมีโคโรนาไวรัส (10-15%) ฮิวแมนพาราอินฟลูเอ็นซาไวรัส ไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล อะดีโนไวรัส เอนเทอโรไวรัสและเมตะนิวโมไวรัส[14] บ่อยครั้งที่ไวรัสมากกว่าหนึ่งชนิดก่อให้เกิดโรค[15] รวมทั้งสิ้นแล้ว มีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรคหวัด[3] การแพร่เชื้อ ไวรัสโรคหวัดโดยปกติแพร่เชื้อผ่านละอองจากอากาศ (ละอองลอย) การสัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งทางจมูกที่ติดเชื้อ หรือวัตถุที่เป็นพาหะนำเชื้อ (fomite) [2][16] แต่ยังไม่มีการระบุว่า ทางใดมีความสำคัญที่สุด แต่การสัมผัสมือต่อมือ และมือต่อพื้นต่อมือเหมือนจะสำคัญกว่าการติดต่อผ่านละอองลอย[17] ไวรัสอาจมีชีวิตอยู่รอดเป็นเวลานาน มนุษย์ใช้มือหยิบจับไวรัสแล้วนำเข้าสู่ดวงตาหรือจมูกซึ่งเป็นที่เกิดการติดเชื้อ[16] การแพร่เชื้อพบทั่วไปในสถานรับเลี้ยงเด็กและที่โรงเรียนเนื่องจากความใกล้ชิดของเด็กจำนวนมากซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำและมักมีอนามัยเลว จากนั้น สมาชิกครอบครัวคนอื่นเป็นผู้นำเชื้อเหล่านี้กลับมาบ้าน[18] ไม่มีหลักฐานว่า อากาศที่ไหลเวียนอยู่ในเที่ยวบินพาณิชย์เป็นวิธีการแพร่เชื้อ[16] อย่างไรก็ตาม บุคคลที่นั่งใกล้ชิดดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงกว่า[17] โรคหวัดที่เกิดจากไรโนไวรัสติดเชื้อได้มากที่สุดระหว่างสามวันแรกของอาการ แต่จะติดเชื้อน้อยลงมากหลังจากนั้น[19] ลมฟ้าอากาศ ทฤษฎีชาวบ้านดั้งเดิมมีว่า โรคหวัดสามารถ "ติด" ได้จากการสัมผัสอากาศหนาวเป็นเวลานาน เช่น สภาพฝนตกหรือฤดูหนาว จึงเป็นที่มาของชื่อโรค cold ในภาษาอังกฤษ[20] บทบาทการเย็นตัวของร่างกายเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหวัดนั้นยังถกเถียงกันอยู่[21] ไวรัสบางชนิดที่เป็นเหตุของโรคหวัดมีตามฤดูกาล ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยกว่าในอากาศที่หนาวหรือเปียก[22] บางคนเชื่อว่า การติดโรคหวัดเป็นเพราะการอาศัยอยู่ในที่ร่มใกล้กับผู้ที่ติดเชื้อดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน[23] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่กลับจากโรงเรียน[18] อย่างไรก็ดี โรคหวัดยังอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินหายในที่ส่งผลให้มีความไวเพิ่มขึ้น[23] ความชื้นที่ต่ำสามารถเพิ่มอัตราการแพร่เชื้อไวรัสได้เนื่องจากอากาศแห้งทำให้ละอองไวรัสขนาดเล็กกระจายไปไกลขึ้นและอยู่ในอากาศนานขึ้น[24] อื่น ๆ ภูมิคุ้มกันหมู่ที่เกิดจากการติดไวรัสไข้หวัดก่อนหน้านี้ มีบทบาทสำคัญในการจำกัดการแพร่ของไวรัส โดยสังเกตจากประชากรที่อายุน้อยมีอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจสูงกว่าประชากรอายุมาก[25] ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานไม่ดียังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหวัด[25][26] การนอนหลับไม่เพียงพอและทุพโภชนาการเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงการติดเชื้อหลังสัมผัสไรโนไวรัสที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากผลของมันต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน[27][28] พยาธิสรีรวิทยา โรคหวัดเป็นโรคของทางเดินหายใจส่วนบน อาการของโรคหวัดเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันสนองต่อไวรัสเป็นหลัก[29] กลไกการตอบสนองของภูมิคุ้มกันนี้จำเพาะต่อไวรัส ตัวอย่างเช่น ไรโนไวรัสติดต่อผ่านการสัมผัส ตัวเชื้อจะจับกับ ICAM-1 รีเซพเตอร์ของผู้ป่วย (ผ่านกลไกที่ยังไม่ทราบแน่ชัด) แล้วกระตุ้นการปลดปล่อยสารตัวกลางการอักเสบ (inflammatory mediators) [29] จากนั้น สารตัวกลางการอักเสบเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการ[29] โดยตัวไวรัสมิได้ก่อความเสียหายแก่เยื่อบุจมูกแต่อย่างใด[3] ตรงข้ามกับไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล (RSV) ซึ่งติดต่อทั้งผ่านการสัมผัสโดยตรงและละอองจากอากาศ ไวรัสจะแบ่งตัวในจมูกและลำคอก่อนจะแพร่กระจายลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง[30] และทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อเซลล์เยื่อบุ[30] ไวรัสพาราอินฟลูเอนซาส่งผลให้เกิดการอักเสบในจมูก ลำคอและหลอดลม[31] หากเด็กเล็กติดเชื้อเกิดท่อลม (trachea) อักเสบอาจทำให้เกิดอาการของโรคกล่องเสียงอักเสบอุดกั้น (croup) ได้ เพราะทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก[31] การวินิจฉัย การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนชนิดต่าง ๆ แยกได้คร่าว ๆ จากตำแหน่งของอาการ จมูกได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหวัด ลำคอได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคคอหอยอักเสบ และปอดได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหลอดลมอักเสบ[2] กระนั้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบอาจทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญและเกิดได้หลายบริเวณ[2] บ่อยครั้ง โรคหวัดนิยามว่าเป็นจมูกอักเสบโดยมีปริมาณการอักเสบของลำคอต่าง ๆ กัน[32] พบการวินิจฉัยด้วยตนเองประจำ[3] แต่แทบไม่เคยมีการแยกแยะตัวกระทำไวรัสที่เกี่ยวข้องแท้จริง[32] และโดยทั่วไปก็ไม่สามารถระบุประเภทของไวรัสจากอาการได้[3] การป้องกัน มาตรการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสหวัดทางกายภาพดูเป็นมาตรการป้องกันโรคหวัดที่มีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว[33] มาตรการเหล่านี้ รวมถึงการล้างมือและสวมหน้ากากอนามัย ในสิ่งแวดล้อมสาธารณสุข มีการใช้เสื้อกาวน์และถุงมือใช้แล้วทิ้ง[33] ความพยายามอย่างการกักกัน เป็นไปไม่ได้เพราะโรคนั้นแพร่ไปทั่วและอาการไม่จำเพาะ การให้วัคซีนนั้นยาก เพราะมีไวรัสหลายชนิดมาเกี่ยวข้องและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว[33] การสร้างวัคซีนที่ได้ผลอย่างกว้างขวางจึงยากจะเกิดขึ้น[34] การล้างมือเป็นประจำดูมีประสิทธิภาพลดการส่งผ่านไวรัสหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก[35] ส่วนการเพิ่มยาต้านไวรัสหรือสารต้านแบคทีเรียในการล้างมือปกติจะช่วยให้ผลประโยชน์ในการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นยังไม่ทราบกัน[35] การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่กับบุคคลที่ติดเชื้ออาจมีประโยชน์ กระนั้น มีหลักฐานไม่เพียงพอแก่การรักษาระยะสังคมที่มากขึ้น[35] การเสริมธาตุสังกะสีอาจมีผลช่วยลดอัตราโรคหวัด[36] การเสริมวิตามินซีเป็นประจำไม่ลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคหวัด แต่อาจลดช่วงเวลาของโรค[37] การรักษา ยังไม่มียาหรือสมุนไพรใด ๆ ที่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าสามารถลดระยะเวลาของการติดเชื้อได้[38] ดังนั้นการรักษาจึงประกอบด้วยการบรรเทาอาการ[39] การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ และกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น เป็นวิธีรักษาแบบอนุรักษ์ที่สมเหตุสมผล[14] อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่เห็นจากการรักษาเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ยาหลอกเสียมาก[40] ตามอาการ การรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการ รวมถึง ยาระงับปวดและยาลดไข้ อย่างไอบูโปรเฟน[41]และอะเซตามีโนเฟน/พาราเซตามอล[42] หลักฐานมิได้แสดงว่ายาแก้ไอมีประสิทธิภาพมากกว่ายาลดไข้แต่อย่างใด[43] และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กเพราะขาดหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพและอาจเกิดอันตรายได้[44][45] ในปี 2552 แคนาดาจำกัดการใช้ยาแก้ไอและหวัดโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ในเด็กอายุหกปีหรือต่ำกว่า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์[44] ในผู้ใหญ่ มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาแก้ไอไม่เพียงพอ[46] การใช้เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (ยาแก้ไอชนิดหนึ่งหาซื้อโดยตรงได้ทั่วไป) ในทางที่ผิด นำไปสู่การห้ามใช้ในหลายประเทศ[47] ในผู้ใหญ่ อาการน้ำมูกไหลสามารถลดได้จากสารต้านฮิสทามีนรุ่นแรก อย่างไรก็ดี สารเหล่านี้มีผลเสีย เช่น ความง่วง[39] ยาลดน้ำมูกอื่นอย่างซูโดอีเฟดรีน ยังมีประสิทธิภาพในประชากรนี้ด้วย[48] ยาพ่นจมูกไอพราโทรเปียมอาจลดอาการน้ำมูกไหล แต่มีผลเล็กน้อยกับการคัดจมูก[49] ส่วนสารต้านฮิสทามีนรุ่นที่สองนั้นไม่ปรากฏว่ามีประสิทธิภาพ[50] เนื่องจากยังขาดการศึกษา จึงไม่ทราบว่าการรับของเหลวเข้าไปเพิ่มขึ้นจะเพิ่มอาการหรือย่นระยะเวลาการเจ็บป่วยของระบบหายใจ[51] และการขาดข้อมูลที่คล้ายกันยังมีสำหรับการใช้ที่ถูกทำให้ชื้นและร้อน[52] การศึกษาหนึ่งพบว่า การนวดหน้าอก (chest vapor rub) มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการไอกลางคืน การคั่งและนอนหลับยากลงได้บ้าง[53] ปฏิชีวนะและต้านไวรัส ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อไวรัสไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่มีผลต่อโรคหวัดซึ่งเกิดจากไวรัสเช่นกัน[54] ทั้งนี้เมื่อพิจารณาว่าการใช้ยาปฏิชีวนะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคหวัดในภาพรวมจึงทำให้เกิดผลเสียมากกว่า กระนั้น ก็ยังมีการจ่ายยาบ่อยครั้ง[54][55] สาเหตุบางประการที่ทำให้มีการจ่ายยาปฏิชีวนะบ่อยครั้งเป็นเพราะประชาชนคาดหวังว่ามาพบแพทย์แล้วต้องได้ยา แพทย์รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่าง และการคัดภาวะแทรกซ้อนออกที่อาจได้ประโยชน์จากการให้ยาปฏิชีวนะทำได้ยาก[56] ไม่มียาต้านไวรัสใดที่ยืนยันได้ว่ามีประสิทธิภาพแก่โรคหวัด แม้จะมีงานวิจัยขั้นต้นบางชิ้นที่ศึกษาพบว่าอาจมีประโยชน์ก็ตาม[39][57] การรักษาทางเลือก แม้จะมีการรักษาทางเลือกหลายอย่างที่ใช้กับโรคหวัด แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนการใช้การรักษาทางเลือกส่วนมากเพียงพอ[39] จนถึงปี 2553 มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะแนะนำให้หรือไม่ให้ใช้น้ำผึ้งหรือการล้างจมูก[58][59] มีการศึกษาเสนอว่า หากให้สังกะสีภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ จะสามารถลดช่วงเวลาและความรุนแรงของโรคหวัดในผู้มีสุขภาพดี[36] อย่างไรก็ดีการศึกษาในเรื่องเดียวกันชิ้นอื่น ๆ ให้ผลที่แตกต่างกันออกไป จึงยังต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่าสังกะสีจะมีประโยชน์อย่างไร และควรให้เมื่อไร[60] ผลกระทบของวิตามินซีต่อโรคหวัดนั้น แม้จะมีการศึกษาวิจัยมานาน แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ จะได้ผลเฉพาะในเพียงบางภาวะเท่านั้น เช่น ในผู้ป่วยไข้หวัดที่ออกกำลังกายให้ชีพจรเข้าเป้าในอากาศเย็น[37][61] หลักฐานเกี่ยวกับประโยชน์ของอิชิเนเซียนั้นขัดกัน[62][63] การเสริมอิชิเนเซียประเภทต่าง ๆ อาจมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน[62] ยังไม่ทราบกันว่ากระเทียมมีประสิทธิภาพหรือไม่[64] การทดสอบวิตามินดีครั้งเดียวยังไม่พบประโยชน์[65] |
เจ้าของ: | Rosarin [ 24 ม.ค. 2019, 08:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
sssboun เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: :b12: โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: น่าสงสารๆ อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง จิตเห็นสีแค่1สี+แสง1ขณะที่มีสีล้วนสีเดียวกระทบตาดำดับในตาดำทันทีแล้วมืด จิตอีก5ทางคั่นในมืดมิดมีทางหูจมูกลิ้นกายใจเป็นแต่ละ1ขณะในมืดมิดกำลังเกิดสลับกัน ทางตาดับแล้วมืดมากกว่าสว่าง...ตาบอดหรือคะ...ถึงมองไม่ออกว่าตาเนื้อกิเลสเห็นผิดว่า สว่างเยอะเดี๋ยวนี้โรควิปลาส3มีอยู่ครบแล้ว...สีดับในลูกตาดำแล้วมืดทันทีแล้วคิดเห็นผิดไงคะ รู้สึกคิดนึกจำทุกอย่างที่กำลังปรากฏผิดจากคำสอนเข้าใจไหมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะทุกคำใน3ปิฎกคือ สัจจะตรงทางตรงคำตรงขณะและกำลังมีตรงทุกคำกำลังปรากฏว่ามีแล้วแต่ไม่รู้ว่ามีแล้วถึงไปทำเพิ่มลืมฟัง |
เจ้าของ: | Rosarin [ 24 ม.ค. 2019, 08:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
Rosarin เขียน: sssboun เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: :b12: โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: น่าสงสารๆ อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง จิตเห็นสีแค่1สี+แสง1ขณะที่มีสีล้วนสีเดียวกระทบตาดำดับในตาดำทันทีแล้วมืด จิตอีก5ทางคั่นในมืดมิดมีทางหูจมูกลิ้นกายใจเป็นแต่ละ1ขณะในมืดมิดกำลังเกิดสลับกัน ทางตาดับแล้วมืดมากกว่าสว่าง...ตาบอดหรือคะ...ถึงมองไม่ออกว่าตาเนื้อกิเลสเห็นผิดว่า สว่างเยอะเดี๋ยวนี้โรควิปลาส3มีอยู่ครบแล้ว...สีดับในลูกตาดำแล้วมืดทันทีแล้วคิดเห็นผิดไงคะ รู้สึกคิดนึกจำทุกอย่างที่กำลังปรากฏผิดจากคำสอนเข้าใจไหมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะทุกคำใน3ปิฎกคือ สัจจะตรงทางตรงคำตรงขณะและกำลังมีตรงทุกคำกำลังปรากฏว่ามีแล้วแต่ไม่รู้ว่ามีแล้วถึงไปทำเพิ่มลืมฟัง บอกไม่ฟัง555 การฟังคือทางเกิด ของสุตมยปัญญาและ ถ้าไม่เริ่มที่ฟังตามลำดับ ไม่มีทางให้ปัญญาเกิดเลย เพราะตามลำดับการเกิดปัญญา เรียงตามนี้123ไม่ข้ามเพราะต้องล้น จาก1จึงไป2จึงไป3เหมือนเอาโอ่งรองน้ำ3ชั้น น้ำล้นจากโอ่งแรกเต็มถึงจะล้นมาโอ่งที่2และ3ตามลำดับไม่ขาดฟัง คุณไม่สะสมสุตมยปัญญาคือไม่เติมน้ำในโอ่งมัวแต่เก็บของนอกโอ่ง555 เริ่มยกโอ่งมาวางให้ตรงก็อกนิ่งๆก็กายใจที่มีคือภาชนะเอามารองน้ำคือธัมมะจากก็อกเปิดก็อกแล้วเงี่ยหูฟัง |
เจ้าของ: | Rosarin [ 24 ม.ค. 2019, 08:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: sssboun เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: Rosarin เขียน: :b12: โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: น่าสงสารๆ อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง จิตเห็นสีแค่1สี+แสง1ขณะที่มีสีล้วนสีเดียวกระทบตาดำดับในตาดำทันทีแล้วมืด จิตอีก5ทางคั่นในมืดมิดมีทางหูจมูกลิ้นกายใจเป็นแต่ละ1ขณะในมืดมิดกำลังเกิดสลับกัน ทางตาดับแล้วมืดมากกว่าสว่าง...ตาบอดหรือคะ...ถึงมองไม่ออกว่าตาเนื้อกิเลสเห็นผิดว่า สว่างเยอะเดี๋ยวนี้โรควิปลาส3มีอยู่ครบแล้ว...สีดับในลูกตาดำแล้วมืดทันทีแล้วคิดเห็นผิดไงคะ รู้สึกคิดนึกจำทุกอย่างที่กำลังปรากฏผิดจากคำสอนเข้าใจไหมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะทุกคำใน3ปิฎกคือ สัจจะตรงทางตรงคำตรงขณะและกำลังมีตรงทุกคำกำลังปรากฏว่ามีแล้วแต่ไม่รู้ว่ามีแล้วถึงไปทำเพิ่มลืมฟัง บอกไม่ฟัง555 การฟังคือทางเกิด ของสุตมยปัญญาและ ถ้าไม่เริ่มที่ฟังตามลำดับ ไม่มีทางให้ปัญญาเกิดเลย เพราะตามลำดับการเกิดปัญญา เรียงตามนี้123ไม่ข้ามเพราะต้องล้น จาก1จึงไป2จึงไป3เหมือนเอาโอ่งรองน้ำ3ชั้น น้ำล้นจากโอ่งแรกเต็มถึงจะล้นมาโอ่งที่2และ3ตามลำดับไม่ขาดฟัง คุณไม่สะสมสุตมยปัญญาคือไม่เติมน้ำในโอ่งมัวแต่เก็บของนอกโอ่ง555 เริ่มยกโอ่งมาวางให้ตรงก็อกนิ่งๆก็กายใจที่มีคือภาชนะเอามารองน้ำคือธัมมะจากก็อกเปิดก็อกแล้วเงี่ยหูฟัง ฟังบ้างนะ ตายแล้วเกิด เร็วแบบกระพริบตา เข้าร่างใหม่ทันทีแบบเลือกไม่ได้ เพราะธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่มีใครทำธัมมะมีแต่ลืมฟัง https://youtu.be/J9QWtApcaTk |
เจ้าของ: | Rosarin [ 24 ม.ค. 2019, 21:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
ฟังให้เข้าใจไม่มีใครเอากิเลสออกได้ มีแต่เพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้ เข้าใจไหมคะว่ากำลังมีธัมมะเกิดและดับ ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจตนเองมีแล้วไม่ได้ทำอะไร เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของธัมมะเพราะเกิดแล้วดับแล้วมีแต่อุปาทานขันธ์ https://youtu.be/K2yLa7LWl-c |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 24 ม.ค. 2019, 22:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
ป้าโรสพูดผิดกระทู้..แล้วคับ...เชิญไปพูดการเห็นสีที่กระทู้ตัวเอง..เถอะครับ.. ให้มันรู้กาล..สถานที่บ้าง.. |
เจ้าของ: | Rosarin [ 24 ม.ค. 2019, 22:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
กบนอกกะลา เขียน: ป้าโรสพูดผิดกระทู้..แล้วคับ...เชิญไปพูดการเห็นสีที่กระทู้ตัวเอง..เถอะครับ.. ให้มันรู้กาล..สถานที่บ้าง.. เขียนตรงตามคำสอนเลยนะ...จิตเห็นสี1สีดับในตาดำแล้วมืดแล้ว...ส่วนสุตมยปัญญาเกิดจากฟังในมืดนะ กบไม่รู้หรือคะว่าตัวเองกำลังคิดเห็นผิดเนี่ยดูสิกบตัวอักษรนะคือสีดำตัดขาวของพื้นหลังอยู่เกิน1สีน๊า ไม่เชื่อก็คิดตามดูสิ...หลับตาฟังเสียงมีจิตได้ยินเกิดจากหูไม่หนวกได้ยินเสียงในความมืดเข้าใจไหมคะ ทีนี้ลืมตาดูแล้วคิดตามเสียงคิดนึกตามว่าจิตเห็นเกิดจากลืมตาดูมีสี1สีสะท้อนแสงเข้าตาดำดับมืดทันที มีตัวอักษรไหมคะมีสีนอกตาไหมเพราะดับคือไม่เหลือคนทั้งตัวแล้วค่ะกบเพราะจิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 25 ม.ค. 2019, 03:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
คุณป้าโรสไม่รู้หรือคับ..ว่า.ตัวเองกำลังเห็นผิด..ทำผิด ให้มันรู้บ้างว่า..ตรงไหนคุยเรื่องอะไร..ตรงไหนไม่คุยเรื่องอะไร..รู้กาลเทสะบ้าง... เป็นคนนะครับ..ไม่ใข่แมว |
เจ้าของ: | Rosarin [ 25 ม.ค. 2019, 09:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
กบนอกกะลา เขียน: คุณป้าโรสไม่รู้หรือคับ..ว่า.ตัวเองกำลังเห็นผิด..ทำผิด ให้มันรู้บ้างว่า..ตรงไหนคุยเรื่องอะไร..ตรงไหนไม่คุยเรื่องอะไร..รู้กาลเทสะบ้าง... เป็นคนนะครับ..ไม่ใข่แมว ประโยชน์ของการฟังคำสัจจะทุกคำคือดับความคิดเห็นผิดๆ เข้าใจความจริงว่าอะไรถูกอะไรผิดไม่ใช่การไปทำตามๆกัน รู้จักไหมสุตมยปัญญาคือปัญญาเกิดจากการฟังคำสอนนั้น เกิดได้ทีละ1ขณะจิตตอนมีจิตได้ยินเสียงดับในปสาทหูนะกบ ไม่มีเสียงนอกหูจ้ะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกตรงทางตรงขณะ ถ้ายังมีตัวตนไปทำอย่างอื่นขาดการฟังนั่นแหละไม่มีปัญญา ถ้าฟังเข้าใจจากการฟังตรงขณะปัญญานั้นก็ดับแล้วไงคะกบ ปัญญาจากการฟังเกิดแทรกหลังเห็นดับก็กำลังเห็นผิดไงคะกบ ตัวอักษรน่ะเลยจิตเห็นตรงขณะเป็นจิตคิดนึกปรุงตามตัวอักษร แต่ตวามจริงตรงขณะกำลังเกิดดับเองตามเหตุปัจจัยไม่ได้ทำค่ะ ก็อ่านคือหลงเงาตัวจริงธัมมะอยู่ไงคะลืมฟังจึงไม่เกิดปัญญาแท้ๆ ฟังน่ะต้องจากคนอื่นบอกแล้วคิดตามให้เข้าใจเท่านั้นไม่ได้ทำค่ะ https://youtu.be/8GfZPz8RFqg |
เจ้าของ: | sssboun [ 25 ม.ค. 2019, 19:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
กบนอกกะลา เขียน: คุณป้าโรสไม่รู้หรือคับ..ว่า.ตัวเองกำลังเห็นผิด..ทำผิด ให้มันรู้บ้างว่า..ตรงไหนคุยเรื่องอะไร..ตรงไหนไม่คุยเรื่องอะไร..รู้กาลเทสะบ้าง... เป็นคนนะครับ..ไม่ใข่แมว คุณ กบ นึกเรื่องพระ ฉันนะออกไหมครับ ลองดู ผมว่าน่าจะได้ผล |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 25 ม.ค. 2019, 20:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พุทธะ...กับ สุขภาพของร่างกาย..และโรคภัย |
คั่นเวลานิดนึ่ง...กับ...นักวิทยาศาสตร์. ที่ผมเห็นว่า..เขาเข้าใกล้ความเข้าใจ.ความมีอยู่ของ..ความเป็นจิตเดิมแท้..ที่มีอวิชชาจรมา..แล้วละ. ทฤษฎีสตริง..บ่อเกิดของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล... เราเราชาวพุทธ..ที่ท่องจำ..ปฏิจจะ...อวิชชาปัจจยา..สังขารา..อย่าแพ้..นักวิทย์..นะเอ่อ |
หน้า 4 จากทั้งหมด 7 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |