วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 14:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2019, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ
:b32: :b32:



:b32:
โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส
เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส
พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส
วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส
:b32: :b32:



:b32: :b32: :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: :b32: :b32: น่าสงสารๆ
อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: :b32: :b32:

:b8:

หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ
เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม
จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน

เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ
ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ
ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ
ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ
ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ

ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง


:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2019, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เปิดกระทู้...เพื่อให้เพื่อนๆ...มาแชร์ความรู้.หรือ..หลักความคิด..ประยุกต์ใช้ความรู้แห่งพุทธะ...มาใช้กับการดูแลสุขภาพร่างกาย

จั่วหัวก่อนเลยว่า..

โรคทุกโรคเกิดจากใจ.. :b19: :b19:

อีกอัน...

โรคทุกโรค..เกิดจากกรรม.. :b12: :b12:

อีกสักนิด..

สติปัฏฐาน 4 รักษาโรคได้ :b9: :b9: :b9:


มา..มา...มาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน...นอกตำราก็ได้..ฟรีสไตล์..ได้เลย..

rolleyes rolleyes rolleyes


คริคริ
เพราะพี่กบไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
เรยได้แต่คิด ไม่รู้ว่า

มีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพานเท่านั้นค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2019, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ
:b32: :b32:


ก็คุมกำเนิดดิถ้าไม่ยากเกิด :b32: ปัจจุบันมีวิธีป้องกันเยอะแยะ

ที่เกิดมาแล้วก็ปฏิบัติให้ถึงนิพพาน คือ ดับกิเลสได้ แต่ก็อีกแหละสำนักแม่สุจินบอกไม่ต้องปฏิบัติมันมีอยู่แล้วว่า คิกๆๆ

มันขัดกันหมดขอรับโผม

สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรปิดลานเถอะ :b32:

:b32:
โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส
เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส
พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส
วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส
:b32: :b32:


ขอพูดตรงๆสักทีนะขอรับ ขัดใจใครบ้างก็ขออภัย

ดูๆตามบอร์ดซึ่งเรียกกันว่าบอร์ดธรรมะทั่วๆไปนะ บ้าธรรมะ บ้ากันแบบไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร เมื่อไม่รู้ว่ามันคืออะไรแล้วก็เสียของดิ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 05:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เปิดกระทู้...เพื่อให้เพื่อนๆ...มาแชร์ความรู้.หรือ..หลักความคิด..ประยุกต์ใช้ความรู้แห่งพุทธะ...มาใช้กับการดูแลสุขภาพร่างกาย

จั่วหัวก่อนเลยว่า..

โรคทุกโรคเกิดจากใจ.. :b19: :b19:

อีกอัน...

โรคทุกโรค..เกิดจากกรรม.. :b12: :b12:

อีกสักนิด..

สติปัฏฐาน 4 รักษาโรคได้ :b9: :b9: :b9:


มา..มา...มาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน...นอกตำราก็ได้..ฟรีสไตล์..ได้เลย..

rolleyes rolleyes rolleyes


โรคทุกโรคเกิดจากใจ...

คำคำนี้..ไม่ใช่คำของกระผม..นะครับ..

หากจำไม่ผิด...เป็นของนักปราชญ์ชาวกรีก นามว่า..อริสโตเติล..ประมาณ 384 ปีก่อนคริสตกาล..ซึ่งก็ไม่รู้แก่คิดยังงัย...มีหลักฐานอะไร...ได้ยินครั้งแรก..ผมก็ว่าแกเพ้อ..แน่แน่ :b9: :b9:

แต่พอมาเข้าวัดเข้าวา...กะเขาบ้าง...ก็มีมุมมองที่เพิ่มมากขึ้น...

ก่อนจะไปทางศาสนา...มาดูว่า..นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน..ก็มีแนวคิดนี้มากขึ้น..

มาดู..แพทย์ท่านว่าอย่างไร..
อ้างคำพูด:
ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกายที่พบบ่อย


ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกายที่พบบ่อย

โดย ผศ. นพ. ปราโมทย์ สุดคนิชย์ (คณะแพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี)

ข้อมูลจาก : หนังสือจิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี

โรคภาวะทางจิตใจสามารถทำให้เกิดโรคทางกายได้หลายชนิดมักผ่านการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมน โรคทางกายที่พบบ่อยได้แก่

1. ปวดศีรษะ ถือเป็นอาการที่พบบ่อยมากที่สุดอาการหนึ่ง เนื่องมาจากมีสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้มากมาย แต่การตรวจร่างกายแล้วพบสาเหตุนั้น กลับพบไม่บ่อย ซึ่งทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยไม่สบายใจ เชื่อว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากอารมณ์และความเครียด เช่น ภาวะวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า มากระตุ้นให้เกิดอาการขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาการปวดศีรษะนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออกของอารมณ์ภายในแล้ว ยังอาจมาจากความเชื่อแบบหลงผิด (delusion) หรือเป็นการสื่อให้บุคคลภายนอกรอบตัวผู้ป่วยให้ความสนใจกับผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งแพทย์ควรให้ความสนใจกับผลของอาการนี้ต่อชีวิตทั่วไปของผู้ป่วยและครอบครัวด้วย
ชนิดของโรคปวดศีรษะที่สัมพันธ์กับจิตใจคือ

1.1. ไมเกรน มีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องด้วยกว่า 2 ใน 3ของผู้ป่วยและมักพบในผู้มีอาการมีบุคลิกภาพแบบพยายามควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้ดี มีระเบียบ ไม่แสดงความโกรธ แต่ไม่พบว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่เจาะจงให้เกิดอาการนี้ อาศัยการรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการ และใช้จิตบำบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกดังกล่าวในระยะยาว
1.2. ปวดศรีษะจากความตึงเครียด (Tension headache) ส่วนใหญ่มีอาการในช่วงบ่ายหรือเย็นหลังการงานที่ทำให้เครียด หรือบางรายก็มีปัญหากับครอบครัว โรคทางจิตเวชเกือบทุกโรคทำให้เกิดอาการชนิดนี้ได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่จริงจังและแข่งขัน ควรค้นหาว่ามีโรคทางจิตเวชหรือไม่ โดยถามถึงอาการร่วมอื่นๆ อาจให้ยาคลายกังวล ในระยะยาว นอกจากนี้ การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัดจะช่วยป้องกันอาการเป็นซ้ำได้

2. โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน มีข้อสังเกตมานานแล้วว่า เมื่อบุคคลมีความเครียด จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายและบ่อยขึ้นจากโรคต่างๆ ไม่ว่าโรคติดเชื้อหรือโรคภูมิแพ้ ปัจจุบันจึงมีการศึกษาทางการแพทย์ในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น แม้การศึกษาจะไม่บ่งชี้ชัดนักในแง่การวัดปริมาณเม็ดเลือดหรือสารภูมิคุ้มกัน เช่น มีเส้นใยประสาทในไขกระดูกหรือต่อมไทมัสหรือหากไฮโปทาลามัส ถูกทำลายจะทำให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้ การทำงานของเม็ดเลือดขาว ก็ขึ้นกับสื่อประสาทและฮอร์โมนหลายชนิด หรือโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบางอย่าง รวมทั้งผู้ป่วยเอดส์ มีอาการรุนแรงมากน้อยตามความเครียด มีผู้พบว่าผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการช่วยเหลือทางจิตใจจะฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น

3. ปวดหลัง เช่นเดียวกับอาการปวดศีรษะ กว่าร้อยละ 95 ของผู้มีอาการปวดหลังไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ชัดเจนได้ นอกจากนั้น พบว่าผู้มีอาการนี้ไม่น้อยมีความกังวลหรือซึมเศร้าร่วมอยู่ด้วย การรักษาจึงอาจให้ยารักษาภาวะดังกล่าวร่วมกับยาแก้ปวด รวมทั้งให้คำแนะนำ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และสนับสนุนให้กลับไปทำหน้าที่เดิม

4. ไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ มีผู้สนใจในบุคลิกภาพของผู้ป่วยด้วยโรคนี้ว่า มักมีลักษณะเสียสละ ทำตนให้ลำบาก อดกลั้น และต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด โดยไม่แสดงความรู้สึก และมีบางรายพบว่า อาการกำเริบตามความเครียดทางจิตใจ ผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสเกิดความซึมเศร้าอันเป็นผลมาจากความพิการจากโรคได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

5. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจขาดเลือด เกิดอาการได้เสมอหากผู้ป่วยเกิดความเครียดหรือโกรธ มีผู้เสนอว่า ผู้ที่ป่วยโรคเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพที่แข่งขัน รุนแรง ทะเยอทะยาน ไขว่คว้า แต่อารมณ์ฉุนเฉียว โดยจะพบระดับโปรตีนในเลือด, คลอเลสสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดสูงด้วย จนเสี่ยงต่อภาวะดังกล่าว
โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ คนเหล่านี้มักมีท่าทีเป็นมิตร เชื่อฟังเคร่งครัดตามกฎ และเก็บงำความโกรธไว้ไม่แสดงออก ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของการป่วยโรคนี้
การรักษาของทั้ง 2 โรค ได้แก่ การทำจิตบำบัดเพื่อเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต แนวคิดมุ่งหวัง ให้รู้จักผ่อนคลาย ทำเทคนิคคลายเครียดอย่างมีหลักการ ร่วมกับการใช้ยาควบคุมโรคดังกล่าวโดยตรง

6. โรคระบบทางเดินอาหาร โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด เป็นที่ยอมรับมานานแล้วว่า อาการและโรคนี้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรควิตกกังวลเรื้อรัง โดยเฉพาะแผลในกระเพาะอาหารมากกว่าแผลในลำไส้เล็กมีการศึกษาด้วยว่า ความกังวลทำให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวของกระเพาะอาหารผิดปกติ ร่วมกับรายงานที่ว่า เมื่อบุคคลต้องเผชิญกับเหตุการณ์เครียดที่รุนแรง เช่น การสูญเสียคนใกล้ชิด จะมีอาการท้องอืดมากกว่าคนทั่วไป การรักษาด้วยยารักษาโรคกระเพาะเท่านั้น จึงอาจไม่เพียงพอในการรักษาหรือป้องกันในระยะยาว การฝึกผ่อนคลาย การแก้ปัญหา และจิตบำบัดร่วมไปด้วย จะทำให้ผู้ป่วยปลอดจากอากรดังกล่าวได้นานกว่าผ็รับประทานยารักษาโรคกระเพาะเพียงอย่างเดียว
ภาวะกลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (Irritable bowel syndrome) มักมีอาการทองผูกสลับท้องเสีย ปวดท้องมีลมในทางเดินอาหารมากอย่างเรื้อรัง โดยไม่สัมพันธ์กับชนิดของมื้ออาหาร หรือการติดเชื้อ หรือการใช้ยา ในสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ไปพบแพทย์ระบบทางเดินอาหารมากกว่าร้อยละ 50 มีอาการนี้ และกว่าร้อยละ 32 มีสมาธิในครอบครัวที่มีอาการนี้เช่นกัน การทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาพบว่า ผู้ป่วยจะมีความกังวล ขาดความเชื่อมั่น โทษตนเอง และอาจบอกอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อีกคล้ายในโรคความผิดปกติทางจิตใจที่แสดงอาการออกทางร่างกาย (กลุ่ม somatization disorder) และเมื่อมีความเครียด ผู้ป่วยจะเกิดอาการมากขึ้น คนรอบข้างจะให้ความสนใจผู้ป่วยมากขึ้นด้วย การรักษาจึงต้องอาศัยหลายวิธี ทั้งการใช้ยารักษาอาการท้องผูก ท้องเสีย การควบคุมชนิดของอาหาร การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด ให้ให้ยาต้านเศร้า กลุ่ม tricyclic ร่วมกับการเปลี่ยนการสนองต่อการของครอบครัวของผู้ป่วยด้วย

7. อาการของระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยมากในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล คืออาการของระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง (hyperventilation syndrome) ที่มีอาการคล้ายหอบหืด โดยผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบเร็ว หัวใจเต้นแรง บ่นแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มือเท้าชา เกร็ง บางรายจะมีนิ้วมือจีบร่วมด้วย
โรคหอบหืด แม้ว่าจะมีการพิสูจน์แล้วว่าอาการของโรคเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันแต่มีข้อสังเกตว่า ผู้ป่วยมักมีลักษณะเก็บความโกรธ ไม่สามารถแสดงความอยากพึ่งพิงผู้อื่นออกได้ และอารมณ์ดังกล่าวถูกส่งผ่านระบบประสาทอัตโนมัติและระบบภูมิคุ้มกันจนเกิดอาการ ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการเป็นประจำ การมองหาปัจจัยทางจิตใจและแก้ไขนอกเหนือไปจากการให้ยาขยายหลอดลม อาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสภาพจิตใจกับการเกิดมะเร็งนั้น ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเป็นเหตุและผลต่อกันได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีปัจจัยอื่นอีกหลายประการที่เข้ามามีบทบาทในการเกิดมะเร็ง เช่น พันธุกรรม การใช้ชีวิต การได้เผชิญกับสารต่างๆ ตลอดจนภาวะภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าสภาพจิตใจมีผลต่อการดำเนินโรคของมะเร็งอยู่ไม่น้อย

จะเห็นได้ว่า โรคทางกายที่เป็นผลจากจิตใจดังกล่าว แม้จะมีพยาธิสภาพทางกายหรือพยาธิสรีระที่เกิดขึ้นจริง แต่การใช้ยารักษาอาการทางกายโดยไม่สนใจสภาพจิตใจ จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้อยลง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงการรักษาด้านจิตสังคม การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย
**********************************************
19 October 2547

By ผศ. นพ. ปราโมทย์ สุดคนิชย์ (คณะแพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี)

Views, 19743


แม้ความเห็นของนายแพทย์ท่านนี้..จะไม่ได้บอกว่า..ทุกโรค...แต่..ก็เริ่มที่จะเห็น..ความสัมพันธ์กันระหว่าง..ใจ..กับ...กาย..บ้างแล้ว


โรคทุกโรค..เกิดจากใจ
เป็นวลีของนักปราชญ์โบราณ..สมัยที่ยังไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์อะไรซับซ้อนอย่างปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องจิตใจแล้วละก้อ...เราเราในพระพุทธศาสนา...น่าจะมีความรู้ที่พอจะอธิบายวลีดั่งกล่าวได้ดีกว่าศาสนาอื่นๆ...หรืออาจจะพูดได้ดีกว่า..เจ้าของวลีนี้..ซะอีก..พวกเรามันลูกพระพุทธเจ้า...เจ่งที่สุดในจักรวาลกันอยู่แล้ว..หรือมีใครไม่มั่นใจในความเจ่งของพวกเรา.. :b12: :b12: :b12:

เพราะอะไรกระผมถึงมั่นใจขนาดน้าน..ว่าเราเราน่าจะสามารถหาเหตุผลที่ดีกว่าเจ้าของวลี?

ก็เราเราเป็นที่ที่เดียว...ที่บอกว่า..รูปเกิดจากความไร้รูป.(อวิชชาเป็นปัจจัย..สังขารจึงมี)..ร่างกายเกิดจากใจ (วิญญาณเป็นปัจจัย...นามรูปจึงมี)
.............................
หมายเหตุ...
หากวลีว่า.."โรคทุกโรค..เกิดจากใจ"..เป็นสมมุติฐาน
การหาเหตุ..หาผล..มาสนับสนุนสมมุติฐานดั่งกล่าว...เป็นแต่เพียงการสนับสนุนในเชิงหลักการให้สมมุติฐานนี้อยู่ในการสังเกตของเราเราต่อไป..เท่านั้น..ไม่ใช่เป็นการหาข้อสรุป..หรือ..ไม่ใช่หาว่าโรคอะไรบ้างที่เกิดจากใจ..โรคอะไรที่ไม่ได้เกิดจากใจ.
.............................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 06:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

โรคทุกโรค..เกิดจากใจ
เป็นวลีของนักปราชญ์โบราณ..สมัยที่ยังไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์อะไรซับซ้อนอย่างปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องจิตใจแล้วละก้อ...เราเราในพระพุทธศาสนา...น่าจะมีความรู้ที่พอจะอธิบายวลีดั่งกล่าวได้ดีกว่าศาสนาอื่นๆ...หรืออาจจะพูดได้ดีกว่า..เจ้าของวลีนี้..ซะอีก..พวกเรามันลูกพระพุทธเจ้า...เจ่งที่สุดในจักรวาลกันอยู่แล้ว..หรือมีใครไม่มั่นใจในความเจ่งของพวกเรา.. :b12: :b12: :b12:

เพราะอะไรกระผมถึงมั่นใจขนาดน้าน..ว่าเราเราน่าจะสามารถหาเหตุผลที่ดีกว่าเจ้าของวลี?

ก็เราเราเป็นที่ที่เดียว...ที่บอกว่า..รูปเกิดจากความไร้รูป.(อวิชชาเป็นปัจจัย..สังขารจึงมี)..ร่างกายเกิดจากใจ (วิญญาณเป็นปัจจัย...นามรูปจึงมี)
.............................
หมายเหตุ...
หากวลีว่า.."โรคทุกโรค..เกิดจากใจ"..เป็นสมมุติฐาน
การหาเหตุ..หาผล..มาสนับสนุนสมมุติฐานดั่งกล่าว...เป็นแต่เพียงการสนับสนุนในเชิงหลักการให้สมมุติฐานนี้อยู่ในการสังเกตของเราเราต่อไป..เท่านั้น..ไม่ใช่เป็นการหาข้อสรุป..หรือ..ไม่ใช่หาว่าโรคอะไรบ้างที่เกิดจากใจ..โรคอะไรที่ไม่ได้เกิดจากใจ.
.............................


"โรคทุกโรค..เกิดจากใจ"

ได้ยกเอากรณีที่หมอท่านยืนยันแล้วว่า...มีอาการทางใจอะไรบ้างที่เกิดร่วมกับโรคหลายๆโรค..ซึ่งสนันสนุนสมมุติฐานที่ว่า..โรคเกิดจากใจ..ได้..จึงขอไม่ยกเอาบทความของท่านอื่นๆ..มาอีก

ทีนี้..ก็มาที่ประสพการณ์..ที่เกิดกับตัวเองดูบ้าง...

โรคหวัด..ไข้หวัด..

ก่อนอื่น..ก็ควรจะรู้เรื่องพื้นฐานของโรคหวัดทางวิทยาศาสตร์..เสียก่อน
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82 ... 1%E0%B8%94
อ้างคำพูด:
โรคหวัด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน หรือโรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน (อังกฤษ: Acute nasopharyngitis) เรียกโดยทั่วไปว่า โรคหวัด หรือ ไข้หวัด (อังกฤษ: Common cold) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนที่กระทบต่อจมูกเป็นหลัก อาการของโรคมีทั้งไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล และไข้ซึ่งมักหายไปเองในเจ็ดถึงสิบวัน แต่บางอาการอาจอยู่ได้นานถึงสามสัปดาห์ ไวรัสกว่า 200 ชนิดเป็นสาเหตุของโรคหวัด โดยไรโนไวรัสเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด

การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนจำแนกได้หลวม ๆ ตามบริเวณที่ได้รับผลจากไวรัส โดยโรคหวัดกระทบต่อจมูก คอหอย (คอหอยอักเสบ) และโพรงจมูก (โพรงจมูกอักเสบ) เป็นหลัก ส่วนใหญ่อาการเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อมากกว่าการทำลายเนื้อเยื่อจากไวรัสเอง การล้างมือเป็นวิธีการป้องกันหลัก และหลักฐานบางชิ้นสนับสนุนประสิทธิภาพของการสวมหน้ากากอนามัย

โรคหวัดไม่มีวิธีรักษาจำเพาะ แต่สามารถรักษาอาการได้ โรคหวัดเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อยที่สุดในมนุษย์ และอยู่คู่กับมนุษยชาติมาแต่โบราณ ผู้ใหญ่ติดโรคหวัดโดยเฉลี่ยสองถึงสามครั้งต่อปี ขณะที่เด็กโดยเฉลี่ยติดโรคหวัดระหว่างหกถึงสิบสองครั้งต่อปี

อาการและอาการแสดง

อาการทั่วไปของโรคหวัดมีทั้งไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก และเจ็บคอ บางครั้งอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ความล้า ปวดศีรษะและสูญเสียความอยากอาหาร ในผู้ป่วยโรคหวัด 40% พบอาการเจ็บคอ[1] และ 50% พบอาการไอ[2] ขณะที่อาการปวดกล้ามเนื้อพบในผู้ป่วยราวครึ่งหนึ่ง[3] ผู้ป่วยในวัยผู้ใหญ่มักไม่พบอาการไข้ แต่พบทั่วไปในทารกและเด็ก[3] อาการไอมักไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่[3] ขณะที่อาการไอและไข้ในผู้ใหญ่มีแนวโน้มบ่งชี้ไข้หวัดใหญ่มากกว่า แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างโรคหวัดกับไข้หวัดใหญ่[4] ไวรัสหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดยังอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไร้อาการ[5][6] สีของเสมหะอาจมีได้ตั้งแต่ไม่มีสีไปจนถึงเหลือง เขียว และไม่บ่งชี้ถึงประเภทของตัวที่กระทำให้เกิดการติดเชื้อ[7]

การลุกลาม
ตามปกติโรคหวัดเริ่มต้นจากความเหนื่อยล้า รู้สึกหนาวสะท้าน จามและปวดศีรษะ ตามด้วยอาการน้ำมูกไหลและไอหลายวัน[1] อาการอาจเริ่มขึ้นใน 16 ชั่วโมงนับแต่การสัมผัส[8] และมักมีอาการรุนแรงที่สุดสองถึงสี่วันหลังเริ่มมีอาการ[3][9] โดยปกติอาการจะหายไปเองในเจ็ดถึงสิบวัน แต่บางรายสามารถมีอาการได้นานถึงสามสัปดาห์ 35-40% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 10 วัน[10] และ 10% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 25 วัน[11]

สาเหตุ
ไวรัส

โรคหวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนบน ไวรัสที่พบมากที่สุด คือ ไรโนไวรัส (30-80%) ซึ่งเป็นพิคอร์นาไวรัสที่มีเซโรไทป์รู้จักกัน 99 ชนิด[12][13] ไวรัสชนิดอื่นมีโคโรนาไวรัส (10-15%) ฮิวแมนพาราอินฟลูเอ็นซาไวรัส ไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล อะดีโนไวรัส เอนเทอโรไวรัสและเมตะนิวโมไวรัส[14] บ่อยครั้งที่ไวรัสมากกว่าหนึ่งชนิดก่อให้เกิดโรค[15] รวมทั้งสิ้นแล้ว มีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรคหวัด[3]

การแพร่เชื้อ
ไวรัสโรคหวัดโดยปกติแพร่เชื้อผ่านละอองจากอากาศ (ละอองลอย) การสัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งทางจมูกที่ติดเชื้อ หรือวัตถุที่เป็นพาหะนำเชื้อ (fomite) [2][16] แต่ยังไม่มีการระบุว่า ทางใดมีความสำคัญที่สุด แต่การสัมผัสมือต่อมือ และมือต่อพื้นต่อมือเหมือนจะสำคัญกว่าการติดต่อผ่านละอองลอย[17] ไวรัสอาจมีชีวิตอยู่รอดเป็นเวลานาน มนุษย์ใช้มือหยิบจับไวรัสแล้วนำเข้าสู่ดวงตาหรือจมูกซึ่งเป็นที่เกิดการติดเชื้อ[16] การแพร่เชื้อพบทั่วไปในสถานรับเลี้ยงเด็กและที่โรงเรียนเนื่องจากความใกล้ชิดของเด็กจำนวนมากซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำและมักมีอนามัยเลว จากนั้น สมาชิกครอบครัวคนอื่นเป็นผู้นำเชื้อเหล่านี้กลับมาบ้าน[18] ไม่มีหลักฐานว่า อากาศที่ไหลเวียนอยู่ในเที่ยวบินพาณิชย์เป็นวิธีการแพร่เชื้อ[16] อย่างไรก็ตาม บุคคลที่นั่งใกล้ชิดดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงกว่า[17] โรคหวัดที่เกิดจากไรโนไวรัสติดเชื้อได้มากที่สุดระหว่างสามวันแรกของอาการ แต่จะติดเชื้อน้อยลงมากหลังจากนั้น[19]

ลมฟ้าอากาศ
ทฤษฎีชาวบ้านดั้งเดิมมีว่า โรคหวัดสามารถ "ติด" ได้จากการสัมผัสอากาศหนาวเป็นเวลานาน เช่น สภาพฝนตกหรือฤดูหนาว จึงเป็นที่มาของชื่อโรค cold ในภาษาอังกฤษ[20] บทบาทการเย็นตัวของร่างกายเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหวัดนั้นยังถกเถียงกันอยู่[21] ไวรัสบางชนิดที่เป็นเหตุของโรคหวัดมีตามฤดูกาล ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยกว่าในอากาศที่หนาวหรือเปียก[22] บางคนเชื่อว่า การติดโรคหวัดเป็นเพราะการอาศัยอยู่ในที่ร่มใกล้กับผู้ที่ติดเชื้อดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน[23] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่กลับจากโรงเรียน[18] อย่างไรก็ดี โรคหวัดยังอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินหายในที่ส่งผลให้มีความไวเพิ่มขึ้น[23] ความชื้นที่ต่ำสามารถเพิ่มอัตราการแพร่เชื้อไวรัสได้เนื่องจากอากาศแห้งทำให้ละอองไวรัสขนาดเล็กกระจายไปไกลขึ้นและอยู่ในอากาศนานขึ้น[24]

อื่น ๆ
ภูมิคุ้มกันหมู่ที่เกิดจากการติดไวรัสไข้หวัดก่อนหน้านี้ มีบทบาทสำคัญในการจำกัดการแพร่ของไวรัส โดยสังเกตจากประชากรที่อายุน้อยมีอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจสูงกว่าประชากรอายุมาก[25] ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานไม่ดียังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหวัด[25][26] การนอนหลับไม่เพียงพอและทุพโภชนาการเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงการติดเชื้อหลังสัมผัสไรโนไวรัสที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากผลของมันต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน[27][28]

พยาธิสรีรวิทยา

โรคหวัดเป็นโรคของทางเดินหายใจส่วนบน
อาการของโรคหวัดเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันสนองต่อไวรัสเป็นหลัก[29] กลไกการตอบสนองของภูมิคุ้มกันนี้จำเพาะต่อไวรัส ตัวอย่างเช่น ไรโนไวรัสติดต่อผ่านการสัมผัส ตัวเชื้อจะจับกับ ICAM-1 รีเซพเตอร์ของผู้ป่วย (ผ่านกลไกที่ยังไม่ทราบแน่ชัด) แล้วกระตุ้นการปลดปล่อยสารตัวกลางการอักเสบ (inflammatory mediators) [29] จากนั้น สารตัวกลางการอักเสบเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการ[29] โดยตัวไวรัสมิได้ก่อความเสียหายแก่เยื่อบุจมูกแต่อย่างใด[3] ตรงข้ามกับไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล (RSV) ซึ่งติดต่อทั้งผ่านการสัมผัสโดยตรงและละอองจากอากาศ ไวรัสจะแบ่งตัวในจมูกและลำคอก่อนจะแพร่กระจายลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง[30] และทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อเซลล์เยื่อบุ[30] ไวรัสพาราอินฟลูเอนซาส่งผลให้เกิดการอักเสบในจมูก ลำคอและหลอดลม[31] หากเด็กเล็กติดเชื้อเกิดท่อลม (trachea) อักเสบอาจทำให้เกิดอาการของโรคกล่องเสียงอักเสบอุดกั้น (croup) ได้ เพราะทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก[31]

การวินิจฉัย
การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนชนิดต่าง ๆ แยกได้คร่าว ๆ จากตำแหน่งของอาการ จมูกได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหวัด ลำคอได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคคอหอยอักเสบ และปอดได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหลอดลมอักเสบ[2] กระนั้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบอาจทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญและเกิดได้หลายบริเวณ[2] บ่อยครั้ง โรคหวัดนิยามว่าเป็นจมูกอักเสบโดยมีปริมาณการอักเสบของลำคอต่าง ๆ กัน[32] พบการวินิจฉัยด้วยตนเองประจำ[3] แต่แทบไม่เคยมีการแยกแยะตัวกระทำไวรัสที่เกี่ยวข้องแท้จริง[32] และโดยทั่วไปก็ไม่สามารถระบุประเภทของไวรัสจากอาการได้[3]

การป้องกัน
มาตรการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสหวัดทางกายภาพดูเป็นมาตรการป้องกันโรคหวัดที่มีประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว[33] มาตรการเหล่านี้ รวมถึงการล้างมือและสวมหน้ากากอนามัย ในสิ่งแวดล้อมสาธารณสุข มีการใช้เสื้อกาวน์และถุงมือใช้แล้วทิ้ง[33] ความพยายามอย่างการกักกัน เป็นไปไม่ได้เพราะโรคนั้นแพร่ไปทั่วและอาการไม่จำเพาะ การให้วัคซีนนั้นยาก เพราะมีไวรัสหลายชนิดมาเกี่ยวข้องและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว[33] การสร้างวัคซีนที่ได้ผลอย่างกว้างขวางจึงยากจะเกิดขึ้น[34]

การล้างมือเป็นประจำดูมีประสิทธิภาพลดการส่งผ่านไวรัสหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก[35] ส่วนการเพิ่มยาต้านไวรัสหรือสารต้านแบคทีเรียในการล้างมือปกติจะช่วยให้ผลประโยชน์ในการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นยังไม่ทราบกัน[35] การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่กับบุคคลที่ติดเชื้ออาจมีประโยชน์ กระนั้น มีหลักฐานไม่เพียงพอแก่การรักษาระยะสังคมที่มากขึ้น[35] การเสริมธาตุสังกะสีอาจมีผลช่วยลดอัตราโรคหวัด[36] การเสริมวิตามินซีเป็นประจำไม่ลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคหวัด แต่อาจลดช่วงเวลาของโรค[37]

การรักษา
ยังไม่มียาหรือสมุนไพรใด ๆ ที่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าสามารถลดระยะเวลาของการติดเชื้อได้[38] ดังนั้นการรักษาจึงประกอบด้วยการบรรเทาอาการ[39] การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ และกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น เป็นวิธีรักษาแบบอนุรักษ์ที่สมเหตุสมผล[14] อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่เห็นจากการรักษาเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ยาหลอกเสียมาก[40]


ตามอาการ
การรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการ รวมถึง ยาระงับปวดและยาลดไข้ อย่างไอบูโปรเฟน[41]และอะเซตามีโนเฟน/พาราเซตามอล[42] หลักฐานมิได้แสดงว่ายาแก้ไอมีประสิทธิภาพมากกว่ายาลดไข้แต่อย่างใด[43] และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กเพราะขาดหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพและอาจเกิดอันตรายได้[44][45] ในปี 2552 แคนาดาจำกัดการใช้ยาแก้ไอและหวัดโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ในเด็กอายุหกปีหรือต่ำกว่า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์[44] ในผู้ใหญ่ มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาแก้ไอไม่เพียงพอ[46] การใช้เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (ยาแก้ไอชนิดหนึ่งหาซื้อโดยตรงได้ทั่วไป) ในทางที่ผิด นำไปสู่การห้ามใช้ในหลายประเทศ[47]

ในผู้ใหญ่ อาการน้ำมูกไหลสามารถลดได้จากสารต้านฮิสทามีนรุ่นแรก อย่างไรก็ดี สารเหล่านี้มีผลเสีย เช่น ความง่วง[39] ยาลดน้ำมูกอื่นอย่างซูโดอีเฟดรีน ยังมีประสิทธิภาพในประชากรนี้ด้วย[48] ยาพ่นจมูกไอพราโทรเปียมอาจลดอาการน้ำมูกไหล แต่มีผลเล็กน้อยกับการคัดจมูก[49] ส่วนสารต้านฮิสทามีนรุ่นที่สองนั้นไม่ปรากฏว่ามีประสิทธิภาพ[50]

เนื่องจากยังขาดการศึกษา จึงไม่ทราบว่าการรับของเหลวเข้าไปเพิ่มขึ้นจะเพิ่มอาการหรือย่นระยะเวลาการเจ็บป่วยของระบบหายใจ[51] และการขาดข้อมูลที่คล้ายกันยังมีสำหรับการใช้ที่ถูกทำให้ชื้นและร้อน[52] การศึกษาหนึ่งพบว่า การนวดหน้าอก (chest vapor rub) มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการไอกลางคืน การคั่งและนอนหลับยากลงได้บ้าง[53]

ปฏิชีวนะและต้านไวรัส
ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อไวรัสไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่มีผลต่อโรคหวัดซึ่งเกิดจากไวรัสเช่นกัน[54] ทั้งนี้เมื่อพิจารณาว่าการใช้ยาปฏิชีวนะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคหวัดในภาพรวมจึงทำให้เกิดผลเสียมากกว่า กระนั้น ก็ยังมีการจ่ายยาบ่อยครั้ง[54][55] สาเหตุบางประการที่ทำให้มีการจ่ายยาปฏิชีวนะบ่อยครั้งเป็นเพราะประชาชนคาดหวังว่ามาพบแพทย์แล้วต้องได้ยา แพทย์รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่าง และการคัดภาวะแทรกซ้อนออกที่อาจได้ประโยชน์จากการให้ยาปฏิชีวนะทำได้ยาก[56] ไม่มียาต้านไวรัสใดที่ยืนยันได้ว่ามีประสิทธิภาพแก่โรคหวัด แม้จะมีงานวิจัยขั้นต้นบางชิ้นที่ศึกษาพบว่าอาจมีประโยชน์ก็ตาม[39][57]

การรักษาทางเลือก
แม้จะมีการรักษาทางเลือกหลายอย่างที่ใช้กับโรคหวัด แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนการใช้การรักษาทางเลือกส่วนมากเพียงพอ[39] จนถึงปี 2553 มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะแนะนำให้หรือไม่ให้ใช้น้ำผึ้งหรือการล้างจมูก[58][59] มีการศึกษาเสนอว่า หากให้สังกะสีภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ จะสามารถลดช่วงเวลาและความรุนแรงของโรคหวัดในผู้มีสุขภาพดี[36] อย่างไรก็ดีการศึกษาในเรื่องเดียวกันชิ้นอื่น ๆ ให้ผลที่แตกต่างกันออกไป จึงยังต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่าสังกะสีจะมีประโยชน์อย่างไร และควรให้เมื่อไร[60] ผลกระทบของวิตามินซีต่อโรคหวัดนั้น แม้จะมีการศึกษาวิจัยมานาน แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ จะได้ผลเฉพาะในเพียงบางภาวะเท่านั้น เช่น ในผู้ป่วยไข้หวัดที่ออกกำลังกายให้ชีพจรเข้าเป้าในอากาศเย็น[37][61] หลักฐานเกี่ยวกับประโยชน์ของอิชิเนเซียนั้นขัดกัน[62][63] การเสริมอิชิเนเซียประเภทต่าง ๆ อาจมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน[62] ยังไม่ทราบกันว่ากระเทียมมีประสิทธิภาพหรือไม่[64] การทดสอบวิตามินดีครั้งเดียวยังไม่พบประโยชน์[65]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ
:b32: :b32:



:b32:
โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส
เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส
พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส
วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส
:b32: :b32:



:b32: :b32: :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: :b32: :b32: น่าสงสารๆ
อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: :b32: :b32:

:b8:

หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ
เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม
จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน

เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ
ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ
ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ
ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ
ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ

ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง


:b8:

:b32:
จิตเห็นสีแค่1สี+แสง1ขณะที่มีสีล้วนสีเดียวกระทบตาดำดับในตาดำทันทีแล้วมืด
จิตอีก5ทางคั่นในมืดมิดมีทางหูจมูกลิ้นกายใจเป็นแต่ละ1ขณะในมืดมิดกำลังเกิดสลับกัน
ทางตาดับแล้วมืดมากกว่าสว่าง...ตาบอดหรือคะ...ถึงมองไม่ออกว่าตาเนื้อกิเลสเห็นผิดว่า
สว่างเยอะเดี๋ยวนี้โรควิปลาส3มีอยู่ครบแล้ว...สีดับในลูกตาดำแล้วมืดทันทีแล้วคิดเห็นผิดไงคะ
รู้สึกคิดนึกจำทุกอย่างที่กำลังปรากฏผิดจากคำสอนเข้าใจไหมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะทุกคำใน3ปิฎกคือ
สัจจะตรงทางตรงคำตรงขณะและกำลังมีตรงทุกคำกำลังปรากฏว่ามีแล้วแต่ไม่รู้ว่ามีแล้วถึงไปทำเพิ่มลืมฟัง
:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 24 ม.ค. 2019, 09:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ
:b32: :b32:



:b32:
โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส
เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส
พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส
วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส
:b32: :b32:



:b32: :b32: :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: :b32: :b32: น่าสงสารๆ
อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: :b32: :b32:

:b8:

หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ
เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม
จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน

เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ
ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ
ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ
ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ
ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ

ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง


:b8:

:b32:
จิตเห็นสีแค่1สี+แสง1ขณะที่มีสีล้วนสีเดียวกระทบตาดำดับในตาดำทันทีแล้วมืด
จิตอีก5ทางคั่นในมืดมิดมีทางหูจมูกลิ้นกายใจเป็นแต่ละ1ขณะในมืดมิดกำลังเกิดสลับกัน
ทางตาดับแล้วมืดมากกว่าสว่าง...ตาบอดหรือคะ...ถึงมองไม่ออกว่าตาเนื้อกิเลสเห็นผิดว่า
สว่างเยอะเดี๋ยวนี้โรควิปลาส3มีอยู่ครบแล้ว...สีดับในลูกตาดำแล้วมืดทันทีแล้วคิดเห็นผิดไงคะ
รู้สึกคิดนึกจำทุกอย่างที่กำลังปรากฏผิดจากคำสอนเข้าใจไหมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะทุกคำใน3ปิฎกคือ
สัจจะตรงทางตรงคำตรงขณะและกำลังมีตรงทุกคำกำลังปรากฏว่ามีแล้วแต่ไม่รู้ว่ามีแล้วถึงไปทำเพิ่มลืมฟัง
:b32: :b32: :b32:

:b12:
บอกไม่ฟัง555
การฟังคือทางเกิด
ของสุตมยปัญญาและ
ถ้าไม่เริ่มที่ฟังตามลำดับ
ไม่มีทางให้ปัญญาเกิดเลย
เพราะตามลำดับการเกิดปัญญา
เรียงตามนี้123ไม่ข้ามเพราะต้องล้น
จาก1จึงไป2จึงไป3เหมือนเอาโอ่งรองน้ำ3ชั้น
น้ำล้นจากโอ่งแรกเต็มถึงจะล้นมาโอ่งที่2และ3ตามลำดับไม่ขาดฟัง
คุณไม่สะสมสุตมยปัญญาคือไม่เติมน้ำในโอ่งมัวแต่เก็บของนอกโอ่ง555
เริ่มยกโอ่งมาวางให้ตรงก็อกนิ่งๆก็กายใจที่มีคือภาชนะเอามารองน้ำคือธัมมะจากก็อกเปิดก็อกแล้วเงี่ยหูฟัง
:b12:
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 24 ม.ค. 2019, 09:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
:b12:
โรคที่เป็นกันมานานมากเป็นแสนโกฏิกัปป์กัลป์และเป็นกันหนักมากๆคือโรคไม่รู้ไงคะถึงยังเกิดอยู่ไง...อิอิอิ
:b32: :b32:



:b32:
โรคเห็นผิดคือทิฏฐิวิปลาส
เห็นผิดเลยจำผิดเป็นสัญญาวิปลาส
พอทิฏฐิวิปลาส+สัญญาวิปลาสจึงเท่ากับมีจิตวิปลาส
วิปลาส3อยู่ครบเดี๋ยวนี้มีแล้วแค่กระพริบตายังไม่ทำอะไรก็จิตวิปลาส
:b32: :b32:



:b32: :b32: :b32: ไม่มีคนคุยด้วยเลยมาเรียกร้องความสนใจ :b32: :b32: :b32: น่าสงสารๆ
อันนี้ก็โรคทางใจอีกโรค :b32: :b32: :b32:

:b8:

หยุดด้วยเมตตา จิต ไม่คิดย้ำยี่คนอื่นกันเถอะครับ
เครารพพระธรรม เครารพตน เครารพคนอื่น สังคมย่อม
จะเป็นสุขยิ่งขึ้น หากเอาเมตตา จิต เข้าหากัน

เมตตาท่าน ท่านเมตตาตอบ
ให้เกียรติท่าน ท่านให้เกียรติตอบ
ยิ้มให้ท่าน ท่านยิ้มให้ตอบ
ขำท่าน ท่านก็ย่อมจะขำตอบ
ด่าท่าน ท่านก็ย่อมจะด่าตอบ

ชนะคนขำด้วยการนิ่ง ชนะคนโลเลด้วยความจริง


:b8:

:b32:
จิตเห็นสีแค่1สี+แสง1ขณะที่มีสีล้วนสีเดียวกระทบตาดำดับในตาดำทันทีแล้วมืด
จิตอีก5ทางคั่นในมืดมิดมีทางหูจมูกลิ้นกายใจเป็นแต่ละ1ขณะในมืดมิดกำลังเกิดสลับกัน
ทางตาดับแล้วมืดมากกว่าสว่าง...ตาบอดหรือคะ...ถึงมองไม่ออกว่าตาเนื้อกิเลสเห็นผิดว่า
สว่างเยอะเดี๋ยวนี้โรควิปลาส3มีอยู่ครบแล้ว...สีดับในลูกตาดำแล้วมืดทันทีแล้วคิดเห็นผิดไงคะ
รู้สึกคิดนึกจำทุกอย่างที่กำลังปรากฏผิดจากคำสอนเข้าใจไหมกำลังทำอะไรอยู่ล่ะทุกคำใน3ปิฎกคือ
สัจจะตรงทางตรงคำตรงขณะและกำลังมีตรงทุกคำกำลังปรากฏว่ามีแล้วแต่ไม่รู้ว่ามีแล้วถึงไปทำเพิ่มลืมฟัง
:b32: :b32: :b32:

:b12:
บอกไม่ฟัง555
การฟังคือทางเกิด
ของสุตมยปัญญาและ
ถ้าไม่เริ่มที่ฟังตามลำดับ
ไม่มีทางให้ปัญญาเกิดเลย
เพราะตามลำดับการเกิดปัญญา
เรียงตามนี้123ไม่ข้ามเพราะต้องล้น
จาก1จึงไป2จึงไป3เหมือนเอาโอ่งรองน้ำ3ชั้น
น้ำล้นจากโอ่งแรกเต็มถึงจะล้นมาโอ่งที่2และ3ตามลำดับไม่ขาดฟัง
คุณไม่สะสมสุตมยปัญญาคือไม่เติมน้ำในโอ่งมัวแต่เก็บของนอกโอ่ง555
เริ่มยกโอ่งมาวางให้ตรงก็อกนิ่งๆก็กายใจที่มีคือภาชนะเอามารองน้ำคือธัมมะจากก็อกเปิดก็อกแล้วเงี่ยหูฟัง
:b12:
:b32: :b32:

ฟังบ้างนะ
ตายแล้วเกิด
เร็วแบบกระพริบตา
เข้าร่างใหม่ทันทีแบบเลือกไม่ได้
เพราะธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่มีใครทำธัมมะมีแต่ลืมฟัง
https://youtu.be/J9QWtApcaTk


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ฟังให้เข้าใจไม่มีใครเอากิเลสออกได้
มีแต่เพียรฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้
เข้าใจไหมคะว่ากำลังมีธัมมะเกิดและดับ
ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจตนเองมีแล้วไม่ได้ทำอะไร
เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย
ไม่มีใครเป็นเจ้าของธัมมะเพราะเกิดแล้วดับแล้วมีแต่อุปาทานขันธ์
https://youtu.be/K2yLa7LWl-c
:b16:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 22:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ป้าโรสพูดผิดกระทู้..แล้วคับ...เชิญไปพูดการเห็นสีที่กระทู้ตัวเอง..เถอะครับ..

ให้มันรู้กาล..สถานที่บ้าง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ป้าโรสพูดผิดกระทู้..แล้วคับ...เชิญไปพูดการเห็นสีที่กระทู้ตัวเอง..เถอะครับ..

ให้มันรู้กาล..สถานที่บ้าง..

:b32:
เขียนตรงตามคำสอนเลยนะ...จิตเห็นสี1สีดับในตาดำแล้วมืดแล้ว...ส่วนสุตมยปัญญาเกิดจากฟังในมืดนะ
กบไม่รู้หรือคะว่าตัวเองกำลังคิดเห็นผิดเนี่ยดูสิกบตัวอักษรนะคือสีดำตัดขาวของพื้นหลังอยู่เกิน1สีน๊า
ไม่เชื่อก็คิดตามดูสิ...หลับตาฟังเสียงมีจิตได้ยินเกิดจากหูไม่หนวกได้ยินเสียงในความมืดเข้าใจไหมคะ
ทีนี้ลืมตาดูแล้วคิดตามเสียงคิดนึกตามว่าจิตเห็นเกิดจากลืมตาดูมีสี1สีสะท้อนแสงเข้าตาดำดับมืดทันที
มีตัวอักษรไหมคะมีสีนอกตาไหมเพราะดับคือไม่เหลือคนทั้งตัวแล้วค่ะกบเพราะจิตเกิดดับทีละ1ขณะไม่ซ้ำ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2019, 03:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณป้าโรสไม่รู้หรือคับ..ว่า.ตัวเองกำลังเห็นผิด..ทำผิด

ให้มันรู้บ้างว่า..ตรงไหนคุยเรื่องอะไร..ตรงไหนไม่คุยเรื่องอะไร..รู้กาลเทสะบ้าง...

เป็นคนนะครับ..ไม่ใข่แมว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2019, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คุณป้าโรสไม่รู้หรือคับ..ว่า.ตัวเองกำลังเห็นผิด..ทำผิด

ให้มันรู้บ้างว่า..ตรงไหนคุยเรื่องอะไร..ตรงไหนไม่คุยเรื่องอะไร..รู้กาลเทสะบ้าง...

เป็นคนนะครับ..ไม่ใข่แมว

ประโยชน์ของการฟังคำสัจจะทุกคำคือดับความคิดเห็นผิดๆ
เข้าใจความจริงว่าอะไรถูกอะไรผิดไม่ใช่การไปทำตามๆกัน
รู้จักไหมสุตมยปัญญาคือปัญญาเกิดจากการฟังคำสอนนั้น
เกิดได้ทีละ1ขณะจิตตอนมีจิตได้ยินเสียงดับในปสาทหูนะกบ
ไม่มีเสียงนอกหูจ้ะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกตรงทางตรงขณะ
ถ้ายังมีตัวตนไปทำอย่างอื่นขาดการฟังนั่นแหละไม่มีปัญญา
ถ้าฟังเข้าใจจากการฟังตรงขณะปัญญานั้นก็ดับแล้วไงคะกบ
ปัญญาจากการฟังเกิดแทรกหลังเห็นดับก็กำลังเห็นผิดไงคะกบ
ตัวอักษรน่ะเลยจิตเห็นตรงขณะเป็นจิตคิดนึกปรุงตามตัวอักษร
แต่ตวามจริงตรงขณะกำลังเกิดดับเองตามเหตุปัจจัยไม่ได้ทำค่ะ
ก็อ่านคือหลงเงาตัวจริงธัมมะอยู่ไงคะลืมฟังจึงไม่เกิดปัญญาแท้ๆ
ฟังน่ะต้องจากคนอื่นบอกแล้วคิดตามให้เข้าใจเท่านั้นไม่ได้ทำค่ะ
https://youtu.be/8GfZPz8RFqg
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2019, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คุณป้าโรสไม่รู้หรือคับ..ว่า.ตัวเองกำลังเห็นผิด..ทำผิด

ให้มันรู้บ้างว่า..ตรงไหนคุยเรื่องอะไร..ตรงไหนไม่คุยเรื่องอะไร..รู้กาลเทสะบ้าง...

เป็นคนนะครับ..ไม่ใข่แมว

:b8:

คุณ กบ นึกเรื่องพระ ฉันนะออกไหมครับ
ลองดู ผมว่าน่าจะได้ผล

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2019, 20:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คั่นเวลานิดนึ่ง...กับ...นักวิทยาศาสตร์.

ที่ผมเห็นว่า..เขาเข้าใกล้ความเข้าใจ.ความมีอยู่ของ..ความเป็นจิตเดิมแท้..ที่มีอวิชชาจรมา..แล้วละ.

ทฤษฎีสตริง..บ่อเกิดของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล...

เราเราชาวพุทธ..ที่ท่องจำ..ปฏิจจะ...อวิชชาปัจจยา..สังขารา..อย่าแพ้..นักวิทย์..นะเอ่อ :b12: :b12:



แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร