วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 04:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"เวลาเราโกรธ
เราเคยรู้ใจตัวเองไหม ว่ากำลังโกรธ

เวลาเราเกลียด
เรารู้ทันความเกลียด ในใจเราไหม

เวลาเราเบื่อ เราเศร้า
เราเคยรู้ทันความเบื่อ ความเศร้า
ทั้งๆ ที่มันเกิดขึ้นอยู่กลางใจเรา หรือไม่

รู้ใจอย่างนี้แหล่ะ
สำคัญกว่าการไปกะเกณฑ์ให้
ใครต่อใคร มารู้ใจเรา"

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล





"รัก ก็รักกันเถอะ
แต่อย่าลืม ความไม่แน่นอน"
พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ






"ความรัก...
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนอยู่แล้ว
ทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัว

สำหรับผู้ที่รักอย่างรู้ตัว
ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีความสุข

แต่สำหรับผู้ที่รักอย่างลืมตัว
ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีทุกข์"

ท่าน ว.วชิรเมธี






“พวกแพทย์ พวกหมอ
เขาปรุงยา ปราบโรคทางกาย
จะเรียกว่า สรีระโอสถ ก็ได้
ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น
ใช้ปราบโรคทางใจ เรียกว่า ธรรมโอสถ

ดังนั้น พระพุทธองค์ จึงเป็นแพทย์
ผู้ปราบโรคทางใจที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดในโลก
โรคทางใจ เป็นได้ไว และเป็นได้ทุกคน ไม่เว้นเลย

เมื่อท่านรู้ว่า ท่านเป็นไข้ใจ
จะไม่ใช้ธรรมโอสถรักษาบ้างดอกหรือ”

หลวงปู่ชา สุภทฺโท





“คนที่เจริญสติเป็นแล้ว เห็นความไม่พอใจเกิด
แล้วสามารถระงับ ความไม่พอใจที่เกิดขึ้น
หากมีผู้ใดแสดงออก ทางกาย วาจา ใจ
ให้ความไม่พอใจเกิดขึ้น

เราจะระงับใจว่า เพราะเขาไม่มีสติ
เจริญสติไม่เป็น ไม่สามารถยับยั้งการพูด
การแสดงออก ไม่สามารถดูแล จิตใจตัวเองได้

เราย่อมให้อภัยทาน แก่ผู้ที่ปฏิบัติได้น้อยกว่า
ด้วยความเมตตา ผู้มีสติปัญญามากกว่า
ย่อมหาความสงบสุข ให้แก่ใจด้วยอภัยทาน"

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





"อันความรัก หรือที่รัก
เมื่อผู้ใดมีร้อยหนึ่ง ผู้นั้น ก็มีทุกข์ร้อยหนึ่ง
รักเก้าสิบ แปดสิบ เจ็ดสิบ หกสิบ
ห้าสิบ เป็นต้น จำนวนทุกข์ ก็มีเท่านั้น

ถึงแม้มีรักเพียงอย่างหนึ่ง ก็มีทุกข์อย่างหนึ่ง
ต่อเมื่อไม่มีรัก จึงจะไม่มีทุกข์ ผู้หมดรักหมดทุกข์นั้น
พระพุทธเจ้า ตรัสเรียกว่า เป็นผู้ไม่มีโศก ไม่มีธุลีใจ
ไม่มีคับแค้น"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ





คติธรรม “วันวาเลนไทน์ “

โยม : มาลาไปแต่งงาน

พระอาจารย์ : ก็ดี...ไปแต่งงานก็เป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นความสุขที่มีทุกข์ตามมา เดี๋ยวน้ำตาต้องตกในแน่ๆ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น เป็นความสุขที่ไม่แน่นอน เป็นความสุขที่ผลุบๆโผล่ๆ ๓ วันดี ๔ วันไข้ เพราะคนก็ไม่แน่นอน คนที่ให้ความสุขกับเรา เขาก็ไม่แน่นอน เขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา บางวันอารมณ์ดีก็ดี อารมณ์ไม่ดีก็ไม่ดี ดังนั้นต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ อย่าไปคิดว่าจะหวานไปตลอด จะต้องมีเวลาที่ขมบ้าง ถ้าทำใจได้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องการให้มันหวานไปอย่างเดียว พอไปเจอขมแล้วรับไม่ได้ก็จะลำบาก

อยู่ทางโลกก็ต้องหัดทำใจ อนิจจังไม่มีอะไรแน่นอน ใหม่ๆก็ดี แต่พออยู่ไปๆ พอมันเก่าแล้วก็เกิดความเคยชิน ความตื่นเต้นความรู้สึกว่ามันเป็นของใหม่มันก็หมดไป แล้วก็อาจจะทำให้อยากไปหาของใหม่อย่างอื่นมาแทน ทั้งเขาทั้งเรา เขาด้วยเราด้วย

ก็ต้องพยายามรักษาศีลไว้ ศีล ๕ ศีลข้อกาเม ต้องซื่อสัตย์อย่างน้อยเราก็สบายใจเราซื่อสัตย์ เขาไม่ซื่อสัตย์ ก็ห้ามเขาไม่ได้ เราซื่อสัตย์ใจเราก็จะสงบ ถ้าไม่ซื่อสัตย์ใจเรามันก็จะดิ้นจะหาความสุขนอกบ้าน ดังนั้นเรารักษาใจของเรา ด้วยการรักษาศีลของเราไป ส่วนคนอื่นเขาจะรักษาไม่รักษาเราก็ไปบังคับเขาไม่ได้ เราก็ต้องทำใจ ทำใจว่าเขาอาจจะไม่รักษาศีล เขาอาจจะโกหกเรา เขาอาจจะออกไปหาอะไรข้างนอกบ้าน ก็อย่าไปสนใจ ถ้าอยู่ด้วยความสงสัยความไม่ไว้ใจมันก็จะไม่มีความสุข ก็ต้องปล่อยไป ปล่อยวางเป็นเรื่องของเขา เขาจะซื่อสัตย์ไม่ซื่อสัตย์นี่เราไปห้ามเขาไม่ได้ไปบังคับเขาไม่ได้

เราจะไปเป็นนักสืบคอยติดตามอยู่ ก็เหนื่อยไปเปล่าๆ เราก็อยู่ไป ตอนนี้เราก็ไม่รู้เขาทำอะไรอยู่ใช่ไหม เขาจะอะไรเราก็ห้ามเขาไม่ได้ แต่ถ้าเราไปมีกำหนดขึ้นมาว่า เขาต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ เราก็จะไม่สบายใจ ถ้าเขาไม่อยู่ภายใต้กรอบที่เรากำหนดไว้

ดังนั้นอย่าไปตั้งกรอบในสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะไปควบคุมได้ ต้องปล่อยเขา เหมือนกับตอนนี้ไม่ได้แต่งงานกัน เป็นอย่างไร ตอนแต่งงานแล้วก็เป็นอย่างนั้น อย่าไปถือเขามาครอบครองเป็นของเรา ถ้าไปถือเขาว่าเป็นของเรา แล้วทีนี้มันก็จะหวงนะ จะหวงแล้วก็จะห่วงแล้วจะไม่มีความสุข ตอนนี้เราไม่มีความทุกข์เพราะว่าเราไม่ได้ ไปครอบครองเขา เราไม่ได้ถือว่าเขาเป็นของเรา เขาจะทำอะไรตอนนี้เราก็ไม่เดือดร้อน ดังนั้นเวลาแต่งงานไปแล้ว ก็ต้องคิดว่าเหมือนกับยังไม่ได้แต่ง ยังไม่ได้เป็นของเรา ถ้าไปคิดว่าเป็นของเราแล้วนี้ มันจะยึดติดนะ มันจะหวง แล้วก็จะหวัง หวังให้เขาซื่อสัตย์ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปห้ามเขาได้หรือไม่ ดังนั้นเราต้องทำใจ อย่าไปยึดอย่าไปติด ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันแล้วก็ตาม ก็ให้คิดเสียว่ายังไม่ได้แต่งก็แล้วกัน ถ้าคิดว่าไม่ได้แต่งเวลาเลิกกันก็ง่าย ถ้าคิดว่าแต่งแล้วเวลาเลิกกันมันก็ยาก แต่งก็แต่งไปตามประเพณี แต่งงานธรรมเนียม แต่ใจเราอย่าไปแต่งกับใคร ใจเราก็ต้องเป็นโสดอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวได้ ตอนนี้เราอยู่คนเดียวได้ไม่ใช่หรือ ต่อไปเราก็อาจจะต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีกก็ได้ ถ้าเราคิดล่วงหน้าไว้ก่อนเตรียมตัวไว้ก่อนมันก็ไม่ยาก แต่ถ้าไม่เตรียมตัวเตรียมใจ คิดว่าต่อไปนี้เราจะต้องอยู่สองคนไปตลอด เดี๋ยวเกิดวันดีคืนดีไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนก็จะทุกข์ เราต้องคิดเสมอว่าเราไม่ได้ขาดทุนไม่ได้เสียอะไร ตอนนี้เราก็ไม่ได้อะไร เราก็มีความสุขอยู่ของเราเป็นปกติ ถึงเเม้ว่าเราจะได้แต่งงานแล้ว เราก็อาจจะกลับมาอยู่ตรงจุดนี้อีกก็ได้ ก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ก็เหมือนกับเราไปเที่ยว เที่ยวเสร็จก็กลับมาบ้าน ก็กลับมาจุดเดิมไม่ต้องเสียอกเสียใจอะไร ไปเที่ยวกลับมาเสร็จก็ไม่เสียใจใช่ไหม

ดังนั้นต้องพยายามคิดอย่างนี้ “อย่าไปยึดอย่าไปติดกับใครกับอะไร เพราะไม่มีอะไรแน่นอน” ถ้าไปยึดไปติดแล้ว เกิดมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ มันมีการจากกันนี้ก็จะลำบาก “อนิจจัง” ถ้าไม่อยากจะเจอก็อย่าไปแต่งก็ได้

โยม : สายไปแล้ว

พระอาจารย์ : ยังไม่สาย ยังไม่ได้ไป คนที่เขาเลิกกันก่อนแต่งวันสองวันก็มีเยอะแยะไป เกิดปัญญา พอเกิดปัญญาแล้วก็ถอยดีกว่า กำลังจะไปตกนรก ไม่ได้ไปขึ้นสวรรค์หรอก คนที่มีปัญญาเห็นว่ากำลังจะไปตกนรก แต่คนไม่มีปัญญาก็คิดว่ากำลังจะขึ้นสวรรค์ เอาไม่เชื่อลองดู ดูๆคลิปอันนี้นะเปิดดูทุกวัน
รักอื่นใดเท่ากับรักตนไม่มี คนที่เขามีความรัก เป็นคู่ชีวิต ก็ถือว่าโชคดีไป ถือว่ายังอยู่ในอารมณ์ของความรักอยู่ ยังไม่อยู่ในอารมณ์ของความทุกข์เข้าครอบงำ แต่รักกันได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวต่างคนก็ต่างจากไม่จากเป็นก็จากตาย ไม่คนใดก็คนหนึ่ง หากว่ารักคือความจริง คือความสุขของชีวิตจริง แล้วทำไมเวลาตายไม่ยอมตายพร้อมกันไป เวลาเผาศพทำไมไม่ไห้เขาเผาไปด้วยกันหละ ที่บอกว่ารักกันชั่วนิรันดร์นั้น ไม่มีหรอกในโลก
มีแต่คิดเอาเอง ปรุงแต่งเอาเองไปวันๆเท่านั้นเอง.
...............................
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







"..หลวงพ่อชาไม่ได้สอนอะไร นอกจากเรื่อง..จิต..อย่างเดียว

และเพราะเรื่องจิตอย่างเดียวนี้เอง ที่ทำให้เป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ การฝึกจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ปัจจุบันคนทั่วโลกให้ความสนใจ และเดินทางมาเมืองไทย ดินแดนแห่งการฝึกจิต.."

คนไทยเล่า อยู่ใกล้เกลือ อย่ากินด่าง ?

พระราชสุเมธาจารย์ (หลวงปู่สุเมโธ)





ธรรมะเนื่องในโอกาสวันแห่งความรัก

เรื่อง "คู่บารมี ปุพเพนิวาสชาติปางก่อน"

ไม่มีอะไรจะเจ็บแสบยิ่งกว่าเรื่องของสามีภรรยา ที่มีความรักกันมากที่สุดในโลกนี้ก็คือสามีภรรยา รักสงวนกันมาก จดจ้องกันมาก ระเวียงระวังกันมาก ถ้าต่างคนต่างไม่มีธรรมด้วยแล้ว ก็เหมือนเอาไฟมาเผากันทั้งวันทั้งคืนอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข แม้จะเป็นเศรษฐีก็เป็นเศรษฐีไฟด้วย เผาหัวอกด้วยกันนั้นแหละ ถ้ามีธรรมในใจแล้วอยู่ไหนก็สบาย สามีก็ตายใจ เชื่อตัวเองได้ว่าเรามีภรรยาแล้ว ภรรยาของเราคนนี้เป็นเครื่องวัดชีวิตจิตใจของเราให้เป็นให้ตายไปด้วยกัน ไม่ยินดีกับหญิงอื่นหญิงใดทั้งนั้นแหละ(อัปปิจฉตา) นอกจากภรรยาของเราคนนี้เป็นผู้ฝากเป็นฝากตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ นี้แลเรียกว่าสร้างหอวิมานในครอบครัวของตน

ระหว่างสามีภรรยามีความจงรักภักดีต่อกันอย่างนี้ เรียกว่าสร้างหอวิมานขึ้นมา ความสุขในมนุษย์ก็อยู่ในจุดนี้แล อะไรที่มีมาบ้างได้เสียไปบ้างนั้นเป็นธรรมดาของโลกทั่วๆ ไป แต่ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันระหว่างสามีภรรยานี้ ให้มีความแน่นแฟ้นแก่นแห่งความรักความตายใจซึ่งกันและกันแล้ว นี้คือ "บ่อแห่งความสุข" สมบัติใดๆ สู้ไม่ได้ นี้เป็นสมบัติทิพย์อยู่ภายในจิตใจ เมียก็ตายใจว่าผัวของเรานี้เป็นที่ตายใจได้แล้ว สามีก็ตายใจ ภรรยาก็ตายใจ ต่างคนต่างตายใจ วางใจกันได้ นี้ละบ่อแห่งความสุขอยู่จุดนี้

เราอย่าไปหวังเอาเงินเอาทองมาเป็นเศรษฐี โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญที่อยู่ในคู่ครองทั้งสองนี้ ให้ปฏิบัติต่อกันด้วยดี เราจะมีความสุขความสบาย ตายลงไปแล้วก็มีความปรารถนาอยากจะพบกันในภพชาติต่อไปก็สมหวัง ถ้าทำความชั่วช้าลามก มีขัดมีแย้งกันเรื่องกิเลสกาม ความได้ไม่พอๆ ความโลภไม่พอนี้แล้ว ปรารถนาจะเป็นผัวเป็นเมียกัน ก็เหมือนกับเอาฟืนเอาไฟมาเผากันนั่นแหละ ผู้ดีก็ไปทางดีเสีย เมียเป็นคนดีตายแล้วเมียก็ไปทางดีเสีย ผัวเป็นคนชั่วตายแล้วก็จมไปทางชั่วเสีย ถ้าเมียไม่ดีเมียก็ไปทางชั่ว ผัวไม่ดีผัวก็ไปทางชั่วได้ ใครดีใครก็ไปทางดีด้วยกัน

เมื่อดีทั้งสองแล้ว มีความปรารถนาต่อกัน อยากเป็นสามีภรรยา คู่พึ่งเป็นพึ่งตาย "คู่บารมี" กันในวาระต่อไปก็เป็นได้อย่างสมหวัง เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลกลมกลืนกัน ไม่ปีนเกลียวกัน เมียชั่วผัวดีอย่างนี้ไม่ถูก ผัวก็ดี เมียก็ดี อย่าขัดอย่าแย้ง เวลาจะทำบุญให้ทาน อย่าต่อล้อต่อเถียงกัน ขัดแย้งกัน ผัวอยากให้ เมียไม่อยากให้ ก็ทะเลาะกันเสีย บุญกุศลควรที่จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ขาดบาทขาดตาเต็งลงไป ยิ่งไม่ให้เสียก็เลยไม่ได้ให้จริงๆ ขาดไปหมดด้วย นี่ขาดทุนสูญดอก อย่าขัดอย่าแย้งกัน การทำบุญให้ทานนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่งแล้ว เรามีสมบัติมาพอได้ทำบุญให้ทาน ก็เป็นบุญของเรา อย่าขัดอย่าแย้งกัน ให้ได้บุญด้วยกัน ผัวทำก็ได้บุญทั้งผัวทั้งเมีย เมียทำก็ได้ถึงกัน เพราะใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความยินดีด้วยกัน ปรารถนาจะเป็นคู่ครองกันในกาลต่อไปก็เป็นได้อย่างสมมักสมหมาย เพราะความดีเสมอกัน
ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าผัวเป็นยักษ์ เมียเป็นผี ก็ไปเป็นคู่บารมีกันในแดนนรกไม่เคยมี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนไว้ ต้องเป็นคนดี เห็นกันแล้วหากเป็นไปเอง ถ้าต่างคนต่างเป็นคนดี ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า ปุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยได้สร้างสมอบรมอะไรต่อกันไว้ ในเวลาที่เป็นผัวเป็นเมียกัน ในภพชาติต่อไปบุญบารมีอันนี้ก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อพบกันเจอกันแล้วไม่ต้องบอก มันก็รู้กันเองภายในจิตใจที่เคยกันอยู่แล้ว มันหากเป็นผัวเป็นเมีย เป็นคู่บารมีและสร้างคุณงามความดีไปด้วยกัน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่างคนก็ต่างถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้นั่นแหละ


(คติธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)





บุญ..เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ และเกิดความสุข
บุญย่อมเกิดขึ้นจากการกระทำหรือถ้อยคำที่พูดที่คิดเป็นสุจริตนั้น ๆ..

โอวาทธรรม

หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร
วัดป่าสุนทราราม อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร