วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 15:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"เด็กที่ยังไม่รู้ว่าไฟร้อน
ถ้าเชื่อคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ไว้ก่อน
จะไม่เป็นการเชื่ออย่างงมงาย
แต่จะเป็นการเชื่อ ที่ช่วยคุ้มครองรักษา
เด็กเองมิให้ถูกไฟลวก ไฟไหม้พอง ฉันใด

ผู้ที่ยังไม่เห็นถนัดชัดแจ้งด้วยตนเอง
ในเรื่องกรรม และผลของกรรม
ถ้าเชื่อที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ก่อน
ก็จะไม่เป็นการเชื่ออย่างงมงาย

แต่จะเป็นการเชื่อ ที่ช่วยคุ้มครองรักษาผู้เชื่อเอง
มิให้ได้รับผลร้ายจากการกระทำที่ไม่ดี
แต่ให้ได้รับผลดี จากการทำดี ฉันนั้น”

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ







"สิ่งที่มันเป็นอดีต ก็ผ่านไปแล้ว
ก็แก้ไขอะไรไม่ได้

สิ่งที่เป็นอนาคต ก็ยังไม่มาถึง
เราก็อย่าได้ไปวิตกกังวล

เราปฏิบัติหน้าที่ของเรา
ในปัจจุบัน ให้ดีที่สุด"

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม







การยึดติดในพระไตรปิฎก
หลงติดในครูบาอาจารย์
ก็เป็นเครื่องกั้นขวางพระนิพพานได้เหมือนกัน
หลง มันก็คือหลง.

หลวงปู่หา สุภโร
วัดสักกวัน (ภูกุ้มข้าว) จ.กาฬสินธ์




เรื่อง "มังสวิรัติ และการกินเจ"
อุบาสิกาคนหนึ่งมีวัยประมาณ ๖๐ กว่าปีแล้ว แกไปปฏิบัติอยู่วัดหินหมากเป้งเสมอๆ อยู่มาแกสมาทานมังสวิรัต แล้วชักชวนผู้เขียน (หลวงปู่เทสก์) ทำอย่างแกบ้าง ผู้เขียนบอกว่า เมื่อผู้เขียนทำอย่างนั้นแล้วเขาต้องตามปฏิบัติผู้เขียนนะ เพราะผู้เขียนหากินเองอย่างเขาไม่ได้ เขาได้ถามปัญหาว่า

ถาม : รับประทานมังสวิรัติ ผิดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือ ?

ตอบ : ปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตก จะต้องอธิบายกันมากจึงจะเข้าใจ คนเกิดมาในโลกนี้ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่กินเลือดเนื้อของผู้อื่นทั้งสิ้น เดิมแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาก็กินอาหารของมารดา ที่ซึมซาบเข้าไป หล่อเลี้ยงร่างกายจึงเติบโตขึ้นมาได้ คลอดออกมาแล้วจนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เช่นนั้นเหมือนกัน พึ่งมาปฏิวัติรับประทานมังสวิรัตเมื่อโตขึ้นมานี่เอง เรื่องนี้จึงเป็นความฝ่าฝืนความรู้สึกของคนส่วนมาก

เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าของเรายังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระเทวทัตก็เคยเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาให้พระพุทธองค์
ได้ทรงอนุมัติแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ไม่ทรงอนุญาต จึงได้ประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า พระสงฆ์องค์ใดเห็นดีกับเราก็ไปกับเราภิกษุที่บวชใหม่ยังไม่รู้ธรรมวินัยจึงได้ติดตามพระเทวทัตไป นั่นก็โลกแตกครั้งหนึ่งล่ะ ผลที่สุดพระเทวทัตถึงแก่มรณภาพไป

พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเห็นความอาฆาตของพระเทวทัตซึ่งมีต่อพระพุทธเจ้า จึงกลับเข้ามาหาพระพุทธเจ้าอีก ฉะนั้นพระภิกษุสงฆ์และพุทธบริษัททั้งหลาย จึงไม่ควรยกเอาคำนี้ขึ้นมากล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า มันจะเป็นเหตุให้สงฆ์แตกแยกกัน ส่วนฆราวาสนั้นก็ปล่อยเขาตามเรื่อง ถ้าหากรับประทานมังสวิรัตเฉพาะตน เพื่อทรมานตน เพราะจิตใจของตน มันชอบการทรมานอย่างนั้นก็สมควรอยู่

ถ้าอ้างว่ามังสวิรัตเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้เขียนก็ขอร้องเถิด มันจะกลายเป็นวังคศาสนาไป มิใช่สัตถุศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้จริงมังสวิรัตนี้ พระพุทธเจ้าของเราท่านก็รู้ดีเหมือนกันว่าคนในสมัยนั้นเขานิยมกันขนาดไหน และเขาปฏิบัติกันได้มากน้อยเพียงใด พระองค์จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุฉันเนื้อได้ โดยปราศจากโทษ ๓ ประการ

๑. โดยไม่ได้ใช้ให้เขาฆ่ามาเพื่อตน
๒. โดยไม่ได้เห็นได้ยินเขาฆ่าเพื่อตน
๓. โดยไม่สงสัยเขาจะฆ่าเพื่อให้ตน
เมื่อพ้นจากโทษ ๓ ประการนี้แล้วฉันได้

ถึงเราจะกินและไม่กิน ทั้งโลกนี้โดยส่วนมากเขาก็ฆ่ากันอยู่อย่างนั้น พระยังชีพเนื่องด้วยคนอื่น ถ้าไปในถิ่นที่เขารับประทานเนื้อ พระที่ฉันมังสวิรัตก็จะอยู่ด้วยกับเขามิได้ และคนที่จะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า มิใช่มีแต่พวกมังสวิรัต มีทั้งมังสวิรัตและรับประทานเนื้อด้วย คนเหล่านั้นถ้าหากฟังคำสอน ของพระพุทธเจ้าเข้าใจดี แล้วก็จะไม่เป็นอุปสรรคแก่กันและกัน

สำหรับพระภิกษุพระวินัยสิกขาบทของพระยังมีมากที่ยังปฏิบัติไม่ครบถ้วน ไม่ควรเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆยกโทษซึ่งกันและกัน ผู้เขียนจะยกเรื่องพระคณาจารย์ฉันมังสวิรัตองค์หนึ่งมาเล่าสู่ให้ฟัง เมื่อราว ๔๐ กว่าปีมานี้เอง ทีแรกท่านก็ฉันตามธรรมดาๆ อย่างเราท่านทั้งหลายฉันกันอยู่อย่างนี้แหละ เมื่อพระโลกนารถเข้ามาเมืองไทยมีคุณนายคนหนึ่งไปเรียนกินเจกับพระโลกนารถแล้วทำถวายท่าน ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากหลาย ลูกศิษย์เหล่านั้นก็เลยทำตามพระองค์นั้น

ต่อมาท่านชักชวนหมู่เพื่อนให้ทำตาม เมื่อหมู่เพื่อนไม่ทำตามก็หาว่าย่อหย่อนต่อการปฏิบัติ ท่านก็เลยดีคนเดียว หมู่เพื่อนคบค้าสมาคมไม่ได้ ลูกศิษย์ลูกหาค่อยๆ หายไปๆ จะไปรุกขมูลทางไหนต้องให้พระล่วงหน้าไปก่อน บอกชาวบ้านว่าท่านอาจารย์ท่านฉันเจ ต้องจัดหาอาหารอย่างนั้นๆ เว้นอย่างนั้นๆ ท่านถึงจะฉันได้
เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านที่เขาไม่รู้ เขาเอาห่อเนื้อมาใส่บาตรให้ ท่านก็จับเอาของเขาปาทิ้งเสีย ทีหลังเขาเลยพากันไม่ใส่บาตร เห็นท่านเดินมาเขาพากันมองหน้าท่านเป็นแถวเลย อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำเกินควร ไม่สมแก่สมณะสารูปผู้สำรวมเลย เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ก็ไม่มีใครปฏิบัติต่อ

(วิสัชนาธรรมโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

คัดมาบางส่วนจากหนังสือ “ปุจฉาวิสัชนาในประเทศ”
โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)







"10 คำสอนของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม"

1. ความดีเป็นศัตรูของชีวิต ความดีต้องมีอุปสรรค เขามาร้าย อย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมา จงใช้ความดีเข้าไปแก้ไข คนตระหนี่ ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจ ไปสนทนา
2. จงอย่าหวั่นไหว จงทำใจให้ได้เมื่อมีทุกข์ คนที่ทำใจได้เพราะมีสติควบคุมใจได้ ถ้าผู้ใดเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน จิตมั่นคง ต้องช่วยตัวเองได้ ทำใจได้ จะไม่เสียใจ ไม่น้อยใจต่อบุคคลใด คนทำใจได้นั่นแหละ จะได้รับผลดี มีสติเป็นอาวุธของตนตลอดไป
3. คนโบราณท่านมีคติดี เวลาไปไหนมาไหนต้อง 1.นิ่งได้ 2.ทนได้ 3.รอได้ 4.ช้าได้ 5.ดีได้ คนสมัยนี้นิ่งไม่ได้ ปากไม่ดี ทนไม่ได้ อยู่ไม่ได้อีก รอก็ไม่ได้ ช้าก็ไม่ได้ จึงเอาดีกันไม่ค่อยจะได้ ในยุคสมัยใหม่ปัจจุบันนี้ สิ่งเหล่านี้มีความหมายมาก แต่ทุกคนไม่เคยคิด
4. ใครตั้งใจ “ทำดี” อย่าไปกังวลเรื่อง “ปากคน” เพราะต่อให้เรา “ดี” ขนาดไหน หากไม่ถูก “กิเลส” เขา เขาก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ เขาก็ตำหนิ ดังนั้น ดี-ชั่ว ไม่ได้อยู่ที่เขาว่าเรา แต่อยู่ที่เราเองทั้งหมด เรารู้เราเองก็เพียงพอแล้ว
5. ชาวพุทธแท้ๆ ควรจะได้ดีมีสุขจากการนับถือศาสนาพุทธ โดยแก้ปัญหาที่เกิดด้วยอริยสัจ 4 ทุกข์เกิดแล้วหาสาเหตุของทุกข์ด้วยการกำหนดทุกข์หนอ มันทุกข์ตรงไหนหนอ บำเพ็ญจิตภาวนา สมาธิ ปัญญาจะบอกทุกข์เกิดขึ้นตรงนั้น ต้องแก้ตรงนั้น อย่าไปแก้ผิดจุด อย่าไปให้ผีให้เจ้ามาแก้ หรือเอาหมอดูมาแก้ มันไม่ถูกเรื่อง
6. ความอดทนเป็นสมบัติของนักต่อสู้ ความรู้เป็นสมบัติของนักปราชญ์ ความสามารถเป็นของนักประกอบกิจ ความสามารถทุกชนิดเป็นสมบัติของผู้ดี
7. วันไหนโยมถูกด่ามากวันนั้นเป็นมงคล วันไหนโดยถูกป้อยอเขาจะล้วงไส้เราโดยไม่รู้ตัว หลงเชื่อเราจะประมาท จะเสียท่าเสียทีต่อมารร้าย และที่เขามาป้อยอกับเรา ระวังให้ดี เขาไม่ได้รักเราจริง
8. สร้างบุญใช้สติ ไม่ต้องใช้สตางค์ พวกเราหาแต่สตางค์ ไม่หาสติกันเลย
9. คนเราจะทำอะไรได้ก็ช่วงมีชีวิตอยู่เท่านั้นเมื่อตายแล้วไม่สามารถจะทำความดีหรือความชั่วได้เลยฉะนั้นในช่วงที่มีชีวิตอยู่ควรที่จะทำความดีใช้ชีวิตให้เป็นสาระ จะต้องต่อสู้กับความไม่ดีงามทั้งหลายที่มีอยู่รอบตัวเรา
10. จงพอใจในชีวิตของตัวเอง โดยมิต้องไปเปรียบเทียบชีวิตของผู้อื่น (ข้อความสุดท้ายใน ส.ค.ส.2559 ที่หลวงพ่อจรัญ เขียนไว้ก่อนละสังขาร)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร