วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2019, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ขึ้นต้นให้ดีๆ หลับตา นั่งตัวตรงๆหลังตรงๆให้มีสติอยู่กีบตัว ดูลมหายใจเข้า-ออก
ดูเฉยๆไม่ต้องคิดอะไรเหมือนกับดูรถวิ่งตามถนน ดูไป เห็นไป รู้ไป ว่าลมหายใจเดินไปทางไหนก็เห็นรู้ๆไม่ต้องไปคิด
ดูลมเห็นลม เห็นก็ไว ได้ยินก็ไว เกิดเดี๋ยวนั้น รู้เดี๋ยวนั้น นั่นเรียกว่าวิญญาณ คือธรรมชาติรู้

เห็นธรรมดา ได้ยินธรรมดา รู้ธรรมดา เห็นธรรม รู้ธรรม มันก็หายโง่ซิ
พระเวลาสวดงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆก็ธรรมดา
ก็เหมือนฝ่ายวัตถุมีไฟฟ้าบวกไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆทั่วจักรวาลก็เท่านั้นเอง ร่างกาย วัตถุ คิด นึกรู้
มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที เรียกว่าขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตรธรรม เห็นก็สักแต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึดจึงจะไปรอด ด้วยสติ
ตัวสติแท้ๆเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบ แปล็บเดียวมันก็เห็นหมด
แลบหนเดียวไม่แลบมาก เจริญสติ หนทางเดียวไปรอด เห็นได้ยิน ก็สักแต่รู้ ไม่ไปถามไปตอบอะไร
ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา พระเจ้าไม่มีเป็นfactไม่ใช่fiction เสียงถูกหูได้ยินปั๊บนี่เป็น fact
มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆแต่ก็เป็นfact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรใดาไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน
ไม่ต้องไปหยุดวิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากนะซิ ไม่มีเรื่องมันก็สบาย จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว
เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้วจะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยัง กินหรือเปล่า กินกับอะไร ไม่ต้องไปคิดแล้ว
สำเร็จแล้วนี่จะไปสงสัยอะไร ถ้ายังสงสัยอยู่มันจะพ้นได้อย่างไร

จุดหมายปลายทางคือทำความโง่(อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว
การภาวนาเป็นกุศลสูงสุดเป็นกุศลชั้นเยี่ยม ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิ เป็นบุญชั้นเยี่ยมยิ่งกว่าทานและยิ่งกว่าศีล
พระพุทธเจ้าทรงเรียกอริยทรัพย์ แจกเท่าไหร่ไม่หมด นึกแผ่ไป send good will to all
ตั้งแต่ยอดพรหมโลก กว้างขวางแค่ไหนไปจนถึงก้นนรก

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต




อดีตชาติ & บุพกรรม

...พระอาจารย์เปลี่ยนได้ธุดงธ์ไป อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน บนเขาลูกหนึ่ง มีนางฟ้า มาหาพระอาจารย์เปลี่ยนในนิมิต ขอร้องให้พระอาจารย์เปลี่ยนไปตักเตือน เพื่อนหญิงของเธอชื่อ บังอร ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ เปิดร้านเสริมสวยอยู่ตัวเมือง จ.พระนครศรีอยุธยา ให้บังอร ทำความดี จะได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกันอีก

...ภายหลังพระอาจารย์เปลี่ยนได้เดินทางไปอยุธยา และ ได้พบกับบุคคลดังกล่าวจริง ท่านจึง ตักเตือนเขาให้ทำแต่ความดี ตามที่นางฟ้าบอกในนิมิต

...พระอาจารย์เปลี่ยนได้ตรวจดูความเกี่ยวข้อง กับนางฟ้า และเพื่อนที่ชื่อ บังอร ได้ความว่า พระอาจารย์เปลี่ยนเคยเกิดบริเวณวัดอรุณราชวราราม ธนบุรี แลพไปบวชที่อยุธยา นางฟ้าและเพื่อนของเธอ มาถวายอาหารท่านเป็นประจำ

...ในชาติปัจจุบัน เมื่อบังอร ลงมาเกิด ที่อยุธยา แล้ว นางฟ้าจึงได้ขอพระอาจารย์เปลี่ยนให้ไปดูเพื่อนของเธอ

...วันหนึ่ง พระอาจารย์เปลี่ยน ได้นิมิต เห็นสถานที่แห่งหนึางมีก้อนหินใหญ่ และวัดที่ อ.ดอยสะเก็ดวัดหนึ่ง ท่านเห็นพญานาคมาสลัดเกล็ดหล่นไว้ที่ต่างๆ เห็นศาลา บันไดขึ้นศาลา และได้เห็นตัวท่านเองบวชเป็นพระ ยืนอยู่ที่นั่น ท่านบวชเมื่ออายุ 54 ปี บวชได้ 6 พรรษา ก็มรณภาพ อยู่ที่นั่นเอง
...กลับจากอีสานแล้ว ท่านได้เดินทางไป อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ตามนิมิต ที่ได้เห็น เมื่อไปถึงแล้วก็ได้เห็นสิ่งต่างๆตามนิมิต ทุกประการ มีก้อนหินขนาดใหญ่ ก้อนหนึ่ง ซึ่งในอดีตชาติ ท่านได้มาปฏิบัติธรรม บริเวณ หินก้อนนั้น
...ต่อจากนั้นท่านได้เดินทางไปวัดหนองบัว ขณะเข้าไปในวัด พบสุนัข 5 ตัว วิ่งเข้ามาหา พร้อมทั้งเลียแข้งเลียขา แสดงความสนิทสนม ผิดกับสุนัขอื่นๆ ที่จะต้องเห่าก่อนเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เมื่อท่านจะกลับขึ้นรถ สุนัข ทั้ง 5 ตัวพยายามจะขึ้นรถ ตามกลับมาด้วย ภายหลังท่านได้ตรวจดูบุพกรรมของ สุนัขทั้ง 5 ตัว ก็ทราบว่า ในอดีตชาติ เมื่อครั้งที่ ท่านบวชเป็นพระ สุนัข ทั้ง 5 เป็นลูกศิษย์วัด และขโมย ของวัดกิน เมื่อตายไปได้ใช้กรรมในนรก ลังจาดนั้นจึงมาเกิดเป็นสุนัข เพื่อใช้เศษกรรม
...ในหมู่บ้านที่ อ.ดอยสะเก็ด ท่านได้พบ หญิงผู้หนึ่ง ต้อนรับท่านด้วยความสนิทสนม หญิงผู้นี้เคยเป็นพี่สาวท่านในอดีตชาติ และได้อยู่บ้านพี่ชายในอดีตชาติ แต่ได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว ท่านได้พบลูกของท่านกลับมาเกิดแล้ว แต่ไม่พบผู้เคย เป็นภรรยาท่าน ก่อนที่จะบวชในอดีตชาติ

...........
หนังสือ ประวัติ การธุดงค์ การจำพรรษา พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





:- วัดอยู่ที่ไหน -:-

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ หรือ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร กับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้พบสนทนาธรรมกันที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ

หลวงปู่ก็ถามในหลวงของเราว่า ดูก่อนมหาบพิตร มาวัดบ่อยไหม?

ในหลวงก็ตอบว่า ไม่ใคร่บ่อยนักเนื่องจากมีราชการงานมาก

หลวงปู่ : ถ้ามหาบพิตรมาวัด มาที่วัดไหนล่ะ

ในหลวง : ส่วนใหญ่กระผมมาที่ วัดบวรนิเวศวิหารนี้ มานมัสการสมเด็จพระญาณสังวรฯ ซึ่งเคยเป็นพระพี่เลี้ยงตอนบวช

หลวงปู่ : มหาบพิตร ตรงไหนล่ะวัด นั้นก็เรียกว่า กุฏิ นั้นก็เรียกว่า ศาลา นั้นก็เรียกว่า โบสถ์ เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้มารวมกันเข้าก็สมมติเรียกกันว่า วัด เพราะฉะนั้น ตัวตนของวัดจริงๆ นั้น ไม่มีดอก ที่โบราณเขาเรียกกันว่าที่รวมเหล่านี้เป็นวัด นั้นก็เพื่อ ให้มาวัดที่ดวงใจของเรานี้ว่า ขณะนี้ดวงใจของเรานี้อยู่ห่างไกลจากกิเลส ห่างไกลจากความทุกข์มากน้อยขนาดไหนแล้ว โดยให้เราวัดอยู่เสมอๆ นั้นแหละ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า มาถูกวัดในความหมายที่แท้จริง

ในหลวง : ถ้าเช่นนั้น ขณะที่กระผมอยู่บนรถ กระผมก็ไปวัดได้ใช่ไหมครับ

หลวงปู่ : ถูกแล้วมหาบพิตร อยู่ที่ไหนๆ ก็ไปวัดได้ ถ้าได้หันมาพิจารณาดูที่ดวงใจของเราว่า ใจของเราขณะนี้ห่างจากกิเลส ห่างจากความทุกข์ มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นแล...ฯลฯ

โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร





“ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญ
ทั้งทางโลก และทางธรรม
ขอใ้ห้ทุกคน ทำปีใหม่นี้ดีด้วยการ
ฝึกกายเราดี วาจาเราดี ใจเราดี”

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





"ยิ่งเอามันยิ่งอด
ยิ่งสละให้หมด มันยิ่งได้
กูขอให้ลูกหลานโชคดีปีใหม่"
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร