วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวข้อใหญ่ "ทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตยืนยาวและมีความสุข"

ต่อจาก

viewtopic.php?f=1&t=56993&start=30

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้เขียนใคร่ขอนำเรื่องการฝึกสมาธิจิต เพื่อเพิ่มสมรรถภาพในการทำงาน ๔ เรื่อง มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ คือ

เรื่องแรก เป็นเรื่องของมนุษย์อวกาศที่จะถูกส่งโคจรไปในอวกาศนอกโลกนานเป็นเดือนๆ เขาจะอยู่ในยานอวกาศเล็กนิดเดียว ผู้เขียนจะไม่พูดถึงว่าเขาจะกิน จะนอน จะถ่ายของเสียในตัวเขาได้อย่างไร

มนุษย์เหล่านี้ จะต้องได้รับการทดสอบทางกายและทางจิตหลายประการก่อนที่จะถูกส่งขึ้นไปในอวกาศ แน่นอนเขาจะต้องมีร่างกายแข็งแรงดีเลิศ จะต้องรู้วิธีออกกำลังกายแบบ ”อยู่กับที่” (Isometric หรือ Static exercise) และเขาจะต้องได้รับความรู้อื่นๆ โดยร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อกลับลงมายังพื้นโลก

ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาแน่นอนคงตายอยู่ในยานอวกาศเสียนานแล้ว

รัสเซียเป็นประเทศแรกที่ประยุกต์การฝึกสมาธิจิตไปพร้อมกับการฝึกกายให้แก่มนุษย์อวกาศทุกคน ฉะนั้น รัสเซียจึงนำหน้าสหรัฐอเมริกาในเรื่องนี้อยู่ระยะหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๒ เป็นการฝึกฝนนักกีฬาเพื่อแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในประเทศเยอรมันนี และเชื่อว่าอีกหลายประเทศในโลก นอกจากจะซักซ้อมกำลังกายเพื่อความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆเพื่อกีฬาประเภทนั้นๆแล้ว
บัดนี้ เขาได้ประยุกต์วิชาสมาธิจิตให้แก่นักกีฬาอีกด้วย ในการฝึกฝนทางด้านกายนั้น ในที่สุดก็ถึงจุดสุดยอดเดียวกัน
เขาจึงหันมาสนใจฝึกฝนทางจิตเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เข้าไปช่วยกายอีกแรงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนเหลือเกินที่นักกีฬาผู้ใดที่มีพลังจิตสูงจะเกิดพลังเสริมหรือพลังสะสม (Reserve Power) อย่างมหาศาล ที่จะไปช่วยพลังกายให้เอาชนะคู่ต่อสู้ที่ฝึกแต่กายอย่างเดียวเท่านั้นอย่างแน่นอนจริงหรือไม่ ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๓ วันหนึ่ง มีเพื่อนสนิทเสมือนญาติของผู้เขียน เรารู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย เขาเป็นพ่อค้าเจ้าสำราญ เล่าให้ผู้เขียนได้รู้อย่างประหลาดใจ และตื่นเต้น พร้อมทั้งขอความเห็นและข้อแนะนำว่า ครั้งหนึ่งในการประชุมสำคัญระหว่างชาติที่เกี่ยวกับการค้า ระหว่างประเทศ เขาได้มีโอกาสรู้จักกับผู้แทนของประเทศที่เข้าร่วมประชุมคนหนึ่ง และต่อมาได้พบกันบ่อยๆ ทั้งในและนอกการประชุม
ผู้แทนประเทศดังกล่าวนี้เอ็นดูรักใคร่เพื่อนผู้เขียนมาก
เพื่อนผู้เขียนเล่าว่า ผู้แทนของประเทศดังกล่าวนี้ จะใช้เวลาพักเที่ยงก่อนอาหาร นั่งสมาธิเป็นประจำ


หลังจากออกจากสมาธิแล้ว เขาก็จะบอกเล่าคาดการณ์ให้เพื่อนผู้เขียนฟังเป็นข้อๆว่า ผู้แทนประเทศใดจะออกความคิดเห็นไปในแนวทางใด ฝ่ายเราจะตอบได้อย่างไร ฯลฯ
พอเปิดประชุมต่อภาคบ่าย เพื่อนผู้เขียนเล่าว่าที่ผู้แทนประเทศนั้น คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนนั้นถูกต้องอย่างไม่น่าเชื่อ และทำดังนี้มิใช่ครั้งเดียวด้วย
ผู้เขียนได้อธิบายให้ฟังเท่าที่ผู้เขียนพอจะรู้
ตั้งแต่นั้นมา เพื่อนผู้นี้ ซึ่งแต่เดิมมา ไม่เคยสนใจเรื่องของตนเอง ไม่ว่าเรื่องของกาย หรือจิต ไม่เคยสนใจพุทธศาสนา ก็หันกลับมาสนใจ เขาเห็นแจ้งด้วยตัวของเขาเอง เรียกว่าบุญเขาถึงแล้ว อย่างนี้ ท่านผู้อ่านคิดดูให้ดี ประโยชน์นี้ นอกจากได้กับตัวของเขาเองแล้ว ในขณะที่เขาเป็นผู้แทนประเทศไทย และต่อมาได้รับเลือกให้เป็นประธานในที่ประชุม

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนใคร่ขอให้ข้อสังเกตไว้ว่า การที่เขาผู้นั้นสามารถคาดการณ์ต่างๆเหมือนเข้าไปนั่งในใจของผู้แทนประเทศนั้นประเทศนี้ได้นั้น มิใช่เพียงนั่งหลับตาแล้วทราบหรือรู้แจ้งก็หาใช่เช่นนั้นไม่

แต่เขาผู้นั้นยังจะต้องมีความรอบรู้ในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดีด้วย เขาจะต้องศึกษาติดตามตลอด จนคิดหาเหตุผลแนวทางการประชุมหรือแนวตอบโต้อยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ต้องให้ความสนใจเรื่องนั้นๆ อย่างจริงจังเป็นเป็นเบื้องต้นเสียก่อน ซึ่งกว่าจะถึงขั้นนั้นก็ต้องมีประสบการณ์ประกอบอีกด้วยตามสมควร

ครั้นได้มีโอกาสใช้หลักสมาธิเข้าประกอบ ก็ยิ่งจะช่วยให้จิตได้สงบนิ่งยิ่งขึ้น อันเปรียบเสมือนน้ำใสและนิ่งย่อมเห็นขี้ผง และตะกอนที่ก้นถ้วยชัดเจนดี ฉันใด การคาดการณ์ในแนวความคิดหรือแนวที่จะต้องโต้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้แทนคนนั้นก็ ฉันนั้น คือเขาสามารถมองทะลุเห็นช่องทางได้ดีกว่าปกตินั้นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ได้มีรายการโทรทัศน์ของสถานี CBS ในสหรัฐอเมริกาในรายการ "CBS 60 Minutes" รายการนี้ มีประชาชนสนใจมาก

ในวันนั้น ได้มีการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์เชื้อชาติยิวคนหนึ่ง ที่เคยวิจัยค้นคว้าอยู่ในประเทศรัสเซีย และได้หนีออกมาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เล่าให้ฟังถึงการศึกษาค้นคว้าทางวิชาที่โลกตะวันตก เรียกว่าวิชา Parapsychology (อภิจิตวิทยา) ศึกษาวิชาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกวิชาเหล่านี้ว่า "เดรฉานวิชา" ซึ่งได้แก่วิชา หูทิพย์ ตาทิพย์ ล่องหนหายตัว ฯลฯ เขาวิจัยค้นคว้าและฝึกจิตนักวิทยาศาสตร์ของเขาเพื่อใช้วิชาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการสืบราชการลับสุดยอด

ผู้เขียนเชื่อว่าขณะนี้อภิมหาอำนาจทุกประเทศกำลังขะมักเขม้นศึกษาเรื่องเหล่านี้อาไว้เพื่อประหัตประหารกัน เพื่อครองความเป็นใหญ่ในพื้นพิภพ
ในประเทศอเมริกาเองมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งมีหลักสูตรสอนถึงขั้นปริญญาเอก และเชื่อว่าบางประเทศศึกษากันอย่างลับๆ และขะมักเขม้น
ผู้เขียนยกตัวอย่างเรื่องนี้เพื่อให้เห็นว่า จิตนั้นสามารถฝึกได้ แม้แต่เรื่องเหล่านี้ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดปัญญาเลย และไม่สามารถจะนำไปใช้ในการประกอบสัมมาชีพหรือเพื่อเป็นทางนำไปสู่ความสุขหรือความสงบแม้แต่น้อยก็จริง แต่ก็สามารถทำได้ ซ้ำร้ายยังมีผู้สนใจศึกษาเพื่อนำเอาไปใช้ทำลายล้างกันเสียอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้ง ๔ เรื่องนี้ พอจะให้ท่านเชื่อในเรื่องความสำคัญของจิตแล้วหรือยัง? จริงอยู่ปัจจุบันนี้ วิชาวิทยาศาสตร์ยังไม่มีเครื่องมือวัดพลังดังกล่าวนี้ได้
โลกตะวันตกกำลังให้ความสนใจเรื่องของจิตมากขึ้นทุกที นับว่าเป็นโชคดีของชาวไทยเรา หรือประชาชาติทางซีกโลกตะวันออกที่นับถือพุทธศาสนา อันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ล่วงรู้ถึงวิชชาอันเร้นลับและลึกซึ้งนี้มาเป็นเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี มาแล้ว พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงได้เปรียบ เพราะมีพื้นฐานอยู่แล้ว ถ้าจะทำความเข้าใจในด้านนี้ให้ลึกซึ้งจริงๆ

แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ส่วนใหญ่มักจะมองผ่านความสำคัญทางด้านนี้ไปเสีย จะเปรียบก็เหมือน "ใกล้เกลือกินด่าง" ก็เห็นจะไม่ผิดนัก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2019, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างไรก็ดีวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พิสูจน์เรื่องของการวัดคลื่นสมองในจิตของผู้ฝึกสมาธิเป็นนิจสิน กับ คลื่นสมองในบุคคลที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ โดยการถ่ายรูปคลื่นสมอง (Electroencephalogram) พบว่า ภาพถ่ายคลื่นสมอง ๒ ภาพ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า คลื่นสมองของผู้มีสมาธิดี แสดงความเป็นระเบียบราบเรียบประสานงานกันอย่างดีทั้งสมองซึกซ้าย และสมองซีกขวา ผิดกับคลื่นสมองของมนุษย์ธรรมดาปกติ


ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์นี้ แสดงถึงความพร้อมของสมองของผู้ฝึกสมาธิจะคิดตัดสินใจอะไรก็ล้วนแต่เป็นไปอย่างชนิดที่กลั่นกรองได้ละเอียดถี่ถ้วนกว่าสมองของบุคคลที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ และความคิดนี้ในทางธรรมที่เรียกว่า "เกิดธาตุรู้" คือ รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิดขึ้นในจิตของตน ทำให้สามารถเลือกทิศทางที่ถูกต้องได้

นอกจากนั้น แม้จะมีปัญหาต่างๆประดังกันเข้ามาอย่างไรก็ตาม ความสับสน ความเมื่อยล้าหรืออ่อนเปลี้ยของสมอง ก็ย่อมมาช้ากว่าเป็นธรรมดาอีกด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉะนั้น ท่านที่เป็นนักบริหาร นักการเมือง นักการทหาร และยิ่งหากท่านเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือผู้ว่า ฯ การงานที่สำคัญๆของชาติ แม่ทัพนายกองหรือนักธุรกิจ นักการธนาคาร ท่านยิ่งจำเป็นต้องหาเวลาว่างเพื่อการออกกำลังกาย และควรฝึกสมาธิจิตไปด้วยกัน
ท่านที่เป็นนักบริหารท่านไม่ควรลดตัวลงไปทำงานในรายละเอียดจนทำให้ไม่มีเวลาว่างสำหรับกาย และจิตของตนเองเลย ท่านจะต้องหาเวลาว่างเพื่อคิดแก้ปัญหาหรือริเริ่มงานใหม่ๆ ด้วย ”ปัญญา”


ผู้เขียนเคยพบเคยเห็นนักบริหารระดับสูงมากๆ บางท่านใช้เวลาอันมีค่านี้ไปกับการลงนามชื่อของตนในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในการแก้ร่างหนังสือโต้ตอบเล็กๆน้อยๆ หยุมหยิมไม่เข้าเรื่องเหล่านี้ ทำให้เสียเวลาอันมีค่าอย่างน่าเสียดาย และ
อีกอย่างหนึ่งนักบริหารจำนวนมาก ยังไม่เข้าใจในเรื่องของกาย และจิตของตัวเอง และในเรื่องของธรรมชาติวิทยาดีพอ จึงเห็นควรเร่งเร้าชวนเชิญให้หันมาสนใจเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องจิตที่มีสมาธิดี กับ บุคคลชั้นนำของประเทศนี้ สามารถนำประเทศไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในทุกทาง
ผู้เขียนขอคัดความตอนหนึ่งในหนังสือ มหาบุรุษ ซึ่งประพันธ์โดยคุณหลวงวิจิตรวาทการ ดังนี้

นายแพทย์ที่โรงพยาบาล นะโปเลียน เมื่อจวนจะสิ้นพระชนม์ที่เกาะแซงต์เอเลน ได้อ้อนวอนขอให้นะโปเลียนบอกไว้ให้เป็นประโยชน์แก่โลกว่ามี ”เคล็ด” ดีอย่างไร นะโปเลียนจึงสามารถทำการสำเร็จได้ใหญ่หลวงถึงปานนี้ นะโปเลียนรับสั่งตอบว่า

“หมอ ในหัวสมองของฉันนี้ มีลิ้นชักที่ชักออกได้เป็นลิ้นๆ ลิ้นใดฉันไม่ต้องการใช้ ฉันก็ปิดเสีย
เวลาต้องการทำงานฝ่ายปกครอง ฉันก็ชักลิ้นชักปกครองออกมาทำแล้วปิดลิ้นอื่นๆ ลั่นกุญแจหมด
เวลาฉันเขียนแผนการรบ ฉันก็ปิดลิ้นอื่นๆ เปิดแต่ลิ้นการรบอันเดียว
เวลาฉันคิดถึงโยเซฟิน (พระมเหสี) ฉันก็ปิดลิ้นอื่นทั้งสิ้น และชักเอาลิ้นสำหรับโยเซฟินออกมา”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนหมอ ซึ่งไม่รู้จักลักษณะของสมาธิดี ก็ยิ้ม และแสดงอาการไม่เชื่อ

นะโปเลียนจึงรับสั่งต่อไปว่า

"ท่านไม่เชื่อหรือ ฉันจะทำให้ท่านดู คือ ฉันจะปิดลิ้นชักทุกๆอัน ลั่นกุญแจ"

รับสั่งดังนั้นแล้ว นะโปเลียนก็หลับตาและนอนหลับได้ทันที หลับได้อย่างสนิท จนหมอเองก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แกล้งทำหลับ

นี่แหละ "เคล็ด" ของนะโปเลียน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แทรก


พุทธธรรมหน้า ๗๙๔ ก็กล่าวถึงนะโปเลียนตอน "วิธีเจริญสมาธิ" ไว้เช่นกัน ดังนั้น จึงวางเทียบไว้ด้วย


เรื่องที่ว่านี้ ถ้ามองดูความเป็นไปในชีวิตจริง จะเห็นชัดยิ่งขึ้น

คนบางคน ถ้าอยู่ในสถานที่มีเสียงรบกวนเพียงเล็กน้อย หรือมีคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมา จะทำอะไรที่ใช้ความคิดไม่ได้เลย ที่จะใช้ปัญญาพิจารณาอะไรอย่างลึกซึ้ง เป็นอันไม่ต้องพูดถึง

แต่คนบางคนมีจิตแน่วแน่มั่นคงดีกว่า แม้จะมีเสียงต่างๆ รบกวนรอบด้าน มีคนพลุกพล่านจอแจ ก็สามารถใช้ความคิดพิจารณาทำงานที่ต้องใช้สติปัญญาได้อย่างปกติ


บางคนมีกำลังจิตเข้มแข็งมาก แม้อยู่ในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นหวาดกลัว ก็ไม่หวั่นไหว สามารถใช้ปัญญามองการณ์และคิดการต่างๆอย่างได้ผลดี ดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ

ดังมีเรื่องเล่าว่า พระเจ้านะโปเลียนที่ ๑ แห่งฝรั่งเศส มีพลังจิตสูง ประสงค์คิดเรื่องไหนเวลาใด ก็คิดเรื่องนั้นเวลานั้น ไม่ประสงค์คิดเรื่องใด ก็ไม่คิดเรื่องนั้น เปรียบสมองเหมือนมีลิ้นชักจัดแยกเก็บเรื่องต่างๆไว้เป็นพวกๆ อย่างมีระเบียบ ชักออกมาใช้ได้ตรงเรื่องตามต้องการ
แม้อยู่ในสนามรบ ท่ามกลางเสียงปืนเสียงระเบิดกึกก้อง เสียงคนเสียงม้าศึกวุ่นวายสับสน ก็มีกิริยาอาการสงบ คิดการได้เฉียบแหลมเหมือนในสถานการณ์ปกติ
หากประสงค์จะพักผ่อน ก็หลับได้ทันที
ต่างจากคนสามัญจำนวนมากที่ไม่ได้ฝึก เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น อย่าว่าแต่คิดการใดๆเลย แม้แต่เพียงจะควบคุมจิตใจให้อยู่ที่ ก็ไม่ได้ มักจะขวัญหนี ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตื่นเต้นไม่เป็นกระบวน

เรื่องเล่านี้ แม้จะยังไม่พบหลักฐาน แต่ในกรณีทั่วไป ทุกคนก็คงพอจะมองเห็นได้ถึงความแตกต่าง ระหว่างคนที่กำลังจิตเข้มแข็ง กับคนที่มีใจอ่อนแอ
เรื่องพระเจ้านะโปเลียนที่เล่ากันมานั้น ก็ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์เลย
หากเทียบกับตัวอย่างในคัมภีร์ เช่น อาฬารดาบส กาลามโคตร ระหว่างเดินทางไกล นั่งพักกลางวันอยู่ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง มีกองเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ผ่านไปใกล้ๆ ท่านก็มิได้เห็น ไม่ได้ยินเสียงกองเกวียนนั้นเลย

พระพุทธเจ้า คราวหนึ่ง ขณะประทับอยู่ ณ เมืองอาตุมา มีฝนตกหนักมาก ฟ้าคะนอง เสียงฟ้าผ่าครื้นครั่นสนั่นไหว ชาวนาสองพี่น้อง และโคสี่ตัว ถูกฟ้าผ่าตาย ใกล้ที่ประทับพักอยู่นั้นเอง พระพุทธเจ้า อยู่ด้วยวิหารธรรมอันสงบ ไม่ทรงได้ยินเสียงทั้งหมดนั้นเลย(ที.ม.10/120-1/152-3)


มีพุทธพจน์แห่งหนึ่งตรัสว่า ผู้ที่ฟ้าผ่าไม่สะดุ้ง ก็มีแต่พระอรหันต์ขีณาสพ ช้างอาชาไนย ม้าอาชาไนย และพญาสีหราช (องฺ.ทุก.20/302-4/47) ในหมู่คนสามัญกำลังใจ กำลังปัญญา ความแน่วแน่มั่นคงของจิต ก็ยังแตกต่างกันออกไปเป็นอันมาก



สำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งมีกำลังความมั่นคงของจิตก็ไม่มาก กำลังปัญญาก็ไม่เฉียบแหลมนัก อาจารย์ใหญ่มากหลายท่าน จึงเห็นว่าถ้าไม่เตรียมจิตที่เป็นสนามทำงานของปัญญาให้พร้อมดีก่อน โอกาสที่จะแทงตลอดสัจธรรมด้วยโลกุตรปัญญา ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่ง ท่านจึงเน้นการฝึกจิตด้วยกระบวนสมาธิภาวนาให้เป็นฐานไว้ก่อนเจริญปัญญาอย่างจริงจังต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


เรื่องนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญของสมาธิจิตของบุคคลชั้นนำของประเทศ เขาจะตัดสินใจสั่งการอย่างใด เขาตั้งใจจะทำการเรื่องใหญ่เพียงใด ถ้าจิตได้รับการฝึกฝนอบรมเป็นพื้นฐานที่มั่นคงดีแล้ว การสั่งการตัดสินใจอันนั้น จะนำความสำเร็จตามวัตถุประสงค์มาสู่ประชาชนในชาติอยู่ไม่ต้องสงสัยเลย

ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า การฝึกสมาธิจิตนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของท่านแล้ว ยังจะเพิ่มคุณภาพในแนวทางความคิดที่กลั่นกรองด้วยสติและปัญญาจะมีมากขึ้น

ความคิดอกุศลจิตทั้งทางตรงหรือทางอ้อม หรือแนวความคิดที่จะเอารัดเอาเปรียบต่อสังคมหรือกลุ่มชนจะลดน้อยถอยลงอีกด้วย อันจะเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมประเทศชาติอย่างไม่มีปัญหา เป็นมหากุศลแก่ตนเองและประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้เขียนใคร่ของถามท่านผู้อ่านว่า ท่านผู้นั้น รักรถยนต์ของท่านหรือรักสุนัขของท่าน (สำหรับท่านที่เลี้ยงสุนัขด้วยใจรัก) มากกว่าตัวท่านเอง จริงหรือไม่ ? ท่านหมั่นตรวจสอบเครื่องยนต์ในรถของท่าน หรือท่านสั่งคนรถให้ตรวจสอบรถยนต์ของท่าน ท่านอัดฉีดรถยนต์ของท่านบ่อยๆ เป็นระยะๆ


ทำนองเดียวกัน สำหรับท่านที่รักสุนัข ที่หมั่นนำสุนัขไปให้สัตวแพทย์ตรวจโรคและฉีดยาป้องกันโรคนานาชนิด
แต่ท่านไม่รักตัวท่านเองเท่ารถยนต์หรือสุนัขของท่าน ท่านไม่เคยตรวจสอบอวัยวะชิ้นส่วนในร่างกายของท่านเลย อย่าว่าแต่ปีละสักครั้งหนึ่งก็ไม่เคย ยิ่งการป้องกันโรคแล้วท่านยิ่งหนี จะดีหรือ ขอให้ท่านคิดเอาเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การฝึกสมาธิจิตนี้ ทำได้หลายวิธี อาทิ ตามหลักพุทธศาสนาใช้วิธีเดินจงกรม คือ ออกกำลังกายด้วยการเดินก้าวไป และกำหนดรู้ปัจจุบันในขณะที่ก้าวเดินไปทุกขณะจิต เสร็จแล้วนั่งทำสมาธิต่อกันไป

หรือถ้าใช้หลักของฤษีมเหศโยคะ ที่เรียกว่า Transcendental meditation หรือ (T.M.) ก็ใช้วิธีนั่งทำสมาธิทำให้จิตสงบนิ่งด้วยการนึกคำ "มนตรา"

ส่วนตามหลักของโยคะ หรือหลักของมวยจีนนั้น จะออกกำลังกายไปพร้อมๆกับทำสมาธิจิตไปด้วยในตัว จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างมีหลักการคล้ายๆกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2019, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปแล้ว คือ ถ้าฝึกจิตให้มีสมาธิสงบเป็นประจำทุกวัน วันละประมาณ ๓๐ นาที ก็จะมีผลให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ทน แม่นยำและมีระบบในการทำงาน จิตประสาทเมื่อยล้าช้ากว่าบุคคลธรรมดา

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร