ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56892 |
หน้า 21 จากทั้งหมด 33 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 05 ม.ค. 2019, 05:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
กบนอกกะลา เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คุณโรสเอ้ย....อ่านเอง..ฟังเสียงเอง..ได้มั้ย? Rosarin เขียน: ปรโตโฆสะคืออะไรไปทบทวน ปัญญาตนเองเกิดตอนฟังแล้วรู้สึกตรงที่ตัวตนกำลังมีตามเสียงตรงทางหนึ่งทางใดทางเดียวไม่ใช่เห็นปนคิด มีปัญญาพอไหมก็บอกว่าสีกระทบจักขุปสาทะดับในตาดำไม่มีตัวอักษรนอกตาไงคะงมกะตัวอักษรเชื่อตำรา ความรู้สึกตัวตรงตามเสียงคือสติปัญญารู้ชัดในความมืดตรงตามเสียง/เมาตัวอักษรที่เห็นคือความคิดเห็นผิด กบนอกกะลา เขียน: แล้ว...คนที่ไปฟังคนเมาตัวอักษร..ที่เห็นคือความคิดเห็นผิด..พูด...ละคุณโรส...คนฟังเสียงจะเห็นธรรมมั้ย? Rosarin เขียน: คิดเห็นที่กำลังเห็นตรงตามเสียงตรงจริงที่ตาตนเองกำลังเห็นอยู่นี้แหละค่ะ นะคะ...คิดให้มันตรงความจริงตรงที่ลืมตาดูว่างี้นะ...จิตเห็นสี1สีดับทันทียังไม่มีจิตคิดนึก เห็นสีดับแล้วมืด...เดี๋ยวนี้ตาของกบเห็นอะไร...แค่สีไหมหรือว่ามันเลยสีคือมีครบ6ทางไปแล้วคะที่ตัวครบ เห็นสีหรืออักษร...เห็นสี1สีคือคิดเห็นถูก...เห็นตัวอักษรคือคิดเห็นผิด...ทำอะไรได้ไหม...เห็นผิดไปแล้วน๊า เลิกพิมพ์..ซะเถอะ..คุณโรส.. .ก็เป็นคนพูดเองนี้นาว่า.."เห็นตัวอักษรคือคิดเห็นผิด...ทำอะไรได้ไหม...เห็นผิดไปแล้วน๊า" เลิกพิมพ์..ไปซะ ไม่เข้าใจความเป็นปกติตามปกติของจิตตามปกติจิตในภพภูมิมนุษย์เหรอคะกบ ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่สิ้นกิเลสแล้วไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามที่พระองค์บอก เห็นเป็นกิเลสแล้วตั้งแต่จิตดับไปเพียง3ขณะยังดับไม่ครบ6ทางเลยกะพริบตามันเกิน6ขณะไง ที่ลืมตาอ่านตามตัวอักษรคือยึดติดตำราไม่เข้าใเหรอเห็นสีล้วนสีเดียวไม่ว่าสีอะไรก็เหมือนกระดาษเปล่า ก็ทำได้แค่บอกไงว่าเห็นผิดแล้วจะคิดเห็นถูกตามคำสอนได้ตอนที่กำลังฟังไม่ใช่ตอนอ่านไม่เข้าใจเลยเหรอ ก็บอกว่าอ่านมันคือจิตคิดนึกมันเกินจิตเห็นตรงขณะเป็นสัญญาตีความตัวอักษรงมตีความอยู่นั่นแหละรู้เปล่า การฟังในภาษาชาติตัวเองตรงความหมายของเสียงที่มีตัวจริงธัมมะกำลังปรากฏตรงกับเสียงคำตรงสัจจะ แล้วคิดถูกตามได้เรียกว่าฟังแล้วเกิดสัมมาได้ตรงทางตรงสัจจะทีละ1ลักษณะคือเกิดสัมมามรรคไงคะ แปลว่ามีสภาพธัมมะตรงทางที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีแล้วตรงตามเสียงทำให้คิดได้จึงรู้สึกตัวตามได้ไงคะ จิตเห็นทำให้เกิดกิเลสเดี๋ยวนี้เลยและจิตได้ยินคือที่เกิดของสติปัญญาตอนคิดถูกตามเสียงตรงความจริง ของสิ่งที่กำลังเห็นทำให้รู้สึกตัวสำนึกได้ว่ากำลังเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากสีคือคิดไม่ตรงมัวแต่ตีความอยู่ไง ที่เขียนเนี่ยนะคือการเล่าเพื่อบอกว่ากำลังเห็นผิดคิดผิดอยู่เพราะไม่ได้กำลังทำฟังไงกำลังเห็นผิดเกิน1สีไงคะ จะแยกตัวตนออกไปรู้สึกตัวตอนไหนเดี๋ยวนี้กำลังมีตัวและตาก็ไม่บอด...สีดับตรงที่ผัสสะกระทบที่ตาดำ ตาตัวเองกำลังบิดเบือนคำสอนอยู่ไม่เห็นหรือมีตัวอักษรสีดำตัดกับกระดาษสีขาวคือเห็นเกิน1สีถูกไหม เนี่ยแหละเรียกตามภาษาบาลีว่ามิจฉาทิฏฐิแปลไทยว่ากำลังคิดเห็นผิด...จิตเห็นสีดับตรงตาทันทีมืดแล้วมืด? |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 05 ม.ค. 2019, 06:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
กบนอกกะลา เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คุณโรสเอ้ย....อ่านเอง..ฟังเสียงเอง..ได้มั้ย? Rosarin เขียน: ปรโตโฆสะคืออะไรไปทบทวน ปัญญาตนเองเกิดตอนฟังแล้วรู้สึกตรงที่ตัวตนกำลังมีตามเสียงตรงทางหนึ่งทางใดทางเดียวไม่ใช่เห็นปนคิด มีปัญญาพอไหมก็บอกว่าสีกระทบจักขุปสาทะดับในตาดำไม่มีตัวอักษรนอกตาไงคะงมกะตัวอักษรเชื่อตำรา ความรู้สึกตัวตรงตามเสียงคือสติปัญญารู้ชัดในความมืดตรงตามเสียง/เมาตัวอักษรที่เห็นคือความคิดเห็นผิด กบนอกกะลา เขียน: แล้ว...คนที่ไปฟังคนเมาตัวอักษร..ที่เห็นคือความคิดเห็นผิด..พูด...ละคุณโรส...คนฟังเสียงจะเห็นธรรมมั้ย? Rosarin เขียน: คิดเห็นที่กำลังเห็นตรงตามเสียงตรงจริงที่ตาตนเองกำลังเห็นอยู่นี้แหละค่ะ นะคะ...คิดให้มันตรงความจริงตรงที่ลืมตาดูว่างี้นะ...จิตเห็นสี1สีดับทันทียังไม่มีจิตคิดนึก เห็นสีดับแล้วมืด...เดี๋ยวนี้ตาของกบเห็นอะไร...แค่สีไหมหรือว่ามันเลยสีคือมีครบ6ทางไปแล้วคะที่ตัวครบ เห็นสีหรืออักษร...เห็นสี1สีคือคิดเห็นถูก...เห็นตัวอักษรคือคิดเห็นผิด...ทำอะไรได้ไหม...เห็นผิดไปแล้วน๊า เลิกพิมพ์..ซะเถอะ..คุณโรส.. .ก็เป็นคนพูดเองนี้นาว่า.."เห็นตัวอักษรคือคิดเห็นผิด...ทำอะไรได้ไหม...เห็นผิดไปแล้วน๊า" เลิกพิมพ์..ไปซะ Rosarin เขียน: ไม่เข้าใจความเป็นปกติตามปกติของจิตตามปกติจิตในภพภูมิมนุษย์เหรอคะกบ ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่สิ้นกิเลสแล้วไม่ได้เห็นเพียงสีตรงตามที่พระองค์บอก เห็นเป็นกิเลสแล้วตั้งแต่จิตดับไปเพียง3ขณะยังดับไม่ครบ6ทางเลยกะพริบตามันเกิน6ขณะไง ที่ลืมตาอ่านตามตัวอักษรคือยึดติดตำราไม่เข้าใเหรอเห็นสีล้วนสีเดียวไม่ว่าสีอะไรก็เหมือนกระดาษเปล่า ก็ทำได้แค่บอกไงว่าเห็นผิดแล้วจะคิดเห็นถูกตามคำสอนได้ตอนที่กำลังฟังไม่ใช่ตอนอ่านไม่เข้าใจเลยเหรอ ก็บอกว่าอ่านมันคือจิตคิดนึกมันเกินจิตเห็นตรงขณะเป็นสัญญาตีความตัวอักษรงมตีความอยู่นั่นแหละรู้เปล่า การฟังในภาษาชาติตัวเองตรงความหมายของเสียงที่มีตัวจริงธัมมะกำลังปรากฏตรงกับเสียงคำตรงสัจจะ แล้วคิดถูกตามได้เรียกว่าฟังแล้วเกิดสัมมาได้ตรงทางตรงสัจจะทีละ1ลักษณะคือเกิดสัมมามรรคไงคะ แปลว่ามีสภาพธัมมะตรงทางที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีแล้วตรงตามเสียงทำให้คิดได้จึงรู้สึกตัวตามได้ไงคะ จิตเห็นทำให้เกิดกิเลสเดี๋ยวนี้เลยและจิตได้ยินคือที่เกิดของสติปัญญาตอนคิดถูกตามเสียงตรงความจริง ของสิ่งที่กำลังเห็นทำให้รู้สึกตัวสำนึกได้ว่ากำลังเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากสีคือคิดไม่ตรงมัวแต่ตีความอยู่ไง ที่เขียนเนี่ยนะคือการเล่าเพื่อบอกว่ากำลังเห็นผิดคิดผิดอยู่เพราะไม่ได้กำลังทำฟังไงกำลังเห็นผิดเกิน1สีไงคะ จะแยกตัวตนออกไปรู้สึกตัวตอนไหนเดี๋ยวนี้กำลังมีตัวและตาก็ไม่บอด...สีดับตรงที่ผัสสะกระทบที่ตาดำ ตาตัวเองกำลังบิดเบือนคำสอนอยู่ไม่เห็นหรือมีตัวอักษรสีดำตัดกับกระดาษสีขาวคือเห็นเกิน1สีถูกไหม เนี่ยแหละเรียกตามภาษาบาลีว่ามิจฉาทิฏฐิแปลไทยว่ากำลังคิดเห็นผิด...จิตเห็นสีดับตรงตาทันทีมืดแล้วมืด? ยังจะพิมพ์อยู่อีกหรือ..?..ก็ในเมื่อตัวคุณโรสเองบอกว่า.. "เห็นตัวอักษรคือคิดเห็นผิด...ทำอะไรได้ไหม...เห็นผิดไปแล้วน๊า" ยังจะพิมพ์...ให้คนอื่นเห็นผิดอีก..ทำไม?.. ถ้า..ยังจะพิมพ์อีก..แสดงว่า..คุณโรสเองก็ไม่ได้คิดอย่างที่ตัวเองพิมพ์..ดั่งว่า..จริงจริง.. เรียกว่า..พูดเอง ขัดแย้งตัวเองไปในตัว.. รึไม่ ก็เรียกว่า..เกลียดปลาไหลแต่ก็ยังกินน้ำแกง.. รึจะเรียกว่า..ปากอย่างใจอย่าง... |
เจ้าของ: | Rosarin [ 05 ม.ค. 2019, 13:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: แค่อากาศ เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ผัสสะตรงจริงตรงที่กระทบตรงทางของจิตเห็นคือลืมตาดูมีแสง+สี1สีพุ่งชนจักขุปสาทะดับที่ตาทันทีไม่เจ็บ เพราะเป็นการกระทบของสีที่มหาภูตรูปภายนอกสะท้อนแสงเข้าตากับจักขุปสาทะภายในตาดำมีระยะห่าง ถ้าเป็นหินกระเด็นเข้าตาเป็นมหาภูตรูปภายนอกกายชนกับมหาภูตรูปบริเวณตาโดยตรงแข็งกระทบแข็งเจ็บ มหาภูตรูปมองเห็นด้วยตาไม่ได้จะรู้ว่ามีสัณฐานที่ตั้งเมื่อกายเราไปกระทบคือจับสัมผัสแตะต้องทีละ1ธาตุค่ะ ผัสสะ คืออะไรหราป้า ผัสสะเป็นตัวยังไง เห็นผัสสะนี่เห็นยังไงอะครับป้า มีรูปร่างหน้าตายังไง หรือมีลักษณะแบบไหน ป้าเคยเห็นจริงของผัสสะมั้ยครับ ที่ถามน่ะแปลว่าไม่รู้เพราะผู้รู้คือปัญญารู้ละตัวตนจึงรู้ละกิเลสอวิชชาได้เพื่อตามรู้ตรงจริงที่กำลังปรากฏ ผู้รู้แจ้งเห็นจริงกระทบตรงไหนก็รู้ตรงนั้นแล้วก็ดับคนทั้งตัวแล้วทันทีตรงนั้นเองทันทีทันสัก1สัจจะไหมล่ะคะ สรุปตอบไม่ได้ใช่ไหมครับ ผมถามอย่าง ป้าตอบอย่าง ตอบไม่ตรง ผัสสะ คืออะไรเหรอป้า ผัสสะเป็นตัวยังไง เห็นผัสสะนี่เห็นยังไงอะครับป้า มีรูปร่างหน้าตายังไง หรือ มีลักษณะแบบไหน ป้าเคยเห็นจริงของผัสสะมั้ย ตอบไม่ได้ใช่มะ ผัสสะยังตอบไม่ได้เลยเป็นยังไง จะไปรู้สีได้ไง สีแรกที่เกิดดับเป็นยังไงก็คงรู้ไม่ได้ ถ้าไม่เจอผัสสะจริงๆ แล้วจะเพ้อเพิ่ออะไร นั่นแหละไม่เคยเห็นก็ตอบแบบเลี่ยงๆเฉียงๆ แต่ผมบอกได้นะ สังเกตุไหมคนที่เห็นจริงเขาจะเคารพพระรัตนตรัย ไม่หมิ่นแม้น้อยนิด กรรมน้อยนิดก็จะไม่ปล่อยเลยไป บุญแม้น้อยนิดก็จะเก็บเกี่ยวเอา แม้ตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นอะไรเป็หลักแหล่งของป้าได้เลย ไม่เคยตอบตรงคำถามเอาแต่อ้างตำราแล้วคิดตาม นี่ไม่เคยเห็นประโยชน์กับป้าเลย การที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าโยนิโสนสิการ ไม่ได้แปลว่าน้อมมาสู่ตน แต่เป็นการเข้าไปเห็นจริงของจริง แล้วพิจารณาว่ามันคืออะไร เป็นยังไง ที่รู้เห็นอยู่นี้มีลักษณะอย่างไร การเอาใจเข้ายึดครอง(หลง) เป็นคุณ หรือ โทษ สุข หรือทุกข์ ไม่ใช่ไปอ่านตำราแล้วมาคิดตาม กามลามสูตรก็มีสอน แล้วที่ป้าอ้างกาลามสูตรมาก็เพราะป้ามันของปลอมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับกาลามสูตรเลย เอาแค่เชื่อตามๆกันมาโม้ คนที่เขารู้เขาจะตอบตรงๆเลย เช่น.. - ผัสสะ.. ที่ปุถุชนจะเข้าไปรู้เห็นได้ด้วยอำนาจสมาธิ มีอาการที่กระเทือนใจให้กระเพื่อม กระตุ้นให้ใจตื่นไหวเข้ารู้ความรู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น มีอะไรพุ่งเข้ามาให้จิตรู้ มีอะไรเปลี่ยนไป มีอะไรผ่านมา มีอะไรเพิ่มมา หรือมีอะไรที่แปลกปลอมเข้ามาจากสภาวะธรรมที่จิตเป็นอยู่ เพื่อให้จิตรู้อารมณ์ที่จรมา (ตื่นไหว ตื่นตัวรู้ ..ไม่ใช่ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในพุทโธ) - สี.. ที่ปุถุชนะพอจะรู้ได้จากผัสสะในสีขณะแรกที่เห็นด้วยอำนาจสมาธิ แรกเริ่มมีแต่แสงแวบหนึ่งปรกติใสแวบ อุปมาเหมือนฟ้าแลบเป้นมีขาวนวลสว่าง หรือประกายไฟฟ้าที่สปาร์กที่ดูไม่ออกว่าสีอะไรรู้ว่าตาเห็นจากปสาทตานี้แล้วก็ดับ ส่งต่อมาโดยความเจตนาหมายรู้อารมณ์ เป็น สัญญา(จำ) เวทนา(รู้สึก)โดยสัญญา ความจำได้ในสิ่งนั้นโดยสัญญา สังขารปรุงแต่งติด ส่งมาให้ใจรู้จึงเป็น..สี เมื่อเกิดต่อๆกันจึงเป็นสัณฐานรูปร่าง - เสียง.. ที่ปุถุชนะพอจะรู้ได้จากผัสสะในเสียงขณะแรกที่เห็นด้วยอำนาจสมาธิ แร่งเริ่มมีแต่ความอึกทึกสั่นสะเทือนจิตให้รู้ มีอาการที่แผ่คลื่นออกเป็นวงขยายออกที่สั่นสะเทือนให้จิตรู้ ไม่มีเสียงสูง ไม่มีเสียงต่ำ มีแต่การอาการที่สั่นสะเทือนจิต อึกทึกกึกก้องแผ่เป็นวงขยายออกสั่นสะเทือนให้จิตรู้ ดังนี้ต่อให้ตอบผิดก็ชื่อว่าตอบตรงคำถาม แม้ผิดมีคนแนะนำให้รู้ยิ่งๆขึ้นก็ยิ่งดีไปใหญ่ ไม่ใช่กลัวว่าตนเองจะต่ำจะโดนข่ม เพราะคนที่ข่มคน คนนั้นแหละที่เขาไม่ถึงธรรมเลยต่ำกว่าคนที่โดนข่มเสียอีกเพราะขายกิเลสตนเองเต็มๆแต่กล่าวอ้างธรรมสูงธรรมบรรลุ อ้างพระพุทธเจ้า อ้างพระสงฆ์ ดังนั้นหากเราไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ขอคำแนะนำเราก็รู้มากขึ้น รู้ให้มากอย่างพระราหุลเถระ และพระอานนท์เถระ ทุกสิ่งทุกอย่างผมรู้เห็นได้จากการปฏิบัติแต่ไม่เอามาโม้ แล้วผมปฏิบัติอะไรมาล่ะ ผมก็ปฏิบัติเจริญใน ทาน ศีล ภาวนา ทำสมาธิหลับตานี้แหละ ไม่หมิ่นคุณท่าน ไม่ทำอกุศลให้เกิดขึ้น ละอกุศลที่มีอยุ่แล้ว ทำกุศลให้เกิดขึ้น คงกุศลไว้ไม่ให้เสื่อมตามสติกำลังที่ตนจะพึงทำได้ เมื่อถึงจุดมันเต็มลืมตาเดินอยู่ก็เห็น มันไม่มีหริอกเสียงสูงเสียงต่ำ สิ่งนี้มันเอาบัญญัติมาทำสัญญากันตามแนวทางสายท่องจำของป้าเท่านั้น ของจริงที่รู้มันต่างกันมาก ถ้าไปแบบสุกขวิปัสโก สะสมอย่างนี้ทำอย่างนี้ไปได้ไม่ยากเลย ..ถึงบอกว่าให้ป้าเอามาโม้เท่าไหร่มันก็ของปลอม พระอภิธรรมสิ่งที่อยู่สูงแล้ว แต่ป้าเอามาทำเป็นของปลอมคิดเอาคิดตามแต่ไม่ใช่คิดจากเห็นจริง นี่มันผิดแล้ว บิดเบือนเอาแล้วป้า ** ต่อให้ ขณิกสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันก็คือสมาธิ สมาธิทำให้จิตมีกำลังเข้าไปรู้จริง คุณอีกอย่างมันทำให้สุข สุขที่เนื่องด้วยใจแท้ๆ ผู้ปฏิบัติเขาไม่ติดสุข เพราะมันแค่ธัมมารมณ์ คนเขาเห็นจริงเขาจะไม่โม้พร่ำเพ้อ จะกล่าวแต่เหตุสะสมที่ทำให้เข้าไปเห็นจริงได้ ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัสสอนทุกอย่าง ให้สะสมเหตุให้ตนรู้จึงไปบอกคนอื่น ตนรู้ไม่ได้ไปบอกคนอื่นก็จะเป็นแบบป้านี่แหละที่พูดได้แต่เดิม ตอบเอียงๆเฉียง ดังนั้นพุทโธประจำไม่ขาด อย่าอ้างพระพุทธเจ้ามั่วกับของปลอมตน ดังนั้นพุทโธไม่ขาดน้อมนึกถึงคุณความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังนั้นน้อมนึกถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้าว่าควรแก่การโอปนะยิโก คือ น้อมมาสู่ตน ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นผลได้ รู้ได้ไม่จำกัดกาล ดังนั้นน้อมนึกถึงพระสงฆ์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตรงแล้วตามพระพุทธเจ้าตรัสสอน ผู้อุทิศตนเผยแพร่พระพุทธศาสนานำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสู่เราให้เราได้รู้ตาม เช่น ระลึกถึงครูบาอาจารย์ ระลึกถึงปฏิปทาที่ท่านมี คำสอนที่ท่านสอน นึกถึงความบริสุทธิ์ของท่าน ความบริสุทธิมีแค่ไหนธาตุขันธ์ท่านจะฟ้องตัวท่านเองไม่ต้องไปป่าวประกาศหรือให้ใครรับรอง ดังนั้นระลึกถึงคุณพ่อแม่บุพการีของตน ผู้ให้คุณบอกโลกแก่เรา ผู้อุ้มชูเลี้ยงดูเราด้วยใจบริสุทธิ์ต่อเรา มีความเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เว้นจากความเบียดเบียนต่อเรา (ถ้าป้ามีพ่อแม่ บุพการี จะไม่ก้าวล่วงพ่อแม่บุพการีผู้อื่นจะรู้คุณ หากยังก้าวล่วงก็แสดงว่าพ่อแม่ป้าเป็นดั่งที่ไปว่าเขาจึงทำให้ป้าลามปามพ่อแม่คนอื่นอย่างนั้น ดังนี้ควรละเสีย นึกถึงมงคล ๓๘ ประการ ข้อนั้นคือ เทวตานุสสติเลยล่ะ) ทำทานให้มาก รักษาศีลให้ตนเองเย็นใจ จิตมันเบา สบาย ไม่หน่วงตรึงฟุ้งซ่าน ไม่คิดอกุศล นี่คือ..ศีลอันเป็นไปเพื่อสมาธิ ทำสมาธิให้มากอย่าขายโง่ตนเองให้มาก ป้าจะเสื่อมเสียเอง การทำสมาธิไม่ใช่ของยาก จะลืมตาหลับตาระลึกพูดโธคู่ลมหายใจตลอดเวลา เหมือนอัญเชิญองค์พระท่านเข้ามาสถิตย์ในใจของเราให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามองค์พระท่าน พุทโธนี้มีคุณมาก ไม่ใช่เข้าได้เพียงอุปจาระสมาธิ แต่พุทโธเป็นกิริยาของจิต จิตเป็นหุทโธเมื่อไหร่ ก็ได้ชื่อว่า เข้าถึงพระอริยะสัจ ๔ น้อมเข้าสู่องค์มรรคที่เป็นอนาสวะ ถึงป้าต่อล้อต่อเถียงกระทู้ที่ผมบอกก็ไม่เกินที่จะอ้างตำราแล้ว ทีละสี ทีละ 1 หรือทีละเสียง ทีละหนึ่ง ไม่มีเกินนี้ ดังนั้นกลับมาเริ่มนับ 0 ใหม่ ทำสะสมเหตุไปถวายเป้นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา พ่อแม่บุพการีบูชา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์บูชา แล้วแผ่บุญนั้นให้พ่อแม่ ญาติมิตร เจ้ากรรมนายเวร อาการคันยุบยิบๆของป้าจะหายไป ถึงจิตตั้งมั่นดีนักแล..ด้วยประการฉะนี้ ส่วนการจะท่องจำอภิธรรมก็ท่องจำไป แต่ทำให้รู้แค่ว่ามันเป็นแบบไหน แล้วเราจะทำให้เข้าถึงไปรู้เห็นตามให้ได้ มันจะเฆ้นเองตามจริงเลยป้า เดี๋ยวนี้กำลังเห็นเป็นปัจจุบันอยู่...ตาไม่บอดลืมตาดูไม่ชัดเลยอุตริไปหลับตาดูจะเห็นแจ้งเป็นไปได้ไหม คำว่าเห็นแจ้งคือแจ้งตาตอนลืมตา...ตื่นรู้แจ้งไหนลองบอกมาซิว่าปัจจุบันเห็นคนอยู่ไหมนอกตาใช่ไหม ก็ผัสสะของสีที่จิตเห็นเกิดที่ตาเนื้อตอนลืมตาดูมีแสง+สีสะท้อนเข้าตาดับในตาดำมืดแล้วมีคนนอกตาดำหรือ ขายโง่ตนเองอีกแล้วนะป้า จิตทั้ง6ทางกำลังเกิดดับสลับกันไม่ซ้ำเก่า กระพริบตาคือเห็น1ขณะใหม่ในสังสารวัฏฏ์ โง่ไหมแบบนี้ เห็น1สว่างทางตาแล้วคิดถึงสีในมืด ที่เหลือมีจิตอีก5ทางหูจมูกลิ้นกายใจรู้สึกคิดนึกมืดสนิท ตอนนี้กำลังคิดอยู่ไม่ใช่เหรอก็คิดนั้นมืด ตาไม่บอด ดูสิปกติมีมืดตอนไหน ปกติมันเห็นผิดอยู่ที่มีมืดแค่ตอนกระพริบตาไงคะ...ภาษาบาลีเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิแปลว่าความคิดเห็นผิดอิอิ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 05 ม.ค. 2019, 13:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: แค่อากาศ เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ผัสสะตรงจริงตรงที่กระทบตรงทางของจิตเห็นคือลืมตาดูมีแสง+สี1สีพุ่งชนจักขุปสาทะดับที่ตาทันทีไม่เจ็บ เพราะเป็นการกระทบของสีที่มหาภูตรูปภายนอกสะท้อนแสงเข้าตากับจักขุปสาทะภายในตาดำมีระยะห่าง ถ้าเป็นหินกระเด็นเข้าตาเป็นมหาภูตรูปภายนอกกายชนกับมหาภูตรูปบริเวณตาโดยตรงแข็งกระทบแข็งเจ็บ มหาภูตรูปมองเห็นด้วยตาไม่ได้จะรู้ว่ามีสัณฐานที่ตั้งเมื่อกายเราไปกระทบคือจับสัมผัสแตะต้องทีละ1ธาตุค่ะ ผัสสะ คืออะไรหราป้า ผัสสะเป็นตัวยังไง เห็นผัสสะนี่เห็นยังไงอะครับป้า มีรูปร่างหน้าตายังไง หรือมีลักษณะแบบไหน ป้าเคยเห็นจริงของผัสสะมั้ยครับ ที่ถามน่ะแปลว่าไม่รู้เพราะผู้รู้คือปัญญารู้ละตัวตนจึงรู้ละกิเลสอวิชชาได้เพื่อตามรู้ตรงจริงที่กำลังปรากฏ ผู้รู้แจ้งเห็นจริงกระทบตรงไหนก็รู้ตรงนั้นแล้วก็ดับคนทั้งตัวแล้วทันทีตรงนั้นเองทันทีทันสัก1สัจจะไหมล่ะคะ สรุปตอบไม่ได้ใช่ไหมครับ ผมถามอย่าง ป้าตอบอย่าง ตอบไม่ตรง ผัสสะ คืออะไรเหรอป้า ผัสสะเป็นตัวยังไง เห็นผัสสะนี่เห็นยังไงอะครับป้า มีรูปร่างหน้าตายังไง หรือ มีลักษณะแบบไหน ป้าเคยเห็นจริงของผัสสะมั้ย ตอบไม่ได้ใช่มะ ผัสสะยังตอบไม่ได้เลยเป็นยังไง จะไปรู้สีได้ไง สีแรกที่เกิดดับเป็นยังไงก็คงรู้ไม่ได้ ถ้าไม่เจอผัสสะจริงๆ แล้วจะเพ้อเพิ่ออะไร นั่นแหละไม่เคยเห็นก็ตอบแบบเลี่ยงๆเฉียงๆ แต่ผมบอกได้นะ สังเกตุไหมคนที่เห็นจริงเขาจะเคารพพระรัตนตรัย ไม่หมิ่นแม้น้อยนิด กรรมน้อยนิดก็จะไม่ปล่อยเลยไป บุญแม้น้อยนิดก็จะเก็บเกี่ยวเอา แม้ตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นอะไรเป็หลักแหล่งของป้าได้เลย ไม่เคยตอบตรงคำถามเอาแต่อ้างตำราแล้วคิดตาม นี่ไม่เคยเห็นประโยชน์กับป้าเลย การที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าโยนิโสนสิการ ไม่ได้แปลว่าน้อมมาสู่ตน แต่เป็นการเข้าไปเห็นจริงของจริง แล้วพิจารณาว่ามันคืออะไร เป็นยังไง ที่รู้เห็นอยู่นี้มีลักษณะอย่างไร การเอาใจเข้ายึดครอง(หลง) เป็นคุณ หรือ โทษ สุข หรือทุกข์ ไม่ใช่ไปอ่านตำราแล้วมาคิดตาม กามลามสูตรก็มีสอน แล้วที่ป้าอ้างกาลามสูตรมาก็เพราะป้ามันของปลอมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับกาลามสูตรเลย เอาแค่เชื่อตามๆกันมาโม้ คนที่เขารู้เขาจะตอบตรงๆเลย เช่น.. - ผัสสะ.. ที่ปุถุชนจะเข้าไปรู้เห็นได้ด้วยอำนาจสมาธิ มีอาการที่กระเทือนใจให้กระเพื่อม กระตุ้นให้ใจตื่นไหวเข้ารู้ความรู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น มีอะไรพุ่งเข้ามาให้จิตรู้ มีอะไรเปลี่ยนไป มีอะไรผ่านมา มีอะไรเพิ่มมา หรือมีอะไรที่แปลกปลอมเข้ามาจากสภาวะธรรมที่จิตเป็นอยู่ เพื่อให้จิตรู้อารมณ์ที่จรมา (ตื่นไหว ตื่นตัวรู้ ..ไม่ใช่ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในพุทโธ) - สี.. ที่ปุถุชนะพอจะรู้ได้จากผัสสะในสีขณะแรกที่เห็นด้วยอำนาจสมาธิ แรกเริ่มมีแต่แสงแวบหนึ่งปรกติใสแวบ อุปมาเหมือนฟ้าแลบเป้นมีขาวนวลสว่าง หรือประกายไฟฟ้าที่สปาร์กที่ดูไม่ออกว่าสีอะไรรู้ว่าตาเห็นจากปสาทตานี้แล้วก็ดับ ส่งต่อมาโดยความเจตนาหมายรู้อารมณ์ เป็น สัญญา(จำ) เวทนา(รู้สึก)โดยสัญญา ความจำได้ในสิ่งนั้นโดยสัญญา สังขารปรุงแต่งติด ส่งมาให้ใจรู้จึงเป็น..สี เมื่อเกิดต่อๆกันจึงเป็นสัณฐานรูปร่าง - เสียง.. ที่ปุถุชนะพอจะรู้ได้จากผัสสะในเสียงขณะแรกที่เห็นด้วยอำนาจสมาธิ แร่งเริ่มมีแต่ความอึกทึกสั่นสะเทือนจิตให้รู้ มีอาการที่แผ่คลื่นออกเป็นวงขยายออกที่สั่นสะเทือนให้จิตรู้ ไม่มีเสียงสูง ไม่มีเสียงต่ำ มีแต่การอาการที่สั่นสะเทือนจิต อึกทึกกึกก้องแผ่เป็นวงขยายออกสั่นสะเทือนให้จิตรู้ ดังนี้ต่อให้ตอบผิดก็ชื่อว่าตอบตรงคำถาม แม้ผิดมีคนแนะนำให้รู้ยิ่งๆขึ้นก็ยิ่งดีไปใหญ่ ไม่ใช่กลัวว่าตนเองจะต่ำจะโดนข่ม เพราะคนที่ข่มคน คนนั้นแหละที่เขาไม่ถึงธรรมเลยต่ำกว่าคนที่โดนข่มเสียอีกเพราะขายกิเลสตนเองเต็มๆแต่กล่าวอ้างธรรมสูงธรรมบรรลุ อ้างพระพุทธเจ้า อ้างพระสงฆ์ ดังนั้นหากเราไม่รู้ก็บอกไม่รู้ ขอคำแนะนำเราก็รู้มากขึ้น รู้ให้มากอย่างพระราหุลเถระ และพระอานนท์เถระ ทุกสิ่งทุกอย่างผมรู้เห็นได้จากการปฏิบัติแต่ไม่เอามาโม้ แล้วผมปฏิบัติอะไรมาล่ะ ผมก็ปฏิบัติเจริญใน ทาน ศีล ภาวนา ทำสมาธิหลับตานี้แหละ ไม่หมิ่นคุณท่าน ไม่ทำอกุศลให้เกิดขึ้น ละอกุศลที่มีอยุ่แล้ว ทำกุศลให้เกิดขึ้น คงกุศลไว้ไม่ให้เสื่อมตามสติกำลังที่ตนจะพึงทำได้ เมื่อถึงจุดมันเต็มลืมตาเดินอยู่ก็เห็น มันไม่มีหริอกเสียงสูงเสียงต่ำ สิ่งนี้มันเอาบัญญัติมาทำสัญญากันตามแนวทางสายท่องจำของป้าเท่านั้น ของจริงที่รู้มันต่างกันมาก ถ้าไปแบบสุกขวิปัสโก สะสมอย่างนี้ทำอย่างนี้ไปได้ไม่ยากเลย ..ถึงบอกว่าให้ป้าเอามาโม้เท่าไหร่มันก็ของปลอม พระอภิธรรมสิ่งที่อยู่สูงแล้ว แต่ป้าเอามาทำเป็นของปลอมคิดเอาคิดตามแต่ไม่ใช่คิดจากเห็นจริง นี่มันผิดแล้ว บิดเบือนเอาแล้วป้า ** ต่อให้ ขณิกสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันก็คือสมาธิ สมาธิทำให้จิตมีกำลังเข้าไปรู้จริง คุณอีกอย่างมันทำให้สุข สุขที่เนื่องด้วยใจแท้ๆ ผู้ปฏิบัติเขาไม่ติดสุข เพราะมันแค่ธัมมารมณ์ คนเขาเห็นจริงเขาจะไม่โม้พร่ำเพ้อ จะกล่าวแต่เหตุสะสมที่ทำให้เข้าไปเห็นจริงได้ ตรงตามพระพุทธเจ้าตรัสสอนทุกอย่าง ให้สะสมเหตุให้ตนรู้จึงไปบอกคนอื่น ตนรู้ไม่ได้ไปบอกคนอื่นก็จะเป็นแบบป้านี่แหละที่พูดได้แต่เดิม ตอบเอียงๆเฉียง ดังนั้นพุทโธประจำไม่ขาด อย่าอ้างพระพุทธเจ้ามั่วกับของปลอมตน ดังนั้นพุทโธไม่ขาดน้อมนึกถึงคุณความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังนั้นน้อมนึกถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้าว่าควรแก่การโอปนะยิโก คือ น้อมมาสู่ตน ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นผลได้ รู้ได้ไม่จำกัดกาล ดังนั้นน้อมนึกถึงพระสงฆ์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตรงแล้วตามพระพุทธเจ้าตรัสสอน ผู้อุทิศตนเผยแพร่พระพุทธศาสนานำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสู่เราให้เราได้รู้ตาม เช่น ระลึกถึงครูบาอาจารย์ ระลึกถึงปฏิปทาที่ท่านมี คำสอนที่ท่านสอน นึกถึงความบริสุทธิ์ของท่าน ความบริสุทธิมีแค่ไหนธาตุขันธ์ท่านจะฟ้องตัวท่านเองไม่ต้องไปป่าวประกาศหรือให้ใครรับรอง ดังนั้นระลึกถึงคุณพ่อแม่บุพการีของตน ผู้ให้คุณบอกโลกแก่เรา ผู้อุ้มชูเลี้ยงดูเราด้วยใจบริสุทธิ์ต่อเรา มีความเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เว้นจากความเบียดเบียนต่อเรา (ถ้าป้ามีพ่อแม่ บุพการี จะไม่ก้าวล่วงพ่อแม่บุพการีผู้อื่นจะรู้คุณ หากยังก้าวล่วงก็แสดงว่าพ่อแม่ป้าเป็นดั่งที่ไปว่าเขาจึงทำให้ป้าลามปามพ่อแม่คนอื่นอย่างนั้น ดังนี้ควรละเสีย นึกถึงมงคล ๓๘ ประการ ข้อนั้นคือ เทวตานุสสติเลยล่ะ) ทำทานให้มาก รักษาศีลให้ตนเองเย็นใจ จิตมันเบา สบาย ไม่หน่วงตรึงฟุ้งซ่าน ไม่คิดอกุศล นี่คือ..ศีลอันเป็นไปเพื่อสมาธิ ทำสมาธิให้มากอย่าขายโง่ตนเองให้มาก ป้าจะเสื่อมเสียเอง การทำสมาธิไม่ใช่ของยาก จะลืมตาหลับตาระลึกพูดโธคู่ลมหายใจตลอดเวลา เหมือนอัญเชิญองค์พระท่านเข้ามาสถิตย์ในใจของเราให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามองค์พระท่าน พุทโธนี้มีคุณมาก ไม่ใช่เข้าได้เพียงอุปจาระสมาธิ แต่พุทโธเป็นกิริยาของจิต จิตเป็นหุทโธเมื่อไหร่ ก็ได้ชื่อว่า เข้าถึงพระอริยะสัจ ๔ น้อมเข้าสู่องค์มรรคที่เป็นอนาสวะ ถึงป้าต่อล้อต่อเถียงกระทู้ที่ผมบอกก็ไม่เกินที่จะอ้างตำราแล้ว ทีละสี ทีละ 1 หรือทีละเสียง ทีละหนึ่ง ไม่มีเกินนี้ ดังนั้นกลับมาเริ่มนับ 0 ใหม่ ทำสะสมเหตุไปถวายเป้นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา พ่อแม่บุพการีบูชา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์บูชา แล้วแผ่บุญนั้นให้พ่อแม่ ญาติมิตร เจ้ากรรมนายเวร อาการคันยุบยิบๆของป้าจะหายไป ถึงจิตตั้งมั่นดีนักแล..ด้วยประการฉะนี้ ส่วนการจะท่องจำอภิธรรมก็ท่องจำไป แต่ทำให้รู้แค่ว่ามันเป็นแบบไหน แล้วเราจะทำให้เข้าถึงไปรู้เห็นตามให้ได้ มันจะเฆ้นเองตามจริงเลยป้า เดี๋ยวนี้กำลังเห็นเป็นปัจจุบันอยู่...ตาไม่บอดลืมตาดูไม่ชัดเลยอุตริไปหลับตาดูจะเห็นแจ้งเป็นไปได้ไหม คำว่าเห็นแจ้งคือแจ้งตาตอนลืมตา...ตื่นรู้แจ้งไหนลองบอกมาซิว่าปัจจุบันเห็นคนอยู่ไหมนอกตาใช่ไหม ก็ผัสสะของสีที่จิตเห็นเกิดที่ตาเนื้อตอนลืมตาดูมีแสง+สีสะท้อนเข้าตาดับในตาดำมืดแล้วมีคนนอกตาดำหรือ ขายโง่ตนเองอีกแล้วนะป้า จิตทั้ง6ทางกำลังเกิดดับสลับกันไม่ซ้ำเก่า กะพริบตาคือเห็น1ขณะใหม่ในสังสารวัฏฏ์ โง่ไหมแบบนี้ เห็น1สว่างทางตาแล้วคิดถึงสีในมืด ที่เหลือมีจิตอีก5ทางหูจมูกลิ้นกายใจรู้สึกคิดนึกมืดสนิท ตอนนี้กำลังคิดอยู่ไม่ใช่เหรอก็คิดนั้นมืดตาไม่บอดดูสิปกติมีมืดตอนไหน ขำท่องจำมาเป็นบทๆ พูดถึง KFC รู้วิธีทำไก่ทอด KFC แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองสัมผัสลิ้มรสชาติและได้กิน KFC เลย ท่องตรงไหนจิตเกิดดับสลับกันครบ6ทางมีแล้วไม่มีหูหรือคะ ตาก็ไม่ได้บอดถึงมาพิมพ์ตอบได้อยู่ไม่รู้เรื่องเลยดูปัจจุบันไม่เห็นเหรอต้องอุตริไปหลับตาเรอะ เห็นมีแสงต่อจากนั้นมืดมีคิด ยิน รส กลิ่น เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวสุขทุกข์มืดสนิท ตาไม่บอดหูไม่หนวกไม่เข้าใจแปลว่าความจริงเกิดกับอวิชชาไง |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 05 ม.ค. 2019, 14:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
Rosarin เขียน: ตาก็ไม่ได้บอดถึงมาพิมพ์ตอบได้อยู่ไม่รู้เรื่องเลยดูปัจจุบันไม่เห็นเหรอต้องอุตริไปหลับตาเรอะ เห็นมีแสงต่อจากนั้นมืดมีคิด ยิน รส กลิ่น เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวสุขทุกข์มืดสนิท ตาไม่บอดหูไม่หนวกไม่เข้าใจแปลว่าความจริงเกิดกับอวิชชาไง พูดถึง KFC รู้วิธีทำไก่ทอด KFC แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองสัมผัสลิ้มรสชาติและได้กิน KFC เลย เดี๋ยวพาป้าไปกิน KFC สงสารป้ารู้จัก KFC รู้วิธีทำ แต่ไม่เคยได้กินเลยสักครั้ง :b32:
|
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 05 ม.ค. 2019, 18:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
คุณโรส..พูดไปพูดมา..ขัดขาตัวเองล้ม..ไปก็หลายครั้ง...แล้ว.. เจ็บ...เขาให้จำ....ธรรม..เขาให้คิด มาฟัง...สิ่งที่ร่มเย็น..กันมะ คุณโรส มุตโตทัย โอวาทธรรม ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 05 ม.ค. 2019, 19:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
กบนอกกะลา เขียน: คุณโรส..พูดไปพูดมา..ขัดขาตัวเองล้ม..ไปก็หลายครั้ง...แล้ว.. เจ็บ...เขาให้จำ....ธรรม..เขาให้คิด มาฟัง...สิ่งที่ร่มเย็น..กันมะ คุณโรส มุตโตทัย โอวาทธรรม ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต |
เจ้าของ: | Rosarin [ 06 ม.ค. 2019, 14:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
แค่อากาศ เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คุณโรส..พูดไปพูดมา..ขัดขาตัวเองล้ม..ไปก็หลายครั้ง...แล้ว.. เจ็บ...เขาให้จำ....ธรรม..เขาให้คิด มาฟัง...สิ่งที่ร่มเย็น..กันมะ คุณโรส มุตโตทัย โอวาทธรรม ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไม่รู้แปลว่ามีกิเลส ไม่ใช่คิดว่าตนรู้ ตัวตนน่ะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นปัญญาน่ะ รู้ละตัวตนถูกตามคำสอนได้แค่ตอนกำลังฟังเท่านั้น ตอนคิดนึกรู้สึกไปตามเห็นของตัวเองและขาดฟังแปลว่าเป็นกิเลสไงคะ เข้าใจไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดาปกติมีกิเลสอวิชชาคือไม่รู้อะไรเลย ปรุงแต่งตามเห็นตัวอักษรน่ะจำผิดทางเกิดปัญญาไงเวลาปัญญาเกิดไม่มีอนาคตตัวอักษรรอให้เห็นผิดจำผิด เพราะการปรุงแต่งถูกตามเสียงคือสุตมยปัญญาคือสังขารขันธ์จากเสียงปรุงแต่งจิตถูกจากได้ยินในมืดสนิท |
เจ้าของ: | แค่อากาศ [ 06 ม.ค. 2019, 17:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
Rosarin เขียน: แค่อากาศ เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คุณโรส..พูดไปพูดมา..ขัดขาตัวเองล้ม..ไปก็หลายครั้ง...แล้ว.. เจ็บ...เขาให้จำ....ธรรม..เขาให้คิด มาฟัง...สิ่งที่ร่มเย็น..กันมะ คุณโรส มุตโตทัย โอวาทธรรม ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไม่รู้แปลว่ามีกิเลส ไม่ใช่คิดว่าตนรู้ ตัวตนน่ะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นปัญญาน่ะ รู้ละตัวตนถูกตามคำสอนได้แค่ตอนกำลังฟังเท่านั้น ตอนคิดนึกรู้สึกไปตามเห็นของตัวเองและขาดฟังแปลว่าเป็นกิเลสไงคะ เข้าใจไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดาปกติมีกิเลสอวิชชาคือไม่รู้อะไรเลย ปรุงแต่งตามเห็นตัวอักษรน่ะจำผิดทางเกิดปัญญาไงเวลาปัญญาเกิดไม่มีอนาคตตัวอักษรรอให้เห็นผิดจำผิด เพราะการปรุงแต่งถูกตามเสียงคือสุตมยปัญญาคือสังขารขันธ์จากเสียงปรุงแต่งจิตถูกจากได้ยินในมืดสนิท อ่อแสดงว่าที่ป้าเป็น คือ อวิชชา ทั้งหมดสิ เพราะป้าไม่รู้อะไรเลย พูดถึง KFC รู้วิธีทำไก่ทอด KFC แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองสัมผัสลิ้มรสชาติและได้กิน KFC เลย ..เดี๋ยวพาป้าไปกิน KFC ..สงสารป้า ..รู้จัก KFC รู้วิธีทำ แต่ไม่เคยได้กินเลยสักครั้ง |
เจ้าของ: | Rosarin [ 06 ม.ค. 2019, 17:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
แค่อากาศ เขียน: Rosarin เขียน: แค่อากาศ เขียน: กบนอกกะลา เขียน: คุณโรส..พูดไปพูดมา..ขัดขาตัวเองล้ม..ไปก็หลายครั้ง...แล้ว.. เจ็บ...เขาให้จำ....ธรรม..เขาให้คิด มาฟัง...สิ่งที่ร่มเย็น..กันมะ คุณโรส มุตโตทัย โอวาทธรรม ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไม่รู้แปลว่ามีกิเลส ไม่ใช่คิดว่าตนรู้ ตัวตนน่ะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นปัญญาน่ะ รู้ละตัวตนถูกตามคำสอนได้แค่ตอนกำลังฟังเท่านั้น ตอนคิดนึกรู้สึกไปตามเห็นของตัวเองและขาดฟังแปลว่าเป็นกิเลสไงคะ เข้าใจไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดาปกติมีกิเลสอวิชชาคือไม่รู้อะไรเลย ปรุงแต่งตามเห็นตัวอักษรน่ะจำผิดทางเกิดปัญญาไงเวลาปัญญาเกิดไม่มีอนาคตตัวอักษรรอให้เห็นผิดจำผิด เพราะการปรุงแต่งถูกตามเสียงคือสุตมยปัญญาคือสังขารขันธ์จากเสียงปรุงแต่งจิตถูกจากได้ยินในมืดสนิท อ่อแสดงว่าที่ป้าเป็น คือ อวิชชา ทั้งหมดสิ เพราะป้าไม่รู้อะไรเลย พูดถึง KFC รู้วิธีทำไก่ทอด KFC แต่ไม่เคยได้ลิ้มลองสัมผัสลิ้มรสชาติและได้กิน KFC เลย ..เดี๋ยวพาป้าไปกิน KFC ..สงสารป้า ..รู้จัก KFC รู้วิธีทำ แต่ไม่เคยได้กินเลยสักครั้ง :b32: พึ่งพระรัตนตรัยสูงสุดได้ตอนฟังคำสอนค่ะ ตาไม่บอดอ่านไม่เข้าใจหรือคะ ศาสนาแปลว่าคำสอน ตถาคตคือศาสดา เจ้าของศาสนา ยกคำสอนขึ้น แทนพระองค์ สุตมยปัญญาคือปริยัติคือสัจจญาณคือชื่อของปัญญา สุตะแปลว่าฟัง...ใช้หูฟังเสียงคำสอนจากปรโตโฆสะ ตาไม่บอดเอาหูมาตั้งไว้ที่ตาเป็นไปได้ไหม555 ไม่เห็นประโยชน์ของการฟังคำสอนเพื่อเกิด สุตมยปัญญารู้สัจจะตรงที่กายใจกำลังมี ไม่พึ่งหูตนเองร้อยเปอร์เซ็นต์แปลว่า เชื่อและทำตามๆกันตามตำราโดยขาดการฟังคำสอนไม่รู้เรื่องเลย555 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 06 ม.ค. 2019, 17:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
ทำฟังเสียงนะไม่ใช่ทำอ่านตัวอักษรคริคริคริ https://youtu.be/BQvBAagrdC4 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 06 ม.ค. 2019, 19:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
Rosarin เขียน: Kiss ทำฟังเสียงนะไม่ใช่ทำอ่านตัวอักษรคริคริคริ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 06 ม.ค. 2019, 20:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
eragon_joe เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ทำฟังเสียงนะไม่ใช่ทำอ่านตัวอักษรคริคริคริ โอ้ว..ปาติหาร.. |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 06 ม.ค. 2019, 20:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
Rosarin เขียน: Kiss ทำฟังเสียงนะไม่ใช่ทำอ่านตัวอักษรคริคริคริ ปากก็ว่า..ปฏิบัติภาวนา.. ระวัง..จะช้ากว่าคนสวดมนต์..แม้แต่บุญก็ไม่มีให้บันทึก...นะเอ้อ.. ให้สนใจอย่างเดียว..คือ..บันทึกบุญ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 06 ม.ค. 2019, 21:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ว่าด้วยเรื่องความไม่รู้และขาดสุตมยปัญญา |
กบนอกกะลา เขียน: Rosarin เขียน: Kiss ทำฟังเสียงนะไม่ใช่ทำอ่านตัวอักษรคริคริคริ ปากก็ว่า..ปฏิบัติภาวนา.. ระวัง..จะช้ากว่าคนสวดมนต์..แม้แต่บุญก็ไม่มีให้บันทึก...นะเอ้อ.. ให้สนใจอย่างเดียว..คือ..บันทึกบุญ แค่คิดก็ไม่ตรง555 ถ้าปากว่ากบก็ตาขยิบไง กบกำลังฟังเสียงโรสหรือคิดเอง ไม่เห็นเหรอที่อ่านเนี่ยมีแต่จำตัวอักษร บอกว่าสีดับในตาดำไม่มีสีนอกตาดำก็คิดให้ตรงสิคะ เดี๋ยวนี้เห็นผิดอยู่ก็ดูให้ชัดสิก็บอกอยู่เนี่ยว่าคิดเห็นผิดตามตัวอักษร ไม่ตรงเหรอจะไปรู้สึกตัวตอนไหนทำอะไรตามเห็นผิดไม่ใช่ปัญญาบอกไม่ฟังไม่รู้ตัวเลย เดี๋ยวนี้ใช้ตาดูตัวอักษรจำแต่ตัวอักษรคิดตามตัวอักษรมันไม่ตรงทางของจิตได้ยินเสียงเกิดทางหูใช้หูดูได้รึ? |
หน้า 21 จากทั้งหมด 33 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |