วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 17:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 482 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 33  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss

มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ตรงไม่ฟังและไม่คิดตรงตามคำสอนอยู่

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังเห็นรู้ว่าตนเห็นผิดอย่างไร

:b12:
คนบนโลกนี้เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ตาเนื้อกำลังเห็นผิดจากคำสอน
เหมือนแมลงเม่ามองแสงไฟไกลๆ
ยังไม่สัมผัสไม่รู้ว่าตัวไฟร้อนต่อเมื่อ
บินถึงตัวไฟจึงเผาไหม้ทันที
เปรียบเหมือนตาเนื้อที่กำลัง
เห็นผิดว่าเป็นคนสัตว์วัตถุ
ทำไปตามอยากบินเข้าไป
ในกองไฟคือกองกิเลสด้วย
ความไม่เข้าใจความจริงจนกว่า
จะเริ่มฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีถูกตามได้
เพียรอาศัยการฟังพึ่งคิดตามคำสอน
เพื่อเข้าใจจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำ
ออกจากกิเลสคือความไม่รู้ที่กำลังมี
https://youtu.be/Pr-Djg44m68
:b16: :b16: :b16:


ภิกษุในธรรมวินัยบรรพชาสละหมดทรัพย์สินเงินทอง
ความจริงตรงตามพระไตรปิฎกมีที่กายใจตนเองเท่านั้น
จะเห็นอะไรนอกตาก็คือความคิดเห็นผิดถูกไหมคะเพราะ
สีที่เห็นดับทันทีในลูกตาก่อนกะพริบตาดังนั้นปัญญารู้ตาม
ถูกตรงตามการพึ่งคิดตามคำสอนตรงขณะทีละ1คำคือปริยัติ
ข้ามการฟังก็คือไปทำตามเห็นผิดเชื่อคนอื่นทำตามคนอื่นไม่ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยการฟังเพื่อคิดเห็นถูกตามได้ตรงขณะ
ไม่ใช่เลือกไปทำตามความอยากและเชื่อตาเนื้อกิเลสตนเองว่ามีคนทำอะไร
ไปทำตามเขาลืมไหมคะตถาคตบอกให้ฟังไตร่ตรองเหตุผลมีศรัทธาในการฟังไหมคะ
การจะรู้ว่าใครบรรลุธรรมระดับไหนรู้ได้เท่าที่ปัญญาตนถึงระดับนั้นไม่ใช่หรือคะเชื่อตาตัวเองถึงไม่ฟังไงคะ
ลองฟังคลิปนี้ให้จบฟังว่าพระภิกษุที่มาสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯกล่าวอะไรให้เข้าใจได้บ้างนะคะ
https://youtu.be/XHkG7EOodUY



1. สัมมาทิฏฐิไม่ใช่ความคิดเห็น ความคิดเห็นคือสัมมาสังกัปปะ
สัมาทิฏฐิ คือ จิตเป็นพุทธโธ คือ เป็นผู้รู้ ผู้คื่น ผู้เบิกบาน
- สัมมาทิฏฐิ เป็น ผู้รู้ คือ รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ คือ เข้าไปเห็นของจริงนั่นเอง ไม่ใช่มานั่งคิดเองเออเอง สัมมาทิฏฐิจึงไม่ใช่คิดเห็นตามจริง จึงเป็นประธานในมรรค สันตะติขาดเข้าสังขารุเปกขา ได้เห็นของจริง ถึงพระอริยะสัจ ๔ ของจริง จิตน้อมไปถอนจากอวิชชา นี่คือสัมมาทิฏฐิ ตราบยังเข้าไม่ถึงจุดนี้ แค่เรียนรู้จดจำมาว่าแนวทางเป้นอย่างนี้ๆก็ขึ้นชื่อว่า สัมมาทิฏฐิที่เป็นเหตุสะสมเท่านั้น คือ เป็นบุญบารมีแก่ขันธ์สะสมจดจำในจิตทับถมแทนอวิชชาเท่านั้น สำหรับพระอริยะแล้วมันเป็นเพียงความคิด เป็นสัมมาสังกัปปะแบบสาสวะเท่านั้น
- สัมมาทิฏฐิ เป็น ผู้ตื่น คือ ตื่นจากความหลงอยู่ในสมมติความคิด สมมติกิเลสของปลอม มีใจหมายออกจากความทุกข์ทั้งสิ้นนี้ หลุดพ้นจากความหลงสมมติของปลอม นั่นคือ น้อมเข้าองค์อริยะมรรคในโลกุตระ หากปุถุชนนี้คือเอาสันดารพระอริยะมาสถิตย์ มุ่งมั่นเดินตรงในทางมรรคทั้งสิ่งที่เป็นบุญแก่ขันธ์ และมุ่งมั่นเพื่อเข้าถึงองค์มรรค (ปุถุชนฆราวาสมีไตรสิกขา คือ ทาน ศีล ภาวนา หากเป็นพระไม่สามารถทำทานได้ แต่เป็นผู้รับทาน จึงมีไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)
- สัมมาทิฏฐิ เป็น ผู้เบิกบาน คือ เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอมทั้งปวง ปุถุชนนี้จะเบิกบานได้เมื่อจิตนี้เป็นกุศล ไม่เจอปนด้วยกิเลส มันเบา สบาย เย็นใจ อุ่นใจ ไม่หวาดกลัว ไม่ติดใจข้องแวะ ไม่เร่าร้อน สะสมเหตุใน ปัสสัทธิ นิโรธ แบบสาสวะ ให้เป็นอุปนิสัยที่ไม่ยึดกิเลส และบุญบารมีแก่ขันธ์

2. จิตเกิดได้ที่ละดวง หรือการรู้ทีละ 1 ที่คุณโรสแนะนำ อันนี้ก็เป็นการดีอยู่ แต่เป้นปัญญาโดยความคิดเอาเท่านั้นอยู่ สะสมความจำไว้ แต่การรู้ทีละ 1 ทีละขณะนั้น ทีละสีขณะกระพริบตาของคุณโรสมันเป็นของสมมติตั้งแต่เห้นตรานั้นแล้วครับ หากสัตตะติขาด คุณโรสจะเห้นมันไม่เหมือนที่ท่องจำมาเป๊ะ
คือ
- จิตเปิดรับ ขณะนั้นเกิดความรู้สึกรับรู้ที่มีอาการเพียงแว๊บขึ้น แต่ไม่รู้อะไร จิตรู้แค่ว่ามีสิ่งหนึ่งกระทบ หรือมาทำให้จิตกระเพื่อมรู้สึกแว๊บหนึ่งไวมากเพียงเสี้ยววินาที แล้วก็ดับวูบ นิ่ง ว่างลง (ของจริงดับไป)
- จิตทำไว้ในใจด้วยความหมายรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นให้รู้นั้น แล้วก็ดับวูบ นิ่ง ว่าง
- เกิดเจตนาออกจากจิตจงใจเข้าไปรู้สิ่งนั้น มีอาการที่พุ่งออก ส่งออกไปหาสิ่งนั้นด้วยความหมายรู้อารมณ์ แล้วก็ดับวูบนิ่งว่าง
- เจตนาหมายรู้อารมณ์นั้นแหละเป็นตัวทำให้สัญญาเกิดขึ้น จิตเข้าไปค้นหาในสัญญา แล้วก็ดับวูบลง (สมมติเกิดตั้งแต่สัญญาเกิดขึ้นของปลอมทั้งสิ้นของจริงดับไปนานแล้ว)
- ทำให้เกิดความรู้โดยสัญญา เช่น เกิดความรู้ว่าเป็นสี แสง ความสั่นสะเทือนกังวาลกระทบจิตมีลักษณะเหมือนคลื่นน้ำที่แผ่เป็นวงมากระทบ อาการสภาวะรูปลักษณ์ที่แปรเปลี่ยนของสภาวะที่เป็นอยู่ ขณะเดียวกันนี้ก็ให้รู้ถึงความรู้สึกจากสิ่งนั้นๆ เป็นไปในความรู้สึกต่างๆ แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็ดับนิ่ง วูบลง ความไม่ก่อนไม่หลังสืบต่อกันเริ่มแต่ลำดับนี้ไป
- เกิดความรู้ว่าเป็นสีอะไร แสงอะไรแบบไหน สว่าง มืดสุข ทุกข์ เฉยๆ วูบ นิ่ง แล้วก็วูบนิ่ง ว่างลง
- นับจากนี้ก็เกิดความปรุงแต่งสมมติไปต่างๆนาๆ เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นโน่น หลับตากระพริบเห็นทีละสี เป็นสีนั้น สีนี้ คนนั้น คนนี้ สวยไม่สวย งามไม่งาม รัก ชัง เกลียด หลง ก็จุดนี้เป็นต้นไป (นี่คือทีละขณะที่คุณโรสกล่าวถึงมันอยู่แค่จุดนี้เอง ยังไม่ไปถึงด้านบน แต่สามารถเรียนรู้เพื่อให้จิตคลายความยึดสิ่งที่เห็นได้ เพื่อน้อมเข้าสมาธิได้)
- นี่ทำให้เห็นเลยของแท้มันไม่มีอะไรน่าใคร่ปารถนา น่าขัดเคืองชิงชัง น่าหลงอยู่ แต่ที่ รัก ชัง หลง เพราะสมมติของปลอมทั้งนั้นโดยสัญญา แต่ต่อให้เห้นให้รู้ให้ถึง ถ้าจิตไม่ทำกิจครบรอบ 3 อาการ 12 ก็แค่ปุถุชนเท่านั้น คนถึงมีมากมาย สูงกว่านี้จนเข้าไปทำกิจก็มี แต่เพราะจิตยังวางเฉยต่อสังขารที่เกิดขึ้นไม่ได้ มันก็ทำกิจไม่ได้ไม่พร้อม ไม่ถอน

**ดังนี้จึงชื่อว่าท่องจำได้หมดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ก็ไม่สู้รู้จริงชั่วแวบเดียว**
พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงใบลานเปล่า และกล่าวว่าผู้ที่เข้าถึงวิปัสสนาแท้ๆ(ไม่ใช่ท่องจำคิดเอาแต่เห็นจริง) แค่ชั่วลัดข้อนิ้วมือ นี้ยังสูงกว่าผู้ทรงฌาณอีก เพราะผลของจิตหลังจากนั้นมันจะทำให้กาย วาจา ใจ สูงขึ้นมาก ทำเหตุสะสมเพื่อน้อมไปในมรรคอันเป็นองค์มรรคแท้ๆ

ถ้าปฏิบัติจึงจะเห็นได้
- จะให้ทานบุญมากบุญน้อยช่างมันเราทำเพื่อสะสมเหตุให้ใจเราสละไม่เอาใจเข้ายึดครองสิ่งที่ตนให้และผู้รับให้ได้
- ศีลจะไม่บริสุทธิ์ จะขาด จะทะลุ จะอะไรก็ช่างมันตั้งใจทำมันทุกวันเพื่อสะสมให้เกิดความเย็นใจ อุ่นใจ มีเจตนาเป็นศีล
- จะเข้าสมาธิได้ฌาณ หรือไม่ได้ก็ช่างมัน จะถึงขั้นไหนก็ช่างมัน จะได้สุกขวิปัสโก หรือเตวิชโช หรือฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทา ก็ช่างมัน ให้ทำสะสมไปเรื่อยให้ละความฟุ้งซ่าน ติดใจข้องแวะน้อยลง จิตเป็นกุศลมากขึ้น จนสติมันจดจ่อในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้นาน จิตมันก็จะตั้งมั่นเป็นอารมร์เดียวได้นานตามเอง จิตอิ่มอามิสเมื่อไหร่มันก็เห็นของจริงเมื่อนั้น

- ทำก่อนให้เห็นจริง มีคุณกว่ามาเพ้อตามกระทู้กว่าเยอะ ไปเรียนกับครูบาอาจารย์ได้ยิ่งดี พระป่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฤๅษี ยุคสุดท้ายในช่วงเวลานี้ยังมีอยู่ครับ และฝ่ายกรรมฐานอีกหลายสาย ปล่อยให้กระทู้เป็นเพียงบันทึกความจำตนในแต่ละรับดับการเจริญธรรมดีกว่าครับ ผมไม่ได้ว่าท่านโรสรินคนสวยนะครับ แต่ผมเชื่อว่าความรู้จากสิ่งที่คุณโรสรินเรียนจำมานี้หาคุณโรสรินเข้าถึงของจริงเมื่อไหร่นะ จะกลายเป็นโปรอภิธรรมเลยครับ สามารถอธิบายง่ายๆ ภาษาชาวบ้านได้ ไม่ต้องไปเอาวิถีจิตใดๆมาอ้างให้มาก และทุกอย่างที่คุณโรสจะกล่าวในตอนนั้นก็ล้วนเป็นของจริงด้วย

ผมติดตามคุณโรสรินคนสวย กับท่านกรัซกาย ทั้ง 2 ท่านเสมอครับ เป็นแฟนคลับอะครับ
:b27: :b27: :b27:

ขออนุโมทนาครับ

สัมมาทิฏฐิ=ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา เกิดตอนเริ่มฟังแล้วคิดตรงตามคำสอนได้จากการฟังตอนลืมตาดูหูฟัง
ปัญญาเกิดตรงข้ามกับฌานซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นสมาธิหลับตาคือสภาพเพ่งเผาธัมมะฝ่ายตรงข้าม
ถ้าทำฌานจิตโดยขาดปัญญาฌานนั้นก็ทำลายสัมมาทิฏฐิเพราะไม่รู้และไม่พึ่งคิดตามคำสอนไม่เข้าใจอะไร
(ศาสนาคือคำสอน)(ศาสดาคือตถาคต)(ตถาคตยกคำสอนแทนตนเอง)=ศาสดาคือคำสอนไม่ใช่ภิกษุบุคคล
:b11:
:b16: :b16:


อ่านคำตอบของคุณโรสแล้วเหมือนนั่งมองปลาหมึกที่กำลังแหวกว่ายในดงสาหร่าย
หนวดก็สยายไปสยายมา สาหร่ายก็พริ้วไปพริ้วมา

สุตมยปัญญา อะไรจะเกิดได้ด้วยวาทะอย่างนี้ หว๋าาาาา

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
ขอโทษนะคะ...ความจริงตามคำสอนคิดเองไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียวค่ะ
จำไม่ได้หรือคะ...ตถาคตบอกว่าไม่ใช่ให้เชื่อแต่ให้ฟังเพื่อไตร่ตรองตาม
คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกคำตรงจริงตรงขณะเป็นปัจจุบันอารมณ์เดี๋ยวนี้
:b32:
ตัวตนน่ะมีแล้วไม่ต้องแยกตัวตนออกไปจากตาที่กำลังเห็นเลยค่ะและหูก็กำลังได้ยิน
ไม่มีอะไรปิดบังสภาพธรรมเลยและไม่ต้องทำเห็นทำได้ยินใหม่เพราะเห็นแล้วได้ยินแล้ว
ไม่มีใครทำเห็นที่กำลังเห็นและไม่มีใครทำได้ยินที่กำลังได้ยินตาไม่บอดหูไม่หนวกไม่เข้าใจรึ
:b16:
ความจริงทนต่อการพิสูจน์จริงๆเดี๋ยวนี้เลยฟังไม่รู้เรื่องแปลว่าปัญญาตัวเองมันไม่พอเลยไม่รู้ว่ามีครบแล้ว
https://youtu.be/cdpCI1AnzjE
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

สังเกตุ เห็น คุณ Rosarin เขียนมาโดยส่วนมากแล้วก็แต่
สิ่งเดิมๆ สั้นๆ พอเพื่อนๆนำพระธรรมคำสอนก็เน้นตรงจุดเดียว
ที่ตนเข้าใจและรู้เห็นเท่านั้นส่วนอื่นมิให้สนใจเลย

แล้วที่ผ่านๆมา คุณ Rosarin นำธรรมที่คุณได้แจกจาย ให้ใครๆ
คนใดคนหนึ่งรู้เข้าใจบ้างหรือยังครับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
ขอโทษนะคะ...ความจริงตามคำสอนคิดเองไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียวค่ะ
จำไม่ได้หรือคะ...ตถาคตบอกว่าไม่ใช่ให้เชื่อแต่ให้ฟังเพื่อไตร่ตรองตาม
คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกคำตรงจริงตรงขณะเป็นปัจจุบันอารมณ์เดี๋ยวนี้
:b32:
ตัวตนน่ะมีแล้วไม่ต้องแยกตัวตนออกไปจากตาที่กำลังเห็นเลยค่ะและหูก็กำลังได้ยิน
ไม่มีอะไรปิดบังสภาพธรรมเลยและไม่ต้องทำเห็นทำได้ยินใหม่เพราะเห็นแล้วได้ยินแล้ว
ไม่มีใครทำเห็นที่กำลังเห็นและไม่มีใครทำได้ยินที่กำลังได้ยินตาไม่บอดหูไม่หนวกไม่เข้าใจรึ
:b16:
ความจริงทนต่อการพิสูจน์จริงๆเดี๋ยวนี้เลยฟังไม่รู้เรื่องแปลว่าปัญญาตัวเองมันไม่พอเลยไม่รู้ว่ามีครบแล้ว
https://youtu.be/cdpCI1AnzjE
:b17: :b17:


คุณรสเป็นอริยะเจ้าแล้วเหร๋อคะ
เห็นท่าจะฟังสำนักนี้สนทนามานานมากแล้ว

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ธ.ค. 2018, 21:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะท่านสนทนากันแบบนี้นะคะ :b1:

Quote Tipitaka:
๑๐. โกฏฐิตสูตรที่ ๓
ว่าด้วยความหมายของอวิชชาและวิชชา
[๓๓๒] พระนครพาราณสี. ท่านพระสารีบุตรนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ถาม
ท่านพระมหาโกฏฐิตะว่า ดูกรท่านโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉน
หนอแล และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร? ท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งรูป ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งเหตุเกิดแห่ง
รูป ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งความดับแห่งรูป ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งรูป ย่อม
ไม่รู้ชัดซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ... ซึ่งวิญญาณ ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งวิญญาณ
ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งความดับแห่งวิญญาณ ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ.
ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
[๓๓๓] เมื่อท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงได้ถามว่า ดูกร
ท่านโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า วิชชา วิชชา ดังนี้ วิชชาเป็นไฉนหนอแล และบุคคลเป็นผู้ประกอบ
ด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร? ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้
สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดซึ่งรูป ย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งรูป ย่อมรู้ชัดซึ่งความดับแห่ง
รูป ย่อมรู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งรูป ย่อมรู้ชัดซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่ง
สังขาร ... ซึ่งวิญญาณ ย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งวิญญาณ ย่อมรู้ชัดซึ่งความดับแห่งวิญญาณ ย่อม
รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้เรียกว่า วิชชา และ
บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
จบ สูตรที่ ๑๐.
จบ อวิชชาวรรคที่ ๓.


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ธ.ค. 2018, 21:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


นี่ค่ะ แบบอย่างที่อริยะสนทนากันนะคะ :b16: :b16:

อ่านแล้ว...เจริญใจ เจริญปัญญาค่ะ
นุ่มนวล ชัดเจน ตรงประเด็น
ไม่เป็นปลาหมึก สาหร่าย น้ำลายไหล ขี้ไคลย้อย เลยเห็นมั๊ยคะ

Quote Tipitaka:
โกฏฐิกสูตร

[๒๙๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิกะ อยู่ในป่า
อิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น ท่าน
พระมหาโกฏฐิกะออกจากที่พักผ่านแล้วเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้
ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึง
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรท่านพระ-
*สารีบุตร จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป รูปเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุ หู
เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของเสียง เสียงเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของหู จมูกเป็นเครื่อง
เกาะเกี่ยวของกลิ่น กลิ่นเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจมูก ลิ้นเป็นเครื่องเกาะเกี่ยว
ของรส รสเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของลิ้น กายเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของโผฏฐัพพะ
โผฏฐัพพะเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของกาย ใจเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์
ธรรมารมณ์เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจหรือ ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่าน-
*โกฏฐิกะ จักษุเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป รูปเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุหามิได้
ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยว
ในจักษุและรูปนั้น หูเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของเสียง เสียงเป็นเครื่องเกาะเกี่ยว
ของหูหามิได้ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยหูและเสียงทั้งสองนั้น เป็น
เครื่องเกาะเกี่ยวในหูและเสียงนั้น จมูกเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของกลิ่น กลิ่นเป็น
เครื่องเกาะเกี่ยวของจมูกหามิได้ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจมูกและ
กลิ่นทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในจมูกและกลิ่นนั้น ลิ้นเป็นเครื่องเกาะเกี่ยว
ของรส รสก็เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของลิ้นหามิได้ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะ
อาศัยลิ้นกับรสทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในลิ้นและรสนั้น กายเป็นเครื่อง
เกาะเกี่ยวของโผฏฐัพพะ โผฏฐัพพะก็เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของกายหามิได้ ความ
พอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยว
ในกายและโผฏฐัพพะนั้น ใจเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ก็
เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจหามิได้ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและ
ธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในใจและธรรมารมณ์นั้น ฯ
[๒๙๖] ดูกรท่านโกฏฐิกะ โคดำกับโคขาว เขาผูกติดกันด้วยสายทาม
หรือด้วยเชือกเส้นเดียวกัน หากจะมีบุคคลใดกล่าวว่า โคดำเกี่ยวเนื่องกับโคขาว
โคขาวเกี่ยวเนื่องกับโคดำ ดังนี้ บุคคลนั้นกล่าวชอบหรือ ฯ
ก. ดูกรท่านพระสารีบุตร ไม่ใช่อย่างนั้น โคดำไม่เกี่ยวเนื่องกับโคขาว
ทั้งโคขาวก็ไม่เกี่ยวเนื่องกับโคดำ โคดำกับโคขาวนั้นเขาผูกติดกันด้วยสายทามหรือ
ด้วยเชือกเส้นเดียวกัน สายทามหรือเชือกนั้นเป็นเครื่องเกี่ยวเนื่องในโคทั้งสองนั้น
ฉันใด ฯ
สา. ดูกรท่านโกฏฐิกะ ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักษุเป็นเครื่องเกาะ
เกี่ยวของรูป รูปเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุหามิได้ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้น
เพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในจักษุและรูปนั้น ฯลฯ
ใจเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจหา
มิได้ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น เป็น
เครื่องเกาะเกี่ยวในใจและธรรมารมณ์นั้น ฯ
[๒๙๗] ดูกรท่านโกฏฐิกะ จักษุจักเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป หรือรูป
จักเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดย
ชอบ ย่อมไม่ปรากฏ แต่เพราะจักษุไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป รูปก็ไม่เป็น
เครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสอง
นั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในจักษุและรูปนั้น เพราะฉะนั้น การอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ จึงปรากฏ ฯลฯ ใจจักเป็นเครื่องเกาะเกี่ยว
ของธรรมารมณ์ หรือธรรมารมณ์จักเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจ การอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ย่อมไม่ปรากฏ แต่เพราะใจไม่เป็นเครื่อง
เกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ก็ไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจ ความพอใจ
รักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในใจ
และธรรมารมณ์นั้น เพราะฉะนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์
โดยชอบ จึงปรากฏ ดูกรท่านโกฏฐิกะ ข้อนี้พึงทราบโดยปริยายแม้นี้ จักษุไม่
เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป รูปก็ไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของจักษุ ความพอใจ
รักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในจักษุและ
รูปนั้น ฯลฯ ใจไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ก็ไม่เป็นเครื่อง
เกาะเกี่ยวของใจ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้งสอง
นั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในใจและธรรมารมณ์นั้น ฯ
[๒๙๘] ดูกรท่านโกฏฐิกะ พระเนตรของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้ พระ-
*องค์ก็ทรงเห็นรูปด้วยพระเนตร แต่พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่เลย พระองค์
ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พระโสตของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ยังทรง
ฟังเสียงด้วยพระโสต แต่พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิต
หลุดพ้นดีแล้ว พระนาสิกของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ทรงสูดกลิ่นด้วย
พระนาสิก แต่พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว
พระชิวหาของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ทรงลิ้มรสด้วยพระชิวหา แต่
พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พระกายของ
พระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ทรงถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกาย แต่พระองค์
ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พระมนัสของพระผู้มี-
*พระภาคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ทรงรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยพระมนัส แต่พระองค์ไม่มี
ความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นแล้ว ดูกรท่านโกฏฐิกะ ข้อนี้พึงทราบ
โดยปริยายนี้ จักษุไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของรูป รูปก็ไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของ
จักษุ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูปทั้งสองนั้น เป็นเครื่อง
เกาะเกี่ยวในจักษุและรูปนั้น ฯลฯ ใจไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของธรรมารมณ์
ธรรมารมณ์ก็ไม่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวของใจ ความพอใจรักใคร่เกิดขึ้นเพราะอาศัย
ใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในใจและธรรมารมณ์นั้น ฯ
จบสูตรที่ ๕


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ธ.ค. 2018, 22:00, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

หากปัญญาเกิดได้จริง แล้วคุณ Rosarin
แก้ปัญหาต่างๆของตัวเองได้มากกว่าแต่ก่อนมั้ย?
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มานะ ของตัวเอง
ลดลงมากหรือมั้ย? คงไม่ตอบเลี่ยงไปอีกทางนะครับ

เมื่อก่อนจะรับฟัง นั้นโกรธมาก เมื่อฟังแล้วเกิดปัญญา
แล้ว ความโกรธ ย่อมจะลดน้อยลง หากคิดว่าไม่ต้องปฏิบัติ
ธรรมด้วยการ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้ เพียงฟังอย่างเดียวเท่า
นั้นก็เกิดปัญญาแก้ปัญหาลดปัญหาของชีวิตลงได้มากหรือไม่?

เช่นเดียวความโลภ ความหลง มานะ ก็เช่นเดียวกับข้างบนครับ

ยังมีอาหารที่ชอบมากไหมครับ? s006 s006 s006

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 22:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
:b8:

หากปัญญาเกิดได้จริง แล้วคุณ Rosarin
แก้ปัญหาต่างๆของตัวเองได้มากกว่าแต่ก่อนมั้ย?
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มานะ ของตัวเอง
ลดลงมากหรือมั้ย? คงไม่ตอบเลี่ยงไปอีกทางนะครับ

เมื่อก่อนจะรับฟัง นั้นโกรธมาก เมื่อฟังแล้วเกิดปัญญา
แล้ว ความโกรธ ย่อมจะลดน้อยลง หากคิดว่าไม่ต้องปฏิบัติ
ธรรมด้วยการ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้ เพียงฟังอย่างเดียวเท่า
นั้นก็เกิดปัญญาแก้ปัญหาลดปัญหาของชีวิตลงได้มากหรือไม่?

เช่นเดียวความโลภ ความหลง มานะ ก็เช่นเดียวกับข้างบนครับ

ยังมีอาหารที่ชอบมากไหมครับ? s006 s006 s006

:b8:


:b1: คุณ เอสบอนน์ อิอิ ชื่อคุณออกเสียงยากจัง
เอกอนจะเรียกชื่อคุณว่าอย่างไรดี ถึงจะถูกคะ s006

กับข้อสงสัยข้างต้น มีบ้างค่ะเมื่อผู้ปฏิบัติไปเจอกับแนวทางปฏิบัติบางอย่าง
และซึมซับพฤติกรรมนั้น ๆ จนเกิดอาการฝังหัว ฝังใจ ฝังจิต
จนสามารถสำแดงอาการบางอย่างให้เกิดกับจิต เป็นอาการที่พิเศษ
จนทำให้ผู้เสพคิดไปถึง การเข้าถึงธรรม การบรรลุธรรม
ซึ่งผลที่แสดงจะทำให้เขาคิดไปว่า สิ่งที่เขาปฏิบัติเป็นตัวทำให้เกิดสิ่งนั้น
และก็จับยึดเอาไว้

นั่นคือ ติดอารมณ์ธรรมหนึ่ง ๆ

เหมือนเดินไปเจอก้อนบางอย่าง แล้วเอาเข้าปาก พอเห็นว่ามันเค็ม
ก็ปักใจมั่นว่าเป็นเกลือ
และก็พยายามจะคะยั้นคะยอให้ผู้อื่นเข้ามาชิมไอ้ก้อนตนพบ

:b1:

อาการจะแสดงธรรมแบบ มีกลิ่นอายของผู้ที่กำลังเมาเหล้า
และจะเหมือนผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
ที่ต้องคอยเติมอัลกอฮอล์เข้าไปในกระแสเลือด :b1:

แต่นี่เป็นอาการเมาอารมณ์ ... พิษอารมณ์เรื้อรัง
ดังนั้นก็จะมีการคอยย้ำเสพสิ่งเดิม ๆ เพื่อหล่อเลี้ยงให้อารมณ์นั้นปรากฏตลอดเวลา

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ธ.ค. 2018, 22:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

หากปัญญาเกิดได้จริง แล้วคุณ Rosarin
แก้ปัญหาต่างๆของตัวเองได้มากกว่าแต่ก่อนมั้ย?
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มานะ ของตัวเอง
ลดลงมากหรือมั้ย? คงไม่ตอบเลี่ยงไปอีกทางนะครับ

เมื่อก่อนจะรับฟัง นั้นโกรธมาก เมื่อฟังแล้วเกิดปัญญา
แล้ว ความโกรธ ย่อมจะลดน้อยลง หากคิดว่าไม่ต้องปฏิบัติ
ธรรมด้วยการ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้ เพียงฟังอย่างเดียวเท่า
นั้นก็เกิดปัญญาแก้ปัญหาลดปัญหาของชีวิตลงได้มากหรือไม่?

เช่นเดียวความโลภ ความหลง มานะ ก็เช่นเดียวกับข้างบนครับ

ยังมีอาหารที่ชอบมากไหมครับ? s006 s006 s006

:b8:


:b1: คุณ เอสบอนน์ อิอิ ชื่อคุณออกเสียงยากจัง
เอกอนจะเรียกชื่อคุณว่าอย่างไรดี ถึงจะถูกคะ s006

กับข้อสงสัยข้างต้น มีบ้างค่ะเมื่อผู้ปฏิบัติไปเจอกับแนวทางปฏิบัติบางอย่าง
และซึมซับพฤติกรรมนั้น ๆ จนเกิดอาการฝังหัว ฝังใจ ฝังจิต
จนสามารถสำแดงอาการบางอย่างให้เกิดกับจิต เป็นอาการที่พิเศษ
จนทำให้ผู้เสพคิดไปถึง การเข้าถึงธรรม การบรรลุธรรม
ซึ่งผลที่แสดงจะทำให้เขาคิดไปว่า สิ่งที่เขาปฏิบัติเป็นตัวทำให้เกิดสิ่งนั้น
และก็จับยึดเอาไว้

นั่นคือ ติดอารมณ์ธรรมหนึ่ง ๆ

เหมือนเดินไปเจอก้อนบางอย่าง แล้วเอาเข้าปาก พอเห็นว่ามันเค็ม
ก็ปักใจมั่นว่าเป็นเกลือ
และก็พยายามจะคะยั้นคะยอให้ผู้อื่นเข้ามาชิมไอ้ก้อนตนพบ

:b1:

:b8:

จะเรียกว่าเอส เฉยๆก็ได้ครับ ง่ายดีสะดวก แต่
สิ่งสะดวกสบายนี้ก็นำทุกข์มาให้เช่นกันทำให้คนเรา
ขี้เกียจมากขึ้นทุกวันๆ

ติดเอามากๆเลยนะครับ บางครั้งคงต้องรอเวลา อาจยัง
ไม่ถึงเวลาตื่นจากการคิดผิดของตัวเองครับ

หนักกว่าพระเจ้าปายาสิอีกนะครับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 22:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
eragon_joe เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

หากปัญญาเกิดได้จริง แล้วคุณ Rosarin
แก้ปัญหาต่างๆของตัวเองได้มากกว่าแต่ก่อนมั้ย?
ความโลภ ความโกรธ ความหลง มานะ ของตัวเอง
ลดลงมากหรือมั้ย? คงไม่ตอบเลี่ยงไปอีกทางนะครับ

เมื่อก่อนจะรับฟัง นั้นโกรธมาก เมื่อฟังแล้วเกิดปัญญา
แล้ว ความโกรธ ย่อมจะลดน้อยลง หากคิดว่าไม่ต้องปฏิบัติ
ธรรมด้วยการ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้ เพียงฟังอย่างเดียวเท่า
นั้นก็เกิดปัญญาแก้ปัญหาลดปัญหาของชีวิตลงได้มากหรือไม่?

เช่นเดียวความโลภ ความหลง มานะ ก็เช่นเดียวกับข้างบนครับ

ยังมีอาหารที่ชอบมากไหมครับ? s006 s006 s006

:b8:


:b1: คุณ เอสบอนน์ อิอิ ชื่อคุณออกเสียงยากจัง
เอกอนจะเรียกชื่อคุณว่าอย่างไรดี ถึงจะถูกคะ s006

กับข้อสงสัยข้างต้น มีบ้างค่ะเมื่อผู้ปฏิบัติไปเจอกับแนวทางปฏิบัติบางอย่าง
และซึมซับพฤติกรรมนั้น ๆ จนเกิดอาการฝังหัว ฝังใจ ฝังจิต
จนสามารถสำแดงอาการบางอย่างให้เกิดกับจิต เป็นอาการที่พิเศษ
จนทำให้ผู้เสพคิดไปถึง การเข้าถึงธรรม การบรรลุธรรม
ซึ่งผลที่แสดงจะทำให้เขาคิดไปว่า สิ่งที่เขาปฏิบัติเป็นตัวทำให้เกิดสิ่งนั้น
และก็จับยึดเอาไว้

นั่นคือ ติดอารมณ์ธรรมหนึ่ง ๆ

เหมือนเดินไปเจอก้อนบางอย่าง แล้วเอาเข้าปาก พอเห็นว่ามันเค็ม
ก็ปักใจมั่นว่าเป็นเกลือ
และก็พยายามจะคะยั้นคะยอให้ผู้อื่นเข้ามาชิมไอ้ก้อนตนพบ

:b1:

:b8:

จะเรียกว่าเอส เฉยๆก็ได้ครับ ง่ายดีสะดวก แต่
สิ่งสะดวกสบายนี้ก็นำทุกข์มาให้เช่นกันทำให้คนเรา
ขี้เกียจมากขึ้นทุกวันๆ

ติดเอามากๆเลยนะครับ บางครั้งคงต้องรอเวลา อาจยัง
ไม่ถึงเวลาตื่นจากการคิดผิดของตัวเองครับ

หนักกว่าพระเจ้าปายาสิอีกนะครับ

:b8:

:b1:

พวกนี้จะมี "อหังการ มมังการ" เด่น
ของสูงก็จะดึงลงต่ำ และก็พยายามจะยกตนขึ้นสูง

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
:b8:

จะเรียกว่าเอส เฉยๆก็ได้ครับ ง่ายดีสะดวก แต่
สิ่งสะดวกสบายนี้ก็นำทุกข์มาให้เช่นกันทำให้คนเรา
ขี้เกียจมากขึ้นทุกวันๆ

ติดเอามากๆเลยนะครับ บางครั้งคงต้องรอเวลา อาจยัง
ไม่ถึงเวลาตื่นจากการคิดผิดของตัวเองครับ

หนักกว่าพระเจ้าปายาสิอีกนะครับ

:b8:


:b13:

เอกอนรู้แล้ว เอกอนจะเรียกคุณ เสริมสุข

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 23:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
ติดเอามากๆเลยนะครับ บางครั้งคงต้องรอเวลา อาจยัง
ไม่ถึงเวลาตื่นจากการคิดผิดของตัวเองครับ

:b8:


สำหรับผู้ปฏิบัติ บนเส้นทาง มันจะพบกับเกลือหลายบ่อเลย
เพราะมันจะมีเส้น มีช่องให้ปรากฏอารมณ์วิจิตร์ขึ้นกับจิตได้หลายเส้น หลายช่อง

:b1:

เมื่อได้เพียร และได้ไปเจอเกลือบ่อแรกก็ตื่นเต้นด้วยกันทั้งนั้น

แต่ผู้ที่รู้ว่ายังมีธรรมที่ยิ่งกว่า เกลือบ่อนี้ไม่ใช่ที่สุด เขาก็เพียรไปต่อ
และความเพียรก็จะพาให้เขาไปเจอเกลือบ่อถัดไป
ธรรมารมณ์ที่ปรากฏก็นุ่มนวล ละเอียด แช่มชื่น ลุ่มลึก กว่าบ่อแรก
แต่ถ้าผู้นั้นยังเห็นว่า ยังมีธรรมที่ลุ่มลึกยิ่งกว่านั้นอีก เขาก็เพียรต่อ
...
เขาจะไม่อาลัยในบ่อเกลือ

เมื่อละอาลัยบ่อเกลือแต่ละบ่อไปได้เรื่อย ๆ จนที่สุด

ประจักษ์แจ้งสภาพธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อันเป็นหัวมงกุฏของคำสอน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คือ การเห็นแจ้ง ในขั้นสุด
ไม่ใช่ การหมายรู้ หมายเข้าใจ ในเบื้องแรก

ความรู้ความเข้าใจอันเป็นในเรื่องปัญญา
เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติน้อมนำมาหมายรู้ หมายจำ
น้อมนำมาตระหนัก ตรึกตรอง กำหนดพิจารณา
จะเป็นสิ่งที่เนียนติดกับผู้ปฏิบัติไปตลอดเส้นทาง
มันเป็น ทิฏฐิ ที่จะนำไปสู่

การปฏิบัติก็จะเป็นการที่ ทิฏฐิ ก็จะถูกชำระไปด้วย
ด้วยการประจักษ์แจ้ง

:b1:

ผู้ปฏิบัติจริง ไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้องเปิดตำรา เขาก็จะรู้ว่าปลายทางของธรรมแต่ละหมวดคืออะไร

อย่างถ้าหากว่าใครกำหนดพิจารณามาในเส้นทาง ปฏิจจสมุปบาท
ที่สุดเขาจะเห็นการปรากฏของ วิชา
ซึ่งนั่นก็คือเขาก็จะเห็นการปรากฏของ ปัญญา
ซึ่งมันจะลบล้าง ปัญญาอันเป็นทิฐิ ที่เกาะติด ที่เข้าใจในอดีตลงอย่างหักสะบั้นเลย

อย่างถ้าหากว่าใครกำหนดพิจารณามาในเส้นทาง อิทัปปัจจยตา
ที่สุดเขาจะเข้าใจปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏ และดับปรากฏ ที่เป็นไปใน รูป-นาม

:b1:

ทัศนะของผู้ปฏิบัติจริง และเห็นผลจริง จะมีความชัดเจน
หัวมังกร...หางก็มังกร
มันจะไม่เป็นหรอก หัวมังคุด หางมังกร น่ะ

:b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 22 ธ.ค. 2018, 16:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2018, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ลืมตาตื่นอยู่เนี่ยเห็นไม่แจ้งหรือคะ
ก็เห็นอยู่ว่ายังเห็นเป็นคนสัตว์วัตถุ
เดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ว่ากำลังมีมิจฉาทิฏฐิ...
อิอิบอกไม่รู้จักฟังไม่รู้อะไรเลย555
บอกแล้วบอกอีกว่าเห็นผิดอยู่ปกติ
จะไปรู้ความจริงตอนไหนก็ขาดอะไร
ก็ยังไม่รู้บอกว่าขาดสุตมยปัญญาไงคะ
เดี๋ยวนี้เป็นเราเห็นคนสัตว์วัตถุตัวอักษรคือ
มองยังไงก็ไม่เห็นแค่สีคือกำลังคิดเห็นผิดอยู่
จนกว่าจะเริ่มระลึกตามเสียงตรงสิ่งที่กำลังเห็น
เพื่อเข้าใจถูกตามเกิดสัมมาทิฏฐิคือมรรคแรกตามคำสอน
เข้าใจคำว่าตามไหม...คิดตาม...คิดตาม...คิดตาม...คิดตามได้เท่านั้น
ตรงคำที่กำลังได้ยินรู้ความหมายตรงคำตามเสียงนั้นตรงคำไม่คิดเกินเสียงที่คนอื่นกำลังบอกค่ะ...เช่น
เห็นไม่ใช่เรา เห็นไม่ใช่คิด เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นธัมมะ เห็นดับแล้ว คิดผิดตามที่เห็นเป็นอกุศลจนกว่าเริ่มฟัง...
:b32: :b32:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2018, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

จะเรียกว่าเอส เฉยๆก็ได้ครับ ง่ายดีสะดวก แต่
สิ่งสะดวกสบายนี้ก็นำทุกข์มาให้เช่นกันทำให้คนเรา
ขี้เกียจมากขึ้นทุกวันๆ

ติดเอามากๆเลยนะครับ บางครั้งคงต้องรอเวลา อาจยัง
ไม่ถึงเวลาตื่นจากการคิดผิดของตัวเองครับ

หนักกว่าพระเจ้าปายาสิอีกนะครับ

:b8:


:b13:

เอกอนรู้แล้ว เอกอนจะเรียกคุณ เสริมสุข

:b4: :b4: :b4:

:b8:

ขอบคุณมากครับ แต่คงไม่เอาอีกแล้วครับ
เพราะผมมีหลายชื่อมากแล้วจำมาก มากชื่อก็ทำให้
วุ้นวาย สงสัยจะเป็นสิบชื่อแล้วมั้งตั้งแต่เกิดมา

คงจะต้องพยายามหยุดตัวเองที่จะอธิบายแล้วล่ะครับ
ต้องรอเวลา มีอยู่เหมือนกัน ผมไปคุยธรรมกับคนบางคน
คุยไปมาเค้าคงลำคาญใจ เค้าบอกผมว่า เค้าก็เคยบวชมา
หลายปีเหมือนกัน พอเค้าพูดแบบนี้ผมก็หยุด ไม่คุยกับเค้า
อยู่นานเหมือนกัน ต่อมาเค้าอ้วนพุงยุ้ย ผมเลยถามว่า เอาออก
ได้มั้ย แล้วชี้ใส่ท้องผม แบบนี้ เค้าตอบว่าไม่ได้หรอก ยอมแพ้
ผมเลยแนะนำวิธี และคุยกับเค้าอีกครั้ง และเค้าก็ยอมรับฟังแต่
โดยดีตั้งแต่นั้นมาครับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2018, 07:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
eragon_joe เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

จะเรียกว่าเอส เฉยๆก็ได้ครับ ง่ายดีสะดวก แต่
สิ่งสะดวกสบายนี้ก็นำทุกข์มาให้เช่นกันทำให้คนเรา
ขี้เกียจมากขึ้นทุกวันๆ

ติดเอามากๆเลยนะครับ บางครั้งคงต้องรอเวลา อาจยัง
ไม่ถึงเวลาตื่นจากการคิดผิดของตัวเองครับ

หนักกว่าพระเจ้าปายาสิอีกนะครับ

:b8:


:b13:

เอกอนรู้แล้ว เอกอนจะเรียกคุณ เสริมสุข

:b4: :b4: :b4:

:b8:

ขอบคุณมากครับ แต่คงไม่เอาอีกแล้วครับ
เพราะผมมีหลายชื่อมากแล้วจำมาก มากชื่อก็ทำให้
วุ้นวาย สงสัยจะเป็นสิบชื่อแล้วมั้งตั้งแต่เกิดมา

คงจะต้องพยายามหยุดตัวเองที่จะอธิบายแล้วล่ะครับ
ต้องรอเวลา มีอยู่เหมือนกัน ผมไปคุยธรรมกับคนบางคน
คุยไปมาเค้าคงลำคาญใจ เค้าบอกผมว่า เค้าก็เคยบวชมา
หลายปีเหมือนกัน พอเค้าพูดแบบนี้ผมก็หยุด ไม่คุยกับเค้า
อยู่นานเหมือนกัน ต่อมาเค้าอ้วนพุงยุ้ย ผมเลยถามว่า เอาออก
ได้มั้ย แล้วชี้ใส่ท้องผม แบบนี้ เค้าตอบว่าไม่ได้หรอก ยอมแพ้
ผมเลยแนะนำวิธี และคุยกับเค้าอีกครั้ง และเค้าก็ยอมรับฟังแต่
โดยดีตั้งแต่นั้นมาครับ

:b8:


:b16: ^^ ก็ได้คุณ. sss เฉยๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 482 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 33  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร