วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสพูดเรื่องรูป ว่าเป็นสีเป็นอะไรต่ออะไรของเค้าบ่อยครั้ง กท.จะว่าด้วยเรื่องรูปแบบพุทธ + รูปแบบคุณโรส

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้กระชับ เอานัยที่ 1 ก่อน

รูป 1. สิ่งที่ต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆอันขัดแย้งกัน, สิ่งที่มีรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะของมัน,
ส่วนร่างกาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่มองเห็นด้วยจักขุ ภาษาทางธรรมเรียกว่ารูปทั้งนั้น (จักขุ+รูป+จักขุวิญญาณ) (รูปธรรม) มองให้ถึงว่าคนอื่นมองเรา เรามองเขาด้วยนะ ที่เห็นๆนั่น เรียกว่า รูป ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นี่ทางธรรมว่าอย่างนี้

แต่ภาษาคนภาษาสมมุติเรียกเพื่อใช้สื่อสารกันรู้เรื่องเข้าใจ สิ่งที่เห็นก็เห็นแมว เห็นหมา กา ไก่ บุคคล คน มนุษย์ แล้วแต่ ฯลฯ ยังอีก เขาสมมุติบัญญัติซ้อนอีก ว่า คนๆนี้ ชื่อนาย ก. หญิงคนนี้ชื่อ นาง ข. คนๆนี้เป็นพ่อคนนั้น เป็นแม่ เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นลูกคนโน้น ...เป็นลูกของเรา เป็นต้น

เมื่อแยกอย่างนี้แล้วไม่ติดขัดเลย แต่คุณโรสไม่อย่างนี้ เช่นที่ว่า ไปกินอาหารกับครอบครัวจะสั่งรัวๆค่ะ

พอเราถามว่า ครอบครัวเป็นพ่อแม่สามีลูก คุณโรสไปไม่เป็น บอกต้องสุตะให้ตรงสัจจะ เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ อะไรๆของคุณเทอไป นี่แสดงว่าสับสนระหว่างสมมติบัญญัติ กับ คำพระแล้ว

ในสังคมมนุษย์ใช้บัญญัติสื่อสารกันทั้งนั้นแหละ เงินมี นี่มองตามสมมติ แต่มองตามภาษาพระภาษาทางธรรม เงินไม่มี ฯลฯ คนมีอยู่ แต่คนหามีไม่

อีกอย่าง ชอบพูดเรื่องอัตตา อนัตตากัน คำว่า อนัตตาไม่ใช่ไม่มีอะไรว่างเปล่าโบ๋เบ๋อย่างคุณโรสเข้าใจนะ มันมีที่เห็นๆไงเล่า มันมีอยู่ แต่มันอนัตตา มันมีแต่เป็นอนัตตา อนัตตาไม่ใช่แปลว่าไม่มีอะไรเลย มันมี แต่มันเป็นอนัตตา (น ไม่,ปฏิเสธ แปลง น เป็น อน = อนัตตา คือ ปฏิเสธอัตตา อนัตตาไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรอย่างที่เข้าใจ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เพื่อให้กระชับ เอานัยที่ 1 ก่อน

รูป 1. สิ่งที่ต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆอันขัดแย้งกัน, สิ่งที่มีรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะของมัน,
ส่วนร่างกาย


เพื่อให้เห็นภาพกว้างอีก เอาสามนัยเลย

รูป 1. สิ่งที่ต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆอันขัดแย้งกัน, สิ่งที่มีรูปร่างพร้อมทั้งลักษณะของมัน,
ส่วนร่างกาย จำแนกเป็น ๒๘ คือ มหาภูตหรือ ธาตุ ๔ และ อุปาทายรูป ๒๔ (= รูปขันธ์ ในขันธ์ ๕)

2 . อารมณ์ที่รู้ได้ด้วยจักษุ, สิ่งที่ปรากฏแก่ตา (ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรือในอายตนะภายนอก ๖)

3. ลักษณะนาม ใช้เรียกพระภิกษุสามเณร เช่น ภิกษุรูปหนึ่ง สามเณร ๕ รูป ในภาษาพูดบางแห่งนิยมใช้องค์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อภิธรรม อะไรๆ ก็อภิธรรมๆๆๆๆๆๆ ค่อยลงให้ดูต่อไป แต่ทำความรู้จักกับรูปโดยเฉพาะนัยที่ 1 กับ 2 ให้คุ้นก่อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

กระทู้ขึ้นช้ำกันครับ ไม่ทราบว่าลบเองได้หรือป่าวผมก็ยัง
ไม่เคยลองดู

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สิ่งที่มองเห็นด้วยจักขุ ภาษาทางธรรมเรียกว่ารูปทั้งนั้น (จักขุ+รูป+จักขุวิญญาณ) (รูปธรรม) มองให้ถึงว่าคนอื่นมองเรา เรามองเขาด้วยนะ ที่เห็นๆนั่น เรียกว่า รูป ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นี่ทางธรรมว่าอย่างนี้

แต่ภาษาคนภาษาสมมุติเรียกเพื่อใช้สื่อสารกันรู้เรื่องเข้าใจ สิ่งที่เห็นก็เห็นแมว เห็นหมา กา ไก่ บุคคล คน มนุษย์ แล้วแต่ ฯลฯ ยังอีก เขาสมมุติบัญญัติซ้อนอีก ว่า คนๆนี้ ชื่อนาย ก. หญิงคนนี้ชื่อ นาง ข. คนๆนี้เป็นพ่อคนนั้น เป็นแม่ เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นลูกคนโน้น ...เป็นลูกของเรา เป็นต้น

เมื่อแยกอย่างนี้แล้วไม่ติดขัดเลย แต่คุณโรสไม่อย่างนี้ เช่นที่ว่า ไปกินอาหารกับครอบครัวจะสั่งรัวๆค่ะ

พอเราถามว่า ครอบครัวเป็นพ่อแม่สามีลูก คุณโรสไปไม่เป็น บอกต้องสุตะให้ตรงสัจจะ เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ อะไรๆของคุณเทอไป นี่แสดงว่าสับสนระหว่างสมมติบัญญัติ กับ คำพระแล้ว

ในสังคมมนุษย์ใช้บัญญัติสื่อสารกันทั้งนั้นแหละ เงินมี นี่มองตามสมมติ แต่มองตามภาษาพระภาษาทางธรรม เงินไม่มี ฯลฯ คนมีอยู่ แต่คนหามีไม่

อีกอย่าง ชอบพูดเรื่องอัตตา อนัตตากัน คำว่า อนัตตาไม่ใช่ไม่มีอะไรว่างเปล่าโบ๋เบ๋อย่างคุณโรสเข้าใจนะ มันมีที่เห็นๆไงเล่า มันมีอยู่ แต่มันอนัตตา มันมีแต่เป็นอนัตตา อนัตตาไม่ใช่แปลว่าไม่มีอะไรเลย มันมี แต่มันเป็นอนัตตา (น ไม่,ปฏิเสธ แปลง น เป็น อน = อนัตตา คือ ปฏิเสธอัตตา อนัตตาไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรอย่างที่เข้าใจ)



เสริม คคห. นั่นด้วยสามคาถานี้

ผู้มีพื้นฐานอ่านแล้วเข้าใจระหว่างสมมติ กับ ปรมัตถ์ทันที คือ มารพูดตามภาษาสมมติ แต่ภิกษุณีพูดตามภาษาพระภาษาทางธรรม (ปรมัตถ์)

ข้อความในพระสูตร ซึ่งเป็นคำของพระภิกษุณีชื่อวชิรา ดังนี้

"นี่แน่ะมาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไร ในสภาวะที่เป็นเพียงกองแห่งสังขารล้วนๆ นี้ จะหาตัวสัตว์ไม่ได้เลย เปรียบเหมือนว่า เพราะคุมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ศัพท์ว่ารถ ย่อมมี ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลาย มีอยู่ สมมติว่า สัตว์ ก็ย่อมมีฉันนั้น"

ความคล้ายกันนี้ ที่เน้น ในแง่ ปฏิบัติ คือ ความรู้เท่าทันสมมติ และเข้าใจปรมัตถ์ แล้วรู้จักใช้ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อความหมาย โดยไม่ยึดติดในสมมติเป็นทาสของภาษา มีบาลีที่เป็นพุทธพจน์ เช่น

"ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ....จะพึงกล่าวว่า ฉันพูด ดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉัน ดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น" (สํ.ส.15/65/21)


"เหล่านี้ เป็นโลกสมัญญา เป็นโลกนิรุตติ เป็นโลกโวหาร เป็นโลกบัญญัติ ซึ่งตถาคตใช้พูดจา แต่ไม่ยึดติด" (ที.สี.9/312/248)


สองถาคาล่าง หมายถึงผู้ซึ่งหลุดพ้นแล้ว ได้แก่ ถึงพระอรหันต์ เวลาท่านพูดจากับคนกับชาวบ้านชาวเมือง ท่านก็พูดก็จาไปตามชาวโลก เขาเรียกหมาก็หมา เขาเรียกด๊อกก็ด๊อกไปตามเขา ท่านไม่ตะแบง แต่ในใจเข้าใจปรมัตถ์ยืนพื้นอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2018, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4: :b4:

กระทู้ซ้ำคร๊าบบบบ

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2018, 12:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสพูดเรื่องรูป ว่าเป็นสีเป็นอะไรต่ออะไรของเค้าบ่อยครั้ง กท.จะว่าด้วยเรื่องรูปแบบพุทธ + รูปแบบคุณโรส

Kiss
จะคิดเองตามความคิดของตัวเองที่มีตัวตนไปนั่งหลับตายาวๆทำแต่มิจฉาสมาธินั้นหรือคะ
รู้จักขณิกสมาธิ/ขณิกมรณะไหมคะที่จิตเกิดดับทีละ1ขณะเกิดดับสลับกันทีละ1ไม่พร้อมกัน
ไม่รู้หรือคะว่าคำจริงที่มีผู้กล่าวตรงสัจจะในภาษาชาติของตนที่คิดตามเข้าใจถูกให้รู้ตามได้ค่ะ
ตถาคตตรัสทุกคำ45พรรษาเพื่อให้คนที่กำลังฟังเท่านั้นเข้าใจถูกตามรู้ความจริงที่กำลังมีค่ะ
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin
ตถาคตกล่าวภาษามคธกับชาวมคธ

สาวกที่ฟังเข้าใจโดยไม่ต้องแปล

แต่เราคนไทยต้องเข้าใจใน

ภาษาไทยคือแปลบาลี ให้ตรงภาษาก่อนค่ะ เช่น ขันธ์ แปลว่า เกิดดับ

โลก แปลว่า สิ่งที่เกิดดับ

แปลว่า ที่ยึดถือคือทุกสิ่งที่เกิดดับค่ะ

viewtopic.php?f=1&t=56017



อ้างคำพูด:
เช่น ขันธ์ แปลว่า เกิดดับ


อ่ะนะนั่น ไปแปล ขันธ์ ว่า เกิดดับ ว่าเพื่อที่ตนจะได้เข้าใจ นั่นมันผิดตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิแล้ว พอคลอดออกมากลายเป็นเด็กพิกลพิการ ตา กับ จมูก ไปอยู่ท้ายทอย คิกๆๆ

เจริญพวง :b32:

เสียเวลาเปล่าจริงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดว่าจะลงเรื่องรูปทีท่านจำแนกตามหลักอภิธรรมแล้วก็ลงให้ดูสะหน่อย แต่คิดว่าคุณโรสดูไม่เข้าใจหรอก

แต่ควรเข้าใจก่อนอ่านว่ามันก็คนนี่แหละนะ


รูป ๒๘ รูปธรรมทั้งหมดในรูปขันธ์ จำแนกออกไปตามนัยแห่งอภิธรรม เป็น ๒๘ อย่าง จัดเป็น ๒ ประเภท คือ

ก. มหาภูตรูป ๔ รูปใหญ่, รูปอันเดิม คือ ธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช และวาโย ที่เรียกกันให้ง่ายว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม, ภูตรูป ๔ ก็เรียก (ในคัมภีร์ไม่นิยมเรียกว่า มหาภูตรูป)

พึงทราบว่า ธาตุ ๔ ปฐวี อาโป เตโช วาโย หรือดิน น้ำ ไฟ ลม อย่างที่พูดกันในภาษาสามัญนั้น เป็นการกล่าวถึงธาตุในลักษณะที่คนทั่วไปจะเข้าใจ และสื่อสารกันได้ ตลอดจนที่จะให้ให้สำเร็จประโยชน์ เช่น ในการเจริญกรรมฐาน เป็นต้น
แต่
ในความหมายที่แท้จริง ธาตุเหล่านี้ เป็นสภาวะพื้นฐานที่มีอยู่ในรูปธรรมทุกอย่าง เช่น ปฐวีธาตุ ที่เรียกให้สะดวกว่า ดิน นั้น มีอยู่แม้แต่ในสิ่งที่เรียกกันสามัญว่าน้ำ ว่าลม

อาโปธาตุที่เรียกให้สะดวกว่าน้ำ ก็เป็นสภาวะที่สัมผัสด้วยกายไม่ได้ (เราไม่สามารถรับรู้อาโปธาตุด้วยประสาททั้ง ๕ แต่มันเป็นสุขุมรูปที่รู้ด้วยมโน) และ

อาโปนั้น ก็มีอยู่ในรูปธรรมทั่วไป แม้แต่ในก้อนหินแห้ง ในก้อนเหล็กร้อน และในแผ่นพลาสติก ดังนี้เป็นต้น จึงมีประเพณีจำแนกธาตุสี่ แต่ละอย่างนั้นเป็น ๔ ประเภท ตามความหมายที่ใช้ในแง่และระดับต่างๆ คือ เป็นธาตุในความหมายที่แท้โดยลักษณะ (ลักขณะ) ธาตุในสภาพมีสิ่งประกอบปรุงแต่ง ที่มนุษย์เข้าถึงเกี่ยวข้องตลอดจนใช้งานใช้การ ซึ่งถือเป็นธาตุอย่างนั้นๆ ตามลักษณะเด่นที่ปรากฏ (สสัมภาร) เป็นธาตุในความหมายที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญกรรมฐาน (นิมิต หรือ อารมณ์) เป็นธาตุในความหมายตามที่สมมติ เรียกกัน (สมมติ) ดังนี้ เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นมะแค่ คคห.เดียวก็ฮงแร้ว ยังอีกเยอะที่ท่านจำแนกแจกแจงไว้จะรอดรึ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2018, 23:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เห็นมะแค่ คคห.เดียวก็ฮงแร้ว ยังอีกเยอะที่ท่านจำแนกแจกแจงไว้จะรอดรึ

จั๊กสิให่วาจั่งได๋=ไม่รู้จะให้ว่ายังไง555
เค๊าสนทนาจนถึงธัมมะประสานงากันแล้ว
ตัวเองเพิ่งมาเล่าเรื่องรูปจะไปรอดไหมเนี่ย
จิต1ขณะ=จิต+เจตสิก+รูปมีครบที่กายแล้ว
ไม่ใช่คนตายรู้ทุกอย่างตามคำสอนตอนลืมตาดู
สะสมการฟังเพื่อให้คิดตามเสียงตรงตามคำสอนได้
:b12:
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 74 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร