วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2020, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในคัมภีร์ปปัญจสูทนี และปรมัตถทีปนี ท่านกล่าวไว้ว่า ความปรารถนา (บาลีว่า ปตฺถนา แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า ความอยาก) มี ๒ อย่าง คือ

๑. ความปรารถนาที่เป็นตัณหา (ตณฺหาปตฺถนา แปลง่ายๆ ว่า อยากด้วยตัณหา)
๒. ความปรารถนาที่เป็นตัณหา (ฉันทปตฺถนา แปลง่ายๆ ว่า อยากด้วยฉันทะ)

- ตัณหาฉันทะ คือ ฉันทะที่เป็นตัณหา
- กัตตุกัมยตาฉันทะ คือ ฉันทะที่เป็นความอยากทำ

๑. ความอยาก ความต้องการที่ไม่ดี เป็นอกุศล เรียกว่า ตัณหา (อยากเสพ อยากได้ อยากเอา)
๒. ความอยาก ความต้องการที่ดี เป็นกุศล เรียกว่า ฉันทะ (อยากทำ คือ อยากทำให้ดีงามสมบูรณ์)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2020, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัณหา ความอยากได้, ความปรารถนา, ความทะยานอยาก, ความร่านรน, ความอยากเสพ อยากได้ อยากเอาเพื่อตัว, ความแส่หา

(ฉันทะสามนัย)

ฉันทะ ๑. ความพอใจ, ความชอบใจ, ความยินดี, ความต้องการ, ความรักใคร่ใฝ่ปรารถนาในสิ่งนั้นๆ (เป็นกลางๆ เป็นอกุศลก็ได้ เป็นกุศลก็ได้, ที่เป็นอกุศล เช่น ในคำว่า กามฉันทะ ที่เป็นข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕ ที่เป็นกุศล เช่น ในคำว่า อวิหิงสาฉันทะ)

๒. ฉันทะ ที่ใช้เป็นคำเฉพาะ มาเดี่ยวๆ โดยทั่วไปหมายถึง กุศลฉันทะ หรือ ธรรมฉันทะ ได้แก่ กัตตุกัมยตาฉันทะ คือ ความต้องการที่จะทำ หรือความอยากทำ (ให้ดี) เช่น ฉันทะที่เป็นข้อ ๑ ในอิทธิบาท ๔ ตรงข้ามกับ ตัณหาฉันทะ คือ ความอยากเสพ อยากได้ อยากเอาเพื่อตัว ที่เป็นฝ่ายอกุศล

๓. ฉันทะ ทางวินัยหมายถึง ความยินยอม, ความยินยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้นๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย)

ฉันทราคะ ความพอใจติดใคร่, ความชอบใจจนติด, ความอยากที่แรงขึ้นเป็นความติด, ฉันทะ ในที่นี้ หมายถึงอกุศลฉันทะ คือ ตัณหาฉันทะ ซึ่งในขั้นต้น เมื่อเป็นราคะอย่างอ่อน (ทุพพลราคะ) ก็เรียกแค่ว่าเป็นฉันทะ แต่เมื่อมีกำลังมากขึ้น ก็กลายเป็นฉันทราคะ คือ ราคะอย่างแรง (พลวราคะ หรือ สิเนหะ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2020, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของความอยาก ความปรารถนา-ตัดๆ ลัดๆ เอาแต่ใจความจากพุทธธรรม หน้า ๙๗๑ มา

ปัญหาเกี่ยวกับแรงจูงใจ

มีคำถามและคำกล่าวเชิงค่อนว่าพระพุทธศาสนา ที่ได้พบบ่อยครั้ง ซึ่งน่าสนใจ คือ คำพูดทำนองว่า

@ พระพุทธศาสนาสอนให้ละตัณหา ไม่ให้มีความอยาก เมื่อคนไม่อยากได้ ไม่อยากร่ำรวย จะพัฒนาประเทศชาติได้อย่างไร ? คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดขวางต่อการพัฒนา

@ นิพพานเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติธรรมก็เพื่อบรรลุนิพพาน แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะอยากในนิพพานไม่ได้ เพราะถ้าอยากได้ ก็กลายเป็นตัณหา กลายเป็นปฏิบัติผิด เมื่อไม่อยากได้แล้ว จะปฏิบัติได้อย่างไร คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดแย้งกันเอง และเป็นการให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

คำถามและคำค่อนว่า ๒ ข้อนี้ ฟังดูเหมือนว่าจะกระทบหลักการของพระพุทธศาสนาตลอดสาย ตั้งแต่การดำเนินชีวิตประจำวันของชาวบ้าน จนถึงการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือ ตั้งแต่ระดับโลกีย์ จนถึงโลกุตระ แต่ที่จริง ความสงสัยหรือการค่อนว่านั้น มิได้กระทบอะไรต่อพระพุทธศาสนา แต่กลับสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ที่สงสัยหรือค่อนว่าก็ตาม ไม่เข้าใจทั้งธรรมชาติของมนุษย์ และมองพระพุทธศาสนาไม่ออก

ความเข้าใจพร่ามัวสับสนที่เป็นเหตุให้เกิดคำถามและคำค่อนว่าเช่นนี้ มีอยู่มาก แม้แต่ในหมู่ชาวพุทธเอง และเป็นปัญหาเกี่ยวกับถ้อยคำหรือเป็นเรื่องทางภาษาด้วย

จุดสำคัญ คือ คนทั่วไปได้ยินว่า พระพุทธศาสนาสอนให้ละตัณหา และตัณหานั้น แปลว่า ความอยาก และจะด้วยเหตุใดก็ตาม ต่อมาคนทั่วๆ ไปนั้น ก็ไม่รู้จักแยกแยะ รู้เข้าใจเพียงแค่ว่า ตัณหา คือ ความอยาก และความอยากก็คือตัณหา ไปๆ มาๆ เลยเข้าใจคำว่า ความอยาก เป็นตัณหาทั้งหมด และเข้าใจต่อไปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้ละความอยาก หรือ สอนไม่ให้มีความอยากใดๆ เลย

นอกจากนั้น บางทีรู้จักข้อธรรมอื่นที่มีความหมายทำนองเดียวกันนี้ แต่รังเกียจที่จะแปลว่า ความอยาก จึงเลี่ยงแปลเป็นอื่นไปเสีย เมื่อถึงคราวจะพูดเรื่องเกี่ยวกับความอยาก จึงลืมนึกถึงคำนั้น

ถ้าจะศึกษาธรรม ถ้าจะเข้าใจพระพุทธศาสนา จะต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ เบื้องแรก พูดไว้สั้นๆ ก่อนว่า ตัณหา เป็นความอยาก (ชนิดหนึ่ง) แต่ความอยากไม่ใช่ คือ ตัณหา ความอยากเป็นตัณหาก็มี ไม่เป็นตัณหา ก็มี ความอยากที่ดี ซึ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรม และต้องใช้ในการพัฒนามนุษย์ ก็มี

ความอยากเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องเข้าใจกันให้ชัดเต็มที่ มิฉะนั้น จะไม่มีทางเข้าถึงพระพุทธศาสนา

ก่อนจะพูดลึกลงไปในรายละเอียด มาศึกษากลไกของชีวิตในการกระทำต่างๆ สักเล็กน้อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2020, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กลไกชีวิตในการกระทำ

มีข้อสงสัยว่า คนทั้งหลายทำอะไรต่างๆ นี้ ก็ทำด้วยความอยากทั้งนั้น คือ มีความอยากจะทำ จึงทำ และอยากทำอะไร ก็ทำอันนั้น ถ้าหมดตัณหา ไม่มีความอยากเสียแล้ว ไม่มีตัณหาเป็นแรงชักจูงให้ทำโน่นทำนี่แล้ว ก็ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไร แล้วจะอยู่ได้อย่างไร มิกลายเป็นคนนิ่งเฉย ไม่กระตือรือร้น ไม่มีชีวิตชีวาไปหรือ คงเป็นอย่างที่เรียกว่า หมดอาลัยตายอยาก

ข้อสงสัยนี้ ที่จริงไม่ต้องตอบ เดี๋ยวก็เข้าใจเอง ตอนแรก ขอให้มองง่ายๆ ว่า ที่ว่า ทำอะไรๆ ทุกอย่างนั้น ก็รวมอยู่ในการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะทำอะไร ก็เคลื่อนไหวทั้งนั้น (แม้แต่ “ทำการไม่เคลื่อนไหว” ก็ต้องมีการเคลื่อนไหวในใจ)

เป็นธรรมดาตามธรรมชาติ การเคลื่อนไหวเป็นลักษณะที่สำคัญของชีวิต เมื่อเป็นชีวิต และยังมีชีวิต ก็มีการเคลื่อนไหว

ถามว่า ที่คนสัตว์ทั้งหลายเคลื่อนไหวทำอะไรๆ นั้น เคลื่อนไหวทำไปได้อย่างไร หรือ ว่าชีวิตมีกลไกการทำงานอย่างไร ในการเคลื่อนไหวทำการต่างๆ

อย่างที่เคยพูดแล้ว คนสัตว์ไม่เหมือนใบไม้กิ่งไม้ ที่สะบัดไหวแกว่งไกวไปตามแรงลม เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก แต่คนสัตว์เคลื่อนไหวทำอะไรได้เองจากปัจจัยภายใน แล้วปัจจัยภายในเหล่านั้น มีอะไรบ้าง

เมื่อด้านร่างกายและอวัยวะยังดี พร้อมที่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแล้ว ในใจ เริ่มด้วยต้องมีความรู้ว่า ข้างหน้าข้างหลัง ข้างบนข้างล่าง ที่ไกลที่ใกล้ ตรงไหนมีหรือไม่มีอะไร ฯลฯ พูดง่ายๆ ว่า รู้ที่ที่จะไปได้ คือ มีความรู้

เมื่อรู้ที่ไปแล้ว ทีนี้ก็ต้องเลือก ตกลง ตัดสินใจ ว่าจะไปที่ไหน ทางไหน ตลอดจนว่าจะทำอะไร อย่างไร ตัวการในใจที่ทำการตัดสินตกลงใจ หรือ ตัวเจ้าของอำนาจตัดสินใจนี้ ซึ่งเป็นตัวบงการ หรือ สั่งการนั้น เรียกว่า เจตนา

ถามต่อไปว่า เมื่อรู้ที่ที่จะไป รู้เรื่องที่จะทำแล้ว เจตนาจะเลือกตัดสินใจไปไหน จะทำอันใด ตรงนี้แหละ สำคัญ คือ เจตนาก็มีแรงจูงใจให้เลือกตัดสินใจ โดยทำตามแรงจูงใจนั้น

ถ้าพูดอย่างง่ายๆ อย่างภาษาชาวบ้าน แรงจูงใจนี้ ก็คือ ความอยาก เมื่ออยากไปไหน อยากได้ อยากทำอะไร เจตนา ก็เลือกตัดสินใจเคลื่อนไหวไปนั่น ไปทำอันนั้น

ก็ถามต่อไปว่า ความอยากนี้ คือ อะไร อย่างง่ายๆ ก็บอกว่า ความอยาก ก็มาจากความชอบใจ และไม่ชอบใจ ตัวชอบอะไร อะไรถูกลิ้น ถูกหู ถูกตา ถูกใจ ก็อยากได้ อยากเอา อยากกิน อยากเสพ ฯลฯ ถ้าอะไร ไม่ถูกลิ้น ไม่ถูกหู ไม่ถูกตา ไม่ถูกใจ ตัวไม่ชอบ ก็อยากหนีไปเสีย อยากทิ้ง อยากทำลาย ฯลฯ แล้วเจตนาก็ตัดสินใจทำไปตามนั้น ความอยาก ที่ชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจแล้วจะเอาหรือไม่เอานี้ เรียกว่า “ตัณหา”

เป็นอันว่า ในการเคลื่อนไหวทำอะไรๆ นี้ มีปัญญาช่วยบอกช่วยส่องสว่างให้ความรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร แล้ว ตัณหา อยากจะเอาไม่เอาอะไร เจตนาก็สั่งให้ชีวิตร่างกายเคลื่อนไหวทำอะไรๆ ไปตามนั้น

แต่ตรงนี้ หยุดนิด มาคิดดูหน่อย การที่ชีวิตจะเคลื่อนไหวทำหรือไม่ทำอะไรนั้น ที่จริงนั้น ชีวิตมีความประสงค์ มีความต้องการ

พูดง่ายๆ ว่า มีความอยาก ที่ลึกลงไปอีก คือ ความอยากเป็นอยู่ อยากรอด อยากปลอดภัย อยากแข็งแรงสมบูรณ์ อยากมีความสุข อยากเป็นอยู่ให้ดีที่สุด

พูดรวมๆ ว่า อยากมีชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์

ทีนี้ ก็ถามว่า ที่ปัญญารู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ตรงไหน เป็นของกินได้หรือไม่ได้ อร่อยไหม ฯลฯ แล้วตัณหาชอบใจ อยากกินอย่างไหนที่อร่อยถูกลิ้น ไม่อยาก ไม่ชอบกินที่เห็นว่าไม่อร่อย แล้วเจตนาก็ให้กินและไม่ให้กินไปตามเสียงชักจูงกระซิบบอกของตัณหานั้น

ถามว่า อย่างนี้แค่นี้พอไหม ที่จะให้มีชีวิตดีงามสมบูรณ์

ตอนนี้ ปัญญาเองนั่นแหละก็จะบอกว่า รู้แค่นั้นไม่พอหรอก จะไปพออะไรกัน มองเห็น รู้ว่าอันนั้นอร่อย แถมแต่งสีเสียสวย น่ากิน ตัณหาบอกว่าอยากกิน ลองกินเข้าไปสิ ก็เหมือนใส่ยาพิษให้ที่ละน้อย นานไปในระยะยาวจะแย่แน่ๆ ถึงอันโน่นก็เถอะ ไม่ถึงกับมียาเทียมพิษ ตัณหาว่าอร่อย อยากกิน ลองกินเปิบเข้าไปๆ ตามใจตัณหาสิ ไม่ช้าหรอก จะเห็นโรคอ้วน ฯลฯ รู้แค่นั้นไม่พอเลย ความรู้แค่นั้นใช้ไม่ได้ แค่รู้สึกเท่านั้นเอง ก็เอาชื่อฉันไปใช้

แต่ที่จริง ไม่ใช่ ยังไม่เป็นปัญญา เป็นความรู้โง่ๆ เป็นอัญญาณ์เท่านั้น ก็อวิชชานั่นแหละ รู้ไม่พอแล้วก็ไว้ใจไม่ได้

ปัญญาเก๊บอกว่า ที่โน่นมีแหล่งเที่ยวสนุก มีการเล่น มีของกินของเสพมั่วได้เต็มที่ มีวิธีไปให้สะดวกอย่างนี้ๆ

เจ้าตัณหาได้แง่จากความรู้ จับเอาที่ถูกใจชอบใจ อยากไปเที่ยวเล่นกินเสพสนุกสนาน บอกว่า อย่าไปเลยโรงเรียน ฟังวิชาทำกิจกรรมทักษะเหนื่อยยาก ไม่สนุกสนาน บอกเจตนาสั่งการให้หนีเรียนไปเที่ยวสถานอบายมุขแทน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2020, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


คริคริ
ลุงกรัชกาย เรียนแต่ตัณหาอยาก


ตัณหาไม่อยากก็มี เรียกว่า วิภวตัณหา จร้า
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2020, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
คริคริ
ลุงกรัชกาย เรียนแต่ตัณหาอยาก


ตัณหาไม่อยากก็มี เรียกว่า วิภวตัณหา จร้า
tongue


คิกๆๆๆ นั่นมันตัณหาอย่างหนึ่ง คือ ตัณหา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เรียกว่า วิภวตัณหา ตย. เช่น เมื่อประสบทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ประสบสิ่งไม่น่าปรารถนา ก็ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ไม่อยากเป็นอย่างนี้กระสับกระส่ายดิ้นรน เช่น ผู้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติกรรมฐาน ขณะประสบทุกขเวทนา ก็อยากหนีไปเสีย ไม่อยากเป็นเช่นนี้ อยากจะเป็นเช่นนั้นอยากเป็นเช่นโน้น :b32: นี่ก็วิภวตัณหา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2020, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

เมื่อปัญญาพัฒนาขึ้นไป เป็นปัญญาจริง นอกจากรู้ว่าที่ไหนมีอะไร อันนั้นอันนี้เป็นอะไรแล้ว ก็รู้ด้วยว่า ที่ชีวิตต้องการจะเป็นชีวิตดีงาม มีความสามารถสมบูรณ์ดีมีความสุขจริงนั้น อะไรจะทำให้ชีวิตเป็นอย่างนั้นได้ อะไรมีคุณ มีโทษอย่างไร มองเห็นเหตุปัจจัยในกาลทั้งใกล้ทั้งไกล ว่าทำอันนี้ไป ในระยะสั้นได้ผลอันนี้แล้ว ต่อไปในระยะยาวจะมีผลอันนั้นตามมาอีก

รู้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมจึงควรทำอันนี้อย่างนี้ ทำไมจึงไม่ควรทำอันนั้นอย่างนั้น รู้ว่าถ้าไปเที่ยวมั่วที่สถานอบายมุข จะสนุกสนานเฉพาะหน้า แต่ในเวลายาวไกล ทั้งร่างกายของตัว และพ่อแม่ครอบครัวตลอดไปจนถึงสติปัญญา จะย่ำแย่ทั้งหมด

ส่วนในทางตรงข้าม ถ้ายอมงดสนุก ไปเรียนวิชาทำกิจกรรมทักษะ ถึงเดี๋ยวนี้จะขี้เกียจไม่ได้ ต้องขยันและเหนื่อยบ้าง แต่นานไปเราจะได้พัฒนาทุกด้าน และทุกอย่างก็จะดีขึ้นสำหรับชีวิต

เจ้าตัณหานี่แหละ เป็นตัวการ อยากนั่นอยากนี่ จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เจ้าปัญญาเก๊ไม่รู้จริงว่า อันนั้น อันนี้ อันไหน ดีจริง หรือไม่ มีคุณ มีโทษ ในระยะสั้น ระยะยาวอย่างไร รู้นิดรู้หน่อย รู้ผิดๆ ยังไม่ทันรู้จริง ไม่รู้ชัด เจ้าตัณหา ได้แง่ที่ชอบใจ เอาแค่อยาก ก็บอกหัวหน้าเจ้าเจตนาให้สั่งการไป ขืนอยู่อย่างนี้ ในที่สุด ชีวิตจะแย่ เอาดีไม่ได้

เป็นอันว่า เมื่อปัญญาแท้ตัวจริงมา รู้ว่าจะตามใจตัณหา เอาตามที่ตัวชอบ ตัวอยาก ว่า จะได้เสพได้สนุกเท่านั้นไม่ได้ จะก่อปัญหาพาทุกข์โทษภัยมาให้ ขบวนการ อวิชชา - ตัณหา - เจตนา ก็สะดุด หยุดชะงักหรือผ่อนซาไป

ดังที่ว่าแล้ว ปัญญารู้จริงว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรเป็นคุณ เป็นประโยชน์ อะไรมีโทษ รู้เหตุผล รู้จักพิจารณาแยกแยะสืบสาว มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย เช่น รู้ว่าชีวิตจะดีมีความสุข ต้องมีสุขภาพดี แล้วปัญญาก็บอกช่องทางหาข่าวสารข้อมูล พร้อมทั้งมองเหตุผลและความสัมพันธ์อิงอาศัยกันของสิ่งทั้งหลาย แล้วปัญญาก็บอกได้ว่า จะให้ชีวิตมีสุขภาพดี ควรกินอันนั้นๆ ควรอยู่อย่างนั้นๆ ควรจัดสภาพแวดล้อมเช่นนั้นๆ ควรทำกิจวัตรวิธีนั้นๆ ควรบริหารร่างกาย บริหารจิตใจ รู้จักเวลาอย่างไรๆ ฯลฯ

แต่สิ่งที่ปัญญาบอกทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรที่ตัณหาชอบใจอยากได้เอาเลย

ตัณหาเอาแต่สิ่งที่ชอบใจ อยากให้ตัวได้ ให้ตัวเสพ ให้ตัวอร่อย ให้ตัวโก้ ให้ตัวโอ่ ให้ตัวพอง ให้ตัวยิ่งใหญ่ และอะไรที่ไม่ชอบ ก็ขัดตาขัดใจ อยากจะให้ตัวพ้นไป อยากจะทำลาย หรือ กำจัดเสีย

เป็นอันว่า สิ่งที่ปัญญารู้และบอกให้ว่า เป็นสิ่งที่ดีจริงแก่ชีวิตนี้ ตัณหาไม่เอาด้วย อาศัยตัณหาไม่ได้ ก็เลยไม่มีแรงจูงใจที่จะไปกระซิบชวนให้เจตนาสั่งการให้ทำอะไรมากมายที่ปัญญาบอกให้ ขบวนงานของชีวิตก็ติดขัด ทำท่าจะไม่เดิน

ตรงนี้แหละ ที่มีแรงจูงใจอีกอย่างหนึ่ง หรือ อีกตัวหนึ่งเข้ามา คือ ที่จริงนั้น คนเรามีความอยากหรือความต้องการอีกอย่างหนึ่งประจำอยู่ในใจ

แต่ในชีวิตประจำวันนั้น อะไรๆ ที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัสกาย ซึ่งเป็นเปลือกผิวของชีวิต ก็จะเป็นของเด่นของไว พอเห็น ได้ยิน หรือ เจออะไร ความรู้สึกที่สบาย ไม่สบาย ถูกหู ถูกตาหรือไม่ ก็นำออกมา แล้วก็ตามด้วยชอบ หรือ ชัง นี่คือเข้าทางของตัณหา แล้วตัณหาก็อยากได้ อยากเอาสิ่งที่ตัวชอบ

อยากหนี อยากทำลาย สิ่งที่ตัวเกลียด ชัง ไม่ชอบ แล้วเจตนาก็สั่งการให้ชีวิตทำการไม่ตามนั้น

ถ้าชีวิตเป็นของตื้นๆ ไม่มีอะไรลึกซึ้งซับซ้อน เราก็พออาศัยตัณหาพาชีวิตวนเวียนเรื่อยเปื่อยไปได้อย่างนี้ เหมือนอย่างแมว อย่างหนู หรือ ปู กุ้ง กา ไก่ จนกว่าจะหมดเวลาถึงคราชีวิตต้องจากไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2020, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

แต่อย่างที่ว่าแล้ว ในชีวิตของคนที่ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐนั้น เรามิใช่มีตัณหาเท่านั้นเป็นแรงจูงใจ

แต่เรามีความอยาก หรือ ความต้องการอีกอย่างหนึ่งที่ประณีตลึกลงไป นั่นคือ ความใฝ่ดี ได้แก่ ความต้องการให้ชีวิตดีงาม ดำเนินไปอย่างถูกต้อง มีความสุขที่แท้จริงยั่งยืน ให้ชีวิตมีคุณสมบัติดีทุกอย่างถูกถ้วนสมบูรณ์อย่างที่มันควรจะมีจะเป็นไปได้ และไม่เฉพาะชีวิตของตนเท่านั้น ว่าจะไปพบพาสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอะไรๆ ก็อยากให้สิ่งนั้นๆ ดีงาม สมบูรณ์เต็มตามสภาวะที่ควรจะเป็นของมัน แล้วก็ไม่ใช่แค่อยากให้มันดีงามสมบูรณ์เท่านั้น แต่อยากทำให้มันดีงามสมบูรณ์เต็มสภาวะของมันด้วย

ขอให้ทุกคนมองลึกเข้าไปข้างในจิตใจ จะเห็นว่าเรามีความต้องการนี้อยู่ ความอยาก ความต้องการอันนี้ คือ แรงจูงใจ ที่เรียกว่า “ฉันทะ”

เป็นอันว่า คราวนี้ ขบวนงานของชีวิตที่เคลื่อนไหวทำอะไรๆ ก็เปลี่ยนใหม่ เรียกว่า พัฒนาขึ้นมาสู่ขั้นของการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยมี ปัญญา ช่วยบอกช่วยสองสว่างให้ความรู้ว่าอะไรไม่ดี มีโทษ
อะไรดี มีคุณค่าเป็นประโยชน์ และจะทำให้ดีงามสมบูรณ์ได้อย่างไร แล้ว ฉันทะ ก็ต้องการให้ดีงามสมบูรณ์ และอยากทำให้ดีงามสมบูรณ์อย่างนั้น ตามด้วย เจตนา ก็สั่งให้ชีวิตร่างกายเคลื่อนไหวทำอะไรๆ ไปตามนั้น

เมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้นๆ ชีวิตก็ปลดลดขบวนงานของ อวิชชา => ตัณหา => เจตนา (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อวิชชา => ตัณหา => อกุศลกรรม) ให้เข้ามาปฏิบัติการได้น้อยลงไปๆ

พร้อมกันนั้น ก็เปิดให้ขบวนงานที่ก้าวหน้าของ ปัญญา => ฉันทะ => เจตนา (หรือ เรียกให้ชัดขึ้นอีกว่า ปัญญา => ฉันทะ => กุศลกรรม) เข้ามาดำเนินการมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นวิถีชีวิตของอริยชนในที่สุด

เมื่อปัญญาแท้มา ปัญญาเทียม คือ อวิชชาหลีกหลบไป พอปัญญาแท้บอกอย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อกี้ว่า ชีวิตต้องการสุขภาพที่ดี โดยมีวิธีทำวิธีปฏิบัติอย่างนี้ๆ สิ่งที่ปัญญาแท้บอกนั้น ไม่ถูกใจอย่างที่ตัณหาชอบ อย่างที่ตัณหาอยากเอาอยากเสพเลย เป็นอันว่า ตัณหาชอบใจเมื่อได้อวิชชาคอยพะเน้าพะนอ แต่พอปัญญาแท้มา ตัณหาไม่เอาด้วยและอยู่ไม่ได้ ตอนนี้แหละ ฉันทะจะได้โอกาส

พอปัญญาแท้บอกให้ว่า ชีวิตจะดีงามสมบูรณ์มีสุขภาพได้ สิ่งนี้มีค่า เป็นประโยชน์ต่อชีวิตอย่างนี้ๆ ควรปฏิบัติจัดทำอะไรต่างๆ อย่างนี้ๆ ฉันทะ ที่อยากให้ดีงามสมบูรณ์ และอยากทำให้ดีงามสมบูรณ์ ก็เข้ามารับเรื่องจากปัญญา แล้วก็แจ้งจูงเจตนาให้สั่งการบัญชาอยากมาเป็นการกระทำทั้งหลายที่จะให้สำเร็จผลตามนั้น

เท่าที่พูดมา คงพอให้ได้ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่อง แรงจูงใจ คือ ความอยาก ความปรารถนา หรือ ความต้องการ ที่มี ๒ อย่าง คือ ตัณหา กับ ฉันทะ และคงชัดเจนแล้วว่า แตกต่างกันอย่างไร

ก่อนผ่านไป มีข้อที่ขอให้สังเกต อันจะช่วยให้ยิ่งเห็นความหมายของความต้องการ ๒ อย่างนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ ในสายขบวนของ อวิชชา – ตัณหา นั้น พอเริ่มต้นโดยมีความรู้สึกชอบใจ หรือไม่ชอบใจขึ้นมา อยากได้ อยากเอา อยากเสพ ก็จะเกิดมีตัวตนขึ้นมารับสมอ้างเป็นผู้ได้ เป็นผู้เอา เป็นผู้เสพขึ้นมาทันที แล้วแน่นอน ก็ย่อมมีเป็นคู่กันขึ้นมาว่าเป็น ตัวเรา ตัวกู ผู้ได้ ผู้เอา ผู้เสพ กับ สิ่งที่จะเอา จะได้ จะเสพ (ต่อจากนั้น ยังมีตัวเขา ตัวมึง ตัวมัน ที่จะมาคุกคามมาขัดขวาง มาแย่ง มาชิง ฯลฯ ต่อไปอีก)

แล้วลึกลงไป ก็อยากให้ตัวเรา ตัวกู ที่จะได้จะเอาจะเสพนั้น มั่นคงถาวรยั่งยืน จะได้เสพเรื่อยไปตลอดไป แล้วก็ให้ตัวเรา ตัวกู นั้นยิ่งใหญ่ จะได้แน่ใจที่จะเสพจะได้ให้มากที่สุด โดยไม่มีตัวอื่นมาขัดขวางได้ ฯลฯ (รวมทั้งเจอสิ่งที่ไม่อยาก ไม่ปรารถนา ไม่ต้องการ ก็จะต้องพ้นไปให้ได้ จะต้องกำจัด ทำลาย หรือ ถ้าไม่ไหว ก็ตีกลับมาบางทีถึงกับอยากให้ตัวเรา ตัวกู นี้มลายตายหายสูญจากมันไป)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2020, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ในขอบเขตของ ปัญญา - ฉันทะ นั้น ตรงกันข้าม เมื่ออยากให้สิ่งนั้นๆ ดีงามสมบูรณ์ ก็เป็นความอยากเพื่อความดีงามสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ ตามสภาวะของมัน โดยไม่ต้องมีตัวตนที่ไหน ไม่ว่าตัวเรา ตัวเขา หรือ ตัวใคร ที่จะต้องมาเป็นผู้อยาก ผู้อะไรๆ คือ เป็นธรรมชาติอยู่ตามสภาวะอย่างนั้นเอง

ทีนี้ ก็สรุปให้สั้นอีกครั้งหนึ่ง ว่าความอยาก ความปรารถนา ความต้องการ ที่เป็นแรงจูงใจให้คนทำการ หรือ ทำกรรมต่างๆ นั้น มี ๒ อย่าง ได้แก่

๑. ตัณหา คือ ความอยากเสพ อยากได้ อยากเอาเข้ามาให้แก่ตัว เอามาบำเรอตัว อยากให้ตัวเป็น หรือ ไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความต้องการเพื่อตัวตน

๒.ฉันทะ คือ ความชื่นชมยินดีในความดีงามสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ อยู่ในภาวะที่ดีงามสมบูรณ์ และอยากทำให้มันดีงามสมบูรณ์ตามสภาวะของมัน เป็นความต้องการเพื่อความดีงามสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ เอง

ขอย้ำที่ว่า ต้องการเพื่อความดีงามสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ ก็รวมทั้งความต้องการเพื่อความดีงามสมบูรณ์ของชีวิตของเรานี้ด้วย เช่น อยากให้แขน ขา ของเรานี้ดีงามสมบูรณ์
แต่เป็นความอยากให้แขน ขา นั้น ดีงามสมบูรณ์ ในฐานะ และตามสภาวะที่มันเป็นแขน ขา ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของชีวิตนี้ ที่ควรจะให้ดีงามมีสุขภาวะสมบูรณ์ตามสภาวะของมัน

(ลองพิจารณาดูว่า ความอยากที่มีต่อแขน ขา ตรงตามสถานะและสภาวะนี้ จะดีกว่าอยากให้แขน ขา ของตัวตน ของเราสวยดีน่าชอบใจ หรือ ไม่ ? - นี่ก็ฉันทะ กับ ตัณหา ที่ท้าทายปัญญาผู้แยกแยะ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2020, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2020, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อสังเกตนี่ ที่ทำให้มนุษย์ กับ มนุษย์เบียดเบียนกัน ประหัตประหารกัน ให้ทำอัตตวิบาตกรรม

มีข้อที่ขอให้สังเกต อันจะช่วยให้ยิ่งเห็นความหมายของความต้องการ ๒ อย่างนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ ในสายขบวนของ อวิชชา - ตัณหา นั้น พอเริ่มต้นโดยมีความรู้สึกชอบใจ หรือไม่ชอบใจขึ้นมา อยากได้ อยากเอา อยากเสพ ก็จะเกิดมีตัวตนขึ้นมารับสมอ้างเป็นผู้ได้ เป็นผู้เอา เป็นผู้เสพขึ้นมาทันที แล้วแน่นอน ก็ย่อมมีเป็นคู่กันขึ้นมาว่าเป็น ตัวเรา ตัวกู ผู้ได้ ผู้เอา ผู้เสพ กับ สิ่งที่จะเอา จะได้ จะเสพ

(ต่อจากนั้น ยังมีตัวเขา ตัวมึง ตัวมัน ที่จะมาคุกคามมาขัดขวาง มาแย่ง มาชิง ฯลฯ ต่อไปอีก)

แล้วลึกลงไป ก็อยากให้ตัวเรา ตัวกู ที่จะได้จะเอาจะเสพนั้น มั่นคงถาวรยั่งยืน จะได้เสพเรื่อยไปตลอดไป แล้วก็ให้ตัวเรา ตัวกู นั้นยิ่งใหญ่ จะได้แน่ใจที่จะเสพจะได้ให้มากที่สุด โดยไม่มีตัวอื่นมาขัดขวางได้ ฯลฯ

(รวมทั้งเจอสิ่งที่ไม่อยาก ไม่ปรารถนา ไม่ต้องการ ก็จะต้องพ้นไปให้ได้ จะต้องกำจัด ทำลาย หรือ ถ้าไม่ไหว ก็ตีกลับมาบางทีถึงกับอยากให้ตัวเรา ตัวกู นี้มลายตายหายสูญจากมันไป)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2020, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ข้อสังเกตนี่ ที่ทำให้มนุษย์ กับ มนุษย์เบียดเบียนกัน ประหัตประหารกัน ให้ทำอัตตวิบาตกรรม

มีข้อที่ขอให้สังเกต อันจะช่วยให้ยิ่งเห็นความหมายของความต้องการ ๒ อย่างนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ ในสายขบวนของ อวิชชา – ตัณหา นั้น พอเริ่มต้นโดยมีความรู้สึกชอบใจ หรือไม่ชอบใจขึ้นมา อยากได้ อยากเอา อยากเสพ ก็จะเกิดมีตัวตนขึ้นมารับสมอ้างเป็นผู้ได้ เป็นผู้เอา เป็นผู้เสพขึ้นมาทันที แล้วแน่นอน ก็ย่อมมีเป็นคู่กันขึ้นมาว่าเป็น ตัวเรา ตัวกู ผู้ได้ ผู้เอา ผู้เสพ กับ สิ่งที่จะเอา จะได้ จะเสพ

(ต่อจากนั้น ยังมีตัวเขา ตัวมึง ตัวมัน ที่จะมาคุกคามมาขัดขวาง มาแย่ง มาชิง ฯลฯ ต่อไปอีก)

แล้วลึกลงไป ก็อยากให้ตัวเรา ตัวกู ที่จะได้จะเอาจะเสพนั้น มั่นคงถาวรยั่งยืน จะได้เสพเรื่อยไปตลอดไป แล้วก็ให้ตัวเรา ตัวกู นั้นยิ่งใหญ่ จะได้แน่ใจที่จะเสพจะได้ให้มากที่สุด โดยไม่มีตัวอื่นมาขัดขวางได้ ฯลฯ

(รวมทั้งเจอสิ่งที่ไม่อยาก ไม่ปรารถนา ไม่ต้องการ ก็จะต้องพ้นไปให้ได้ จะต้องกำจัด ทำลาย หรือ ถ้าไม่ไหว ก็ตีกลับมาบางทีถึงกับอยากให้ตัวเรา ตัวกู นี้มลายตายหายสูญจากมันไป)



ตัวอย่างประกอบความเข้าใจวิภวตัณหานั่น ไม่อยากเป็นอย่างนี้ อยากจะเป็นอย่างนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งที่กำลังประสบอยู่อยากจะหนีๆไปเสีย


อ้างคำพูด:
(5 ส.ค.63) เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ได้เกิดเหตุการณ์หญิงสาวรายหนึ่ง อายุประมาณ 30 ปี ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กร้องไห้ระบายความในใจถึงคนรักของตัวเองว่า ลดน้ำหลักไป 7 กิโลกรัม ยังไม่มีความหมาย หลายปีที่อยู่ที่คบกันมา มันไม่มีความหมาย ที่ผ่านมาแฟนซื้อของเป็นชื่อของตนเอง จนต้องติดหนี้ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแถมยังตกงานอีก ที่ผ่านมาพยายามเข้มแข็งมาโดยตลอด โทรศัพท์หาแฟนแต่เขาไม่รับสาย พร้อมทั้งระบายเรื่องความรัก เรื่องครอบครัว และมีแต่คนเอาเปรียบ ที่ผ่านมาเห็นคนอื่นไลฟ์สดยิงตัวตาย แต่ตัวเองจะไลฟ์สดกินยาไซยาไนด์ให้ตาย

ก่อนที่จะหยิบยาชนิดเม็ด ที่บรรจุอยู่ในซองพลาสติกใส จำนวนหลายเม็ด ที่ผู้โพสต์อ้างว่าเป็นยาไซยาไนด์ เทกรอกใส่ปากของตนเอง ก่อนที่จะดื่มน้ำตาม พร้อมทั้งพูดว่า ขอโทษนะทุกคน เราอยากตายจริงๆ แล้วไลฟ์ดังกล่าวที่มีความยาว 4 นาที ก็ตัดไปทันที

ขณะเดียวกัน เพื่อนในเฟซบุ๊กของหญิงสาวก็เข้าไปให้กำลังใจ อีกทั้งแจ้งพิกัดให้เจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่กู้ชีพ รพ.ลำปาง เร่งเดินทางเข้าให้การช่วยเหลือ นำตัวหญิงสาวส่งโรงพยาบาลลำปางซึ่งขณะนี้อาการล่าสุดยังไม่รู้สึกตัว และยังอยู่ในความดูแลของแพทย์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2022, 12:11 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร