วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 01:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น

3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


คุณโรส เอาศัพท์ทางธรรมมามโนโยงกับความคิดของตน นี่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา คิกๆๆ

จักขุ + รูป (สี) + จักขุวิญญาณ

แต่คุณโรสฟังแม่สุจินนักอภิธรรมไปเน้นที่สี คือ "เห็นสี" (สีในวงเล็บในหนังสือเรียนอภิธรรมมี สี ในวงเล็บด้วย) มันก็รูปนั่นแหละ เห็นรูป แต่แม่สุจิน เห็นสี ต่อจากนั้นแม่มโนไปใหญ่ ไปที่มืดที่สว่างไปใหญ่เลย :b32: พุทโธ ธัมโม สังโฆ

เอาแบบแปลไทยล้วนๆก็ได้
จิตเห็นเกิดจาก
1มีตาและต้องลืมตา
2มีรูปพิเศษภายในตรงกลางตาที่เกิดจากกรรมคือตาไม่บอด
3มีสีแสงที่เป็นรูปภายนอกกายใจ
1+2+3ตรงขณะดับทันทีไม่เหลือซากคือดับมืดแล้วจึงมีคิดได้ยินรู้สึกต่างๆ
ตรงปัจจุบันขณะของคุณมันเคยตรงสัจจะทันสักครั้งไหมตรงสีตรงคำตรงขณะตรงๆ
คนตาบอดขาดข้อ2ไงคะและคนที่นั่งสมาธิหลับตาขาดข้อ1เหตุปัจจัยต้องครบจึงเกิดจิตเห็นได้
:b32:
:b17: :b17:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 25 พ.ย. 2018, 11:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ
ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา
:b32: :b32: :b32:

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ

ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


สุตมยปัญญา ถ้ายังงั้นคนหูพิการปัญญาทางสุตะก็ไม่เกิดสิงั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ

ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


สุตมยปัญญา ถ้ายังงั้นคนหูพิการปัญญาทางสุตะก็ไม่เกิดสิงั้น

:b12:
นี่คุณ...จิตเกิดดับทีละ1ขณะแต่ละทางไม่ปนกันและเกิดทางหนึ่งหมดไปทางใหม่1ขณะจึงเกิดสืบต่อได้
แล้วการรู้ความจริงตามคำสอนตรงขณะโดยพึ่งคิดตามคำสอนตรงเสียงตรงสัจจะที่กำลังปรากฏครบ6ทาง
ทางตาก็ต้องกำลังดูทางหูก็ต้องกำลังฟังแล้วก็คิดตามตรงคำไปด้วยสภาพธรรม1ทางก็คิดให้ตรงทางที่ฟัง
จิตได้ยินมีครบตามเหตุปัจจัย
1หูซ้ายขวาต้องกำลังเงี่ยโสตลงสดับ
2มีโสตะปสาทะรูปคือหูไม่หนวกต้องกำลังรู้เสียง(คนหูหนวกไม่มีรูปพิเศษนี้)
3ต้องมีเสียงสูงๆต่ำๆให้ได้ยิน
1+2+3ไม่ขาดคือ3ประสานและมีจิตเห็นเป็นประธานในการรู้แจ้งเพราะจิตเห็นเท่านั้นที่มีแสง
ต้องตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงสามารถทำปัญญารู้ตามคำสอนถูกตัวตนตื่นรู้ครบ6ทางที่ดับไปแล้วนับไม่ทัน
จิตทุก1ขณะมี7ชวนะคือเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งตามปกติต้องรู้ว่าจิตตนเองกำลังเป็นกุศลหรืออกุศล
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2018, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ

ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


สุตมยปัญญา ถ้ายังงั้นคนหูพิการปัญญาทางสุตะก็ไม่เกิดสิงั้น

:b12:
นี่คุณ...จิตเกิดดับทีละ1ขณะแต่ละทางไม่ปนกันและเกิดทางหนึ่งหมดไปทางใหม่1ขณะจึงเกิดสืบต่อได้
แล้วการรู้ความจริงตามคำสอนตรงขณะโดยพึ่งคิดตามคำสอนตรงเสียงตรงสัจจะที่กำลังปรากฏครบ6ทาง
ทางตาก็ต้องกำลังดูทางหูก็ต้องกำลังฟังแล้วก็คิดตามตรงคำไปด้วยสภาพธรรม1ทางก็คิดให้ตรงทางที่ฟัง
จิตได้ยินมีครบตามเหตุปัจจัย
1หูซ้ายขวาต้องกำลังเงี่ยโสตลงสดับ
2มีโสตะปสาทะรูปคือหูไม่หนวกต้องกำลังรู้เสียง(คนหูหนวกไม่มีรูปพิเศษนี้)
3ต้องมีเสียงสูงๆต่ำๆให้ได้ยิน
1+2+3ไม่ขาดคือ3ประสานและมีจิตเห็นเป็นประธานในการรู้แจ้งเพราะจิตเห็นเท่านั้นที่มีแสง
ต้องตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงสามารถทำปัญญารู้ตามคำสอนถูกตัวตนตื่นรู้ครบ6ทางที่ดับไปแล้วนับไม่ทัน
จิตทุก1ขณะมี7ชวนะคือเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งตามปกติต้องรู้ว่าจิตตนเองกำลังเป็นกุศลหรืออกุศล
:b12:
:b4: :b4:

ทุกคลิปฟังเวลาใหม่คือจิตปัจจุบันของผู้ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ตามได้ตรงขณะจริงๆ
เพียรฟังมีพหูสูตคือฟังทุกครั้งเข้าใจเพิ่มขึ้นตรงความจริง
https://youtu.be/101cfbifuF4
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ

ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


สุตมยปัญญา ถ้ายังงั้นคนหูพิการปัญญาทางสุตะก็ไม่เกิดสิงั้น

:b12:
นี่คุณ...จิตเกิดดับทีละ1ขณะแต่ละทางไม่ปนกันและเกิดทางหนึ่งหมดไปทางใหม่1ขณะจึงเกิดสืบต่อได้
แล้วการรู้ความจริงตามคำสอนตรงขณะโดยพึ่งคิดตามคำสอนตรงเสียงตรงสัจจะที่กำลังปรากฏครบ6ทาง
ทางตาก็ต้องกำลังดูทางหูก็ต้องกำลังฟังแล้วก็คิดตามตรงคำไปด้วยสภาพธรรม1ทางก็คิดให้ตรงทางที่ฟัง
จิตได้ยินมีครบตามเหตุปัจจัย
1หูซ้ายขวาต้องกำลังเงี่ยโสตลงสดับ
2มีโสตะปสาทะรูปคือหูไม่หนวกต้องกำลังรู้เสียง(คนหูหนวกไม่มีรูปพิเศษนี้)
3ต้องมีเสียงสูงๆต่ำๆให้ได้ยิน
1+2+3ไม่ขาดคือ3ประสานและมีจิตเห็นเป็นประธานในการรู้แจ้งเพราะจิตเห็นเท่านั้นที่มีแสง
ต้องตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงสามารถทำปัญญารู้ตามคำสอนถูกตัวตนตื่นรู้ครบ6ทางที่ดับไปแล้วนับไม่ทัน
จิตทุก1ขณะมี7ชวนะคือเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งตามปกติต้องรู้ว่าจิตตนเองกำลังเป็นกุศลหรืออกุศล
:b12:
:b4: :b4:

ทุกคลิปฟังเวลาใหม่คือจิตปัจจุบันของผู้ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ตามได้ตรงขณะจริงๆ

เพียรฟังมีพหูสูตคือฟังทุกครั้งเข้าใจเพิ่มขึ้นตรงความจริง

https://youtu.be/101cfbifuF4


ต่อให้ฟังจนหูฉีกไปถึงปลายคาง ตราบเท่าที่ยังไม่ลงมือทำก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างง่ายๆให้ดู

คนเจ็บป่วยไป รพ.พบแพทย์ๆสั่งว่า คุณควรออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที นะครับ

คนไข้ฟังเข้าใจ แต่ไม่ทำตามขี้เกียจ จบข่าวขอรับ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2018, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ

ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


สุตมยปัญญา ถ้ายังงั้นคนหูพิการปัญญาทางสุตะก็ไม่เกิดสิงั้น

:b12:
นี่คุณ...จิตเกิดดับทีละ1ขณะแต่ละทางไม่ปนกันและเกิดทางหนึ่งหมดไปทางใหม่1ขณะจึงเกิดสืบต่อได้
แล้วการรู้ความจริงตามคำสอนตรงขณะโดยพึ่งคิดตามคำสอนตรงเสียงตรงสัจจะที่กำลังปรากฏครบ6ทาง
ทางตาก็ต้องกำลังดูทางหูก็ต้องกำลังฟังแล้วก็คิดตามตรงคำไปด้วยสภาพธรรม1ทางก็คิดให้ตรงทางที่ฟัง
จิตได้ยินมีครบตามเหตุปัจจัย
1หูซ้ายขวาต้องกำลังเงี่ยโสตลงสดับ
2มีโสตะปสาทะรูปคือหูไม่หนวกต้องกำลังรู้เสียง(คนหูหนวกไม่มีรูปพิเศษนี้)
3ต้องมีเสียงสูงๆต่ำๆให้ได้ยิน
1+2+3ไม่ขาดคือ3ประสานและมีจิตเห็นเป็นประธานในการรู้แจ้งเพราะจิตเห็นเท่านั้นที่มีแสง
ต้องตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงสามารถทำปัญญารู้ตามคำสอนถูกตัวตนตื่นรู้ครบ6ทางที่ดับไปแล้วนับไม่ทัน
จิตทุก1ขณะมี7ชวนะคือเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งตามปกติต้องรู้ว่าจิตตนเองกำลังเป็นกุศลหรืออกุศล
:b12:
:b4: :b4:

ทุกคลิปฟังเวลาใหม่คือจิตปัจจุบันของผู้ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ตามได้ตรงขณะจริงๆ

เพียรฟังมีพหูสูตคือฟังทุกครั้งเข้าใจเพิ่มขึ้นตรงความจริง

https://youtu.be/101cfbifuF4


ต่อให้ฟังจนหูฉีกไปถึงปลายคาง ตราบเท่าที่ยังไม่ลงมือทำก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างง่ายๆให้ดู

คนเจ็บป่วยไป รพ.พบแพทย์ๆสั่งว่า คุณควรออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที นะครับ

คนไข้ฟังเข้าใจ แต่ไม่ทำตามขี้เกียจ จบข่าวขอรับ คิกๆๆ

ปัญญาเจตสิกเพิ่มได้ตอนเริ่มฟังคำสอนตามปกติตามเป็นจริง
รู้ตามคำสอน รู้ตามเสียงตรงคำตรงความหมาย ไม่คิดต่อเอง
เช่น เห็น เป็น ธรรม ไม่ใช่ ตัวเรา เห็น ไม่ใช่ เรา เห็นเป็นเห็น
เห็น ไม่ใช่ คน เห็น ไม่ใช่ สัตว์ เห็น ไม่ใช่ ตา เห็นเป็นธัมมะ
เห็นเป็นธัมมะอะไร เห็นเป็นจิต เห็นเป็นวิญญาณขันธ์ 555
เห็นเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่ตัวตนเรา
จำให้ถูกตามคำสอนคือแบบนี้นะจะเอาแต่คิดเองก็ตายเปล่า
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ

ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


สุตมยปัญญา ถ้ายังงั้นคนหูพิการปัญญาทางสุตะก็ไม่เกิดสิงั้น

:b12:
นี่คุณ...จิตเกิดดับทีละ1ขณะแต่ละทางไม่ปนกันและเกิดทางหนึ่งหมดไปทางใหม่1ขณะจึงเกิดสืบต่อได้
แล้วการรู้ความจริงตามคำสอนตรงขณะโดยพึ่งคิดตามคำสอนตรงเสียงตรงสัจจะที่กำลังปรากฏครบ6ทาง
ทางตาก็ต้องกำลังดูทางหูก็ต้องกำลังฟังแล้วก็คิดตามตรงคำไปด้วยสภาพธรรม1ทางก็คิดให้ตรงทางที่ฟัง
จิตได้ยินมีครบตามเหตุปัจจัย
1หูซ้ายขวาต้องกำลังเงี่ยโสตลงสดับ
2มีโสตะปสาทะรูปคือหูไม่หนวกต้องกำลังรู้เสียง(คนหูหนวกไม่มีรูปพิเศษนี้)
3ต้องมีเสียงสูงๆต่ำๆให้ได้ยิน
1+2+3ไม่ขาดคือ3ประสานและมีจิตเห็นเป็นประธานในการรู้แจ้งเพราะจิตเห็นเท่านั้นที่มีแสง
ต้องตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงสามารถทำปัญญารู้ตามคำสอนถูกตัวตนตื่นรู้ครบ6ทางที่ดับไปแล้วนับไม่ทัน
จิตทุก1ขณะมี7ชวนะคือเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งตามปกติต้องรู้ว่าจิตตนเองกำลังเป็นกุศลหรืออกุศล
:b12:
:b4: :b4:

ทุกคลิปฟังเวลาใหม่คือจิตปัจจุบันของผู้ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ตามได้ตรงขณะจริงๆ

เพียรฟังมีพหูสูตคือฟังทุกครั้งเข้าใจเพิ่มขึ้นตรงความจริง

https://youtu.be/101cfbifuF4


ต่อให้ฟังจนหูฉีกไปถึงปลายคาง ตราบเท่าที่ยังไม่ลงมือทำก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างง่ายๆให้ดู

คนเจ็บป่วยไป รพ.พบแพทย์ๆสั่งว่า คุณควรออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที นะครับ

คนไข้ฟังเข้าใจ แต่ไม่ทำตามขี้เกียจ จบข่าวขอรับ คิกๆๆ

ปัญญาเจตสิกเพิ่มได้ตอนเริ่มฟังคำสอนตามปกติตามเป็นจริง
รู้ตามคำสอน รู้ตามเสียงตรงคำตรงความหมาย ไม่คิดต่อเอง
เช่น เห็น เป็น ธรรม ไม่ใช่ ตัวเรา เห็น ไม่ใช่ เรา เห็นเป็นเห็น
เห็น ไม่ใช่ คน เห็น ไม่ใช่ สัตว์ เห็น ไม่ใช่ ตา เห็นเป็นธัมมะ
เห็นเป็นธัมมะอะไร เห็นเป็นจิต เห็นเป็นวิญญาณขันธ์ 555
เห็นเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่ตัวตนเรา

จำให้ถูกตามคำสอนคือแบบนี้นะจะเอาแต่คิดเองก็ตายเปล่า


อ้างคำพูด:
จำให้ถูกตามคำสอนคือแบบนี้นะจะเอาแต่คิดเองก็ตายเปล่า


ไหนว่าเป็นอนัตตา แล้วไปจำเอามาว่าเอาเองคิดเองอย่างนั้นมันเป็นอัตตาสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อย่าเกาะติดติดชื่อกระทู้นัก ให้ดูเนื้อหาบทความ

ไม่รู้จักความอยาก
จะพัฒนาความอยาก
ไปในทางที่ถูกที่ควรได้หรือ
ความอยากคือตัณหามีเดี๋ยวนี้
กำลังมีตัณหา3อยากคนละแบบ
กามตัณหา/ภวตัณหา/วิภวตัณหา

เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัสในความมืด


อ้างคำพูด:
เห็นสี แต่ติดในรูป เสียง รส กลิ่น เสียงสัมผัส ในความมืด


คุณโรสว่า "เห็นสี" ทีไรก็คิดทุกที ทั้งที่มืดที่สว่าง แต่ก็คิดไม่ออก ว่าหมายถึง สี อะไร เห็นสี เห็นสี

หรือหมายถึงสีเลอะ คือ คนทาสี ก็เลอะสี เห็นสีเลอะเทอะติดเสื้อผ้า คิกๆๆ

หรือคุณโรสพยายามจะสื่ออะไร ยังไง ไม่เข้าใจ

:b12:
สีกระทบตาดับทันทียังไม่คิด
เพราะเป็นคนละขณะไม่ปนกัน
เอากระดาษเปล่ามาแผ่นนึงมาดู
เอามามองใกล้ๆเห็นอะไรไหมล่ะ
จิตเห็นสีแค่แสงวับไม่ใช่ตาเห็นก็ตาไม่เห็น
3ประสานจึงเกิดจิตเห็น=ตา+จักขุปสาท+สีและแสง

คนตาบอดก็มีตาแต่ไม่มีจักขุปสาทรูปจึงไม่เห็นไงคะ


ถ้ายังงั้นคนตาบอดก็ปราศจากกิเลส ถูกไหม

:b32:
กิเลสนอนในจิต555
มาตั้งแต่ก่อนเกิดนู่นนะ

ทำไมไม่บัญญัติว่าจักษุมยปัญญา

ทุกคำในพระไตรปิฎกกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่มีใครทำ
เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับได้
ถ้าบังคับให้เกิดปัญญาเร็วๆได้ตถาคตคงไม่แสดงว่าปัญญาเกิดตามลำดับ
เจริญขึ้นตามลำดับไม่มีการข้ามการฟังทุกขณะตรงขณะเพราะจิตเห็นสีแค่สี1สีดับไม่มีซากแล้วค่ะ


สุตมยปัญญา ถ้ายังงั้นคนหูพิการปัญญาทางสุตะก็ไม่เกิดสิงั้น

:b12:
นี่คุณ...จิตเกิดดับทีละ1ขณะแต่ละทางไม่ปนกันและเกิดทางหนึ่งหมดไปทางใหม่1ขณะจึงเกิดสืบต่อได้
แล้วการรู้ความจริงตามคำสอนตรงขณะโดยพึ่งคิดตามคำสอนตรงเสียงตรงสัจจะที่กำลังปรากฏครบ6ทาง
ทางตาก็ต้องกำลังดูทางหูก็ต้องกำลังฟังแล้วก็คิดตามตรงคำไปด้วยสภาพธรรม1ทางก็คิดให้ตรงทางที่ฟัง
จิตได้ยินมีครบตามเหตุปัจจัย
1หูซ้ายขวาต้องกำลังเงี่ยโสตลงสดับ
2มีโสตะปสาทะรูปคือหูไม่หนวกต้องกำลังรู้เสียง(คนหูหนวกไม่มีรูปพิเศษนี้)
3ต้องมีเสียงสูงๆต่ำๆให้ได้ยิน
1+2+3ไม่ขาดคือ3ประสานและมีจิตเห็นเป็นประธานในการรู้แจ้งเพราะจิตเห็นเท่านั้นที่มีแสง
ต้องตาไม่บอดและหูไม่หนวกจึงสามารถทำปัญญารู้ตามคำสอนถูกตัวตนตื่นรู้ครบ6ทางที่ดับไปแล้วนับไม่ทัน
จิตทุก1ขณะมี7ชวนะคือเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงแต่งตามปกติต้องรู้ว่าจิตตนเองกำลังเป็นกุศลหรืออกุศล
:b12:
:b4: :b4:

ทุกคลิปฟังเวลาใหม่คือจิตปัจจุบันของผู้ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ตามได้ตรงขณะจริงๆ

เพียรฟังมีพหูสูตคือฟังทุกครั้งเข้าใจเพิ่มขึ้นตรงความจริง

https://youtu.be/101cfbifuF4


ต่อให้ฟังจนหูฉีกไปถึงปลายคาง ตราบเท่าที่ยังไม่ลงมือทำก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างง่ายๆให้ดู

คนเจ็บป่วยไป รพ.พบแพทย์ๆสั่งว่า คุณควรออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที นะครับ

คนไข้ฟังเข้าใจ แต่ไม่ทำตามขี้เกียจ จบข่าวขอรับ คิกๆๆ

ปัญญาเจตสิกเพิ่มได้ตอนเริ่มฟังคำสอนตามปกติตามเป็นจริง
รู้ตามคำสอน รู้ตามเสียงตรงคำตรงความหมาย ไม่คิดต่อเอง
เช่น เห็น เป็น ธรรม ไม่ใช่ ตัวเรา เห็น ไม่ใช่ เรา เห็นเป็นเห็น
เห็น ไม่ใช่ คน เห็น ไม่ใช่ สัตว์ เห็น ไม่ใช่ ตา เห็นเป็นธัมมะ
เห็นเป็นธัมมะอะไร เห็นเป็นจิต เห็นเป็นวิญญาณขันธ์ 555
เห็นเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ใช่ตัวตนเรา

จำให้ถูกตามคำสอนคือแบบนี้นะจะเอาแต่คิดเองก็ตายเปล่า


อ้างคำพูด:
จำให้ถูกตามคำสอนคือแบบนี้นะจะเอาแต่คิดเองก็ตายเปล่า


ไหนว่าเป็นอนัตตา แล้วไปจำเอามาว่าเอาเองคิดเองอย่างนั้นมันเป็นอัตตาสิ

:b32:
ความเข้าใจถูกตามคำสอนที่เป็นปัญญาเจตสิกเกิดตอนกำลังคิดตามการฟัง
ที่คุณมาอ่านสิ่งที่คนฟังเข้าใจเขียนมันปัญญาเขาไม่ใช่ปัญญาของคุณ
ถ้าคุณจะสะสมปัญญาเจตสิกก็ต้องฟังเองตรงจริงตรงขณะ555
ก็ที่อ่านอยู่นี่มันคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมันเลยปัจจุบันขณะ
ทำปัญญาแรกตามคำสอนคือสุตมยปัญญาฟังตรงจริง
https://youtu.be/vV9JYlxeoHc
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ไหนว่าเป็นอนัตตา แล้วไปจำเอามาว่าเอาเองคิดเองอย่างนั้นมันเป็นอัตตาสิ


อ้างคำพูด:
Rosarin
ความเข้าใจถูกตามคำสอนที่เป็นปัญญาเจตสิกเกิดตอนกำลังคิดตามการฟัง
ที่คุณมาอ่านสิ่งที่คนฟังเข้าใจเขียนมันปัญญาเขาไม่ใช่ปัญญาของคุณ
ถ้าคุณจะสะสมปัญญาเจตสิกก็ต้องฟังเองตรงจริงตรงขณะ555
ก็ที่อ่านอยู่นี่มันคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมันเลยปัจจุบันขณะ
ทำปัญญาแรกตามคำสอนคือสุตมยปัญญาฟังตรงจริง
https://youtu.be/vV9JYlxeoHc


ปัญญามีสามระดับ บอกไม่จำ ฟังแล้วได้แต่ฟังปัญญาไม่เกิดก็มี ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาปัญญาไม่เกิด :b32: หลับๆตื่นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ไหนว่าเป็นอนัตตา แล้วไปจำเอามาว่าเอาเองคิดเองอย่างนั้นมันเป็นอัตตาสิ


อ้างคำพูด:
Rosarin
ความเข้าใจถูกตามคำสอนที่เป็นปัญญาเจตสิกเกิดตอนกำลังคิดตามการฟัง
ที่คุณมาอ่านสิ่งที่คนฟังเข้าใจเขียนมันปัญญาเขาไม่ใช่ปัญญาของคุณ
ถ้าคุณจะสะสมปัญญาเจตสิกก็ต้องฟังเองตรงจริงตรงขณะ555
ก็ที่อ่านอยู่นี่มันคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมันเลยปัจจุบันขณะ
ทำปัญญาแรกตามคำสอนคือสุตมยปัญญาฟังตรงจริง
https://youtu.be/vV9JYlxeoHc


ปัญญามีสามระดับ บอกไม่จำ ฟังแล้วได้แต่ฟังปัญญาไม่เกิดก็มี ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาปัญญาไม่เกิด :b32: หลับๆตื่นๆ

:b12: .
อบรมเจริญปัญญาเริ่มต้นเจริญขึ้นตามลำดับจากการเริ่มต้นที่ฟังทุกครั้ง
ถ้าทำฌานคุณก็เริ่มจากไปนั่งหลับตา/คุณกำลังจะทำปัญญาหรือฌาน
จะทำฌานก็ไปนั่งหลับตาทำนั่งเงียบๆจะทำปัญญาต้องลืมตาดูหูฟัง
เลือกทำได้แค่วิธีเดียวจะทำฌานก็ทำมิจฉาสมาธิไปเรื่อยๆนั่นเอง
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ไหนว่าเป็นอนัตตา แล้วไปจำเอามาว่าเอาเองคิดเองอย่างนั้นมันเป็นอัตตาสิ


อ้างคำพูด:
Rosarin
ความเข้าใจถูกตามคำสอนที่เป็นปัญญาเจตสิกเกิดตอนกำลังคิดตามการฟัง
ที่คุณมาอ่านสิ่งที่คนฟังเข้าใจเขียนมันปัญญาเขาไม่ใช่ปัญญาของคุณ
ถ้าคุณจะสะสมปัญญาเจตสิกก็ต้องฟังเองตรงจริงตรงขณะ555
ก็ที่อ่านอยู่นี่มันคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมันเลยปัจจุบันขณะ
ทำปัญญาแรกตามคำสอนคือสุตมยปัญญาฟังตรงจริง
https://youtu.be/vV9JYlxeoHc


ปัญญามีสามระดับ บอกไม่จำ ฟังแล้วได้แต่ฟังปัญญาไม่เกิดก็มี ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาปัญญาไม่เกิด :b32: หลับๆตื่นๆ

:b12: .
อบรมเจริญปัญญาเริ่มต้นเจริญขึ้นตามลำดับจากการเริ่มต้นที่ฟังทุกครั้ง

ถ้าทำฌานคุณก็เริ่มจากไปนั่งหลับตา/คุณกำลังจะทำปัญญาหรือฌาน

จะทำฌานก็ไปนั่งหลับตาทำนั่งเงียบๆจะทำปัญญาต้องลืมตาดูหูฟัง

เลือกทำได้แค่วิธีเดียวจะทำฌานก็ทำมิจฉาสมาธิไปเรื่อยๆนั่นเอง


ไปคิดเอาเองแล้วก็พูดซ้ำๆซากๆ

เอาที่เขาเรียงปัญญาสามระดับมาให้ดูแล้วไม่รู้จักดูจักจำ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ไหนว่าเป็นอนัตตา แล้วไปจำเอามาว่าเอาเองคิดเองอย่างนั้นมันเป็นอัตตาสิ


อ้างคำพูด:
Rosarin
ความเข้าใจถูกตามคำสอนที่เป็นปัญญาเจตสิกเกิดตอนกำลังคิดตามการฟัง
ที่คุณมาอ่านสิ่งที่คนฟังเข้าใจเขียนมันปัญญาเขาไม่ใช่ปัญญาของคุณ
ถ้าคุณจะสะสมปัญญาเจตสิกก็ต้องฟังเองตรงจริงตรงขณะ555
ก็ที่อ่านอยู่นี่มันคือจิตคิดนึกหลังเห็นดับมันเลยปัจจุบันขณะ
ทำปัญญาแรกตามคำสอนคือสุตมยปัญญาฟังตรงจริง
https://youtu.be/vV9JYlxeoHc


ปัญญามีสามระดับ บอกไม่จำ ฟังแล้วได้แต่ฟังปัญญาไม่เกิดก็มี ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาปัญญาไม่เกิด :b32: หลับๆตื่นๆ

:b12: .
อบรมเจริญปัญญาเริ่มต้นเจริญขึ้นตามลำดับจากการเริ่มต้นที่ฟังทุกครั้ง

ถ้าทำฌานคุณก็เริ่มจากไปนั่งหลับตา/คุณกำลังจะทำปัญญาหรือฌาน

จะทำฌานก็ไปนั่งหลับตาทำนั่งเงียบๆจะทำปัญญาต้องลืมตาดูหูฟัง

เลือกทำได้แค่วิธีเดียวจะทำฌานก็ทำมิจฉาสมาธิไปเรื่อยๆนั่นเอง


ไปคิดเอาเองแล้วก็พูดซ้ำๆซากๆ

เอาที่เขาเรียงปัญญาสามระดับมาให้ดูแล้วไม่รู้จักดูจักจำ

:b32:
เอาอะไรมาคิดเพราะกำลังขาดสุตมยปัญญาอยู่
เห็นตามปกติก็ไม่รู้ว่าไม่มีเรา
จะไปนั่งหลับตายิ่งไม่รู้ใหญ่
มโนนึกคิดไปตามที่นั่งเงียบๆ
นั่นน่ะเกิดสมาธิเจตสิกล้วนๆ
สมาธิเจตสิกเกิดได้ทั้งกุศลและอกุศล
ขณะทำสัมมาคิดตามคำสอนก็มีสัมมาสมาธิ
ขณะที่ไม่ฟังคำสอนไปนั่งหลับตาคิดเองเป็นมิจฉาสมาธิ
ความจริงตามคำสอนรู้ได้ตอนกำลังทำปัญญาตรงปัจจุบันขณะ
คือตอนที่กำลังลืมตาเห็นเป็นปกติตอนกำลังฟังที่กำลังคิดเห็นถูกตามคำสอนได้จึงเกิดสัมมามรรค...NOW
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

พัฒนาความอยากนี้คงจะเป็นการหันความอยาก
ของเราให้ไปสู่สิ่งที่เป็นกุศล สุดท้ายก็หลุดพ้นคือ
พระนิพพานใช่หรือไม่ครับ

อยากในสิ่งที่ควร ควรทำในสิ่งที่เป็นกุศล ผลนั้นย่อมเป็นความสุขติดตามมา

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 73 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร