วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 00:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 พ.ย. 2018, 09:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุขเพราะได้เกาที่คัน กับ สุขเพราะไม่มีที่คันจะต้องเกา

เพื่อก้าวไปในความเข้าใจเรื่องความสุข ขอนำความจากพุทธพจน์ในมาคัณฑิยสูตร มาอ่านกันอีก เป็นเครื่องทบทวนแนวการมองความสุข พุทธพจน์นี้ ตรัสเกี่ยวกับพัฒนาการของชีวิตคนในการมีความสุข ตั้งแต่ความสุขของเด็กทารก ไปจนถึงสุขสูงสุด ในขั้นของนิพพานเลยทีเดียว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าตรัสเป็นทำนองอุปมา ในเรื่องการหาการเสพความสุขของคน ให้เห็นว่า แม้แต่ในชีวิตตามปกติของคน ก็ยังมีการพัฒนาในทางความสุขอยู่แล้ว ในที่นี้ จะนำแต่สาระมาบรรยาย ดังนี้

ทรงยกตัวอย่างว่า เด็กอ่อนตั้งแต่นอนแบเบาะ เกิดใหม่ อยู่ในวัยเริ่มแรก ที่ยังไม่ลุกเดิน เล่นสนุกแม้แต่กับมูตรคูถ หัวเราะระรื่น เมื่อได้ละเลงอุจจาระปัสสาวะของตนเอง

ต่อมา เด็กนั้นโตขึ้นมาหน่อย ๓ ขวบ ๕ ขวบ ตอนนี้ เล่นมูตรคูถไม่สนุกแล้ว ก้าวไปเล่นดินเล่นทรายแล้วก็สนุกกับการเล่นของเล่นเครื่องเล่นทั้งหลาย ตุ๊กตาบ้าง รถยนต์คันน้อยๆ รถไฟขบวนน้อยๆ เครื่องบินลำน้อยๆ ก็สนุกกับของเล่น มีความสุขในการได้เล่นสิ่งเหล่านี้

เด็กเหล่านั้น มีความสุขอย่างยิ่งกับของเล่น รักใคร่ทะนุถนอมของเล่นนั้น ยึดถือเอาเป็นจริงจัง เช่น อย่างหนูน้อยบางคน มีหมอนที่เขารักสุดชีวิต เก่าจะดำปี๋อยู่แล้ว ก็ยังรักใคร่หวงแหนนักหนา ถ้าใครทำท่าจะมาแย่งเอาไป หนูน้อยนั้นจะร้องไห้ทุรนทุรายดังจะเป็นจะตายเลยทีเดียว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อมา เด็กนั้น โตขึ้น เป็นหนุ่มเป็นสาว ตอนนี้ ของเล่นนั้น ไม่เอาแล้ว ไม่สนุกด้วยแล้ว ใครจะเอามาให้ก็ไม่ชอบใจ ไม่เห็นจะสนุกมีความสุขอะไร เขาไม่มีความต้องการที่จะสนองให้มีความสุขอย่างนั้นอีกแล้ว

แต่เมื่อโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว เขาจะมีความสุขอีกประเภทหนึ่ง คือ ความสุขในการได้เสพผัสสะ ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี่มาอีกขั้นหนึ่ง

จากนั้น ก็จะมีความสุขที่พัฒนาต่อไปอีก แต่ถ้าใครจะไม่พัฒนาขึ้นไปสู่ความสุขที่สูงขึ้นไปนั้น ถ้าเขามาสะดุดหยุดที่นี่ ไม่ช้าก็จะถึงเวลาที่เขาจะต้องสิ้นหวัง หรือไม่สามารถเสพกามอามิสเหล่านั้น แล้วเขาก็จะต้องคับแค้นแสนทุกข์เพราะมัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1ขณะที่เห็นสีดับมีแสงนิดเดียวมืดต่อคั่นอีก5ทางนั้นไม่เห็นคือคิดในความมืดจึงคิดเห็นตามตัวอักษรไม่ได้น๊า
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
1ขณะที่เห็นสีดับมีแสงนิดเดียวมืดต่อคั่นอีก5ทางนั้นไม่เห็นคือคิดในความมืดจึงคิดเห็นตามตัวอักษรไม่ได้น๊า
:b32: :b32: :b32:

เข้าใจหรือยังคะว่าทุกคนไม่ได้เห็นตรงความจริงของสี
เวลาได้ยินคิดนึกจำได้กลิ่นรู้รสรู้สึกอะไรๆมันมืด
ดังนั้นสติปัญญาจริงๆต้องกำลังคิดตามเสียง
เพราะไม่ได้เห็นความจริงที่มองดูอยู่นี้ค่ะ
ถ้าไม่พึ่งคิดตามเสียงก็ไม่เกิดปัญญา
เพราะว่าสุตมยปัญญาฟังตรงจริงจริงๆค่ะ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
1ขณะที่เห็นสีดับมีแสงนิดเดียวมืดต่อคั่นอีก5ทางนั้นไม่เห็นคือคิดในความมืดจึงคิดเห็นตามตัวอักษรไม่ได้น๊า


เข้าใจหรือยังคะว่าทุกคนไม่ได้เห็นตรงความจริงของสี
เวลาได้ยินคิดนึกจำได้กลิ่นรู้รสรู้สึกอะไรๆมันมืด
ดังนั้นสติปัญญาจริงๆต้องกำลังคิดตามเสียง
เพราะไม่ได้เห็นความจริงที่มองดูอยู่นี้ค่ะ
ถ้าไม่พึ่งคิดตามเสียงก็ไม่เกิดปัญญา
เพราะว่าสุตมยปัญญาฟังตรงจริงจริงๆค่ะ


ดูๆแล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอดดังคำเขาว่าจริงๆ :b7: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ส่วนคนที่พัฒนาในขั้นสูงต่อขึ้นไป ก็จะพบความสุขที่ประณีตลึกซึ้ง ซึ่งไม่ขึ้นต่อกามอามิส ถึงขั้นแห่งความสุขที่เป็นอิสระ เป็นไทแก่ตน เป็นเสรีชนที่แท้ อย่างที่ว่าเป็นความสุข ซึ่งมีในตัวเป็นประจำตลอดเวลา ไม่ต้องหาไม่ต้องสนองอีกต่อไป

ผู้ที่เข้าถึงความสุขอย่างอิสระ ที่ไม่ต้องขึ้นต่อกามอามิสแล้วนี้ เมื่อหันมาเห็น หรือมองดูหมู่ชนที่ยังเสพหาความสุขจาก รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสกายกันอยู่ ก็จะไม่มองเห็นการเสพกามอามิสนั้นว่าเป็นความสุขตามไปด้วย แต่จะมีความรู้สึกต่อคนที่กำลังแสวงกามสุขนั้นด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เหมือนอย่างคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไปเห็นเด็กมีความสุขกับการได้เล่นของเล่น ก็จะไม่เห็นเป็นความสุขไปด้วย แต่จะรู้สึกคล้ายดังว่าจะขำหรือสงสารด้วยเข้าใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงตรงนี้ ท่านได้เทียบการพัฒนาความสุขในขั้นนี้ โดยยกตัวอย่างคนเป็นโรคเรื้อน

คนเป็นโรคเรื้อนนั้น ก็มีอาการคัน เมื่อคัน เขาก็เกา เมื่อเกาแล้ว เขาก็ยิ่งคัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน ครั้นได้เกาแล้ว ก็มีความสุข เขาจึงมีความสุขจากการเกา

ยิ่งกว่านั้น เพราะความไม่สบายของโรคนั้น ทำให้เขาอยากเอาตัวไปย่างไฟอีกด้วย ให้สมใจอยาก จะได้มีความสุข เขาเอาตัวไปย่างไฟที่ร้อนเหลือเกิน ที่คนธรรมดาถือว่าทนไม่ไหว แล้วเขาก็มีความสุข

เป็นอันว่า คนเป็นโรคเรื้อนนี้ เพราะเขามีอาการคัน ก็ทำให้เขาได้ความสุขจากการเกา และจากการเอาตัวไปย่างไฟ

พระพุทธเจ้าตรัสถามพราหมณ์ที่พระองค์ทรงสนทนาด้วยนั้นว่า ถ้าหากว่า ต่อมา คนเป็นโรคเรื้อนนี้ได้พบหมอดี มียากที่ได้ผลชะงัด หมอนั้นรักษาเขาจนหายจากโรคเรื้อน และเขาก็ไม่คันอีกต่อไป แล้วทีนี้ คนผู้หายจากโรคเรื้อนแล้วนั้น ยังอยากจะหาความสุขจากการเกาที่คันอีกไหม ยังอยากจะเอาตัวไปย่างไฟอีกไหม

พราหมณ์ทูลตอบว่า ไม่อย่างนั้นแล้ว มีแต่ตรงข้าม ตอนนี้ถ้าใครจับตัวเขาจะพาไปหาไฟ เขาจะดิ้นหนีสุดชีวิตเลย
พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้เห็นว่า พัฒนาการของความสุขเป็นไปทำนองนี้ คนที่พบความสุขที่เหนือกว่ากามอามิสแล้ว ก็จะไม่เห็นความสุขในการเสวยกามอามิสนั้นต่อไป เพราะเขามีความสุขที่ดีกว่านั้นแล้ว

ถ้าพูดแบบง่ายๆ ก็บอกว่า มนุษย์ในระดับหนึ่ง มีความสุขจากการเกาที่คัน แล้วมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ก็มีความสุขจากการไม่มีที่คันจะต้องเกา อันไหนจะเป็นความสุขแท้จริง หรือเหนือกว่ากัน ก็พิจารณาได้เอง

สาระที่ควรจะพูดถึงในตอนนี้ก็คือว่า เวลานี้พูดกันถึงคำว่า สุขภาวะ หรือง่ายๆ ว่า สุขภาพ ขอถามว่า คนที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคอะไร เวลาที่เขาอยู่ด้วยร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์นี้ ภาวะนี้ ถือเป็นความสุขไหม คือ ภาวะที่ไม่มีโรค ไม่มีอาพาธ ไม่มีอะไรระดายเสียดแทง ไม่มีอะไรบีบคั้น (โรค แปลว่า สิ่งที่เสียดแทง, อาพาธ แปลว่า บีบคั้น) ไม่มีทุกข์

ภาวะที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีความบกพร่องใดๆ แม้แต่ที่จะต้องเกา อวัยวะทุกอย่างทำหน้าที่ได้เต็มที่นี้ ถือว่าเป็นสุขภาวะ เป็นความสุขอยู่แล้วในตัว และที่แท้นั้น ภาวะแห่งความสุขของร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงไร้โรค ไม่มีความติดขัดระคายเคืองนี่แหละ เป็นความสุขหลักอย่างสูงสุด ที่เป็นจุดหมายแห่งชีวิตของทุกคน

ถึงใครจะอยากได้ความสุขอันใดก็ตาม ถึงเขาจะมีวัตถุเสพมากมายพรั่งพร้อมเพียงไร แต่ถ้าเขาขาดสุขภาวะของความสมบูรณ์ไร้โรคนี้เสียอย่างเดียว กามามิสสุขทุกอย่างของเขาก็ลดค่าหมดความหมายลงไปตามลำดับ จนกระทั่งว่า ในที่สุด ถ้าร่างกายของเขาถูกโรคร้ายบ่อนทำลายเสียหายเหมือนดังจะหมดสภาพ กามามิสสุขทุกอย่างที่เขาว่า ตนมีมากล้นเต็มที่ ก็หมดความหมายไปอย่างสิ้นเชิง หนำซ้ำยังกลายเป็นการซ้ำเติมทุกข์ให้ยิ่งแสนชอกช้ำไปเสียอีกด้วย นี่แหละ ความสุขหลักที่แท้ หรือตัวสุขภาวะ จึงอยู่ที่นี่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หันไปมองด้านจิตใจบ้าง จิตใจที่เต็มอิ่ม โปร่งโล่ง เบิกบาน ผ่องใส ไม่มีอะไรระคายเคืองกระทบกระทั่งเสียดแทงเลย เป็นจิตใจที่มีความสมบูรณ์ในตัว ก็เป็นสุขภาวะ หรือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ทำนองเดียว กับ ร่างกาย ที่สมบูรณ์แข็งแรงไร้โรคนั้น
แต่ที่จริง ยิ่งกว่านั้นอีก เพียงแต่ว่า เรื่องจิตใจนี้ ละเอียดอ่อนมาก คนทั่วไปมองถึงได้ยาก แต่ดูตัวอย่างแค่ง่ายๆ เอารายที่หนักหน่อย คนแม้ที่มีร่างกายแสนจะแข็งแรง แต่มีเรื่องทุกข์หนักคับแค้นใจยิ่งนัก ปรากฏว่า กามามิสวัตถุไม่ว่ามากมายเหลือล้นแค่ไหน ก็ทำให้เขามีความสุขไม่ได้ แต่ตรงข้าม ผู้ที่มีจิตใจโล่งโปร่งเบิกบานผ่องใสสมบูรณ์ แค่อยู่กับหญ้ากับดิน ไม่มีอะไร ก็มีความสุขได้จริงๆ

ก่อนผ่านไป ขอตอบข้อที่ถามทิ้งไว้นิดเดียวว่า “ใครหนอ คือบุคคลที่เสวยสุขครบทั้ง ๓ อย่าง” (ทั้งสุขสนองตัณหา สุขสนองฉันทะ และสุขไม่ต้องสนอง) คำตอบ คือ บุคคลโสดาบัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบตอน จากพุทธธรรมหน้า ๑๐๙๙


ต่อที่

viewtopic.php?f=1&t=56745&p=429504#p429504

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 พ.ย. 2018, 05:44, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
1ขณะที่เห็นสีดับมีแสงนิดเดียวมืดต่อคั่นอีก5ทางนั้นไม่เห็นคือคิดในความมืดจึงคิดเห็นตามตัวอักษรไม่ได้น๊า


เข้าใจหรือยังคะว่าทุกคนไม่ได้เห็นตรงความจริงของสี
เวลาได้ยินคิดนึกจำได้กลิ่นรู้รสรู้สึกอะไรๆมันมืด
ดังนั้นสติปัญญาจริงๆต้องกำลังคิดตามเสียง
เพราะไม่ได้เห็นความจริงที่มองดูอยู่นี้ค่ะ
ถ้าไม่พึ่งคิดตามเสียงก็ไม่เกิดปัญญา
เพราะว่าสุตมยปัญญาฟังตรงจริงจริงๆค่ะ


ดูๆแล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอดดังคำเขาว่าจริงๆ :b7: :b32:

ฟังสิ่งที่จำเป็นต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา
ไม่ใช่ทำสิ่งที่ต้องการอยากจะไปทำเพิ่ม
เพราะกิเลสมีแล้วที่กายใจตนเองเข้าใจป่าว
เอ้าคิดให้ตรงเห็นแค่สีกระทบตาดับหมดแล้ว
จึงจะเกิดจิตทางอื่นสลับกันไปมืด5ขณะน่ะไม่เห็น
ดังนั้นตอนคิดนึกตอนได้ยินได้กลิ่นรู้รสรู้สึกสุขทุกข์จำอะไร
ในเมื่อสว่างวาบ1ขณะคือสี1สีกระทบตาแล้วดับมืดต่ออีก5ขณะ
ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยทีละ1ขณะไม่ซ้ำ
คิดนึกในความมืดดังนั้นไม่เห็นเลยตอนที่คิดตอนที่ได้ยินตอนจำตอนรู้สึกต่างๆมืด
ลืมตาดูอยู่นี่จะไปทำพิธีกรรมหรือจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนจะสว่างตลอดเวลาได้ไหม
เพราะตถาคตทรงแสดงว่าจิตเกิดดับสลับกันทีละ1ทางทีละ1ขณะไม่ปนกันกิเลสตนหลอกจิตน๊า
คือว่าเห็นแค่สี1สีแล้วดับหมดไม่เหลือซากที่มีแสงเลยจากนั้นมืดอีก5ทางแต่ละ1ขณะมีเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป
เป็นปกติธรรมดาที่เร็วสุดที่จะประมาณได้แค่กระพริบตาดับครบ6ทางเลยคิดสิบวชรับเงินอาบัติหลงผิดแค่ไหน
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2018, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
1ขณะที่เห็นสีดับมีแสงนิดเดียวมืดต่อคั่นอีก5ทางนั้นไม่เห็นคือคิดในความมืดจึงคิดเห็นตามตัวอักษรไม่ได้น๊า


เข้าใจหรือยังคะว่าทุกคนไม่ได้เห็นตรงความจริงของสี
เวลาได้ยินคิดนึกจำได้กลิ่นรู้รสรู้สึกอะไรๆมันมืด
ดังนั้นสติปัญญาจริงๆต้องกำลังคิดตามเสียง
เพราะไม่ได้เห็นความจริงที่มองดูอยู่นี้ค่ะ
ถ้าไม่พึ่งคิดตามเสียงก็ไม่เกิดปัญญา
เพราะว่าสุตมยปัญญาฟังตรงจริงจริงๆค่ะ


ดูๆแล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอดดังคำเขาว่าจริงๆ :b7: :b32:

ฟังสิ่งที่จำเป็นต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา
ไม่ใช่ทำสิ่งที่ต้องการอยากจะไปทำเพิ่ม
เพราะกิเลสมีแล้วที่กายใจตนเองเข้าใจป่าว
เอ้าคิดให้ตรงเห็นแค่สีกระทบตาดับหมดแล้ว
จึงจะเกิดจิตทางอื่นสลับกันไปมืด5ขณะน่ะไม่เห็น
ดังนั้นตอนคิดนึกตอนได้ยินได้กลิ่นรู้รสรู้สึกสุขทุกข์จำอะไร
ในเมื่อสว่างวาบ1ขณะคือสี1สีกระทบตาแล้วดับมืดต่ออีก5ขณะ
ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยทีละ1ขณะไม่ซ้ำ
คิดนึกในความมืดดังนั้นไม่เห็นเลยตอนที่คิดตอนที่ได้ยินตอนจำตอนรู้สึกต่างๆมืด
ลืมตาดูอยู่นี่จะไปทำพิธีกรรมหรือจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนจะสว่างตลอดเวลาได้ไหม
เพราะตถาคตทรงแสดงว่าจิตเกิดดับสลับกันทีละ1ทางทีละ1ขณะไม่ปนกันกิเลสตนหลอกจิตน๊า
คือว่าเห็นแค่สี1สีแล้วดับหมดไม่เหลือซากที่มีแสงเลยจากนั้นมืดอีก5ทางแต่ละ1ขณะมีเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป
เป็นปกติธรรมดาที่เร็วสุดที่จะประมาณได้แค่กระพริบตาดับครบ6ทางเลยคิดสิบวชรับเงินอาบัติหลงผิดแค่ไหน
:b32: :b32:

คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พิธีกรรมเพราะไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเลยคร่าาาาาาา...
ฟังบ้างนะจะได้ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาพบคำสอนของพระพุทธเจ้า
https://youtu.be/JuF9eCSejso
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2018, 05:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
1ขณะที่เห็นสีดับมีแสงนิดเดียวมืดต่อคั่นอีก5ทางนั้นไม่เห็นคือคิดในความมืดจึงคิดเห็นตามตัวอักษรไม่ได้น๊า


เข้าใจหรือยังคะว่าทุกคนไม่ได้เห็นตรงความจริงของสี
เวลาได้ยินคิดนึกจำได้กลิ่นรู้รสรู้สึกอะไรๆมันมืด
ดังนั้นสติปัญญาจริงๆต้องกำลังคิดตามเสียง
เพราะไม่ได้เห็นความจริงที่มองดูอยู่นี้ค่ะ
ถ้าไม่พึ่งคิดตามเสียงก็ไม่เกิดปัญญา
เพราะว่าสุตมยปัญญาฟังตรงจริงจริงๆค่ะ


ดูๆแล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอดดังคำเขาว่าจริงๆ :b7: :b32:


ฟังสิ่งที่จำเป็นต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา

ไม่ใช่ทำสิ่งที่ต้องการอยากจะไปทำเพิ่ม

เพราะกิเลสมีแล้วที่กายใจตนเองเข้าใจป่าว

เอ้าคิดให้ตรงเห็นแค่สีกระทบตาดับหมดแล้ว

จึงจะเกิดจิตทางอื่นสลับกันไปมืด 5 ขณะน่ะไม่เห็น

ดังนั้น ตอนคิดนึก ตอนได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สึกสุขทุกข์จำอะไร

ในเมื่อสว่างวาบ 1 ขณะ คือสี 1 สี กระทบตาแล้ว ดับ มืด ต่อ อีก 5 ขณะ

ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยทีละ1ขณะไม่ซ้ำ
คิดนึกในความมืดดังนั้นไม่เห็นเลยตอนที่คิดตอนที่ได้ยินตอนจำตอนรู้สึกต่างๆมืด
ลืมตาดูอยู่นี่จะไปทำพิธีกรรมหรือจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนจะสว่างตลอดเวลาได้ไหม
เพราะตถาคตทรงแสดงว่าจิตเกิดดับสลับกันทีละ1ทางทีละ1ขณะไม่ปนกันกิเลสตนหลอกจิตน๊า
คือว่าเห็นแค่สี1สีแล้วดับหมดไม่เหลือซากที่มีแสงเลยจากนั้นมืดอีก5ทางแต่ละ1ขณะมีเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป
เป็นปกติธรรมดาที่เร็วสุดที่จะประมาณได้แค่กระพริบตาดับครบ6ทางเลยคิดสิบวชรับเงินอาบัติหลงผิดแค่ไหน

คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พิธีกรรมเพราะไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเลยคร่าาาาาาา...
ฟังบ้างนะจะได้ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาพบคำสอนของพระพุทธเจ้า
https://youtu.be/JuF9eCSejso


ยิ่งตอกย้ำว่าพุทธในเมืองไทยไปไม่รอดเข้าไปอีก คิกๆๆๆ

อ้างคำพูด:
ฟังสิ่งที่จำเป็นต้องฟังเพื่อสะสมปัญญา

ไม่ใช่ทำสิ่งที่ต้องการอยากจะไปทำเพิ่ม

เพราะกิเลสมีแล้วที่กายใจตนเองเข้าใจป่าว

เอ้าคิดให้ตรงเห็นแค่สีกระทบตาดับหมดแล้ว

จึงจะเกิดจิตทางอื่นสลับกันไปมืด 5 ขณะน่ะไม่เห็น

ดังนั้น ตอนคิดนึก ตอนได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สึกสุขทุกข์จำอะไร

ในเมื่อสว่างวาบ 1 ขณะ คือสี 1 สี กระทบตาแล้ว ดับ มืด ต่อ อีก 5 ขณะ


อ่ะนะกิเลสมีแล้วจะไปทำทำไม นี่คือสำนักแม่สุจินคิด พูดง่ายๆว่ามันมีอยู่ว่างั้นเถอะ จะไปทำทำไม คือ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว มันมีแล้ว เพียงมองให้เห็นสีก็แล้วกัน นั่นเขาว่าอย่างนั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เลยคร่าๆๆ คิกๆๆ

นี่แหละเขาคิดแบบปุถุชนคิด ใช้กิเลสคิด :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 86 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร