วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 05:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2018, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




22616162.gif
22616162.gif [ 411.65 KiB | เปิดดู 1031 ครั้ง ]
ตำนานนกยูงทองพระโพธิสัตว์-ตำนานพระปริตร

ครั้งเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงภิกษุผู้ตกอยู่ในอารมณ์กระสันรูปหนึ่ง
จึงทรงตรัสพระธรรมเทศนา “พระปริตร” นี้ให้แก่ภิกษุนั้นฟัง มีความว่า

ในอดีตกาลเนิ่นนานมา มีพระราชาทรงพระนามว่า พรหมทัตต์
ครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เจ้าได้บังเกิดในครรภ์นางนกยูง อันอาศัยอยู่ในป่าชายแดนกรุงพาราณสี
เมื่อพระโพธิสัตว์ออกจากไข่แล้ว มีผิวพรรณและสีขนเป็นเงางาม เป็นสีทอง พร้อมประกอบด้วยลักษณะอันเลิศกว่านกทั้งปวง เมื่อเติบใหญ่เจริญวัย ก็ได้เป็นเจ้าแห่งนกยูงทั้งปวง

วันหนึ่งพญานกยูงทองนั้นได้ไปดื่มในสระแห่งหนึ่ง
มองเห็นเงาของตนในน้ำ จึงได้รู้ว่าตนนี้มีรูปงามยิ่งกว่านกยูงทั้งหลาย จึงคิดว่า ถ้าเราขืนอยู่รวมกับหมู่นกยูงทั้งหลาย
อาจจะนำพาภัยมาถึงหมู่คณะแก่ตัวเอง เห็นทีเราจะต้องหลีกออกเสียจากหมู่ ไปหาที่อยู่ใหม่ คงจะต้องไปให้ไกลจนถึง ป่าหิมพานต์ เราจึงจะพ้นภัย พญายูงทองนั้นคิดเช่นนี้แล้ว จึงออกบินไปด้วยกำลัง ไม่ช้านักก็ถึงป่าหิมพานต์นั้น เสาะแสวงหาได้ถ้ำแห่งหนึ่ง
ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชัน ณ ป่าหิมพานต์นั้น เป็นที่อยู่อาศัย เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม และปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งหลาย

ครั้นรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์จึงได้ออกจากคูหา บินไปจับบนยอดเขา หันหน้าไปสู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) แล้วเพ่งมองดวงสุริยะเมื่อยามเช้า พร้อมกับสาธยายพระปริตร ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า “อุเทตยัญ จักขุมาเอกะราชา”เป็นต้น เพื่อป้องกันรักษาตนในเวลากลางวัน
แล้วจึงเที่ยวออกไปแสวงหาอาหาร ครั้นถึงเวลาเย็น เมื่อจะบินกลับเข้าที่อยู่ พญานกยูงทอง ก็ไม่ลืมที่จะบินขึ้นไปจับอยู่บนยอดเขา หันหน้าสู่ทิศตะวันตก แหงนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังอัสดงลับขอบฟ้าไปแล้วสาธยายมนต์พระปริตรขึ้นว่า “อะเปตะยัญจักขุมาเอกะราชา” เป็นต้น เพื่อที่จะป้องกันภัย รักษาตนในเวลาตลอดราตรี แล้วจึงบินกลับเขาไป อาศัยอยู่ในถ้ำจนตลอดรุ่งเช้าตรู่ของวันใหม่ พญายูงทองก็ทำดังนี้ทุกวันมิได้ขาด พร้อมได้สถิตสถาพรตั้งมั่นอยู่ในความสุขสำราญตลอดมา โดยมิมีทุกข์ภัยใดๆ มากล้ำกรายได้เลย

กาลต่อมา มีพรานป่าผู้หนึ่งเดินทางหลงป่ามาจนได้พบเห็นพญายูงทองที่เกาะอยู่บนยอดขุนเขานั้นแต่ก็มิได้ทำประการใด เพราะมัวแต่พะวงกับการหาทางออกจากป่าจนพรานผู้นั้นหาทางกลับมาถึงบ้านพักของตน ก็มิได้บอกเรื่องที่ได้พบเห็นพญานกยูงทองนั้นแก่ใคร จวบจนเวลาที่นายพรานผู้นั้นแก่ใกล้ตายจึงได้บอกเรื่องพญายูงทองให้แก่บุตรของตนได้ทราบแล้วสั่งว่าควรจะนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่พระราชาให้ทรงทราบสั่งแล้วก็สิ้นลมตาย

ต่อมาภายหลังพระมเหสีของพระเจ้าพาราณสีทรงพระสุบินนิมิตรไปว่าขณะที่พระนางทรงประทับอยู่ภายในพระราชอุทยาน
ที่ประทับอยู่ ณ ริมสระปทุมชาติ ได้มีนกยูงสีทองบินมาจากทิศอุดร แล้วร่อนลงจับอยู่ ณ ขอนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง แล้วนกยูงทองนั้นก็ได้ปราศรัย แสดงธรรมให้แก่พระนางฟัง กาลต่อมา พระเทวีทรงฝันต่อไปว่า เมื่อพญายูงทองนั้นแสดงธรรมจบแล้ว นกยูงทองนั้นก็จะบินกลับในฝันพระนางได้ตะโกนร้องบอกแก่บริวารว่า “ช่วยกันจับนกยูงที ช่วยกันจับนกยูงที ” พระนางตะโกนจนกระทั้งตื่นบรรทม
นับแต่นั้นมา พระเทวีก็ให้อาลัยปรารถนาจักได้นกยูงทองตัวนั้นมา จึงออกอุบายแสร้งทำเป็นทรงพระประชวร ด้วยอาการแพ้พระครรภ์

แล้วทูลขอพระสวามีว่า การแพ้ท้องครั้งนี้จักหายได้ ก็ด้วยได้มีโอกาสเห็นพญายูงทอง และสดับธรรมที่พญานกยูงทองแสดง

พระราชาพรหมทัตต์ จึงทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์เหล่าพรานไพรทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี และรอบอาณาเขตพระนคร
เมื่อบรรดาพรานไพรมาประชุมพร้อมกันแล้ว พระราชาจึงทรงตรัสถามว่า มีใครรู้จักนกยูงสีทองบ้าง

ขณะนั้นพรานหนุ่มผู้ซึ่งเคยได้รับคำบอกเล่าจากบิดาว่า ได้เคยเห็นนกยูงทอง จึงลุกขึ้นกราบบังคมทูลเนื้อความนั้นแก่พระราชา
พร้อมทั้งกราบทูลแจ้งที่อยู่ของพญานกยูงทองแก่พระราชาด้วย

พระราชาพรหมทัตต์ จึงทรงมีพระบัญชาว่า “ดีหล่ะในเมื่อเจ้าพอจะรู้ถึงถิ่นที่อยู่ของพญายูงทองเราก็จะตั้งให้เจ้ามีหน้าที่เป็นพรานหลวง ไปจับนกยูงทองตัวนั้นมาให้เราและพระมเหสี”

พรานหนุ่มก็รับพระบัญชาจากพระราชา แล้วออกเดินทางไปสู่ป่าหิมพานต์ เพื่อที่จะจับยูงทองตัวนั้นมาถวายพระราชาให้จงได้ จวบจนวันเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี พรานหนุ่มซึ่งบัดนี้แก่ชราลงแล้ว ก็ยังมิสามารถจับพญานกยูงทองนั้นได้ ครั้นจะกลับไปยังบ้านเมืองก็เกรงจะต้องอาญา จึงทนอยู่ในป่าหิมพานต์จนกระทั่งตาย

ส่วนพระเทวี เมื่อเฝ้ารอพญายูงทองที่ส่งนายพรานไปจับ ก็ยังไม่เห็นมาจนกระทั่งตรอมพระทัยตายในที่สุด

พระราชาพรหมทัตต์ทรงเสียดายอาลัยรัก พระมเหสีเป็นที่ยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า พระมเหสีของเราต้องมาตายโดยยังมิถึงวัยอันควร
เหตุน่าจะมาจากพญานกยูงทองตัวนั้นเป็นแน่ บัดนี้เราก็แก่ชราลงมากแล้ว คงจะไม่มีโอกาสเห็นนายพรานคนใดจับนกยูงทองตัวนั้นได้เป็นแน่ ดีหละถ้าเช่นนั้นเราจะผูกเวรแก่นกยูงตัวนี้ ทรงดำริดังนั้นแล้ว พระราชาพรหมทัตต์มีรับสั่งให้นายช่างทอง สลักข้อความว่า **หากผู้ใด ใครได้กินเนื้อของพญานกยูงทองที่อาศัยอยู่ ณ ป่าหิมพานต์ จักมีอายุยืนยาวไม่แก่ ไม่ตาย** ลงในแผ่นทอง
แล้วเก็บรักษาไว้ในท้องพระคลัง

ต่อมาไม่นานพระราชาพรหมทัตต์ ก็ถึงกาลทิวงคตลง แผ่นทองจารึกนั้น ก็ตกถึงมือของยุวกษัตริย์องค์ต่อมา เมื่อทรงรู้ข้อความในแผ่นทองจารึกนั้นก็หลงเชื่อ มีรับสั่งให้พรานป่าออกไปตามจับพญานกยูงทองมาถวาย และแล้วพรานไพรนั้น ก็ต้องไปตายเสียในป่าอีกเหตุการณ์ได้ดำเนินไปเช่นนี้ จนสิ้นเวลาไป ๖๙๓ ปี พระราชาในราชวงศ์นี้ก็ทิวงคตไป ๖ พระองค์

แม้ว่าจะสิ้นพรานป่าไป ๖ คน พระราชาทิวงคตไป ๖ พระองค์ ก็ยังหามีผู้ใดมีความสามารถจับพญายูงทองโพธิสัตว์ได้ไม่ จวบจนถึงรัชสมัยพระราชาองค์ที่ ๗ ผู้ครองกรุงพาราณสี ได้คัดสรรจัดหาพรานไพรผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นคนละเอียดรู้จักสังเกต รู้กลอุบาย นายพรานคนที่ ๗ เมื่อได้รับพระบัญชา แต่พระราชาให้ออกไปจับนกยูงทอง ณ ป่าหิมพานต์ ก็จัดเตรียมอุปกรณ์พร้อมบ่วงบาศ เพื่อจะไปดักจับพญายูงทอง

พรานนั้นใช้เวลาในการดักจับพญายูงทองสิ้นเวลาไป ๗ ปี พญายูงทองก็หาได้ติดบ่วงของนายพรานไม่ นายพรานจึงมาใคร่ครวญดูว่า “เอ..ทำไมบ่วงของเราจึงไม่รูดติดข้อเท้าของพญายูงทองแต่ก็หาคำตอบได้ไม่” พรานนั้น ก็มิได้ละความพยายาม เฝ้าสังเกตกิริยา และกิจวัตรประจำวันของพญายูงทอง จึงได้รู้ว่าทุกเช้าและทุกเย็น พญานกยูงทองจักเจริญมนต์พระปริตร
โดยช่วงเช้าบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกมองพระอาทิตย์ ตอนเย็นหันหน้าไปทางทิศตะวันตกมองพระอาทิตย์ แล้วสาธยายมนต์ พรานนั้นสังเกตต่อไปว่า ในที่นี้หาได้มีนกยูงตัวอื่นอยู่ไม่ แสดงว่าพญานกยูงนี้ยังรักษาพรหมจรรย์อยู่ คงด้วยอำนาจของการรักษาพรหมจรรย์ และมนต์พระปริตร ทำให้บ่วงของเราไม่ติดเท้านกยูงทอง

ครั้นนายพรานได้ทราบมูลเหตุดังนั้นแล้ว จึงคิดจะขจัดเครื่องคุ้มครองของพญานกยูงทองเสีย นายพรานนั้นจึงเดินทางกลับสู่บ้านของตน แล้วออกไปดักนกยูงตัวเมียที่มีลักษณะดีในป่าใกล้บ้าน ได้มาหนึ่งตัว แล้วจึงทำการฝึกหัดให้นางนกนั้น รู้จักอาณัติสัญญา

เช่น ถ้านายพรานดีดนิ้วมือ นางนกยูงก็จะต้องร้องขึ้น ถ้าปรบมือนางนกยูงก็จะทำการฟ้อนรำขึ้น เมื่อฝึกสอนนางนกยูงจนชำนิชำนาญดีแล้ว พรานนั้นก็พานางนกยูงเดินทางไปยังที่ที่พญานกยูงทองอาศัยอยู่แล้วทำการวางบ่วงดักเอาไว้
ก่อนที่พญายูงทองจะเจริญมนต์พระปริตร พรานได้วางนางนกยูงลงใกล้ๆ กับที่ดักบ่วง แล้วดีดมือขึ้น นางนกยูงก็ส่งเสียงร้องด้วยสำเนียงอันไพเราะจับใจ จนได้ยินไปถึงหูของพญายูงทองโพธิสัตว์

คราที่นั้น กิเลสกามที่ระงับด้วยอำนาจของตบะ และหลบอยู่ในสันดาน ก็ได้ฟุ้งซ่านขึ้นในทันที เสียงนางยูงทองนั้นทำให้พญายูงทองโพธิสัตว์ มีจิตกระสันฟุ้งซ่านเร่าร้อนไปด้วยไฟราคะ ครอบงำเสียซึ่งตบะ ไม่สามารถมีจิตคิดจะเจริญมนต์พระปริตรสำหรับป้องกันตนได้เลย พญานกยูงทองโพธิสัตว์จึงได้ออกจากคูหา แล้วโผผินบินไปสู่ที่ที่นางนกยูงยืนส่งเสียงร้องในทันที

นกยูงทอง

ขณะที่มัวแต่สนใจแต่รูปโฉมของนางนกยูง พลันเท้านั้น ก็เหยียบยืนเข้าไปในบ่วงบาศของพรานที่วางดักไว้ บ่วงใดๆ ที่มิได้เคยร้อยรัดพระมหาโพธิสัตว์ยูงทอง ตลอดเวลา ๗๐๐ ปี บัดนี้พญายูงทองโพธิสัตว์ได้โดนบ่วงทั้งสองร้อยรัดสิ้นอิสระเสียแล้ว บ่วงทั้งสองนั่นก็คือ “บ่วงกาม” และ “บ่วงบาศ”

“โอ้หนอ บัดนี้ทุกข์ภัยได้บังเกิดต่อพญานกยูงทองโพธิสัตว์เสียแล้ว เป็นเพราะเผลอสติแท้ๆ เพราะนางนกยูงตัวนี้เป็นเหตุ
จึงทำให้พญายูงทองมีจิตอันเร่าร้อนไปด้วยกิเลสจนต้องมาติดบ่วงของเรา” “การที่เรามาทำสัตว์ผู้มีศีลให้ลำบากเห็นปานนี้ เป็นการไม่สมควรเลย จำเราจะต้องปล่อยพญานกนี้ไปเสียเถิด แต่ถ้าเราจะเดินเข้าไปปล่อยพญานกยูงทองนั้น ก็จะดิ้นรนจนได้รับความลำบาก เห็นทีเราจะต้องใช้ธนูยิงสายบ่วงนั้นให้ขาดเพื่อพญานกจะได้หลุดจากบ่วงที่คล้องรัดอยู่” นายพรานคิด

ครั้นนายพรานไพรผู้มีใจเป็นธรรมคิดดังนั้นแล้ว จึงจัดการนำลูกธนูมาขึ้นพาดสาย แล้วเล็งตรงไปยัง เชือกบ่วงที่ผูกติดกับต้นไม้ เพื่อหมายใจจะให้เชือกขาด พญานกยูงทองโพธิสัตว์ ครั้นได้แลเห็นนายพรานโก่งคันศร ก็ตกใจกลัวว่านายพรานจะยิ่งตนตายด้วยลูกศร จึงร้องวิงวอนขอชีวิตต่อนายพรานว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านจับเราเพราะต้องการทรัพย์แล้วหละก็ ขออย่าได้ฆ่าเราเลย จงจับเราเป็นๆ เอาไปถวายพระราชาเถิด พระราชาจะปูนบำเหน็จให้ท่านอย่างงามทีเดียวหละ”

พรานไพร เมื่อได้ฟังนกยูงทองร้องบอกและขอชีวิตดังนั้น จึงกล่าวว่า เรามิได้มีความประสงค์จะฆ่าท่านหรอก การที่เราเล็งศรไปยังท่าน ก็เพียงเพื่อจะยิงเชือกบ่วงให้ขาด เพื่อปล่อยท่านให้เป็นอิสระ พญานกยูงทองโพธิสัตว์จึงร้องขอบใจต่อนายพราน

พร้อมทั้ง แสดงอานิสงส์ของการไม่ฆ่าสัตว์ และผลของการฆ่าสัตว์ว่าจะได้รับโทษทุกข์ทัณฑกรรมนานา อีกทั้งชี้แจงให้พรานไพรได้รู้ถึงผลของบุคคลผู้มีมิจฉาทิฐิ ว่ามีโทษทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อน ส่วนผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมมีผลที่ให้เกิดสุขทั้งตนและคนอื่น ทั้งยังได้บอกประโยชน์ของการไม่คบคนพาล คบบัณฑิต และที่สุดพญานกยูงทอง ก็ชี้ให้นายพรานได้เห็นทุกข์ภัยของสัตว์นรก
ว่าเกิดจากความเมาประมาทขาดสติ เมื่อสิ้นสุดธรรมโอวาทพรานนั้นก็ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกโพธิญาณ ส่วนพญายูงทองก็ได้พ้นจากบ่วงทั้งสอง คือ บ่วงกาม และบ่วงบาศ ที่เกิดจากเครื่องดักจับในขณะที่นายพรานตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทำการประทักษิณ แก่พญานกยูงทองโพธิสัตว์ แล้วก็เหาะขึ้นไปบนอากาศ ไปสถิตอยู่ ณ คูหาบน ยอดเขานันทมูลคีรี จบความเดิมที่เกิดมนต์โมรปริตรแต่เพียงนี้
credit : http://www.dhammajak.net/

พระคาถาโมรปริตร “นะโมวิมมุตตานัง นะโมวิมุตติยา”เป็นคาถาที่ปรากฏในตำนานโมรปริตร (อุเทตะยัญจักขุมา) ซึ่งเป็นนิทานชาดก โดยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็น “พญานกยูงทอง”

พระคาถาโมรปริตร ว่าดังนี้

“อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง
เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร จะระติ เอสะนาฯ
อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง
เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ
นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา
อิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร วาสะมะกัปปะยีติฯ”

คำแปล
(เมื่อพระอาทิตย์อุทัยยามรุ่งอรุณ นกยูงสวดพระปริตรว่า)
“พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาเป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสง สว่าง กำลังสาดแสงสีทองส่องผืนปฐพี ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ผู้สาดแสงสีทองส่องผืนปฐพี ขอท่านจงคุ้มครองข้าพเจ้าทั้งหลายให้อยู่ เป็นสุขตลอดกลางวัน ในวันนี้
ท่านเหล่าใดละบาปได้แล้ว รู้ธรรมทั้งปวงหมดทุกอย่าง ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า ท่านผู้ไม่มีบาปทั้งหลายโปรดรักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมพระโพธิญาณ ขอนอบน้อมท่านผู้หลุดพ้นแล้วทั้งหลาย ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง” นกยูงนั้นสวดปริตรนี้แล้ว จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร
(เมื่อพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น นกยูงได้สวดพระปริตรว่า)
“พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาเป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสง สว่าง สาดแสงสีทองส่องผืนปฐพีกำลังอัศดงแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ผู้สาดแสงสีทองส่องผืนปฐพี ขอท่านจงคุ้มครองข้าพเจ้า ทั้งหลายให้อยู่เป็นสุขตลอดราตรีค่ำคืนวันนี้
ท่านเหล่าใดละบาปได้แล้ว รู้ธรรมทั้งปวงหมดทุกอย่าง ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า ท่านผู้ไม่มีบาป ทั้งหลายโปรดรักษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอนอบน้อมพระโพธิญาณ ขอนอบน้อมท่านผู้หลุดพ้นแล้วทั้งหลาย ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง” นกยูงนั้นสวดปริตรนี้แล้ว จึงพักผ่อนหลับนอน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2018, 18:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

พระปริตรนี้สำคัญนะในพระพุทธศาสนานี้ คนทั่วไปก็มักจะมองว่าไม่มีอะไร แค่บทสวดมนต์ แต่ถ้าเป็นผู้ที่เข้าถึงธรรม เห็นธรรมเครื่องกุศล หรือผู้มีปัญญามาก หรือผู้ที่สะสมบารมีธรรมมาดีแล้วนั้น แม้ว่าธรรมนั้นจะดูว่าเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าท่านจะเห็นสิ่งใดแม้เล็กน้อยก็น้อมลงธรรมได้ทั้งหมด โดยท่านจะเห็นว่า..

1. พระปริตรทั้งหลายนี้ เป็นคุณแห่งการรักษาและคุ้มภัยแก่ขันธ์ และทรัพย์สิน ด้วยอาศัยศรัทธาอันแรงกล้าของผู้สาธยายพระปริตร อีกประการหนึ่งคือศรัทธาอันประกอบด้วยศีลแก่บุคคลผู้สาธยายด้วยบารมีแห่งศีลนั้น

2. ท่านผู้รู้จะพิจารณาเหตุและผลพร้อมคุณประโยชน์ว่า..ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าสมัยเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ก็ดี หรือข้อธรรมอันเป็นในปัจจุบันแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้วเป็นพระปริตรก็ดี ผลที่ทำให้เป็นไปนั้นล้วนแต่มาจากการสะสมบารมีแห่ง บารมี 10 ทัศ มีทาน ศีล พรหมวิหารธรรม ขันติ สมาธิ ปัญญาเป็นต้น ให้บริสุทธิ์ แล้วจึงกระทำอธิษฐานบารมี ผลนี้จึงเกิดมีขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช่พระตถาคต เราจะไม่สามารถทำไม่ได้ แต่ผู้รู้ท่านจะเห็นว่า..เมื่อบารมีของตนนี้มีมากพอ ไม่ว่าใครก็สามารถรับผลนั้นได้ มีสัจจะคือศีลอันบริสุทธิ์เป็นต้น แล้วเร่งสะสมบารมีเครื่องกุศลทั้งปวงเป็นบุญบารมีแก่ขันธ์ ทำอธิษฐานจะดำรงมั่นในศีลนี้แล้วไม่กระทำผิดสัจจะอธิษฐานตน วาจาก็จะศักดิ์สิทธิ์ตาม ดังนี้จึงมักกล่าวกันว่า..คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

พระปริตรมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นสัจจะวาจาจากคุณงามความดีในพระบารมีทั้ง 10 ทัศ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สะสมมามีแล้ว ซึ่งล้วนแล้วแต่กล่าวความจริง เป็นคำจริง แม้สมัยนี้เราก็มีครูบาอาจารย์ที่มีวาจาสิทธิ์ เพราะได้สะสมบารมีบริสุทธิ์เป็นสัจจะ เป็นศีลทีบริบูรณ์มาดีแล้ว

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร