วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
ถึงเมที่รัก ช่วยสอนพี่หน่อยสิ

จะเข้าเมตตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ากรุณาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ามุทิตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้าอุเบกขาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม

จะยกเมตตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกกรุณาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ากรุณาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกมุทิตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ามุทิตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกอุเบกขาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าอุเบกขาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม

ขอบะเอียดๆแบบที่เมถึงนะไม่ใช่ท่องจำ


คริคริ

คุณแค่อากาสได้แสดงความเขลาเบาปัญญาซ้ำซากอีกแล้วหละค่ะ

เพราะไม่ได้เรียนปริยัติ ไม่เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า

พรหมวิหาร ต้องมีสัตว์บัญญัติ สี่ ประเภท

ซึ่งบุคคลจะเลือก เพื่อนำมาพิจารณากัมฐาน
เช่น

ทุกขิตสัตว์บัญญัติ ต้องเจริญ กรุณาพรหมวิหาร
ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ต้องเจริญเมตตาพรหมวิหาร

แต่ๆๆ คุณแค่อากาส กลับตื้นเขินเบาปัญญา จนไม่รู้จะยกพรหมวิหาร เป็นมหาสติปัฎฐานได้ยังไง

และเม ได้บอกไปแล้วในกระทู้ที่ผ่านมาหลายครั้งไปแล้ว

ว่า

วิปัสสนา มีแต่ปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เป็นอารมณ์เท่านั้น

นี่แหละ ผลของการที่คุณแค่อากาส ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติ พระอภิธรรมมัตสังคหะ เรย
เรยรู้มาผิดๆๆ เข้าใจผิดๆๆ ปฎิบัติไม่ได้เรื่องราว เพราะเป็นมิจฉาทิฎฐิล้นเหลือ

ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในพระไตรปิฏก

เม แนะนำนะคะ ไปเรียนพระปริยัติเบื้องต้นให้ดีเสียก่อนนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่นี้ คนที่เรียนพระอภิธรรม เรียนปริยัติ และปฎิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน

ใครๆเห็น เค้าก็รู้กันได้ชัดแจ้งแล้วหละค่ะ

ว่า

คุณแค่อากาศ ตื้นเขิน เบาปัญญาซ้ำซากขนาดไหน

กัมฐานก็ไม่เป็น
สติปัฎฐานก็ไม่เอาไหน
วิปัสสนา ก็มั่วแหลก

ไม่ตรงตามพระธรรม ในพระไตรปิฎก ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง

ตื้นเขินเบาปัญญาซ้ำซาก เพราะไม่เรียนปริยัติ ไม่เรียนพระอภิธรรม
ปริยัติยังไม่เอาไหน ปฎิบัติก็ผิดเพี้ยน ไม่ถึงปฎิเวธได้นะคะๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 06:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ซึ่งบุคคลจะเลือก เพื่อนำมาพิจารณากัมฐาน
เช่น

ทุกขิตสัตว์บัญญัติ ต้องเจริญ กรุณาพรหมวิหาร
ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ต้องเจริญเมตตาพรหมวิหาร




:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 07:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="โลกสวย"]แค่นี้ คนที่เรียนพระอภิธรรม เรียนปริยัติ และปฎิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน

ใครๆเห็น เค้าก็รู้กันได้ชัดแจ้งแล้วหละค่ะ

ว่า

คุณแค่อากาศ ตื้นเขิน เบาปัญญาซ้ำซากขนาดไหน

กัมฐานก็ไม่เป็น
สติปัฎฐานก็ไม่เอาไหน
วิปัสสนา ก็มั่วแหลก

ไม่ตรงตามพระธรรม ในพระไตรปิฎก ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง

ตื้นเขินเบาปัญญาซ้ำซาก เพราะไม่เรียนปริยัติ ไม่เรียนพระอภิธรรม
ปริยัติยังไม่เอาไหน ปฎิบัติก็ผิดเพี้ยน ไม่ถึงปฎิเวธได้นะคะๆๆ

[/quote]

-------------------------------------------------


น่าสงสารเมจังร่ายมาตั้งยาวได้แค่นี้

เขาคุยเรื่องอะไรกันยังไม่รุ้แต่อยากคุยกับเขาเลยร่ายซะยาวหลายกระทู้

ขนาดแค่นี้ยังไม่รู้แล้วที่เีียนมาก็คงมั่วหมดแล้วเม

:b9: :b9:

[b]เพราะเห็นก่อนว่าเมจะมาเผือกในวันนี้ เลยเขียนไว้รอในกระทู้มนสิการมุทิตา เลยลบที่คุยกับท่านอ๊บ กับท่านเอกอน และท่านวิริยะ ออก ไม่งั้นเมคงก๊อปปี้ไปโม้ต่อตามปะสาพวกท่องจำแบบโง่ๆ ไม่เคยทำ ไม่เคยถึง ก็เลยพูดได้แค่นั้น แต่ยังขายโง่ตนเองต่ออีกน่าละอายใจจริงๆ เอือมระอามาก เมขาเผือกขายโง่ตนเอง[/b] :b32: :b32: :b32:

ความรู้เท่าหางอึ่งแต่อยากเผือกมาสอนเขา แล้วเอาความโง่ตนมาสอนเขา

พูดเกินตำราไม่ได้วิธจริงๆทำไม่เป็น ขายโง่ตัวเอง

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 10 ธ.ค. 2018, 08:11, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 08:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถึงเมที่รัก ช่วยสอนพี่หน่อยสิ

จะเข้าเมตตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ากรุณาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ามุทิตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้าอุเบกขาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม

จะยกเมตตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกกรุณาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ากรุณาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกมุทิตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ามุทิตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกอุเบกขาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าอุเบกขาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม

ขอบะเอียดๆแบบที่เมถึงนะไม่ใช่ท่องจำ


คริคริ

คุณแค่อากาสได้แสดงความเขลาเบาปัญญาซ้ำซากอีกแล้วหละค่ะ

เพราะไม่ได้เรียนปริยัติ ไม่เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า

พรหมวิหาร ต้องมีสัตว์บัญญัติ สี่ ประเภท

ซึ่งบุคคลจะเลือก เพื่อนำมาพิจารณากัมฐาน
เช่น

ทุกขิตสัตว์บัญญัติ ต้องเจริญ กรุณาพรหมวิหาร
ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ต้องเจริญเมตตาพรหมวิหาร

แต่ๆๆ คุณแค่อากาส กลับตื้นเขินเบาปัญญา จนไม่รู้จะยกพรหมวิหาร เป็นมหาสติปัฎฐานได้ยังไง

และเม ได้บอกไปแล้วในกระทู้ที่ผ่านมาหลายครั้งไปแล้ว

ว่า

วิปัสสนา มีแต่ปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เป็นอารมณ์เท่านั้น

นี่แหละ ผลของการที่คุณแค่อากาส ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติ พระอภิธรรมมัตสังคหะ เรย
เรยรู้มาผิดๆๆ เข้าใจผิดๆๆ ปฎิบัติไม่ได้เรื่องราว เพราะเป็นมิจฉาทิฎฐิล้นเหลือ

ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในพระไตรปิฏก

เม แนะนำนะคะ ไปเรียนพระปริยัติเบื้องต้นให้ดีเสียก่อนนะคะ



น่าสงสารเมจังร่ายมาตั้งยาวได้แค่นี้

เขาคุยเรื่องอะไรกันยังไม่รุ้แต่อยากคุยกับเขาเลยร่ายซะยาวหลายกระทู้

ขนาดแค่นี้ยังไม่รู้แล้วที่เรียนมาก็คงมั่วหมดแล้วเม


:b9: :b9:

เพราะเห็นช่วงหน้าจะเผือกวันนี้ เลยเขียนไว้รอในกระทู้มนสิการมุทิตา เลยลบที่คุยกับท่านอ๊บกับท่านเอกอนและท่านวิริยะออก ไม่งั้นเมคงก๊อปปี้ไปโม้ต่อ :b32: :b32: :b32:

เมความรู้เท่าหางอึ่งแต่อยากเผือกมาสอนเขา แล้วเอาความโง่ตนมาสอนเขา เงี่ยนกระสันอยากสอนมากสินะพูดไปถึงวิปัสสนาแต่ไม่รู้ว่าตนเวี่ยนกระสันอยากสอนอยากเผือก แต่ห้ามตนเองไม่ให้เผือกยังไม่ได้ ห้ามใจตนไม่ให้พูดหยาบคายก็ไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้อีก นี่โครตโง่อะกายใจตนไม่รู้แต่อยากเผือกเรื่องคนอื่น พูดเกินตำราไม่ได้ วิธีจริงๆทำไม่เป็น ขายโง่ตัวเอง คงหาในกูเกิลนานมาก 5555

ดีที่ผมลบที่คุยกับท่านเอกอน และท่านิอ๊บออก ไม่งั้นเมก๊อปปี้ไปโม้ต่อแน่ ดีนะที่ลบออกเหลือแต่มนสิการ เมขาเผือกคงก๊อปปี้ไปโม้ต่ออีก

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 08:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:

เข้เกียจพิมพ์แระอะ จะเอาให้ครบทั้ง 4 ข้อ ก็ใช่ว่ายุคสมัยนี้จะมีใครสนใจเจริญ :b14: :b14: :b14: เพราะสมัยนี้ชอบท่องจำอภิธรรม นั่งนึกๆคิดๆเอา เห็นตามสมมติความคิดตน แบบรู้วิถีจิตแต่ไม่รู้วิธีเจริญ ไม่รู้ว่าสิ่งใดเกิดจึงมีอย่างนี้ได้ ไม่รู้ว่าสิ่งใดดับจึงมีสิ่งนี้ได้ แต่ปัญญาเป็นของสูงควรแก่น้อมมาสู่ตนนะ มันก็ดีทีเรียนรู้ แต่เรียนแล้วไม่รู้ประมาณตน แยกแยะไม่ออกระหว่างสมถะ(สัญญาจดจำเพื่อทางกุศล) กับ วิปัสนา(ของแท้ที่เป็นปัญญาญาณ) นี้เรียกว่าหลง :b22: :b22: :b22:

ผมไม่ได้กล่าวหาใครนะครับเพียงแต่เห็นว่ายุคสมัยนี้มักจะเจริญแบบนี้ มากกว่าปฏิบัติแท้จริง สมตามคำพระพุทธทำนายที่ว่า พระอริยะจะลดหลั่นลงเพราะเข้าถึงธรรมไม่ได้ตามกาลในแต่ละยุค ละเลยการปฏิบัติแท้จริง ทำแนวทางปฏิบัติผิดเพี้ยน เพราะท่องจำมากกว่าปฏิบัติจริง ยุคสุดท้ายก็จะมีแต่พระโสดาบันแบบสุขวิปัสสโก สมมติสาวกทำลายพระพุทธศาสนาเพราะจำแล้วคิดเอาเองเออเองวิวาทกันแล้วก็จะไม่มีคนถึงธรรมใดอีกเลย จนพระมหาธรรมราชา หรือพระมหาจักรพรรดิ์ จะกำเนิดขึ้นมาสังคายนาพระไตรอีกครั้ง เผยแพร่แนวทางปฏิบัติอีกครั้ง ยุคสมัยนั้นจึงจะมีพระอรหันต์อีกแต่น้อยมากหรือแทบไม่มีอีกเลย แต่มีพระอนาคามีเป็นอันมาก พระอนาคามีก็มีวิโมกข์ ๘ แบบกรัะทู้ที่เราสนทนากันนี้แหละครับ :b32: :b32: :b32:

กำลังมองดูตนว่านี่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ไหมที่พิมพ์อยู่นี้ 5555 :b9: :b9: :b9: ที่จริงเอาแค่หัวข้อแค่นี้ก็คงได้แระมั้ง


มนสิการเมตตา คือ มีใจกว้าง
มนสิการกรุณา คือ มีน้ำใจ
มนสิการมุทิตา คือ อิ่มใจ
มนสิการอุเบกขา คือ ไม่ติดใจข้องแวะ


ไม่ต้องอะไรมาก ผู้ปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตัวเอง อิอิ


----------------------------------------------------


:b12: มาขี้เกียจตรงที่น่าจะหยุดพอดี ...

ละไว้ฐานที่ผู้ปฏิบัติจะเข้าใจได้ ... :b32:

แต่ยังมีประเด็นที่ต้องลงต่อนะ :b32: :b12:

แค่อากาศ เขียน:
eragon_joe เขียน:

อ้างคำพูด:
๖. ศีลในพระพุทธศาสนา คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด
๗. ถ้า ศีล..ของพระพุทธเจ้า คือ ผลของพรหมวิหาร ๔ ..ก็ด้วยเหตุว่า อินทรีย์สังวร เป็นอาหาร(คือเหตุปัจจัยสืบ)ของความสุจริต ความสุจริตเป็นเหตุปัจจัยของมหาสติปัฏฐาน แล้วอย่างนั้น พรหมวิหาร ๔ คือ ตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้มหาสติบริบูรณ์ด้วยหรือไม่ครับ เพระเหตุใด


ก็ถ้าหากว่ามีพรหมวิหาร ก็แทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องผิดศีลเลย

พรหมวิหาร ทำให้มหาสติปัฏฐานมีกำลังขึ้น ซึ่งจะทำให้บริบูรณ์หรือไม่

เอกอนไม่รู้นะ เผื่อใครจะเห็นว่าได้ เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเห็นเช่นนั้น

แต่ในมุมที่เอกอนเข้าใจ เอกอนมองว่าพรหมวิหารเพียงทำให้อัตตาน้อยลงทุกที

แต่ไม่ได้ทำให้แจ้งในอนัตตา

:b10:

สิ่งที่ทำให้แจ้งอนัตา คือ ทุกข์ ต้องเห็นทุกข์ในอารมณ์นั้น
เมื่อ เห็นทุกข์ ก็เข้าสู่ สมุทัย นิโรธ มรรค
แจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

คิดว่านะ ... :b5: :b6: :b14:

ทำไมตั้งคำถามยากแถะ ๆ

:b32: :b32: :b32:



ดึงข้อมูลของท่านเอกอนมาหน้านี้ก่อนนะครัรบเด๋วมาคุยต่อ

พวกเรากำลังทำให้การสนทนาธรรมนี้ เป็นการสนทนาธรรมแท้และเกื้อกูลพระพุทธศาสนาครับ
(คือคนหล่อคิดว่างั้นน่ะครับ อิอิ)


:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 09:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


5555 ครับท่านเอกอน ไว้ค่อยลงไว้ครับ

แต่เมื่อยพิมพ์จัง s002 s002 s002

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2018, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถึงเมที่รัก ช่วยสอนพี่หน่อยสิ

จะเข้าเมตตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ากรุณาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ามุทิตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้าอุเบกขาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม

จะยกเมตตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกกรุณาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ากรุณาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกมุทิตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ามุทิตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกอุเบกขาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าอุเบกขาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม

ขอบะเอียดๆแบบที่เมถึงนะไม่ใช่ท่องจำ


คริคริ

คุณแค่อากาสได้แสดงความเขลาเบาปัญญาซ้ำซากอีกแล้วหละค่ะ

เพราะไม่ได้เรียนปริยัติ ไม่เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า

พรหมวิหาร ต้องมีสัตว์บัญญัติ สี่ ประเภท

ซึ่งบุคคลจะเลือก เพื่อนำมาพิจารณากัมฐาน
เช่น

ทุกขิตสัตว์บัญญัติ ต้องเจริญ กรุณาพรหมวิหาร
ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ต้องเจริญเมตตาพรหมวิหาร

แต่ๆๆ คุณแค่อากาส กลับตื้นเขินเบาปัญญา จนไม่รู้จะยกพรหมวิหาร เป็นมหาสติปัฎฐานได้ยังไง

และเม ได้บอกไปแล้วในกระทู้ที่ผ่านมาหลายครั้งไปแล้ว

ว่า

วิปัสสนา มีแต่ปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เป็นอารมณ์เท่านั้น

นี่แหละ ผลของการที่คุณแค่อากาส ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติ พระอภิธรรมมัตสังคหะ เรย
เรยรู้มาผิดๆๆ เข้าใจผิดๆๆ ปฎิบัติไม่ได้เรื่องราว เพราะเป็นมิจฉาทิฎฐิล้นเหลือ

ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในพระไตรปิฏก

เม แนะนำนะคะ ไปเรียนพระปริยัติเบื้องต้นให้ดีเสียก่อนนะคะ



น่าสงสารเมจังร่ายมาตั้งยาวได้แค่นี้

เขาคุยเรื่องอะไรกันยังไม่รุ้แต่อยากคุยกับเขาเลยร่ายซะยาวหลายกระทู้

ขนาดแค่นี้ยังไม่รู้แล้วที่เรียนมาก็คงมั่วหมดแล้วเม


:b9: :b9:

เพราะเห็นช่วงหน้าจะเผือกวันนี้ เลยเขียนไว้รอในกระทู้มนสิการมุทิตา เลยลบที่คุยกับท่านอ๊บกับท่านเอกอนและท่านวิริยะออก ไม่งั้นเมคงก๊อปปี้ไปโม้ต่อ :b32: :b32: :b32:

เมความรู้เท่าหางอึ่งแต่อยากเผือกมาสอนเขา แล้วเอาความโง่ตนมาสอนเขา เงี่ยนกระสันอยากสอนมากสินะพูดไปถึงวิปัสสนาแต่ไม่รู้ว่าตนเวี่ยนกระสันอยากสอนอยากเผือก แต่ห้ามตนเองไม่ให้เผือกยังไม่ได้ ห้ามใจตนไม่ให้พูดหยาบคายก็ไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้อีก นี่โครตโง่อะกายใจตนไม่รู้แต่อยากเผือกเรื่องคนอื่น พูดเกินตำราไม่ได้ วิธีจริงๆทำไม่เป็น ขายโง่ตัวเอง คงหาในกูเกิลนานมาก 5555

ดีที่ผมลบที่คุยกับท่านเอกอน และท่านิอ๊บออก ไม่งั้นเมก๊อปปี้ไปโม้ต่อแน่ ดีนะที่ลบออกเหลือแต่มนสิการ เมขาเผือกคงก๊อปปี้ไปโม้ต่ออีก


คริคริ

นี่แสดงความโง่เขลาเบาปัญญา ของคุณแค่อากาสอีกแล้วค่ะ
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติ
เรยรู้จัก แต่เงี่ยนกระสัน


เรยไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์ มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
เพราะโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม

และโง่เขลาจน ไม่รู้ว่า พี่เอกอน กะพี่กบน่ะ น่ะ เค้าหลอกให้คุณโยนขยะออกมาจนล้นจอ เท่านั้นเอง



555


ไปแระค่ะ ไม่ว่างเพราะเล่นเกมในช๊อปปี้อยู่ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 00:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถึงเมที่รัก ช่วยสอนพี่หน่อยสิ

จะเข้าเมตตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ากรุณาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้ามุทิตาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม
จะเข้าอุเบกขาจิตทำยังไง ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาได้เลยหรอเม

จะยกเมตตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าเมตตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกกรุณาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ากรุณาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกมุทิตาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้ามุทิตาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม
จะยกอุเบกขาเข้ามหาสติปัฏฐานยังไง สืบต่อไปวิปัสสนายังไงครับ ท่องจำวิถีจิตแล้วเข้าอุเบกขาถึงมหาสติปัฏฐาน ๔ ได้เลยหรอเม

ขอบะเอียดๆแบบที่เมถึงนะไม่ใช่ท่องจำ


คริคริ

คุณแค่อากาสได้แสดงความเขลาเบาปัญญาซ้ำซากอีกแล้วหละค่ะ

เพราะไม่ได้เรียนปริยัติ ไม่เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า

พรหมวิหาร ต้องมีสัตว์บัญญัติ สี่ ประเภท

ซึ่งบุคคลจะเลือก เพื่อนำมาพิจารณากัมฐาน
เช่น

ทุกขิตสัตว์บัญญัติ ต้องเจริญ กรุณาพรหมวิหาร
ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ต้องเจริญเมตตาพรหมวิหาร

แต่ๆๆ คุณแค่อากาส กลับตื้นเขินเบาปัญญา จนไม่รู้จะยกพรหมวิหาร เป็นมหาสติปัฎฐานได้ยังไง

และเม ได้บอกไปแล้วในกระทู้ที่ผ่านมาหลายครั้งไปแล้ว

ว่า

วิปัสสนา มีแต่ปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เป็นอารมณ์เท่านั้น

นี่แหละ ผลของการที่คุณแค่อากาส ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติ พระอภิธรรมมัตสังคหะ เรย
เรยรู้มาผิดๆๆ เข้าใจผิดๆๆ ปฎิบัติไม่ได้เรื่องราว เพราะเป็นมิจฉาทิฎฐิล้นเหลือ

ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในพระไตรปิฏก

เม แนะนำนะคะ ไปเรียนพระปริยัติเบื้องต้นให้ดีเสียก่อนนะคะ



น่าสงสารเมจังร่ายมาตั้งยาวได้แค่นี้

เขาคุยเรื่องอะไรกันยังไม่รุ้แต่อยากคุยกับเขาเลยร่ายซะยาวหลายกระทู้

ขนาดแค่นี้ยังไม่รู้แล้วที่เรียนมาก็คงมั่วหมดแล้วเม


:b9: :b9:

เพราะเห็นช่วงหน้าจะเผือกวันนี้ เลยเขียนไว้รอในกระทู้มนสิการมุทิตา เลยลบที่คุยกับท่านอ๊บกับท่านเอกอนและท่านวิริยะออก ไม่งั้นเมคงก๊อปปี้ไปโม้ต่อ :b32: :b32: :b32:

เมความรู้เท่าหางอึ่งแต่อยากเผือกมาสอนเขา แล้วเอาความโง่ตนมาสอนเขา เงี่ยนกระสันอยากสอนมากสินะพูดไปถึงวิปัสสนาแต่ไม่รู้ว่าตนเวี่ยนกระสันอยากสอนอยากเผือก แต่ห้ามตนเองไม่ให้เผือกยังไม่ได้ ห้ามใจตนไม่ให้พูดหยาบคายก็ไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้อีก นี่โครตโง่อะกายใจตนไม่รู้แต่อยากเผือกเรื่องคนอื่น พูดเกินตำราไม่ได้ วิธีจริงๆทำไม่เป็น ขายโง่ตัวเอง คงหาในกูเกิลนานมาก 5555

ดีที่ผมลบที่คุยกับท่านเอกอน และท่านิอ๊บออก ไม่งั้นเมก๊อปปี้ไปโม้ต่อแน่ ดีนะที่ลบออกเหลือแต่มนสิการ เมขาเผือกคงก๊อปปี้ไปโม้ต่ออีก


คริคริ

นี่แสดงความโง่เขลาเบาปัญญา ของคุณแค่อากาสอีกแล้วค่ะ
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติ
เรยรู้จัก แต่เงี่ยนกระสัน


เรยไม่รู้ว่า
ปรมัตถ์ มีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
เพราะโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม

และโง่เขลาจน ไม่รู้ว่า พี่เอกอน กะพี่กบน่ะ น่ะ เค้าหลอกให้คุณโยนขยะออกมาจนล้นจอ เท่านั้นเอง



555


ไปแระค่ะ ไม่ว่างเพราะเล่นเกมในช๊อปปี้อยู่ค่ะ



ใครได้แค่ไหน จิตใจเป็นอย่างไรเขาก็ร้อนด้วยประการอย่างนั้น

เหมือนที่เมร้อนอยู่นี่ไง อยากสอน อยากกล่าวตู่ผู้อื่น ก็ร้อนแสวงหาที่จะทำอยู่ร่ำไป ไม่สามารถรู้สัมผัสสิ่งใดแล้วไม่เร่าร้อนตามสิ่งที่รู้สัมผัสนั้น มันเป็นสิ่งที่น้องเมต้องพิจารณาตนเอง ไม่ใช่หน้าที่ใครจะมาพิจารณาให้แล้วทำให้เมพ้นทุกข์ได้ :b1: :b1: :b1:

ท่านเอกิอนหรือท่านกบเขาจะล่อให้ผมพร่ำเพ้อก็แล้วแต่เขา นั่นมันความคิดเขา มันเป็นสิ่งที่เขาจะพึงใช้ปัญญาพิจารณาเอง :b1: :b1: :b1:

ในส่วนที่ผมพิมพ์กระทู้ มันก็ใจผม ผมฟุ้งซ่าน ติดหลง โง่ตาม ผมก็ร้อนเองตะเกียกตะกายหาทำเอง มันก็ทุกข์ผมเอง เป็นสิ่งที่ผมต้องพิจารณาเอง :b16: :b16: :b16:

ขอบใจน้องเมนะที่แนะนำและพยายามจะสนทนาเตือนสติครับ สมแล้วที่หลงรักพี่ แล้วพี่จะพิจารณาน้องเมใหม่ครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 11:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามที่ ๓.๓. มุทิตา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง

- เวลาที่เราเจอสิ่งที่ชัง มันจะร้อน ใช่มะ เกิดความโกรธ ขัดใจ ข้องใจ คิดร้าย เพ่งโทษใช่มะ

- มุทิตาสำหรับคนที่ฝึกไหม่ หรือเคยเข้าได้ไม่บ่อยไม่เห็นคลองเก่าตน มักจะหมายเอาแต่ว่าเราต้องยินดีไปกับเขา สุขไปกับเขา ไม่ริษยาเขา แล้วก็มุทิตาจิตบ้าง สัพเพสัตตา ลัทธะสัมปัตติโตมา วิคัจฉันตุ คิดแต่ว่าขอเขาจงคงประโยชน์สุขสำเร็จทุกอย่างไว้ได้.. แท้จริงแล้วทุกอย่างมีคลองทำไว้ในใจ การปารถนาให้ผู้อื่นผู้ไม่มีทุกข์นั้นเป็นผลสืบต่อ ไม่ใช่การทำไว้ในใจ

- มนสิการมุทิตา คือ ความอิ่มใจ (สั้นๆแค่นี้แหละ) อิ่มเต็มกำลังใจตน พอแล้วไม่ต้องการอีก ด้วยเพราะเมื่อเราอิ่มแล้ว ความอิจฉา-ริษยาก็ไม่มี เมื่อเห็นผู้อื่นเขามี เขาได้ เขาสำเร็จประโยชน์สุขบ้างเราก็ไม่ยี่หระเป็นไร ไม่มีอรติในใจตน เห็นว่าสิ่งนี้ควรแก่เขา เขาควรมีควรได้ ทำให้อิ่มใจในสุขของเขาโดยปราศจากความริษยา(ไม่ยินดีที่เขามีเขาได้, ขัดใจ, ชิงชัง) สุขไปกับเขาอย่างนี้ๆแค่นั้นเอง จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะยากก็ไม่ยาก แค่ทำไว้ในใจเป็น เช่นว่า.. เมื่อเราเจอสิ่งที่ชัง แรกสุดเลยเราจะคิดร้าย ไม่พอใจ คิดข้องขัดใจ เมื่อตั้งมั่นฝึกทำมุทิตา ให้ทำไว้ในใจดังนี้..

____ก. การทำไว้ในใจ ให้พึงมีสติเป็นเบื้องหน้าทำความสงบไว้ภายในใจ..ความอิ่มใจ มีอาการที่เอิบอิ่มแน่นเต็มซาบซ่านจนเต็มใจ เพียงพอเต็มกำลังใจแล้ว สุขกับสิ่งที่เรามี คงความสุขที่เรามีไว้อยู่ได้ ทำให้เกิดกำลังที่แผ่ไป น้อมไปสู่ความสุขสำเร็จของผู้อื่น ด้วยใจน้อมไปว่าความสำเร็จในประโยชน์สุขทั้งปวงนั้นควรเกิดมีแก่สัตว์ทั้งหลายเช่นเดียวกันฉันนั้น

..การน้อมใจไปโดยอาศัยความหวนรำลึกดังนี้ว่า..

..ประการที่ ๑. ระลึกถึงความสุขสำเร็จที่เรามีเพื่อให้อิ่มเต็มกำลังใจตน สิ่งที่เรามีอยู่นี้มันก็มีคุณค่าสูงมากอยู่ เพียงพอจะดำรงชีพอยู่ได้แล้ว เราเองก็เคยมีเคยได้แล้ว ในความสำเร็จประโยชน์สุขทั้งหลาย ขณะที่เราสำเร็จประโยชน์สุขทั้งปวงนั้น ..ใจเราย่อมไม่ข้องแวะด้วยสิ่งใด เพียงพอแล้วในสิ่งที่มี พอใจและรู้คุณค่าในสิ่งที่มี ไม่อยากได้ต้องการอีก ไม่คิดว่าตนด้อยกว่าเขา ไม่ดิ้นรนแสวงหา ไม่อยากได้ของเขา ไม่อยากมีอย่างเขา ไม่คิดร้ายต่อใคร จนเกิดการเบียดเบียนทำร้าย ฉุดคร่า หมายพรากเอาสิ่งของและบุคคลอันเป็นที่รักของผู้อื่น มีใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ไม่มีใจตระหนี่หวงแหน นั่นเพราะเราอิ่มสุขกับสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนมีแล้ว ทำให้ความหมายใจใคร่เสพย์ลดลง ทำให้สิ่งภายนอกดึงดูดใจให้ตราตรึงยินดีน้อยลง ทำให้เกิดความยินดีดีแต่ไม่ปารถนา ไม่หมกมุ่นกระสันอยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่ดิ้นรนแสวงหา จะเจอสิ่งใดก็ไม่มีความขุ่นข้องขัดใจในสิ่งใด กายใจเรามันจะปรอดโปร่งสดใสไปหมด

..ประการที่ ๒. ของใครของมัน สิ่งใดมันเป็นของเรามันก็เป็นของเรา ยังไงเราก็ได้มาครอบครองวันยังค่ำแม้ไม่หมายใจปารถนาใคร่เสพย์ก็ตาม ดังนั้นสิ่งใดมันเป็นของเขามันก็เป็นของเขาวันยังค่ำ หากมันไม่ใช่ของเราต่อให้ดิ้นรนให้ตายก็ไม่มีทางได้มาครอบครอง หากมันไม่ใช่ของเขาต่อให้เขาดิ้นรนให้ตายก็ไม่มีทางได้มาครอบครองด้วยเช่นกัน มากสุดก็ได้ครอบครองเพียงวูบวาบๆชั่วคราวประเดี๋ยวประดาวเท่านั้น ..ดังนี้แล้วจะให้เห็นว่า..สิ่งใดในโลกมันเป็นของๆใคร ถูกสร้างมาเพื่อไว้เพื่อใคร เป็นของใคร เป็นของคู่บุญบารมีแก่ใคร ยังไงมันก็ต้องเป็นของคนๆนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เขาควรมีควรได้รับ และสิ่งนั้นย่อมควรค่าแก่เขาเสมอ..

..ประการที่ ๓. ความคงไว้ ก็เมื่อได้สิ่งที่ใจเราหมายปองมาครอบครองแล้วนั้น สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่รักที่เจริญใจมีคุณค่ากับตนเป็นอันมาก เมื่อเรายังคงสิ่งอันเป็นที่รักที่เจริญใจนั้นไว้ได้อยู่ ไม่สูญเสีย ไม่สูญหาย ไม่พรัดพรา ไม่สูญสลายดับไป ยังคงอยู่ไว้ตราบสิ้นกาลนานนั้นได้ ดังนี้ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ใดพบเจอสิ่งใดก็เป็นสุข ไม่พะวง ไม่ระแวง ไม่หวาดกลัว ไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน

..ด้วยสัตว์ทั้งปวงย่อมแสวงหาเพื่อความอยากได้อยากมีอยากเป็นอยู่ จึงยังต้องดิ้นรน ย่อมกระทำไขว่คว้าเพื่อให้ได้มา สิ่งใดที่ควรค่าให้สัตว์นั้นได้มาครอบครองสิ่งนั้นย่อมเป็นของเย็น เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อเขา เป็นสิ่งคู่บุญบารมีของเขา เป็นสิ่งทีเขาควรได้รับ เหมือนดังสิ่งที่เรามีเราได้รับแล้วเราเย็นใจไม่เร่าร้อนเพราะมันเป็นสิ่งที่เราควรมีควรได้ เพราะมันเป็นของๆเรา ความคงไว้ซึ่งสิ่งที่เรามีนั้นไว้ได้อยู่เป็นสุข ดังนี้สัตว์ทั้งหลายจึงควรมีควรได้รับความสำเร็จประโยชน์สุขเสมอด้วยกัน น้อมระลึกถึงความสุขสำเร็จอิ่มเต็มกำลังใจที่ตนมีนี้ไปสู่ความสุขสำเร็จของผู้อื่นด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกันฉันนั้น

ข้อนี้แลจึงชื่อว่าอิ่มใจ ทำความอิ่มเต็มกำลังใจตนก่อน เพื่อแผ่ความยินดีมีสุขไปกับเขา โดยไม่ริษยาต่อความสุขสำเร็จที่เกิดมีแก่ผู้อื่น ละอรติเสียได้ด้วยด้วยประการฉะนี้

..หากยังนึกถึงอาการอิ่มใจไม่ออกให้น้อมนึกถึงแก้วน้ำดื่มแล้วเรารินน้ำลงไป อุปมาแก้วนั้นดั่งใจเรา น้ำที่รินใส่แก้วเป็นเหมือนดดั่งความสุข แก้วน้ำดิ่มของคนเรานั้นมันไม่ได้ใบใหญ่มโหฬาร รินน้ำไปแป๊ปเดียวก็เต็ม แต่หากแก้วนั้นก้นรั่ว รูน้อยก็ค่อยๆซึมออกยังพอเห็นเต็มแก้วได้บ้าง แต่หากรูใหญ่มันก็รินเท่าไหร่ไม่เต็มแก้วสักที จะทำให้แก้วที่รั่วนั้นรองรับน้ำได้ไม่รั่วซึมเราก็ต้องซ่อมรอยรั่วนั้น อุดรอยรั่วนั้น
..เปรียบใจเราดั่งแก้วที่รั่ว เมื่อเราระลึกถึงสิ่งที่ตนมีที่ตนได้รับน้อมหาความสุขที่ตนมีเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มกำลังใจสักที พอเห็นคนอื่นเขาได้ดีมีสุขมันก็เลยอิจฉา อยากได้อย่างเขา ริษยาไม่ยินดีกับเขาที่เขามีความสุขสำเร็จ รอยรั่วของแก้วก็เปรียบเหมือนดั่งกามราคะ ฉันทะ ปฏิฆะ กิเลสในใจเรานั้นเอง

..แล้วเราจะเอาอะไรมาอุดรอยรั่วนั้นล่ะ ก็เอาความสุขที่เนื่องด้วยใจ ความสุขที่ใจนี้เกิดขึ้นเพราะใจเราปราศจากความอิจฉา และริษยา นี้แหละอุด
- น้อมใจไปในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ โดยใช้ตัณหาเพื่อละตัณหา สัตว์ทั้งปวงมีบุญบารมีที่สะสมทำมาคนที่รวยทำอะไรก็ดีไปหมดเพราะสะสมบุญบารมีมาดี หากเรามีบุญมากเราก็มีก็ได้อย่างเขา ตอนนี้ที่เรายังไม่ได้อย่างเขาเพราะบุญบารมีเรายังไม่พอนั่นเอง เราก็ต้องสะสมบุญบารมีของเรา ให้ยกเอา ปัตตานุโมทนามัย ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนี้มาเจริญ คือบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา การอนุโมทนานี้คือ การแสดงความยินดี เห็นชอบ ชื่นชมในการทำดี และความสำเร็จประโยชน์ต่อเขาโดยปราศจากใจเคลือบแคลงริษยา ข้อนี้มีบุญมากเหมือนนางฟ้าผู้เป็นสหายของนางวิสาขามหาอุบาสิกาแค่อนุโมทนาด้วยใจบริสุทธิ์ก็ได้เป็นนางฟ้ามีประกายวรรณะงดงาม ( ๖. วิหารวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในวิหารวิมาน ) ..ดังนี้เมื่อเราเห็นใครทำความดี..ก็พึงเห็นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้คือความดีจะมากหรือจะน้อยก็คือความดี ควรแล้วที่เราจะชื่นชมยินดีไปกับเขา เมื่อเขาได้รับความสำเร็จได้สิ่งตอบแทนก็เห็นว่า..ความสำเร็จสิ่งใดที่เขาได้รับอยู่นี้ัมันควรค่าแล้วที่เขาจะได้รับ สิ่งนี้ๆมันเป็นของเขา มีไว้เพื่อเขา เป็นสิ่งคู่บุญบารมีเขามา เขาควรได้ครอบครอง เห็นว่าสัตว์ทั้งปวงควรค่าแก่การได้รับประโยชน์สุขสำเร็จ มีใจชื่นชมยินดีใความความสำเร็จของเขา ขณะนี้เราก็อิ่มใจไปกับความสำเร็จของผู้อื่นได้
..แล้วพึงน้อมเอาความรู้สึกของอนุโมทนาจิตนั้นแลไปสู่เขา จิตน้อมไปในมุทิตา

____ข. พิจารณาทำความเข้าใจ ดูสภาวะธรรมของเขาและเราที่เกิดมีขึ้น
- ที่เขาได้รับความสุขสำเร็จเหล่านั้นด้วยเหตุใด มีอะไรมาเป็นเหตุให้เป็นไปอย่างนั้น เขาประสบความสำเร็จได้เพราะเขาคิด พูด ทำอย่างไร ..ในอีกด้านหนึ่งเราได้รับความสุขสำเร็จทั้งปวงที่มีนี้ด้วยสิ่งใด มีอะไรมาเป็นเหตุให้เป็นไปอย่างนั้น เราประสบความสำเร็จได้เพราะเราคิด พูด ทำอย่างไร
- ความสุขสำเร็จที่เราและเขามีนั้นมันต่างกันตรงไหน
- เป็นของร้อน หรือเย็น

..เมื่อพิจารณาข้างต้นเราก็จะเห็นได้ว่า คนเราทุกอย่างสำเร็จที่การกระทำ
_เพราะทำดีละชั่ว มุ่งมั่นทำ คอยดูแสสอดส่องสิ่งที่ทำให้ดี ความสำเร็จประโยชน์สุขที่ได้รับก็ย่อมดีตาม ถึงแม้บางคนไม่ได้รับผลมากมาย แต่ผลนั้นก็เป็นของเย็นไม่เร่าร้อนและเป็นแรงผลักให้เขาดำรงชีพอยู่ได้โดยชอบจนถึงปัจจุบันนี้ได้ เขาควรค่าที่จะได้รับความสุขสำเร็จนั้น ดังนี้แล้วความดีแม้น้อยนิดก็ไม่ควรมองข้ามดูถูก
_หากทำชั่วไปพรากเอาของเขามา มุ่งมั่นจ้องแต่จะเอาของผู้อื่น แม้เมื่อแย่งชิงพรากเอาของเขามาครองครองได้ สิ่งของที่ได้มานั้นแม้สูงค่ามากยิ่ง แต่มันก็คงความสุขที่ได้รับจากสิ่งนั้นได้ไม่นาน แม้อยู่นานสุดจนหมดลมหายใจตนนี้ เขาก็อยู่กับสิ่งนั้นโดยไม่มีความสุขเลย เพราะต้องคอยกระวนกระวาย หลบซ่อน หลบหนี ระแวง หวาดกลัว ความผิดอยู่ตลอดเวลา เพราะของที่ไม่ได้มาโดยชอบธรรมนั้นเป็นของร้อน
_ ดังนี้จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับความสุขสำเร็จดีงามไม่เร่าร้อนนั้น เพราะเขาได้ทำสิ่งที่ดีด้วยสติและความเพียรมาบริบูรณ์แล้ว เขาจึงควรค่าที่จะได้รับความสุขนั้น เราควรสรรเสริญ ชื่นชมยินดีกับความสุขสำเร็จของเขา ..เหมือนเราหากเราทำมาดีแล้วด้วยสติและความเพียร เราก็ควรจะได้รับผลที่ดีตอบแทน ควรค่าให้ผู้อื่นมองเห็นคุณงามความดีของเราด้วยเช่นกัน
..แล้วใจเราจะอิ่มเอมเป็นสุข พลอยยินดีไปกับการทำความดีของผู้อื่นและประโยชน์สุขสำเร็จที่ผู้อื่นได้ จิตเดินเข้าสู่มุทิตาจิต

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 12:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามที่ ๓.๔. อุเบกขา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง

มนสิการอุเบกขา คือ ความไม่ติดใจข้องแวะ


ธรรมแก้
ความใจแคบ ผูกเวร พยาบาท โทสะ มีเมตตาเป็นธรรมแก้
ความแล้งน้ำใจ ตระหนี่ หวงแหน มีกรุณาเป็นธรรมแก้
ความอิจฉา(ไม่ใช่อิจสา) และริษยา มีมุทิตาเป็นธรรมแก้
จิตอ่อนไหวไม่มีกำลัง ความไม่รู้จริง ราคะ มีอุเบกขาเป็นธรรมแก

มนสิการเมตตา คือ มีใจกว้าง
มนสิการกรุณา คือ มีน้ำใจ
มนสิการมุทิตา คือ อิ่มใจ
มนสิการอุเบกขา คือ ไม่ติดใจข้องแวะ


กรรมฐาน
กรรมฐานที่มีต่อเมตตาพรหมวิหารธรรม คือ สีลานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากอนุสสติ ๓)
กรรมฐานที่มีต่อกรุณาพรหมวิหารธรรม คือ จาคานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากสีลานุสสติ)
กรรมฐานที่มีต่อมุทิตาพรหมวิหารธรรม คือ เทวตานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากจาคานุสสติ)
กรรมฐานที่มีต่ออุเบกขาพรหมวิหารธรรม คือ อุปปสมานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากเทวตานุสสติ)

พรหมวิหาร ๔ กับ ศีล
ความใจกว้าง ไม่มุ่งร้าย มีใจสงเคราะห์ ยินดีที่คงความสุขของผู้อื่นไว้ได้ ไม่ก้าวล่วกรรม เจตนาละเว้น มีศีลเป็นอานิสงส์ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีระดับของศีลต่างๆกันไป จากศีลที่เป็นกายและวาจา ศีลเพื่อเกื้อกูลกัน ศีลลงใจ สุดท้ายคืออินทรีย์สังวรมีเจตนาเป็นศีล

ฌาณ
เมตตามีรูปฌาณเป็นผล เป็นเวทนา
กรุณามีอากาสานัญจายตนะเป็นผล เป็นเวทนา(เข้าอรูปฌาณไม่ได้ มีทุติยฌาณเป็นผล เป็นเวทนา)
มุทิตามีวิญญานัญจายตนะเป็นผล เป็นเวทนา(เข้าอรูปฌาณไม่ได้ มีตติยฌาณเป็นผล เป็นเวทนา)
อุเบกขามีอากิญจัญญายตน เป็นเวทนา(เข้าอรูปฌาณไม่ได้ มีจตุตถยฌาณเป็นผล เป็นเวทนา)


วิปัสสนา
เมตตา คือ กาย
กรุณา คือ เวทนา
มุทิตา คือ จิต
อุเบกขา คือ ธรรม

ธรรมถอน
เมตตาคู่กายานุปัสสนะ มีสุภะวิโมกข์ ละสักกายทิฏฐิเป็นผล เข้าเจโตวิมุติ
กรุณาคู่เวทนานุปัสสนา มีความไม่ยึดเวทนาที่เนื่องด้วยกาย ละกามราคะเป็นผล เข้าเจโตวิมุตติ
มุทิตาคู่จิตตานุปัสสนา มีความไม่ยึดจิตสังขาร สมมติความคิดกิเลส ละกามฉันทะเป็นผล เข้าเจโตวิมุตติ
อุเบกขาคู่ธัมมานุปัสสนา มีความไม่ยึดธัมมารมณ์ มีวิราคะเป็นผล เข้าเจโตวิมุตติ
- พ้นจากนี้เป็นในส่วนของพระอนาคามีและพระอรหันต์


ทั้งหมดนี้คนปฏิบัติสายเจโตวิมุติเท่านั้นจะรู้ได้ ปฏิบัติได้ก็รู้เอง ธรรมทั้งปวงของผมต้องปฏิบัติเท่านั้นจึงจะเห็นได้ ท่องจำแล้วโม้แบบอภิธรรมไม่ได้ เพราะทุกช่วง ทุกขั้นตอนมีสภาวะธรรม มนสิการ และผลของมันอยู่
เบื่อพิมพ์แระ ว่าจะไม่พิมพ์แระเมื่อย แต่พิมพ์ตอบตามข้อที่เคยถามไว้น่ะครับ :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
คำถามที่ ๓.๔. อุเบกขา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง

มนสิการอุเบกขา คือ ความไม่ติดใจข้องแวะ


ธรรมแก้
ความใจแคบ ผูกเวร พยาบาท โทสะ มีเมตตาเป็นธรรมแก้
ความแล้งน้ำใจ ตระหนี่ หวงแหน มีกรุณาเป็นธรรมแก้
ความอิจฉา(ไม่ใช่อิจสา) และริษยา มีมุทิตาเป็นธรรมแก้
จิตอ่อนไหวไม่มีกำลัง ความไม่รู้จริง ราคะ มีอุเบกขาเป็นธรรมแก

มนสิการเมตตา คือ มีใจกว้าง
มนสิการกรุณา คือ มีน้ำใจ
มนสิการมุทิตา คือ อิ่มใจ
มนสิการอุเบกขา คือ ไม่ติดใจข้องแวะ


กรรมฐาน
กรรมฐานที่มีต่อเมตตาพรหมวิหารธรรม คือ สีลานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากอนุสสติ ๓)
กรรมฐานที่มีต่อกรุณาพรหมวิหารธรรม คือ จาคานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากสีลานุสสติ)
กรรมฐานที่มีต่อมุทิตาพรหมวิหารธรรม คือ เทวตานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากจาคานุสสติ)
กรรมฐานที่มีต่ออุเบกขาพรหมวิหารธรรม คือ อุปปสมานุสสติ(ผลสืบเนื่องจากเทวตานุสสติ)

พรหมวิหาร ๔ กับ ศีล
ความใจกว้าง ไม่มุ่งร้าย มีใจสงเคราะห์ ยินดีที่คงความสุขของผู้อื่นไว้ได้ ไม่ก้าวล่วกรรม เจตนาละเว้น มีศีลเป็นอานิสงส์ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีระดับของศีลต่างๆกันไป จากศีลที่เป็นกายและวาจา ศีลเพื่อเกื้อกูลกัน ศีลลงใจ สุดท้ายคืออินทรีย์สังวรมีเจตนาเป็นศีล

ฌาณ
เมตตามีรูปฌาณเป็นผล เป็นเวทนา
กรุณามีอากาสานัญจายตนะเป็นผล เป็นเวทนา(เข้าอรูปฌาณไม่ได้ มีทุติยฌาณเป็นผล เป็นเวทนา)
มุทิตามีวิญญานัญจายตนะเป็นผล เป็นเวทนา(เข้าอรูปฌาณไม่ได้ มีตติยฌาณเป็นผล เป็นเวทนา)
อุเบกขามีอากิญจัญญายตน เป็นเวทนา(เข้าอรูปฌาณไม่ได้ มีจตุตถยฌาณเป็นผล เป็นเวทนา)


วิปัสสนา
เมตตา คือ กาย
กรุณา คือ เวทนา
มุทิตา คือ จิต
อุเบกขา คือ ธรรม

ธรรมถอน
เมตตาคู่กายานุปัสสนะ มีสุภะวิโมกข์ ละสักกายทิฏฐิเป็นผล เข้าเจโตวิมุติ
กรุณาคู่เวทนานุปัสสนา มีความไม่ยึดเวทนาที่เนื่องด้วยกาย ละกามราคะเป็นผล เข้าเจโตวิมุตติ
มุทิตาคู่จิตตานุปัสสนา มีความไม่ยึดจิตสังขาร สมมติความคิดกิเลส ละกามฉันทะเป็นผล เข้าเจโตวิมุตติ
อุเบกขาคู่ธัมมานุปัสสนา มีความไม่ยึดธัมมารมณ์ มีวิราคะเป็นผล เข้าเจโตวิมุตติ
- พ้นจากนี้เป็นในส่วนของพระอนาคามีและพระอรหันต์


ทั้งหมดนี้คนปฏิบัติสายเจโตวิมุติเท่านั้นจะรู้ได้ ปฏิบัติได้ก็รู้เอง ธรรมทั้งปวงของผมต้องปฏิบัติเท่านั้นจึงจะเห็นได้ ท่องจำแล้วโม้แบบอภิธรรมไม่ได้ เพราะทุกช่วง ทุกขั้นตอนมีสภาวะธรรม มนสิการ และผลของมันอยู่
เบื่อพิมพ์แระ ว่าจะไม่พิมพ์แระเมื่อย แต่พิมพ์ตอบตามข้อที่เคยถามไว้น่ะครับ :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
คำถามที่ ๓.๓. มุทิตา ท่านเอกอนมนสิการไปยังไงเมื่อเจอสิ่งที่ชัง

- เวลาที่เราเจอสิ่งที่ชัง มันจะร้อน ใช่มะ เกิดความโกรธ ขัดใจ ข้องใจ คิดร้าย เพ่งโทษใช่มะ

- มุทิตาสำหรับคนที่ฝึกไหม่ หรือเคยเข้าได้ไม่บ่อยไม่เห็นคลองเก่าตน มักจะหมายเอาแต่ว่าเราต้องยินดีไปกับเขา สุขไปกับเขา ไม่ริษยาเขา แล้วก็มุทิตาจิตบ้าง สัพเพสัตตา ลัทธะสัมปัตติโตมา วิคัจฉันตุ คิดแต่ว่าขอเขาจงคงประโยชน์สุขสำเร็จทุกอย่างไว้ได้.. แท้จริงแล้วทุกอย่างมีคลองทำไว้ในใจ การปารถนาให้ผู้อื่นผู้ไม่มีทุกข์นั้นเป็นผลสืบต่อ ไม่ใช่การทำไว้ในใจ

- มนสิการมุทิตา คือ ความอิ่มใจ (สั้นๆแค่นี้แหละ) อิ่มเต็มกำลังใจตน พอแล้วไม่ต้องการอีก ด้วยเพราะเมื่อเราอิ่มแล้ว ความอิจฉา-ริษยาก็ไม่มี เมื่อเห็นผู้อื่นเขามี เขาได้ เขาสำเร็จประโยชน์สุขบ้างเราก็ไม่ยี่หระเป็นไร ไม่มีอรติในใจตน เห็นว่าสิ่งนี้ควรแก่เขา เขาควรมีควรได้ ทำให้อิ่มใจในสุขของเขาโดยปราศจากความริษยา(ไม่ยินดีที่เขามีเขาได้, ขัดใจ, ชิงชัง) สุขไปกับเขาอย่างนี้ๆแค่นั้นเอง จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะยากก็ไม่ยาก แค่ทำไว้ในใจเป็น เช่นว่า.. เมื่อเราเจอสิ่งที่ชัง แรกสุดเลยเราจะคิดร้าย ไม่พอใจ คิดข้องขัดใจ เมื่อตั้งมั่นฝึกทำมุทิตา ให้ทำไว้ในใจดังนี้..

____ก. การทำไว้ในใจ ให้พึงมีสติเป็นเบื้องหน้าทำความสงบไว้ภายในใจ..ความอิ่มใจ มีอาการที่เอิบอิ่มแน่นเต็มซาบซ่านจนเต็มใจ เพียงพอเต็มกำลังใจแล้ว สุขกับสิ่งที่เรามี คงความสุขที่เรามีไว้อยู่ได้ ทำให้เกิดกำลังที่แผ่ไป น้อมไปสู่ความสุขสำเร็จของผู้อื่น ด้วยใจน้อมไปว่าความสำเร็จในประโยชน์สุขทั้งปวงนั้นควรเกิดมีแก่สัตว์ทั้งหลายเช่นเดียวกันฉันนั้น

..การน้อมใจไปโดยอาศัยความหวนรำลึกดังนี้ว่า..

..ประการที่ ๑. ระลึกถึงความสุขสำเร็จที่เรามีเพื่อให้อิ่มเต็มกำลังใจตน สิ่งที่เรามีอยู่นี้มันก็มีคุณค่าสูงมากอยู่ เพียงพอจะดำรงชีพอยู่ได้แล้ว เราเองก็เคยมีเคยได้แล้ว ในความสำเร็จประโยชน์สุขทั้งหลาย ขณะที่เราสำเร็จประโยชน์สุขทั้งปวงนั้น ..ใจเราย่อมไม่ข้องแวะด้วยสิ่งใด เพียงพอแล้วในสิ่งที่มี พอใจและรู้คุณค่าในสิ่งที่มี ไม่อยากได้ต้องการอีก ไม่คิดว่าตนด้อยกว่าเขา ไม่ดิ้นรนแสวงหา ไม่อยากได้ของเขา ไม่อยากมีอย่างเขา ไม่คิดร้ายต่อใคร จนเกิดการเบียดเบียนทำร้าย ฉุดคร่า หมายพรากเอาสิ่งของและบุคคลอันเป็นที่รักของผู้อื่น มีใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ไม่มีใจตระหนี่หวงแหน นั่นเพราะเราอิ่มสุขกับสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนมีแล้ว ทำให้ความหมายใจใคร่เสพย์ลดลง ทำให้สิ่งภายนอกดึงดูดใจให้ตราตรึงยินดีน้อยลง ทำให้เกิดความยินดีดีแต่ไม่ปารถนา ไม่หมกมุ่นกระสันอยากได้อยากมีอยากเป็น ไม่ดิ้นรนแสวงหา จะเจอสิ่งใดก็ไม่มีความขุ่นข้องขัดใจในสิ่งใด กายใจเรามันจะปรอดโปร่งสดใสไปหมด

..ประการที่ ๒. ของใครของมัน สิ่งใดมันเป็นของเรามันก็เป็นของเรา ยังไงเราก็ได้มาครอบครองวันยังค่ำแม้ไม่หมายใจปารถนาใคร่เสพย์ก็ตาม ดังนั้นสิ่งใดมันเป็นของเขามันก็เป็นของเขาวันยังค่ำ หากมันไม่ใช่ของเราต่อให้ดิ้นรนให้ตายก็ไม่มีทางได้มาครอบครอง หากมันไม่ใช่ของเขาต่อให้เขาดิ้นรนให้ตายก็ไม่มีทางได้มาครอบครองด้วยเช่นกัน มากสุดก็ได้ครอบครองเพียงวูบวาบๆชั่วคราวประเดี๋ยวประดาวเท่านั้น ..ดังนี้แล้วจะให้เห็นว่า..สิ่งใดในโลกมันเป็นของๆใคร ถูกสร้างมาเพื่อไว้เพื่อใคร เป็นของใคร เป็นของคู่บุญบารมีแก่ใคร ยังไงมันก็ต้องเป็นของคนๆนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เขาควรมีควรได้รับ และสิ่งนั้นย่อมควรค่าแก่เขาเสมอ..

..ประการที่ ๓. ความคงไว้ ก็เมื่อได้สิ่งที่ใจเราหมายปองมาครอบครองแล้วนั้น สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่รักที่เจริญใจมีคุณค่ากับตนเป็นอันมาก เมื่อเรายังคงสิ่งอันเป็นที่รักที่เจริญใจนั้นไว้ได้อยู่ ไม่สูญเสีย ไม่สูญหาย ไม่พรัดพรา ไม่สูญสลายดับไป ยังคงอยู่ไว้ตราบสิ้นกาลนานนั้นได้ ดังนี้ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ใดพบเจอสิ่งใดก็เป็นสุข ไม่พะวง ไม่ระแวง ไม่หวาดกลัว ไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน

..ด้วยสัตว์ทั้งปวงย่อมแสวงหาเพื่อความอยากได้อยากมีอยากเป็นอยู่ จึงยังต้องดิ้นรน ย่อมกระทำไขว่คว้าเพื่อให้ได้มา สิ่งใดที่ควรค่าให้สัตว์นั้นได้มาครอบครองสิ่งนั้นย่อมเป็นของเย็น เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อเขา เป็นสิ่งคู่บุญบารมีของเขา เป็นสิ่งทีเขาควรได้รับ เหมือนดังสิ่งที่เรามีเราได้รับแล้วเราเย็นใจไม่เร่าร้อนเพราะมันเป็นสิ่งที่เราควรมีควรได้ เพราะมันเป็นของๆเรา ความคงไว้ซึ่งสิ่งที่เรามีนั้นไว้ได้อยู่เป็นสุข ดังนี้สัตว์ทั้งหลายจึงควรมีควรได้รับความสำเร็จประโยชน์สุขเสมอด้วยกัน น้อมระลึกถึงความสุขสำเร็จอิ่มเต็มกำลังใจที่ตนมีนี้ไปสู่ความสุขสำเร็จของผู้อื่นด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกันฉันนั้น

ข้อนี้แลจึงชื่อว่าอิ่มใจ ทำความอิ่มเต็มกำลังใจตนก่อน เพื่อแผ่ความยินดีมีสุขไปกับเขา โดยไม่ริษยาต่อความสุขสำเร็จที่เกิดมีแก่ผู้อื่น ละอรติเสียได้ด้วยด้วยประการฉะนี้

..หากยังนึกถึงอาการอิ่มใจไม่ออกให้น้อมนึกถึงแก้วน้ำดื่มแล้วเรารินน้ำลงไป อุปมาแก้วนั้นดั่งใจเรา น้ำที่รินใส่แก้วเป็นเหมือนดดั่งความสุข แก้วน้ำดิ่มของคนเรานั้นมันไม่ได้ใบใหญ่มโหฬาร รินน้ำไปแป๊ปเดียวก็เต็ม แต่หากแก้วนั้นก้นรั่ว รูน้อยก็ค่อยๆซึมออกยังพอเห็นเต็มแก้วได้บ้าง แต่หากรูใหญ่มันก็รินเท่าไหร่ไม่เต็มแก้วสักที จะทำให้แก้วที่รั่วนั้นรองรับน้ำได้ไม่รั่วซึมเราก็ต้องซ่อมรอยรั่วนั้น อุดรอยรั่วนั้น
..เปรียบใจเราดั่งแก้วที่รั่ว เมื่อเราระลึกถึงสิ่งที่ตนมีที่ตนได้รับน้อมหาความสุขที่ตนมีเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มกำลังใจสักที พอเห็นคนอื่นเขาได้ดีมีสุขมันก็เลยอิจฉา อยากได้อย่างเขา ริษยาไม่ยินดีกับเขาที่เขามีความสุขสำเร็จ รอยรั่วของแก้วก็เปรียบเหมือนดั่งกามราคะ ฉันทะ ปฏิฆะ กิเลสในใจเรานั้นเอง

..แล้วเราจะเอาอะไรมาอุดรอยรั่วนั้นล่ะ ก็เอาความสุขที่เนื่องด้วยใจ ความสุขที่ใจนี้เกิดขึ้นเพราะใจเราปราศจากความอิจฉา และริษยา นี้แหละอุด
- น้อมใจไปในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ โดยใช้ตัณหาเพื่อละตัณหา สัตว์ทั้งปวงมีบุญบารมีที่สะสมทำมาคนที่รวยทำอะไรก็ดีไปหมดเพราะสะสมบุญบารมีมาดี หากเรามีบุญมากเราก็มีก็ได้อย่างเขา ตอนนี้ที่เรายังไม่ได้อย่างเขาเพราะบุญบารมีเรายังไม่พอนั่นเอง เราก็ต้องสะสมบุญบารมีของเรา ให้ยกเอา ปัตตานุโมทนามัย ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนี้มาเจริญ คือบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา การอนุโมทนานี้คือ การแสดงความยินดี เห็นชอบ ชื่นชมในการทำดี และความสำเร็จประโยชน์ต่อเขาโดยปราศจากใจเคลือบแคลงริษยา ข้อนี้มีบุญมากเหมือนนางฟ้าผู้เป็นสหายของนางวิสาขามหาอุบาสิกาแค่อนุโมทนาด้วยใจบริสุทธิ์ก็ได้เป็นนางฟ้ามีประกายวรรณะงดงาม ( ๖. วิหารวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในวิหารวิมาน ) ..ดังนี้เมื่อเราเห็นใครทำความดี..ก็พึงเห็นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้คือความดีจะมากหรือจะน้อยก็คือความดี ควรแล้วที่เราจะชื่นชมยินดีไปกับเขา เมื่อเขาได้รับความสำเร็จได้สิ่งตอบแทนก็เห็นว่า..ความสำเร็จสิ่งใดที่เขาได้รับอยู่นี้ัมันควรค่าแล้วที่เขาจะได้รับ สิ่งนี้ๆมันเป็นของเขา มีไว้เพื่อเขา เป็นสิ่งคู่บุญบารมีเขามา เขาควรได้ครอบครอง เห็นว่าสัตว์ทั้งปวงควรค่าแก่การได้รับประโยชน์สุขสำเร็จ มีใจชื่นชมยินดีใความความสำเร็จของเขา ขณะนี้เราก็อิ่มใจไปกับความสำเร็จของผู้อื่นได้
..แล้วพึงน้อมเอาความรู้สึกของอนุโมทนาจิตนั้นแลไปสู่เขา จิตน้อมไปในมุทิตา

____ข. พิจารณาทำความเข้าใจ ดูสภาวะธรรมของเขาและเราที่เกิดมีขึ้น
- ที่เขาได้รับความสุขสำเร็จเหล่านั้นด้วยเหตุใด มีอะไรมาเป็นเหตุให้เป็นไปอย่างนั้น เขาประสบความสำเร็จได้เพราะเขาคิด พูด ทำอย่างไร ..ในอีกด้านหนึ่งเราได้รับความสุขสำเร็จทั้งปวงที่มีนี้ด้วยสิ่งใด มีอะไรมาเป็นเหตุให้เป็นไปอย่างนั้น เราประสบความสำเร็จได้เพราะเราคิด พูด ทำอย่างไร
- ความสุขสำเร็จที่เราและเขามีนั้นมันต่างกันตรงไหน
- เป็นของร้อน หรือเย็น

..เมื่อพิจารณาข้างต้นเราก็จะเห็นได้ว่า คนเราทุกอย่างสำเร็จที่การกระทำ
_เพราะทำดีละชั่ว มุ่งมั่นทำ คอยดูแสสอดส่องสิ่งที่ทำให้ดี ความสำเร็จประโยชน์สุขที่ได้รับก็ย่อมดีตาม ถึงแม้บางคนไม่ได้รับผลมากมาย แต่ผลนั้นก็เป็นของเย็นไม่เร่าร้อนและเป็นแรงผลักให้เขาดำรงชีพอยู่ได้โดยชอบจนถึงปัจจุบันนี้ได้ เขาควรค่าที่จะได้รับความสุขสำเร็จนั้น ดังนี้แล้วความดีแม้น้อยนิดก็ไม่ควรมองข้ามดูถูก
_หากทำชั่วไปพรากเอาของเขามา มุ่งมั่นจ้องแต่จะเอาของผู้อื่น แม้เมื่อแย่งชิงพรากเอาของเขามาครองครองได้ สิ่งของที่ได้มานั้นแม้สูงค่ามากยิ่ง แต่มันก็คงความสุขที่ได้รับจากสิ่งนั้นได้ไม่นาน แม้อยู่นานสุดจนหมดลมหายใจตนนี้ เขาก็อยู่กับสิ่งนั้นโดยไม่มีความสุขเลย เพราะต้องคอยกระวนกระวาย หลบซ่อน หลบหนี ระแวง หวาดกลัว ความผิดอยู่ตลอดเวลา เพราะของที่ไม่ได้มาโดยชอบธรรมนั้นเป็นของร้อน
_ ดังนี้จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับความสุขสำเร็จดีงามไม่เร่าร้อนนั้น เพราะเขาได้ทำสิ่งที่ดีด้วยสติและความเพียรมาบริบูรณ์แล้ว เขาจึงควรค่าที่จะได้รับความสุขนั้น เราควรสรรเสริญ ชื่นชมยินดีกับความสุขสำเร็จของเขา ..เหมือนเราหากเราทำมาดีแล้วด้วยสติและความเพียร เราก็ควรจะได้รับผลที่ดีตอบแทน ควรค่าให้ผู้อื่นมองเห็นคุณงามความดีของเราด้วยเช่นกัน
..แล้วใจเราจะอิ่มเอมเป็นสุข พลอยยินดีไปกับการทำความดีของผู้อื่นและประโยชน์สุขสำเร็จที่ผู้อื่นได้ จิตเดินเข้าสู่มุทิตาจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 13:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

กลัวเจ้าของโพสต์....เขาลบอีก..หรือ จึงอ้างอิงใว้

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2018, 14:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32: :b32:

กลัวเจ้าของโพสต์....เขาลบอีก..หรือ จึงอ้างอิงใว้

:b9: :b9:


:b32: ...จิ่

ยังไม่ได้อ่านกลัวอ่านไม่ทัน ^^

:b8: :b8: :b8:

กราบขอบคุณ ผักกาด ในความเมตตา

:b1: ท่าจะเมื่อย... :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 356 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 123 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron