พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือชื่อที่ไม่มีบุคคลใดเอาไปตั้งชื่อเองได้นะคะ
แต่เป็นความจริงที่มีบุคคลหนึ่งได้บำเพ็ญบุญบารมีจนตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
ทั้งจักรวาลจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้สมัยละ1พระองค์ที่มาประกาศ
คำสอนให้สาวกฟังเข้าใจความจริงและบรรลุธรรมตามพระองค์พ้นภัยจากการเกิดในสังสารวัฏฏ์
https://youtu.be/h28V8r_NYH0

ตอบสั้นๆ แบบชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ คือคน นี่แหละ คิกๆๆ แต่เป็นคนที่ฝึกฝนจิตพัฒนาตนจนหมดกิเลสแล้ว ท่านจึงเรียกพระองค์เองว่า "พุทธะ"

บอกแล้วไม่ฟังให้เข้าใจ
ก็บอกให้ฟังว่าธัมมะคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
ไม่ใช่คนทั้งตัวมีแต่ตัวจริงของธัมมะแต่ละ1
หลากหลายตามการสะสมทีละ1ขณะจิตตรงจิเจรุนิไม่มีคน

เรารึตอบตรงคำถามแล้วนะ แต่พาลากไปที่ 1 ขณะอีก

หัดฝึกอบรมจิตจากการฟังเพื่อปัญญาปรากฏทำเป็นไหมคะ
https://youtu.be/yGnoIk3zgxQ

สิ่งที่กำลังปรากฏให้ได้รับผลสุขทุกข์คือวิบากกรรม
และกำลังปิดบังความจริงของจิเจรุนิแต่ละ1ที่ดับไม่กลับมา
เพียรอดทนฟังความจริงเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏเพื่อรู้ชัด

ไปใหญ่อีก พระพุทธเจ้า เป็นคน อย่างเราๆท่านๆนี่แหละ แต่เป็นคนมีปัญญาพัฒนาจิตใจ ฝึกฝนตนเองจนหมดกิเลสคือราคะ โทสะ โมหะ แล้วท่านก็เรียกตนเองว่า "พุทธะ" นี่ท่านบอกกับพราหมณ์คนหนึ่งนะ คิกๆๆ

คำสอนไม่ใช่ตัวหนังสือตามที่คิดนึกเอา
ต้องอาศัยเสียงคำสัจจะตรงสิ่งที่กำลังมี
ทีละ1ลักษณะรู้การเกิดแต่ละทางชัดตรง
ไม่ปนกันดูตาตัวเองกำลังเห็นสิคะมั่วไปหมด
ทั้งเสียงกลิ่นรสสัมผัสคิดนึกแล้วก็เห็นไม่มีอะไรปนกัน
รู้ความจริงที่กำลังมีได้เดี๋ยวนี้ตามปกติเป็นปกติที่คิดตรงคำ
แต่ตัวเองคนกันมั่วเพราะมิจฉาทิฏฐิที่กำลังงงในนิมิตที่กำลังปรากฏ
ไม่เข้าใจสัจจะตรงปัจจุบันขณะเลย...ฟังเพื่อแยกแยะถูกตรงตัวจริงของธัมมะ
ที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีจริงๆแท้ๆแต่ละ1ที่ตนระลึกตามได้ทันตรงทางที่กายใจตนเอง
ก่อนกะพริบตาคืออดีต...หลังกะพริบตาคืออนาคต...ตอนยังไม่กะพริบตาไม่ทันสักทางแปลว่ามีอวิชชามาก

นี่คือโจทก์ พระพุทธเจ้าเป็นคน อิอิ เป็นมนุษย์อย่างเราๆท่านๆนี่แหละ แต่เป็นคนมีปัญญาสามารถฝึกหัดพัฒนาจิตใจจนหมดสิ้นกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ ท่านจึงบอกกับพราหมณ์คนหนึ่งว่า ท่านเป็นพุทธะ ให้เรียกท่านว่า "พุทธะ" เถิด

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ได้คิดค้นคำสอนขึ้นมาเองทรงตรัสรู้ด้วยทศพลญาณ
ในชาติสุดท้ายเพราะธัมมะมีตรงปัจจุบันขณะไม่ใช่ตัวตนยังมีคนก็ไม่มีปัญญาเข้าใจพระพุทธพจน์ไงจ๊ะ

เห็นเป็นเห็นดับทันที
เห็นเป็นธัมมะไม่ใช่เรา
เราเห็นเป็นคนสัตว์วัตถุ
ก็ไม่รู้ความจริงว่าเห็นเป็นเห็น
แมวเห็นคนเห็นนี่2ภพภูมิที่ตาเนื้อเห็นตามปกติ
คิดอีกทีเทวดาก็เห็นพรหมก็เห็นแปลว่าทุกภพภูมิมีเห็นตามภพภูมิและไม่รู้ว่าเห็นอะไรดับแล้วด้วยคริคริคริ

เลอะเทอะ

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินทางไกล พราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งได้เดินทางไกลทางเดียวกับพระองค์ มองเห็นรูปจักรที่รอยพระบาทแล้ว มีความอัศจรรย์ใจ ครั้นพระองค์เสด็จลงไปประทับนั่งพักที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งข้างทาง พราหมณ์เดินตามรอยพระบาทมา มองเห็นพุทธลักษณาการที่ประทับนั่ง สงบลึกซึ้ง น่าเลื่อมใสยิ่งนัก จึงเข้าไปเฝ้าแล้ว

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นเทพเจ้า

ตรัสตอบ: เทพเจ้าเราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นคนธรรพ์

ตรัสตอบ: คนธรรพ์เราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นยักษ์

ตรัสตอบ: ยักษ์เราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: ท่านผู้เจริญคงจักเป็นมนุษย์

ตรัสตอบ: มนุษย์เราก็จักไม่เป็น

ทูลถาม: เมื่อถามว่า ท่านผู้เจริญคงจักเป็นเทพ ท่านก็กล่าวว่า เทพเราก็จักไม่เป็น เมื่อถามว่า ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นคนธรรพ์...เป็นยักษ์...เป็นมนุษย์ ท่านก็กล่าวว่า จักไม่เป็น เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านผู้เจริญจะเป็นใครกันเล่า

ตรัสตอบ: นี่แน่ะพราหมณ์ อาสวะเหล่าใด ที่เมื่อยังละไม่ได้ จะเป็นเหตุให้เราเป็นเทพเจ้า...เป็นคนธรรพ์...เป็นยักษ์...เป็นมนุษย์ อาสวะเหล่านั้น เราละได้แล้ว ถอนรากเสียแล้ว...หมดสิ้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกต่อไป


"เปรียบเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ตั้งอยู่พ้นน้ำ ไม่ถูกน้ำฉาบติด ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลก เติบโตขึ้นในโลก แต่เป็นอยู่เหนือโลก ไม่ติดกลั้วด้วยโลก ฉันนั้น นี่แน่ะพราหมณ์ จงถือเราว่าเป็น "พุทธะ" เถิด” (องฺ.จตุกฺก.21/36/48)

(ข้อความมีลักษณะเล่นถ้อยคำ จึงแปลรักษาสำนวน เพื่อผู้ศึกษามีโอกาสพิจารณา)

เอาหลักเพียวๆไปก่อน

อาสวะ 1. ความเสียหาย, ความเดือดร้อน, โทษ, ทุกข์ 2. น้ำดองอันเป็นเมรัย เช่น ปุปฺผาสโว น้ำดองดอกไม้ ผลาสโว น้ำดองผลไม้ 3. กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตต์เมื่อประสบอารมณ์ต่างๆ ,

อาสวะ ๓ คือ

๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม
๒. ภวาสวะ อาสวะคือภพ
๓. อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา

อีกหมวดหนึ่ง อาสวะ ๔ คือ

๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม
๒. ภวาสวะ อาสวะคือภพ
๓.ทิฏฐาสวะ อาสวะคือทิฏฐิ
๔. อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา

อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ, ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย, ความตรัสรู้

ตถาคตแสดงธัมมะทำไมคะ
พูดตามพระองค์บอกว่าธัมมะ
ไม่รู้ความจริงอะไรเลยสักอย่าง

ธัมมะแปลว่าสิ่งที่มีจริงๆ
ชาวมคธที่คุยกะตถาคต
พูดว่าธัมมะส่วนคนไทยคุยกัน
พูดว่าสิ่งที่มีจริงๆไม่ต้องใช้คำว่าธัมมะ
สิ่งที่มีจริงๆเดี๋ยวนี้คือกำลังมีอารมณ์อย่างไร
ทุกคนต้องคิดตามคำตถาคตไงถึงจะรู้ว่าตนกำลังรู้อะไร
ไม่เคยฟังเลยแปลว่าปัญญาไม่เกิดเลยตลอดชาตินี้เข้าใจไหมคะ
ตถาคตแสดงว่าปัญญาเกิดได้ตามลำดับ3แบบนี้ไม่ข้ามขั้นคือสุตะ_จินตา_ภาวนามยปัญญา
คืออบรมจิตเพื่อเจริญปัญญาตามลำดับจากฟังตถาคตกล่าวความจริงให้รู้ถูกตรงตามได้ที่กายใจกำลังมี