วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 11:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2018, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม คนที่ทำชั่ว ทำบาป ก็ต้องรับกรรมตามหลักศาสนาพุทธ ใช่ไหม ?

ตอบ ไม่ใช่ตามหลักศาสนา แต่ตามหลักธรรมชาติ คือว่า กรรมนี่ไม่ใช่เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่มันเป็นเรื่องของความจริง ภาษาไทยเอามาใช้ผิด ในภาษาบาลีนั้น คำว่าเชื่อกรรมนี้ ท่านไม่ค่อยใช้หรอก ท่านไม่เน้น ท่านใช้คำว่า “รู้กรรม” “เข้าใจกรรม” เพราะกรรมเป็นความจริงตามธรรมชาติ เป็นเรื่องของหลักเหตุปัจจัยที่เกี่ยวกับเจตนา หรือเจตจำนงของมนุษย์


เราจะต้องเรียนรู้ว่า เจตนา มันเป็นกลไกที่ทำให้เกิดผลอย่างไร มันมีผลต่อชีวิตของมนุษย์อย่างไร เมื่อเจตนาเกิดขึ้นในใจแล้ว มาแสดงออกทางกาย ทางวาจา แล้วมีผลเปลี่ยนแปลงอย่างไร นี่เป็นเรื่องของความจริงตามธรรมชาติ เราต้องเรียนรู้ ต้องศึกษา เพราะถ้าเอาแต่เชื่อ ก็จบเลย ทีนี้ก็ไม่เรียนรู้ ไม่หาความรู้แล้ว ฉะนั้น ในพระไตรปิฎก คำว่า เชื่อกรรมนั้นแทบไม่มี มีแต่รู้กรรม


ในภาษาไทย เรามีคำหนึ่งที่ใช้กันว่า กัมมัสสกตาศรัทธา (แปลว่า เชื่อในความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน) แต่ในภาษาบาลีไม่ใช้ ภาษาบาลีมีแต่กัมมัสสกตาญาณ คือ ญาณความรู้ในความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน ภาษาไทยนี่ต้องชำระสะสางกันเยอะ เพราะมากลายเป็นว่า กรรมไม่ใช่เป็นเรื่องของความจริงแล้ว แต่โดยหลักการ กรรมไม่ใช่เป็นเรื่องสำหรับเชื่อ แต่เป็นเรื่องสำหรับรู้ แล้วกรรมก็ไม่ง้อใคร ก็ในเมื่อกรรมเป็นความจริง มันจะต้องไปง้อใครกันเล่า แต่ถ้าต้องไปเชื่อมัน ก็คล้ายๆว่ามันอาจจะไม่จริงก็ได้ จึงต้องไปเชื่อไว้ อะไรทำนองนี้


ในความจริง กรรมไม่ง้อใคร เพราะมันเป็นความจริง คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นไปตามธรรมดาของมัน แต่ทีนี้ ในขั้นต้นๆ การเชื่อก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง ในเมื่อยังไม่รู้ ก็จะได้ละกรรมไม่ดี และพยายามปฏิบัติให้ถูก ให้ได้ประโยชน์ เอาละ ทีนี้ก็เชิญถามต่อจากเมื่อกี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2018, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม เมื่อคนทำผิด ก็ต้องได้รับผลจากการกระทำของเขาตามกฎธรรมชาติอยู่แล้ว การที่ผู้พิพากษาไปตัดสินนี้ จะเป็นการไปขัดกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือเปล่า ?

ตอบ คำถามนี้ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้พูดอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคิดว่า ควรจะพูด เป็นหลักใหญ่อย่างหนึ่ง ก็เลยจะพูดไว้หน่อย

เรื่องที่ว่านั้นก็คือ ด้านหนึ่ง มนุษย์นี้เป็นสัตว์พิเศษ มาโยงกับอีกด้านหนึ่งที่ว่า ธรรมชาติมีกฎ มีความเป็นจริงของมันที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นต้น มันก็เป็นไปตามกระบวนการของมัน ดังเช่นกรรมนี้ก็มีผลตามธรรมชาติของมัน


ทีนี้ ก็มาถึงคำถามเมื่อกี้ที่ว่า การกระทำของผู้พิพากษา คือของมนุษย์นี้จะขัดกับกฎธรรมชาติหรือเปล่า จะเป็นการเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงธรรมชาติไหม


ขอให้มองดูมนุษย์ มองถึงความจริงว่า มนุษย์ก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง โดยตัวเขาเองเป็นธรรมชาติ ใจก็เป็นธรรมชาติ กายของเขาเป็นธรรมชาติ


แล้วทีนี้ ในบรรดาสภาวะของธรรมชาติมากมายที่มีอยู่ในตัวมนุษย์นี้ มีตัวพิเศษอันหนึ่ง คือปัญญา ตรงนี้ขอให้ดูให้ชัด
ปัญญานี้เป็นธรรมชาตินะ ไม่ใช่เป็นของแปลกปลอม ปัญญาเป็นสภาวธรรมชาติอย่างหนึ่งในตัวมนุษย์ และเป็นคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของมนุษย์นั้น
แล้วอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เจตนา ที่ว่ามาเมื่อกี้ สองอย่างนี้ เป็นคุณสมบัติพิเศษในตัวมนุษย์
เอาละนะ ปัญญา กับ เจตนา เป็นธรรมชาติสองอย่างที่เป็นคุณสมบัติสำคัญอันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ ที่มนุษย์มีเพิ่มมากกว่าธรรมชาติที่ไหนๆอื่นทั้งหมด


ทีนี้ ก็แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติวินัยขึ้นมา ทำไมไม่ปล่อยให้สังคมเป็นไปตามธรรมชาติ ทำไมมาตั้งวินัยบัญญัติ วางกฎกติกาทางสังคม จัดตั้งคณะสงฆ์ อ๋อ....คำตอบมีอยู่แล้วง่ายๆ


ในเมื่อคนมีธรรมชาติที่พิเศษคือปัญญา และเจตนา ก็เอาปัญญา และเจตนาที่เป็นธรรมชาติพิเศษของคุณมาใช้ซิ เมื่อคุณเอามันมาใช้ เจ้าปัญญา กับ เจตนา นั้น มันก็เลยมาทำงานเป็นเหตุปัจจัยร่วมขึ้นในกระบวนการธรรมชาติที่แต่ก่อนมันไม่มีปัญญา และเจตนา ใช่ไหม ก็เท่านี้แหละ


ธรรมชาติทั่วไปนั้นมันขาดปัญญา กับ เจตนาใช่ไหม มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยอื่นเท่าที่มีอยู่นั้น แล้วก็ไปของมันเรื่อยไปอย่างนั้น
ทีนี้ เมื่อในมนุษย์เรามีปัญญา กับ เจตนา สองตัวนี้พิเศษเพิ่มขึ้นมา เราก็เอาปัญญา กับ เจตนา ที่เป็นธรรมชาติพิเศษของเรานี้แหละเข้ามาร่วมในกระบวนการของเหตุปัจจัยในธรรมชาติ เราก็สามารถจัดสรรปรุงแต่งชีวิตของเรา สังคมของเราให้มันดี หรือให้เป็นอย่างไรๆก็ได้ เราจึงไม่จำเป็นต้องเป็นไปแค่ตามเหตุปัจจัยธรรมชาติอย่างอื่นเท่านั้น ไม่ต้องมัวรอให้เหตุปัจจัยอื่นๆ ก่อผล


(แม้แต่ที่รอนั้น ก็คือเอา “เจตนา” ที่จะรอ เข้ามาเป็นเหตุปัจจัยด้วยแล้ว และคุณก็จะได้รับผลของกรรมคือเจตนาที่รอนั้นด้วย ซึ่งอาจจะเป็นกรรมแห่งความประมาท)

ที่ถามว่า ทำไมไม่ปล่อยไปตามธรรมชาติ เราลืมไปว่า ปัญญา และ เจตนา ของเราก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน ใช่ไหม อ้าว...เราจะปล่อย คือจะปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างอื่นในธรรมชาติ โดยไม่เอาปัจจัยคือปัญญา และ เจตนาของเราเข้าไป แสดงว่าเรายังไม่ฉลาดพอ
ถ้าเราฉลาดพอ เราก็เอาปัญญา และ เจตนาของเราที่พัฒนาอย่างนี้นั้นมาใช้ซะ เอาไปร่วมในกระบวนการของเหตุปัจจัยในธรรมชาติ


เพื่อจะให้ธรรมชาติส่วนพิเศษนี้ ให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์และแก่ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างคุ้มค่าของมัน เพื่ออันนี้แหละ ปัญญา กับ เจตนา ก็จึงเข้ามาสู่ระบบการจัดตั้ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า


หนึ่ง ธรรม คือความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ ที่เป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นๆ พระพุทธเจ้าทรงมีปัญญา รู้ตามที่มันเป็นอย่างนั้น (รวมทั้งก็รู้ด้วยว่าในมนุษย์แต่ละคนนั้นมีธรรมชาติพิเศษ คือ ปัญญาและเจตนานี้ ที่จะรู้เข้าใจระบบที่ทรงใช้ปัญญา และการุณยเจตนานี้จัดวางไว้ และเอาไปใช้ไปปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน)


สอง ด้วยปัญญาที่รู้ธรรม และปัญญาที่สามารถใช้ความรู้นั้นในการจำเนินการ พระองค์ก็ทรงดำเนินเจตนาที่ประกอบด้วยมหากรุณา นำความรู้ในความจริงของระบบธรรมชาตินั้น มาใช้ในการจัดตั้งวินัย มาวางระบบชุมชนสังฆะหรือสังคมสงฆ์ขึ้น ให้เป็นสังคมที่ดี วางกฎกติกาข้อบัญญัติสิกขาบท ที่จะให้กิจการดำเนินไปในทางที่เกิดผลดี มีทั้งนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการนี้ขึ้นมา


นี่แหละ เพราะฉะนั้น ในวินัยของพระ เมื่อมีภิกษุทำความผิดขึ้นมา ท่านจึงไม่ปล่อย อ๋อ...เธอทำกรรมไม่ดีนี่นะ ถ้าจะให้เหตุปัจจัยอื่นเท่าที่มีอยู่นั้นเป็นไปของมันจนแสดงผลขึ้นมา คนทั่วไปอาจจะไม่ทันได้เห็น หรืออาจจะเห็นไม่ทัน (แถมภิกษุรูปนั้นยังอาจจะใช้ปัญญาและเจตนา ที่เป็นเหตุปัจจัยในตัวของเธอเองไปทำให้กระบวนการเหตุปัจจัยโดยรวมนั้นซับซ้อนหนักเข้าไปอีก) พวกเราสังฆะก็เลยขอให้ปัญญากับเจตนาของเรามาทำกรรมตามวินัย ให้เป็นเหตุปัจจัยที่เธอจะเจอผลที่ควรจะได้เจอเสียเลย ปัญญากับพระมหากรุณา (เจตนา) ของพระพุทธเจ้าที่จัดตั้งวินัยไว้ และปัญญากับเจตนาของพวกเราที่ดำเนินการตามนี้ จะ ได้เป็นเหตุปัจจัยที่จะช่วยแก้ไขปรับปรุงตัวเธอและจะได้เป็นเหตุปัจจัยที่จะ ช่วยดำรงรักษาสังฆะสังคมให้มีธรรมะปรากฏอยู่เพื่อประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์ ยาวนานสืบไป


นี่แหละ คนไทยยังเชื่อถือนับถือและถือปฏิบัติกันผิดพลาด มีการพูดบอกกันว่า เออ...เขาทำกรรมไม่ดี เดี๋ยวเขาก็รับกรรมของเขาเอง นี่แหละผิดหลักพระพุทธศาสนาอย่างจังเลย คนไทยนับถือผิดเยอะเลย จะต้องแก้กันมากในเรื่องนี้


ที่จริง ความเข้าใจผิด เชื่อผิด ถือผิด อันนี้ ถ้าไม่ระวังให้ดี อาจจะพลัดไปเข้าลัทธิมิจฉาทิฏฐิอันหนึ่ง คือลัทธิปล่อยไปตามโชค คอยโชคหรือแล้วแต่โชค


พระพุทธเจ้านั้น ถ้ามีใครทำผิดน่ะหรือ พระองค์ไม่ปล่อยหรอก ทรงบัญญัติวางระบบแห่งกรรมทางวินัยไว้ให้แล้ว คือ มีกรรมในทางวินัย ไว้ให้สังฆะ คือ สังคมพระ ที่จะนำมาปฏิบัติเพื่อเอาปัญญาและเจตนาที่เตรียมอย่างดีแล้ว เข้าไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมด้วยในกระบวนการของกรรมในธรรมชาติ

เป็นอันว่า มีกรรมในวินัยอีก ถ้าไปอ่านวินัยของพระ ก็เจอเลยสังฆกรรมนี้คือกรรมที่จัดตั้งไว้ชัดๆ ว่าเพื่อเอาปัญญาและเจตนาที่ตระเตรียมอย่างดีเข้าไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับกระบวนเหตุปัจจัยส่วนอื่นในธรรมชาติ (บอกว่า “ส่วนอื่น” เพราะอย่าลืมว่า ปัญญาและเจตนาก็เป็นเหตุปัจจัยของธรรมชาตินั่นแหละ แต่มีพิเศษที่มนุษย์ ไม่มีที่อื่น)


แล้วจำเพาะลงไป ยังมีนิคหกรรม ซึ่งเป็นกรรมทางวินัยที่วางไว้สำหรับดำเนินการลงโทษพระ มีเยอะไปหมดเลย นี่คือกรรมที่มนุษย์จัดสรรขึ้นมาด้วยปัญญา และ เจตนา แล้วมันผิดธรรมชาติไหม ก็ไม่ผิด

นี่คือการที่เราเอาปัญญา และ เจตนาที่เป็นธรรมชาติพิเศษของมนุษย์ มาร่วมกระบวนการเหตุปัจจัยในธรรมชาติ และมนุษย์ที่พิเศษได้ก็เพราะมีธรรมชาติสองอย่างนี้แหละ แล้วทำไมจึงไม่ใช้กันเล่า


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงปล่อยให้คนทำกรรมเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เขารับกรรมไปเอง โดยไม่ทำอะไร แต่ทรงสอนให้เราใช้ปัญญา และ เจตนา เข้าไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมในกระบวนการของธรรมชาติ โดย

ขั้นที่ ๑ จัดตั้งวางระบบระเบียบกฎกติกาที่จะช่วยให้คนทำกรรมที่จะทำให้ชีวิตและสังคมดี

ขั้นที่ ๒ ดูแลให้คนตั้งอยู่ในระบบระเบียบที่จะทำกรรมที่จะทำให้ชีวิตและสังคมดีนั้น

ขั้นที่ ๓ ดำเนินการตัดสินความพิพากษาขัดแย้ง ตลอดจนลงโทษผู้ที่ขัดขืนฝ่าฝืนละเมิด บนฐานแห่งระเบียบกฎกติกาข้อบัญญัติที่จัดตั้งไว้นั้น

ตลอดกระบวนการทางสังคมนี้ทุกขั้นตอน สาระสำคัญก็คือการนำเอาสภาวะธรรมชาติข้อปัญญาและเจตนาของมนุษย์ เข้าไปร่วมเป็นเหตุปัจจัยที่จำนำหรือผันหันเหแระบวนเหตุปัจจัยของธรรมชาตินั้นให้เป็นไปเพื่อจุดหมายที่ถูกต้องดีงามเป็นประโยชน์


เมื่อปัญญาของเราเข้าถึงความจริงจนจบเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดทั่วทั้งหมด และเจตนาของเราดีมีเมตตาปรารถนาดีต่อชีวิตและสังคมโดยบริสุทธิ์แท้จริง ถ้าเราดำเนินการได้ตามปัญญา และเจตนานั้น ผลดีก็จะเกิดขึ้นสมความมุ่งหมาย


ที่แท้ มนุษย์ทั้งหลายก็เข้าไปร่วมกระบวนการของธรรมชาติด้วยปัญญา และเจตนาของตนกันทั่วไปอยู่แล้ว แต่ที่มีปัญหากันอยู่ไม่จบไม่สิ้นว่า ไม่ลุผลที่หมายบ้าง ไม่เกิดผลดีแต่กลายเป็นผลร้ายบ้าง เกิดผลไม่พึงปรารถนาอื่นพ่วงหรือตามมาบ้าง เป็นต้น (เช่นปัญหาทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆเรื่อยมา) ก็เนื่องจากจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องใหญ่ตรงที่ว่า ปัญญา และเจตนาไม่เข้าถึงสภาวะเจนจบแจ้งจริง หรือไม่ก็เจตนาไม่ใสสะอาดจริง ก็วนกันอยู่นั่น แต่ในแง่หลักการ ก็อย่างว่านั้น


ในที่สุดจึงต้องกลับมาย้ำที่หลักการพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ คือการพัฒนาคน ได้แก่ การที่จะต้องทำให้มั่นใจอยู่เสมอในความสมบูรณ์ของปัญญา และเจตนานั้น ด้วยการตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในการศึกษา
หนึ่ง ที่จะทำปัญญาให้สมบูรณ์รู้ความจริงชัดเจนแจ่มแจ้งเข้าถึงสัจจะ
สอง ที่จะตรวจสอบชำระเจตนาของตนให้บริสุทธิ์ใสสะอาด มุ่งเพื่อความดีงาม เพื่อความสงบสุขเป็นอิสระ ของชีวิต ของสังคม อย่างแท้จริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จบเรื่อง

รูปภาพ


แต่ทุกชีวิตก็ยังดำเนินไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เด้ง 7 ตำรวจนครบาล สอบยัดไอซ์ รีดเงินพ่อค้าส้มตำ

ผบก.น.1 มีคำสั่งย้าย 3 ตำรวจสัญญาบัตร-4 ประทวน เข้าปฏิบัติหน้าที่ ศปก.บก.น.1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม หลังถูกร้องเรียนจากพ่อค้าส้มตำปากซอยพระราม 6 ว่าร่วมกันยัดไอซ์ให้ลูกสาว ก่อนจับพ่อไปแทนแล้วเรียกเงิน 5 หมื่นบาทแลกปล่อยตัว

https://mgronline.com/crime/detail/9610000091062

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/670 ... ?s=759x960



ข่าวคืบหน้า

อ้างคำพูด:
พ่อค้าขายส้มตำที่โดนตำรวจยัดยา นอนไม่หลับ โดนส่งจดหมายข่มขู่ "ชีวิตจะไม่ตายดี" หลังทำตำรวจถูกย้าย

http://img.tnews.co.th/large/tnews_1537087849_8313.jpg

http://www.tnews.co.th/contents/478379

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2018, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
บุกจับ อดีตนิติกรและเจ้าหน้าที่ศาล หลังโกงเงินกว่า 240 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวถามว่าแล้วในเครือข่ายมีผู้พิพากษาร่วมด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช. ทท. ได้เปิดเผยว่า มีผู้พิพากษาร่วมด้วย และอยู่ระหว่างดำเนินการรายงานคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เพื่อให้พิจารณารับทราบและให้ทางศาลดำเนินการกันต่อไป
คดีนี้เราจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ใครเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป ข้าราชการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหน หากพบว่าเข้าไปมีส่วนพัวพันกับเครือข่ายนี้เราก็จะดำเนินการทั้งหมด ทุกรูปแบบ

รายงานข่าวแจ้งว่า ทางผู้พิพากษา ท่านหนึ่ง ที่อยู่ในเครือข่ายขบวนการพวกนี้ ได้มีการเจรจาตกลงกับผู้เสียหายว่า จะขอคืนเงินให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ แต่ในที่สุดก็ไม่ทำตามข้อตกลง ทางตำรวจจึงได้ทำหนังสือรายงานพฤติกรรมของผู้พิพากษาท่านนี้ไปยังคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เพื่อพิจารณาดำเนินการกันต่อไป ส่วนเจ้าหน้าที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่จะได้มีการดำเนินกระบวนการตามกฎหมายต่อไป

https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/799212


(ข่าวคืบหน้า)

และทันทีที่มีข่าวว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงยุติธรรม 2 รายเป็นเจ้าหน้าที่ ระดับผู้พิพากษา และผู้ช่วยผู้พิพากษา เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงประชาชนและข้าราชการตำรวจภูธรจังหวัดเลย มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

ล่าสุดนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ( ก.ต.) มีมติให้ผู้พิพากษาที่เข้าไปเกี่ยวข้องออกจากราชการจำนวน 2 ราย ส่วนบุคคลอื่นที่เป็นเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม หากพบว่ามีส่วนร่วมกระทำผิด ก็จะมีการพิจารณาลงโทษ ตามกฎระเบียบ ตั้งแต่ย้ายออกนอกพื้นที่และให้ออกจากราชการ

เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมกล่าวอีกว่า สำหรับบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด มีตำแหน่งเป็นถึงผู้พิพากษาศาล ผู้ช่วยผู้พิพากษา ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้เรื่องข้อกฎหมาย การทำผิดกฎหมาย รวมไปถึงการกระทำที่เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน
แต่บุคคลเหล่านี้ ก็กลับร่วมลงทุนทำธุรกรรมกับผู้ต้องหารายสำคัญ โดยร่วมลงทุนมาตั้งแต่ปี 2557 จนกระทั่งเรื่องถูกเปิดเผย
สะท้อนภาพความเข้มแข็งของกระทรวงยุติธรรม ที่ใช้มาตรการลงโทษที่เฉียบขาดต่อการผิดวินัยร้ายแรง ได้อย่างรวดเร็ว และหากเมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่น ในระบบกระบวนการยุติธรรมไทย เราจะพบเห็นได้เพียงการ “เด้ง” การ “ย้าย” เท่านั้น..ซึ่งไม่ใช่วิธีการลงโทษทางวินัยแต่อย่างใด สังคมจึงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหน่วยงานนี้แทนการแก้ปัญหา ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

https://www.facebook.com/13718869302181 ... =3&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร