วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 07:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจาก ภาวะแห่งนิพพาน นี่

viewtopic.php?f=1&t=56459

นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์

นิรฺวาณมฺ ความดับ เป็นคำสันสกฤต เทียบกับภาษาบาลี ก็ได้แก่ศัพท์ว่า นิพพาน นั่นเอง ปัจจุบันนิยมใช้เพียงว่า นิรวาณ กับ นิรวาณะ

นิโรธ ความดับทุกข์ คือ ดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึง พระนิพพาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน

เนื่องด้วยคำสอนในพระพุทธศาสนา เน้นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง และการลงมือทำให้รู้เห็นประจักษ์บังเกิดผลเป็นประโยชน์แก่ชีวิต หรือเน้นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้ และการนำสิ่งนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ (ดูหลักการตรัสพระวาจาของพระพุทธเจ้า ใน องฺ.จตุกฺก.21/183/233 ฯลฯ) ไม่สนับการคิดวาดภาพ และการถกเถียงหาเหตุผลในสิ่งที่พึงรู้เห็นได้ด้วยการลงมือทำนั้น ให้เกินเพียงพอแก่ความเข้าใจที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับการลงมือปฏิบัติ

ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องนิพพาน การศึกษาเกี่ยวกับภาวะของบุคคลผู้บรรลุนิพพาน รวมทั้งประโยชน์ที่เป็นผลของการบรรลุนิพพาน ซึ่งเห็นได้ที่ชีวิต หรือบุคลิกภาพของผู้บรรลุ จึงน่าจะมีคุณค่าในทางปฏิบัติ และสอดคล้องกับหลักการของพระพุทธศาสนา มากกว่าการอภิปรายเรื่องภาวะของนิพพานโดยตรง

ภาวะของผู้บรรลุนิพพาน อาจศึกษาได้จากคำเรียกชื่อ และคำแสดงคุณลักษณะของผู้บรรลุนิพพานนั่นเอง ซึ่งมีทั้งความหมายแง่บวก และแง่ลบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

คำเรียกจำนวนมาก เป็นคำแสดงความยกย่องนับถือว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติดีงาม บริสุทธิ์ ประเสริฐหรือได้บรรลุจุดหมายสูงสุดแล้ว เช่น อรหันต์, ขีณาสพ, อเสขะ, ปริกขีณภวสังโยชน์, อนุปปัตตสทัตถ์, อุตมบุรุษ , มหาบุรุษ , สัมปันนกุศล, บรมกุศล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห.บน มีศัพท์บาลีหลายตัว ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาชาตินี้เดี๋ยวนี้ให้คุณโรสบอกความหมายมันหน่อย

อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่ต้องพูดบาลีว่าตนรู้ศัพท์เยอะได้ไหม มันไม่ตามไปชาติหน้าค่ะ

บอกไม่ฟังก็บอกว่าให้สะสมสัจญาณคือปริยัติจากสุตมยปัญญา

คุยมาตั้งแต่แรกไม่เข้าใจหรือคะว่าโรสฟังพระพุทธพจน์เข้าใจ

ไม่ได้จดหรือไม่ได้อ่านมาก่อนไม่ได้ไปกางเปิดตำราตอบมันอยู่ในกึ๋นไงคะ

เข้าใจถูกตรงตามการฟังแล้วคำตถาคตเข้าใจแล้วเวลาสนทนาก็บอกตามความเข้าใจตรงคำจริงไงคะ

viewtopic.php?f=1&t=56409&p=426089#p426089


เท่ากับเป็นเครื่องวัดว่า ชาติที่แล้วคุณโรสได้เรียนมาไหม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
มีกิเลสแปลว่าไม่มีใครรู้ความจริง
ผู้รู้ความจริงคือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้
ไม่ได้บรรลุตามใครเข้าใจไหมคะตรัสรู้
ด้วยปัญญาถึงทศพลญาณมีแค่1คนทั้งจักรวาล
คนอื่นๆต้องฟังความจริงจากพระองค์เพื่อเกิดสัมมาตาม
และการแสดงความจริงจากพระโอษฐ์ผู้ที่สะสมการฟังมาแต่ปางก่อนเท่านั้น
ที่มีโอกาสได้ฟังอีกจนปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับและบรรลุธรรมตามได้จากกำลังฟังเข้าใจไหมคะ
แล้วคนสมัยนี้คิดว่าตนเองเป็นใครหรือคะแค่อ่านท่องจำคำตถาคตเอามาท่องเป็นต่อยหอยแต่กิเลสเต็ม
โดยเฉพาะบรรพชิตสมัยนี้ใช้อุปนิสัยแบบคฤหัสถ์ในการครองผ้ากาสาวพัตรตายแล้วต้องตกนรกทันที
:b16:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
มีกิเลสแปลว่าไม่มีใครรู้ความจริง
ผู้รู้ความจริงคือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้
ไม่ได้บรรลุตามใครเข้าใจไหมคะตรัสรู้
ด้วยปัญญาถึงทศพลญาณมีแค่1คนทั้งจักรวาล
คนอื่นๆต้องฟังความจริงจากพระองค์เพื่อเกิดสัมมาตาม
และการแสดงความจริงจากพระโอษฐ์ผู้ที่สะสมการฟังมาแต่ปางก่อนเท่านั้น
ที่มีโอกาสได้ฟังอีกจนปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับและบรรลุธรรมตามได้จากกำลังฟังเข้าใจไหมคะ
แล้วคนสมัยนี้คิดว่าตนเองเป็นใครหรือคะแค่อ่านท่องจำคำตถาคตเอามาท่องเป็นต่อยหอยแต่กิเลสเต็ม
โดยเฉพาะบรรพชิตสมัยนี้ใช้อุปนิสัยแบบคฤหัสถ์ในการครองผ้ากาสาวพัตรตายแล้วต้องตกนรกทันที
:b16:
:b32: :b32:


เขาถามว่าไปไหนมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายของศัพท์ข้างบนโน่น

@ อรหันต์ - ผู้ควร หรือผู้ไกลกิเลส

@ ขีณาสพ - ผู้สิ้นอาสวะแล้ว

@ อเสขะ - ผู้ไม่ต้องศึกษา, ผู้จบการศึกษาแล้ว

@ ปริกขีณภวสังโยชน์ - ผู้หมดสังโยชน์ที่เป็นเครื่องผูกมัดไว้ในภพ

@ อนุปปัตตสทัตถ์ - ผู้เข้าถึงประโยชน์ตนแล้ว

@ อุตมบุรุษ - คนสูงสุด, คนยอดเยี่ยม

@ มหาบุรุษ - คนยิ่งใหญ่ด้วยคุณธรรม, บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพหูชน และมีอำนาจเหนือจิตของตน

@ สัมปันนกุศล - ผู้มีกุศลสมบูรณ์

@ บรมกุศล - ผู้มีกุศลธรรมอย่างยิ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำเรียกอีกไม่น้อย เป็นคำที่ใช้กันมาในลัทธิศาสนาสืบจากเดิม แต่นำมาใช้ในพุทธศาสนาโดยเน้นให้ปรับแก้ความหมายให้ถูกตรงตามสาระของพระธรรม วินัย เช่น พราหมณ์ (แท้), ทักขิไณย์, นหาตก์, เวทคู, สมณะ, เกวลี หรือเกพลี, อริยะ, อริยะ หรือ อารยชน

การศึกษาตามแนวนี้ ต้องพิจารณาภาวะของผู้บรรลุนิพพาน โดยสัมพันธ์ กับ หลักธรรมที่กล่าวถึงในคำนั้นๆ เช่น อาสวะ ๓ สิกขา ๓ อเสขธรรม ๑๐ สังโยชน์ ๑๐ พรหมจรรย์ คือ มรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายศัพท์ที่เขาใช้อยู่ก่อนแล้ว พระพุทธเจ้านำมาใช้ในความหมายใหม่

@ พราหมณ์ (แท้) ผู้ลอยบาปโดยละเลิกอกุศลธรรมทิ้งไปหมดแล้ว, เดิม = คำเรียกคนวรรณะเลิศประเสริฐเหนือวรรณะอื่น

@ ทักขิไณย์ - ผู้ควรแก่ทักษิณา, เดิม = คำเรียกพราหมณ์ในฐานะผู้ควรรับค่าตอบแทนในการประกอบพิธีบูชายัญ

@ นหาตก์ - ผู้สนานแล้ว, ผู้อาบน้ำธรรม ทำกรรมสะอาด สร้างความเกษมแก่สรรพสัตว์, เดิม = คำเรียกพราหมณ์ผู้ได้ประกอบพิธีสนานขึ้นสู่สถานะเป็นพราหมณ์มีระดับ

@ เวทคู - ผู้ถึงเวท คือ เจนจบวิชชาล่วงพ้นความติดในสรรพเวทนา, เดิม = คำเรียกพราหมณ์ผู้จบไตรเพท

@ สมณะ - ผู้สงบ, ผู้ระงับกิเลส, เดิม = คำเรียกนักบวช

@ เกวลี หรือ เกพลี - คนครบถ้วน, คนสมบูรณ์, เดิม = คำเรียก บุคคลสูงสุดในศาสนาเชน

@ อริยะ หรือ อารยชน - คนเจริญ, ผู้ประเสริฐ, ผู้เจริญอหิงสาต่อสรรพสัตว์, เดิม = คำเรียกคนสามวรรณะแรก หรืออารยันโดยกำเนิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง ในหมู่ชาวพุทธจำนวนมากทีเดียวนิยมพูดถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ และพระอริยบุคคลอื่นๆในเชิงละ หรือเชิงลบ โดยกำหนดด้วยกิเลสที่ละได้หรือหมดไปแล้ว เช่นว่า
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓
พระสกทาคามีละสังโยชน์ ๓ นั้นได้ และทำราคะโทสะโมหะให้เบาบางลงไปอีก
พระอนาคามีละสังโยชน์เบื้องต่ำได้หมด ทั้ง ๕ และ
พระอรหันต์ละสังโยชน์ได้หมดสิ้นทั้ง ๑๐ หรือพูดถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ได้สั้นๆ เพียงว่า คือ ท่านผู้สิ้นราคะ โทสะ โมหะ หรือว่าหมดกิเลส หรือว่าไม่มีโลภ โกรธ หลง

วิธีพูดแบบนี้ก็ดีในแง่ที่ว่า พูดได้ชัดวัดได้ง่าย แต่มองได้แคบ ไม่เห็นชัดออกมา และกว้างออกไปว่า พระอรหันต์ และอริยชนนั้น มีคุณสมบัติพิเศษมีคุณลักษณะเด่น ดำเนินชีวิตที่ดีงามมีคุณค่าและทำคุณประโยชน์แก่โลกอย่างไร

ที่จริง คำและข้อความที่กล่าวถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ในเชิงบวกก็มีไม่น้อย แต่ถ้าเป็นคำบรรยายหรือพรรณนา ก็มักมีเนื้อความกว้างขวาง ยากที่จะสรุปมาวางให้จับใจความได้อย่างมีลำดับ เป็นชั้นๆหรือเป็นข้อๆ หรือไม่ก็แสดงไว้เป็นเรื่องเฉพาะกรณี ไม่ใช่คุณสมบัติร่วมที่เสมอเหมือนทั่วกันแก่ทุกท่าน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
มีกิเลสแปลว่าไม่มีใครรู้ความจริง
ผู้รู้ความจริงคือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้
ไม่ได้บรรลุตามใครเข้าใจไหมคะตรัสรู้
ด้วยปัญญาถึงทศพลญาณมีแค่1คนทั้งจักรวาล
คนอื่นๆต้องฟังความจริงจากพระองค์เพื่อเกิดสัมมาตาม
และการแสดงความจริงจากพระโอษฐ์ผู้ที่สะสมการฟังมาแต่ปางก่อนเท่านั้น
ที่มีโอกาสได้ฟังอีกจนปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับและบรรลุธรรมตามได้จากกำลังฟังเข้าใจไหมคะ
แล้วคนสมัยนี้คิดว่าตนเองเป็นใครหรือคะแค่อ่านท่องจำคำตถาคตเอามาท่องเป็นต่อยหอยแต่กิเลสเต็ม
โดยเฉพาะบรรพชิตสมัยนี้ใช้อุปนิสัยแบบคฤหัสถ์ในการครองผ้ากาสาวพัตรตายแล้วต้องตกนรกทันที
:b16:
:b32: :b32:


เขาถามว่าไปไหนมา

:b12:
ไปไหนไม่รู้(ไม่รู้ว่าจะไปเกิดภพไหน)แต่จิตไปตลอดดับไม่กลับมาเกิดให้รู้อีกเลยเกิดจิตขณะใหม่ตลอด
ไม่ตรงปัจจุบันขณะตลอดแปลว่ามีกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตใหม่นอนรอมาเกิดเป็นอวิชชาตลอดเหมือนเดิม
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2018, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
มีกิเลสแปลว่าไม่มีใครรู้ความจริง
ผู้รู้ความจริงคือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้
ไม่ได้บรรลุตามใครเข้าใจไหมคะตรัสรู้
ด้วยปัญญาถึงทศพลญาณมีแค่1คนทั้งจักรวาล
คนอื่นๆต้องฟังความจริงจากพระองค์เพื่อเกิดสัมมาตาม
และการแสดงความจริงจากพระโอษฐ์ผู้ที่สะสมการฟังมาแต่ปางก่อนเท่านั้น
ที่มีโอกาสได้ฟังอีกจนปัญญาเจริญขึ้นตามลำดับและบรรลุธรรมตามได้จากกำลังฟังเข้าใจไหมคะ
แล้วคนสมัยนี้คิดว่าตนเองเป็นใครหรือคะแค่อ่านท่องจำคำตถาคตเอามาท่องเป็นต่อยหอยแต่กิเลสเต็ม
โดยเฉพาะบรรพชิตสมัยนี้ใช้อุปนิสัยแบบคฤหัสถ์ในการครองผ้ากาสาวพัตรตายแล้วต้องตกนรกทันที
:b16:
:b32: :b32:


เขาถามว่าไปไหนมา

:b12:
ไปไหนไม่รู้(ไม่รู้ว่าจะไปเกิดภพไหน)แต่จิตไปตลอดดับไม่กลับมาเกิดให้รู้อีกเลยเกิดจิตขณะใหม่ตลอด
ไม่ตรงปัจจุบันขณะตลอดแปลว่ามีกิเลสอาสาวะนอนเนื่องในจิตใหม่นอนรอมาเกิดเป็นอวิชชาตลอดเหมือนเดิม



นี่คือผู้ที่เอาแต่ฟังคลิปโดยไม่ศึกษา ทั้งไม่ปฏิบัติ มิจฉาทิฏฐิจึงเกิดเต็มสมองและสองมือ รวมทั้งมิจฉาทิฏฐิตัวย่าด้วย

บริวารที่นั่งฟังนั่งถามกันอยู่นั่น ก็ขาดความรู้เรื่องพุทธธรรมคือโต้แย้งไม่เป็นไม่ได้ ฟังเขากล่อมประสาทไป เออๆหนอๆกันไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2018, 05:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในที่นี้ จะเลือกคำที่เป็นคุณบท คือคำที่ใช้เป็นคุณนาม ซึ่งแสดงคุณสมบัติ และคุณลักษณะของพระอรหันต์ได้กว้างขวางครอบคลุมอย่างเป็นระบบ สรุปก็ง่ายขยายความก็ชัด ขอนำมาบอกไว้เป็นตัวแทนของคำอื่นทั้งหมด และเป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เองบ่อยด้วย


คำที่ว่านี้ คือ “ภาวิตัตต์” ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า “ผู้มีตนที่พัฒนาแล้ว” หรือ “ผู้ได้พัฒนาตนแล้ว” * เป็นคำที่ใช้แก่พระอรหันต์ทั้งหมด ทั้งพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตสาวก ดังในมหาปรินิพพานสูตร เล่าความระหว่างเสด็จสู่สถานที่ปรินิพพาน เรียกพระพุทธเจ้าว่าองค์พระภาวิตัตต์ ดังนี้

“พระพุทธเจ้า...เสด็จถึงแม่น้ำกกุธานที อันมีน้ำใส จืด สะอาดเสด็จลงทรงสรงและเสวยแล้ว อันหมู่ภิกษุแวดล้อม เสด็จไปในท่ามกลาง...เสด็จเข้าสู่อัมพวันแล้ว รับสั่งกะภิกษุนามจุนทกะว่า เธอจงช่วยปูผ้าสังฆาฏิซ้อนสี่ชั้น ให้เป็นที่เราจะนอน พระจุนทกะนั้น อันองค์พระภาวิตัตต์ ทรงเตือนแล้ว ได้ปูผ้าสังฆาฏิพับเป็นสี่ชั้นถวายโดยพลัน” * (ที.ม.10/125/157)

แม้ที่เมตตคูมาณพทูลถามปัญหาก็ทำนองเดียวกันว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ขอทูลถาม ขอจงตรัสบอกความนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ย่อมสำคัญพระองค์ว่าทรงเป็นพระเวทคู ทรงเป็นพระภาวิตัตต์ (จึงขอทูลถามว่า) ประดาความทุกข์เหล่านี้ ที่ประดังพรั่งพรูขึ้นมาในโลก มากมายหลากหลาย เกิดมาจากไหนกันหนอ” * (ขุ.สุ.25/428/534. ในโสฬสปัญหา)

..........

ที่อ้างอิง *

* “ผู้มีตนที่พัฒนาแล้ว” หรือ “ผู้ได้พัฒนาตนแล้ว” จากคำบาลีว่า “ภาวิตตฺโต” = อตฺตานํ ภาเวตฺวา วฑฺเฒตฺวา ฐิโต (ภาวิตัตต์ หมายความว่า ผู้เจริญ คือได้พัฒนาตน ดำรงอยู่แล้ว) (สํ.อ.1/196)


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2018, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
บรรพชาคือการสละหมดทั้งทรัพย์และญาติ
ยังหวังอยากได้เงินเพิ่มบวชไม่ได้เลยนะคะ
เพราะทำอุปนิสัยเดิมแบบก่อนบวชไม่ได้แล้ว
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2018, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
บรรพชาคือการสละหมดทั้งทรัพย์และญาติ
ยังหวังอยากได้เงินเพิ่มบวชไม่ได้เลยนะคะ
เพราะทำอุปนิสัยเดิมแบบก่อนบวชไม่ได้แล้ว


ความคิดสำนักนี้ตกขอบโลกจริงๆ

บอกให้ตอบตรงๆหลายเทื่อแล้วว่า ถ้าเขาบวช ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ พรรษา ให้เขาสละทรัพย์สินเฮินทองเรือกสวนไร่นาตึกรามบ้านช่องหมดสิ้น พ้นจากนั้นสึกออกมาจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน ให้เขากินอะไร คิกๆๆ ไม่ตอบ ได้แต่พร่ำย้ำคิดย้ำทำอยู่นั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร