วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 22:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 19:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..เหนื่อย..

ความเหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ที่เกิดจากการปฎิบัติ

แท้จริงเป็นสภาวะการทำงานของจิตเจตสิก อย่างหนึ่ง..เป็นอารมณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น :b8:

เมื่อเรายึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ นั่นแปลว่า เรายึดมั่นถือมั่นใน การทำงานของจิตเจตสิกด้วย
.
.
.
เหนื่อยกาย คือ การยึดมั่นถือมั่นในสภาวะของการทำงานของธาตุ

จนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เป็นตัวเราขึ้นมา :b8:
.
.

เหนื่อยจิต คือการยึดมั่นสภาวะของการทำงานของจิตเจตสิก

จนเป็นตัวเป็นตน เป็นตัวเราขึ้นมาเช่นกัน :b8:
.
.
.
ถ้าเรามองออก มองชัดได้ว่า มันเป็นแค่สภาวะการทำงานของรูป จิต เจตสิก เท่านั้น เราก็จะเห็นทางแก้ไข

ว่าเราจะออกจากสภาวะแบบนี้ได้อย่างไร
.
.
.
นั่นแปลว่า

ในการปฎิบัติธรรม เราสามารถฝึกปฎิบัตได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นยันนอน โดยไม่มีการหยุดพักได้ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย สายน้ำเมย เมื่อ 25 ส.ค. 2018, 19:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด

ถ้าอยากเข้าใจธรรมะให้ถูกต้องละเอียดลึกซึ้งก็ให้พยายามพิจารณาธรรมะเรื่องต่างๆให้เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันให้ได้เน้อทุกๆท่าน


ขอบพระคุณค่ะ น่าชื่นชมอย่างยิ่ง


การเชื่อม ก่อนอื่น ที่วิปัสสนาเหล่านั้น ก็ต้องคงไปเชื่อมโยง กะวิปัสสนูกิเลส 10 ซะก่อน ใช่มั๊ยคะ ?




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 19:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:

มาโพสแบบนี้นี่...แสดงว่า..อยากระลึกความหลัง...ที่เคยปะทะกันแบบซาดิสม์ๆกับผมเปล่าล่ะนี่..คุงกบ..เอ๊ย... :b4: :b4: :b4:
กับคุงกบนี่...ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าได้เคยปะทะเดือดกันเปล่า...แต่กับนายโฮฮับนั่น..อันนั้นชัวร์แหละว่าปะทะกันสารพัดรูปแบบเลย...ทั้งตีเข่้ากระจับ...เอานิ้วทิ่มตา...กัดหู...เล่นกันทุกรูปแบบเลย..5555555555
เพื่อไม่ให้คุงกบ..ผิดหวัง..ที่มาโพสแบบ...ลองของ...แบบนี้ก็จะ..ตอบแบบที่เคยปะทะกันล่ะนะ



ไม่อยู่ในความทรงจำเลยสักนิด...

แต่ดูดูไปแล้ว...คุณตะวัน..ท่าจะภูมิใจอะไรที่ไม่เป็นท่า..เช่น..ปะทะซาดิสม์..ปะทะเดือน..ลองของ...

คือ..ชอบคุยเบ่งไม่เป็นท่า.. :b9: :b9:

ยิ่งเห็น...ท่าลึก..ท่าละเอียด..ด้วยแล้ว..ยิ่งไม่เป็นท่า...

กลับไปโม้ใน..ลานchat เถอะครับ...ให้เด็กๆเขาตะลึงเล่นๆยังเป็นประโยชน์..
:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 19:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กบ ไปเหยียบเบรค เฮ็ดหยังล่ะ rolleyes rolleyes rolleyes


:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กลับไปโม้ใน..ลานchat เถอะครับ...ให้เด็กๆเขาตะลึงเล่นๆยังเป็นประโยชน์..
:b16: :b16: :b16:


เปิด พื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ๆ แจ้งเกิดก็ดีนะ กบ
ผักบุ้ง เต็มทุ่ง ไม่โหรงเหรง wink wink wink

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 20:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กลับไปโม้ใน..ลานchat เถอะครับ...ให้เด็กๆเขาตะลึงเล่นๆยังเป็นประโยชน์..
:b16: :b16: :b16:


เปิด พื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ๆ แจ้งเกิดก็ดีนะ กบ
ผักบุ้ง เต็มทุ่ง ไม่โหรงเหรง wink wink wink


ความคิดดี..

:b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:
เฉลยให้ฟังก็แล้วกัน
ก่อนเฉลยก็เอาที่ตอบแบบหยาบๆยกมาให้ฟังก่อนแล้วกัน


พระท่านว่า คำสอนและธรรมมีความลึกตื้นต่างระดับกันไป..และลึกยิ่งๆขึ้นไปไม่สิ้นสุด ในคำๆเดียว

ในมุมมองของตัวเอง..มองในเรื่องปล่อยวางในมุมนี้ว่า..


เอาเรื่องการมอง...ความลึกในการมอง....ศีลข้อสอง(อทินนาทานาฯ)แล้วกัน
1.ตื้นสุดหรือหยาบสุด....ก็น่าจะ...ยึดมั่นถือมั่น..จนต้านความอยากของตัวเองไม่ได้จนต้องไปขโมยสิ่งที่ตัวเองอยากได้...จากผู้อื่น..จนผิดศีลข้อสอง

2.ลึกขึ้นไปหน่อย....หรือละเอียดเพิ่มขึ้นมา....ก็มีความกลัวบาป...ก็เลยไม่กล้าไปลักของเขา...เพราะกลัวตกนรกอะไรทำนองนั้น

3.ละเอียดขึ้นไปอีก...คือมีความละอาย...ที่จะไปลักของเขา....เห็นว่า...ถ้ามีคนมาลักของๆเรา..เราก็จะเสียใจ...ทำนองเห็นใจเขาเห็นใจเรานั่นแหละ...ไม่อยากให้มีคนมาทำไม่ดีกับตัวเองอย่างไร..ตัวเองก็เลยคิดได้ไม่อยากไปทำให้เขาเสียใจด้วย....นี่น่าจะถือว่าเป็นขั้นที่ละเอียดกว่าสูงกว่าขั้น...กลัวบาป..กลัวตกนรกเพราะไปลักของเขาแหละ

แต่พวกนี้ก็ยังไม่เป็นขั้นลึกสุดล่ะนะ....ไออยากถามยูว่า...ยูคิดว่า...ถ้าคนที่เขามองศีลข้อสอง...แบบลึกสุดนี่....เขาจะ...ปฏิบัติยังงัยกับศีลข้อนี้...คิดยังงัยพิจารณายังงัยกับศีลข้อนี้.....ก็ตอบแบบที่ยูคิดว่าละเอียดสุด...ลึกสุด..ที่ยูพอจะพิจารณาได้แล้วกัน......พอจะตอบได้ไหม?????


บอกใบ้ให้หน่อยแล้วกัน....ระดับ 1-3 ที่ว่านั่น...ที่ไอว่ายังหยาบอยู่ยังไม่ละเอียด...เพราะยังคิดจะมาเอาสิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบตัวเองอยากได้อยู่...เพียงแต่วิธีการต่างกันเท่านั้นเอง...ข้อ1หยาบที่สุดเพราะไปทำเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้แบบผิดวิธีด้วยการไปลักขโมย...
ส่วนข้อ 2-3 ก็ดีขึ้นละเอียดขึ้นเพราะไม่ได้ไปลักไปขโมยสิ่งที่ตัวเองอยากได้...แต่ไปทำงานเก็บเงินซื้อเอาอะไรทำนองนั้น....ก็ละเอียดขึ้นแต่ก็ยังหยาบอยู่

แล้วแบบละเอียดสุดล่ะ....ท่านผู้ที่ทำได้แบบละเอียดสุด....ท่านถือกันยังงัย???...ศีลข้อสองนี่????
ตอบได้ไหม?????
.....ก็ตอบแบบที่ยูคิดว่าละเอียดสุด...ลึกสุด..ที่ยูพอจะพิจารณาได้แล้วกัน......



ทีนี้จะเฉลย...ล่ะนะ
ขั้นละเอียดสุด....ที่ไอพิจารณาได้นี่...(หรือใครที่คิดว่าพิจารณาได้ละเอียดกว่านี้..ก็ให้มา..เพิ่มเติมได้นะ...
ได้ยินเปล่าคุณกบ(แต่อย่าแค่มาบอกว่า...ไม่ได้เรื่อง...แล้วกลับไม่ยกตัวอย่างที่คุณกบคิดว่า...ได้เรื่อง....มาให้กันอ่านบ้างอีกนะ...ถ้าบอกว่าไม่ได้เรื่องแล้วต้องเอาสิ่งที่ได้เรื่องมาพูดให้กันฟังด้วยสิ่...ถึงจะไม่โดนหาว่า...ดีแต่พูดเฉยๆ...หึหึ)

ขั้นละเอียดสุด....ที่ไอพิจารณาได้นี่...ก็คือ.....ท่านที่รักษาศีลข้อสองได้แบบละเอียดสุดนี่....ท่านจะ...ไม่เอาอะไรเลยทั้งนั้นในโลกนี้....นี่แหละที่ไอคิดว่าละเอียดสุดล่ะ.....
ไม่อยากจะได้ไม่อยากจะเอาอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้....เพราะพิจารณาทางปัญญาแล้วเห็นโทษของการอยากได้อยากเอาอะไรต่างๆในโลกใบนี้ได้ชัดเจนแล้ว

ถ้ามีความคิดที่อยากจะได้อันนั้นอันนี้โผล่ขึ้นมาในใจท่านแล้ว...นั่นล่ะท่านถือว่าผิดศีลข้อสองแบบละเอียดสุดของท่านแล้ว ท่านรักษาศีลถึงระดับใจโน่นเลยล่ะ ไม่ให้มีความคิดปรุงแต่งอยากจะได้อันนั้นอันนี้อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้...ท่านจะรักษาใจท่านให้บริสุทธิ์...ไม่ให้มีความคิดที่อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ในโลกนี้เลย

ถ้ายังคิดอยากจะได้โน่นนี่นั่น...ในโลกนี้อยู่...ก็เหมือนกับว่า...ยังอยากจะขโมยอะไรๆในโลกนี้อยู่อีกงัย...ซึ่งส่งผลให้มาเกิดอีกนั่นเอง...ตรงกับหลักธรรมเรื่องอิทัปปัจจยตา(ไม่รู้สะกดถูกเปล่า)เหตุอันหนึ่งไปสะเทือนทำให้เกิดผลอีกอันหนึ่ง...

เหตุคือยังอยากได้โน่นนี่นั่นอยุ่แล้วก็ส่งผลให้มาเกิดอีกนั่นงัยล่ะ

.....หรือภาษาโลกที่เขาพูดกันว่า...เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว...อะไรนั่นอันนี้ก็เข้ากันได้กับกฎเรื่องอิทัปปัจจยตา...เหมือนกัน...เมื่อยังอยากได้โน่นนี่นั่นอยู่...อะไรล่ะเป็นผู้อยากได้...ก็อัตตาตัวตนงัย..เป็นผู้อยากได้...

.เมื่อยังอยากได้อะไรๆในโลกนี้อยู่..แม้ไม่ได้ไปลักไปขโมยของเขา..แต่มันก็ยังเป็นขั้นหยาบอยู่งัย...เป็นเหตุที่ทำให้ต้องได้มา...เกิดแก่เจ็บตาย..อยู่ต่อไป

การที่อยากได้อันนี้อันนั้นในโลกนี้อยู่ก็คือ...อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นที่มีอยู่ในโลกนั่นเอง
....ไอถึงพิจารณาว่า...ศีลข้อสองระดับสูงสุดนี่...ท่านจะพิจารณาด้วยปัญญาท่านจนเห็นโทษของการไปหาความสุขจากสิ่งที่อยากได้นั้นว่าทำให้เกิด...อัตตา...ขึ้นมา....แล้วปล่อยวางความอยากได้ในสิ่งนั้นที่มีอยู่ในโลกนั้นเสีย...จนถึงขั้นสูงสุด..เป็นระดับที่...ไม่อยากได้ไม่อยากเอาอะไรๆทั้งนั้นในโลกนี้...นี้ล่ะศีลข้อสองระดับสูงสุด...ที่ไอพอจะพิจารณาได้

ซึ่งจะว่าไปแล้วศีลข้อสองกับข้อสามนี่ก็สัมพันธ์กันอยู่นะ....เพราะส่วนมากที่ยังอยากได้อะไรกันอยู่ในโลกนี่..ก็คืออยากได้...ผัวอยากได้เมียนั่นแหละ...น่าจะเยอะสุดมากสุด....

เห็นหรือยังว่า...หลักธรรมต่างๆจะสัมพันธ์กันเชื่อมโยงกัน
การจะเห็นแบบนี้ได้...รักษาศีลได้ละเอียดสุดแบบนี้ได้...ก็ต้องมีปัญญาระดับสูง...
จะมีปัญญาระดับสูงขนาดนี้ได้...ก็จะต้องมี...สมาธิระดับสูง....เช่นกันมาสนับสนุนเกื้อหนุนปัญญานี้..

ไม่งั้นถ้าไม่มี...สมาธิ...มาหนุน...ก็จะได้แค่...สัญญา..เฉยๆ..ตัดกิเลสไม่ได้..ปล่อยวางไม่ได้..ปล่อยวางความอยากได้วัตถุสิ่งของอะไรต่างๆในโลกนี้ไม่ได้...

ธรรมะแต่ละข้อจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน....คุณอย่าแยกธรรมะให้ออกจากกันเหมือนกับเป็นคนละเรื่องแบบที่เคยทำนะ...คุงเมยเอ๊ย....แยกไปว่า..ศีล..ควบคุมแค่กาย..วาจา..อะไรที่คุณเคยพูดบ่อยๆนั่น...ศีลขั้นละเอียดขั้นสูง..ท่านรักษากันถึง...ระดับใจ...เลยจำเอาไว้...ซึ่งการจะรักษาศีลให้ได้ถึงขั้น..ระดับใจนั่น..ต้องได้อาศัย...สติ..สมาธิ...ปัญญา..มาช่วย...ไม่งั้นจะรักษาศีลถึงขั้นละเอียดสุด..ถึงระดับใจ..ไม่ได้หรอก...

ถ้าอยากเข้าใจธรรมะให้ถูกต้องละเอียดลึกซึ้งก็ให้พยายามพิจารณาธรรมะเรื่องต่างๆให้เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันให้ได้เน้อทุกๆท่าน :b39: :b39: :b39:[/quote]



ก็คงเป็นตัวอย่าง การแสดงการวิปัสสนา ที่เข้าใจผิดๆๆ ปฎิบัติมาผิดๆๆ

ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ไม่มีการกำหนดลงในอสุภะ หรือลงในไตรลัษณ์

เพราะวิปัสสนาที่ถูกต้อง ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้
คือ

การเจริญอบรมภาวนา ปัญญา พร้อมทั้งโสภณเจตสิก 19 ดวง
โดยปัญญาจะเจริญขึ้น ตามลำดับขั้นญาน ทั้ง 16 ญาน


ตัวอย่าง เพื่อรู้ในรูปนามขันธ์ห้า ที่เคยหลงไปยึดถือ ด้วยนะคะ

ว่า สุภะ นิจจะ สุขะ อัตตะ ว่างาม เที่ยง เป็นสุข และเป็นของเรา

ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า อสุภะ อนิจจะ ทุกขะ และ อนัตตะ ไม่งาม ไม่เที่ยง ไม่สุข และไม่ใช่ของเราค่ะ

นี่คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ในการวิปัสสนา ตามที่พระพุทธองค์สอนค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:


ทีนี้จะเฉลย...ล่ะนะ
ขั้นละเอียดสุด....ที่ไอพิจารณาได้นี่...(หรือใครที่คิดว่าพิจารณาได้ละเอียดกว่านี้..ก็ให้มา..เพิ่มเติมได้นะ...
ได้ยินเปล่าคุณกบ(แต่อย่าแค่มาบอกว่า...ไม่ได้เรื่อง...แล้วกลับไม่ยกตัวอย่างที่คุณกบคิดว่า...ได้เรื่อง....มาให้กันอ่านบ้างอีกนะ...ถ้าบอกว่าไม่ได้เรื่องแล้วต้องเอาสิ่งที่ได้เรื่องมาพูดให้กันฟังด้วยสิ่...ถึงจะไม่โดนหาว่า...ดีแต่พูดเฉยๆ...หึหึ)

ขั้นละเอียดสุด....ที่ไอพิจารณาได้นี่...ก็คือ.....ท่านที่รักษาศีลข้อสองได้แบบละเอียดสุดนี่....ท่านจะ...ไม่เอาอะไรเลยทั้งนั้นในโลกนี้....นี่แหละที่ไอคิดว่าละเอียดสุดล่ะ.....
ไม่อยากจะได้ไม่อยากจะเอาอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้....เพราะพิจารณาทางปัญญาแล้วเห็นโทษของการอยากได้อยากเอาอะไรต่างๆในโลกใบนี้ได้ชัดเจนแล้ว

ถ้ามีความคิดที่อยากจะได้อันนั้นอันนี้โผล่ขึ้นมาในใจท่านแล้ว...นั่นล่ะท่านถือว่าผิดศีลข้อสองแบบละเอียดสุดของท่านแล้ว ท่านรักษาศีลถึงระดับใจโน่นเลยล่ะ ไม่ให้มีความคิดปรุงแต่งอยากจะได้อันนั้นอันนี้อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้...ท่านจะรักษาใจท่านให้บริสุทธิ์...ไม่ให้มีความคิดที่อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ในโลกนี้เลย

ถ้ายังคิดอยากจะได้โน่นนี่นั่น...ในโลกนี้อยู่...ก็เหมือนกับว่า...ยังอยากจะขโมยอะไรๆในโลกนี้อยู่อีกงัย...ซึ่งส่งผลให้มาเกิดอีกนั่นเอง...ตรงกับหลักธรรมเรื่องอิทัปปัจจยตา(ไม่รู้สะกดถูกเปล่า)เหตุอันหนึ่งไปสะเทือนทำให้เกิดผลอีกอันหนึ่ง...

เหตุคือยังอยากได้โน่นนี่นั่นอยุ่แล้วก็ส่งผลให้มาเกิดอีกนั่นงัยล่ะ

.....หรือภาษาโลกที่เขาพูดกันว่า...เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว...อะไรนั่นอันนี้ก็เข้ากันได้กับกฎเรื่องอิทัปปัจจยตา...เหมือนกัน...เมื่อยังอยากได้โน่นนี่นั่นอยู่...อะไรล่ะเป็นผู้อยากได้...ก็อัตตาตัวตนงัย..เป็นผู้อยากได้...

.เมื่อยังอยากได้อะไรๆในโลกนี้อยู่..แม้ไม่ได้ไปลักไปขโมยของเขา..แต่มันก็ยังเป็นขั้นหยาบอยู่งัย...เป็นเหตุที่ทำให้ต้องได้มา...เกิดแก่เจ็บตาย..อยู่ต่อไป

การที่อยากได้อันนี้อันนั้นในโลกนี้อยู่ก็คือ...อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นที่มีอยู่ในโลกนั่นเอง
....ไอถึงพิจารณาว่า...ศีลข้อสองระดับสูงสุดนี่...ท่านจะพิจารณาด้วยปัญญาท่านจนเห็นโทษของการไปหาความสุขจากสิ่งที่อยากได้นั้นว่าทำให้เกิด...อัตตา...ขึ้นมา....แล้วปล่อยวางความอยากได้ในสิ่งนั้นที่มีอยู่ในโลกนั้นเสีย...จนถึงขั้นสูงสุด..เป็นระดับที่...ไม่อยากได้ไม่อยากเอาอะไรๆทั้งนั้นในโลกนี้...นี้ล่ะศีลข้อสองระดับสูงสุด...ที่ไอพอจะพิจารณาได้

ซึ่งจะว่าไปแล้วศีลข้อสองกับข้อสามนี่ก็สัมพันธ์กันอยู่นะ....เพราะส่วนมากที่ยังอยากได้อะไรกันอยู่ในโลกนี่..ก็คืออยากได้...ผัวอยากได้เมียนั่นแหละ...น่าจะเยอะสุดมากสุด....

เห็นหรือยังว่า...หลักธรรมต่างๆจะสัมพันธ์กันเชื่อมโยงกัน
การจะเห็นแบบนี้ได้...รักษาศีลได้ละเอียดสุดแบบนี้ได้...ก็ต้องมีปัญญาระดับสูง...
จะมีปัญญาระดับสูงขนาดนี้ได้...ก็จะต้องมี...สมาธิระดับสูง....เช่นกันมาสนับสนุนเกื้อหนุนปัญญานี้..

ไม่งั้นถ้าไม่มี...สมาธิ...มาหนุน...ก็จะได้แค่...สัญญา..เฉยๆ..ตัดกิเลสไม่ได้..ปล่อยวางไม่ได้..ปล่อยวางความอยากได้วัตถุสิ่งของอะไรต่างๆในโลกนี้ไม่ได้...

ธรรมะแต่ละข้อจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน....คุณอย่าแยกธรรมะให้ออกจากกันเหมือนกับเป็นคนละเรื่องแบบที่เคยทำนะ...คุงเมยเอ๊ย....แยกไปว่า..ศีล..ควบคุมแค่กาย..วาจา..อะไรที่คุณเคยพูดบ่อยๆนั่น...ศีลขั้นละเอียดขั้นสูง..ท่านรักษากันถึง...ระดับใจ...เลยจำเอาไว้...ซึ่งการจะรักษาศีลให้ได้ถึงขั้น..ระดับใจนั่น..ต้องได้อาศัย...สติ..สมาธิ...ปัญญา..มาช่วย...ไม่งั้นจะรักษาศีลถึงขั้นละเอียดสุด..ถึงระดับใจ..ไม่ได้หรอก...

ถ้าอยากเข้าใจธรรมะให้ถูกต้องละเอียดลึกซึ้งก็ให้พยายามพิจารณาธรรมะเรื่องต่างๆให้เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันให้ได้เน้อทุกๆท่าน :b39: :b39: :b39:


อ้างคำพูด:
ได้ยินเปล่าคุณกบ


ได้ยินแล้ว...อยากบอก..ว่า

หากผันไปเป็นนักเขียนนวนิยาย...อาจเป็นหนังสือขายดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 22:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: :b20: :b20: :b20:
หึหึ....มีหลายท่านมากๆเลยที่ให้ความเมตตา...มาโปรด...ไอ
เพื่อจะให้ไอได้...เห็นแจ้ง...ในธรรมอย่างแท้จริงซะทีนี่

ก็ขอขอบใจทุกท่านแล้วกันเน้อ..ไม่ว่าจะเป็น...คุณกบฯ....คุณเมย...คุณโลกสวย.....คุณเช่นนั้น.....

วันนี้เมื่อยแล้ว...พรุ่งนี้ค่อยจะมา....สนทนาธรรม...กันต่อแล้วกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b32: :b32:

:b1: :b1: :b1:

...น่ารักกันทุกคนเลย...

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 ส.ค. 2018, 22:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 22:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
<ตะวัน>
.....ไอนั้น....ไอนี้...เห็นไอบ่อย.ๆ...ยาน้ำดำแก้ไอ..ช่วยได้นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2018, 14:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
:b20: :b20: :b20: :b20:
หึหึ....มีหลายท่านมากๆเลยที่ให้ความเมตตา...มาโปรด...ไอ
เพื่อจะให้ไอได้...เห็นแจ้ง...ในธรรมอย่างแท้จริงซะทีนี่

ก็ขอขอบใจทุกท่านแล้วกันเน้อ..ไม่ว่าจะเป็น...คุณกบฯ....คุณเมย...คุณโลกสวย.....คุณเช่นนั้น.....

วันนี้เมื่อยแล้ว...พรุ่งนี้ค่อยจะมา....สนทนาธรรม...กันต่อแล้วกันนะ



.....ไอนั้น....ไอนี้...เห็นไอบ่อย.ๆ...ยาน้ำดำแก้ไอ..ช่วยได้นะ


ที่ผมใช้คำว่า...ไอ....นี่มันมีที่มาที่ไปเน้อ..คุณกบ...
ไม่ใช่อยู่ๆผมจะ...กระแดะ...อยากจะเป็นฝรั่งกะเขาหรือ
ใช้สรรพนามว่า...ไอ...ให้มันดูเท่ส์ๆอะไรหรอก

คือถ้าพูดกับผู้ชายด้วยกันนี่...ผมก็ไม่ค่อยใช้คำว่าไอหรอก
แต่ถ้าพูดกับพวก...ผู้หญิง...หรือนักปฏิบัติธรรมหญิง...ผมจะใช้สรรพนามว่า...ไอ...เกือบทุกครั้ง....
ถ้าไม่ใช้ว่า..ไอ..ก็จะใช้คำแทนตัวว่า....เรา.....อะไรไปแบบนั้น...

ถ้าพูดกับนักปฏิบัติธรรมหญิงนี่...จะไม่ใช้สรรพนามว่า...ผม...เลยนะถ้าไม่เผลอลืมสติไปนั่น
คำว่า..ผม..หรือ..ครับ...เมื่อพูดกับผู้ชายด้วยกันก็ไม่เป็นไร....
แต่ถ้าไปใช้พูดกับนักปฏิบัติธรรมหญิงแล้ว
มันจะทำให้เกิด...สมมุติชายหญิง...ปรากฎในจิตขึ้นมา

เมื่อเราไปใช้คำพูดว่า..ผม..หรือ...ครับ...อะไรกับเขา..
อาจทำให้เขาเกิดเคลิ้มอะไรได้ว่ากะลังพูดกับหนุ่มหล่อคารมดีอะไรอยู่ทำนองนั้น....
ผมเลยไม่ใช้คำว่า...ผม...หรือ...ครับ..อะไรกับนักปฏิบัติธรรมผู้หญิงเขา

แต่กับผู้ชายด้วยกันก็ใช้ทั้ง..ไอ..ทั้ง...ผม....นั่นแหละ...
เพราะถึงผมจะพูด..ครับ..พูดผมยังงั้นยังงี้ยังงัย...คุงกบ..ก็คงจะไม่เคลิ้มอะไรไปกะผมด้วยหรอก...
เพราะเป็น...ตัวผู้....เหมือนกัน55555555555

ก็ไม่รู้ว่าผมจะคิดมากไปเปล่าล่ะนะ...แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนแหละดี...
นักปฏิบัติธรรมผู้หญิงที่ผมไปพูดด้วยกับเขาจะได้...ไม่เคลิ้มล่ะนะ....
คือผมก็ดูจากใจผมเองล่ะนะ...ถ้าไปเจอคำว่า...ค่ะ...ว่า..ขา....อะไรนี่...
ก็รู้สึกเคลิ้มๆอยู่...ว่าน่ารักจัง...อะไรแบบนั้น....
ผมก็เลยระวังจุดเรื่องคำพูดที่สามารถจะทำให้เกิดสมมุติหญิงชายขึ้นมาในจิตนี่ล่ะ

ก็เลยใช้คำว่า...ไอ...แทนตัวเอง

และจะไม่พูดคำว่า...ครับ...ว่า...ผม.....
เมื่อพูดกับนักปฏิบัติธรรมผู้หญิงเขา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2018, 15:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b12: :b32: :b32:

:b1: :b1: :b1:

...น่ารักกันทุกคนเลย...

:b1: :b1: :b1:



:b4: :b4: :b4: ยังจำกันได้เปล่านี่...คุงเอกอน...
........เราไม่ได้เข้ามานานเลย......
........ลืมกันหรือยังน๊อ???......
ไปแอบส่องโพสที่คุณเอกอนโพสอยู่หลายโพส
จนรู้ว่าคุณเอกอน...ชอบเล่นแบดฯ....
ทุกวันนี้ยังเล่นแบดมินตัน...อยู่หรือเปล่านี่??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2018, 15:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
คุณตะวันคะ :b8:

ในมุมของ คุณน้ำเมย มองว่า คุณตะวัน กำลัง น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงคะ :b8:

น้ำเยอะมาก เนื้อไม่มี มีแต่สังขารทำงานตามสัญญา..แล้วท่องออกมา

ด้วยการตรอง ปรุง และ อนุมานไปเองด้วยสังขารและสัญญาของตนคะ :b8:
.
.
.
ท่องให้ฟังทำไมคะ..

ถ้าจะอ่านคำท่องของคุณตะวัน สู้ไป ฟัง อ่าน คำสอนของครูบาอาจารย์ที่เป็นอริยสงฆ์ :b8:

ที่ท่านปฎิบัติได้ ปฎิบัติถึงดีกว่า :b8:
.
.
.
ปรุงน้อยๆ..รู้สึกไปใน กายใจในตัวเองให้เยอะๆ :b8:

มองตัวเองให้มากๆ มองคนอื่นให้น้อยๆคะ :b8:

เมื่อใดเราดูตนเอง ขณะนั้นเราจะไม่ดูคนอื่น และขณะใดที่เราดูคนอื่น เราไม่ได้ดูตัวเองคะ :b8:
.
.
.
ทำให้มาก ฟุ้งให้น้อยๆ หรือ พูดให้น้อยๆนะคะ คุณตะวัน..ผลถึงเกิดได้ :b42:



ที่..เรา..เฉลยไปให้คุงเมยฟังไปนั่น...แต่อ่านผลตอบกลับมาแล้ว....
แสดงว่า..ยู..ไม่รู้เรื่องไม่เก็ทอะไรเลยนะนี่....คุงเมยเอ๊ย....
ถ้าคนมีปัญญาจริงแล้ว...เขาจะเห็นจุดสำคัญเห็นสาระสำคัญในสิ่งที่ไอ..เฉลย..ไปนั่น
แต่ถ้าคนที่ปัญญาในทางธรรม...ยังต่ำเหมือนเด็กอนุบาลอยู่...ก็จะไม่รู้เรื่อง...
แล้วบอกว่า....น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง....แบบยูนั่นแหละ

เมื่อเห็นคุงเมยบอกว่า....สิ่งที่ไอเฉลยไป...เป็นน้ำท่วมทุ่ง..ผักบุ้งนิดเดียวแล้วนี่...
ทำให้ไอ...เข้าใจถึงความรู้สึกของพวก..ระดับศาสตราจารย์ที่เขาต้องมาพูดเรื่องระดับสูงๆ
เช่นเรื่องทฤษฎีควอนตัม...ให้เด็กอนุบาลฟังล่ะนะ...
ก็อย่างว่าแหละระดับเด็กอนุบาลแบบคุงเมย
จะไปเข้าใจอะไรที่ละเอียดลึกซึ้งมากๆ...แบบนี้ได้ล่ะ...

แบบคุณเมยนั่นสำหรับตอนนี้..ก็แค่ให้รู้...ความหมายของศีลข้อสอง
...แค่ระดับตื้นๆว่า...
อย่าไปลักขโมยสิ่งของของคนอื่นนะ...ก็คงจะพอแล้ว...สำหรับสติปัญญาของคุงเมยตอนนี้

ส่วนความหมายของศีลข้อสองแบบลึกซึ้งละเอียดๆสุดๆนั่น....ก็คงจะอีกนาน
กว่าคุณเมยจะพิจารณารู้ได้แบบที่..ไอ..บอกยูไป
แต่ถ้ายูรู้ได้ด้วยตัวเองเมื่อไหร่...ยูก็จะนึกถึงเรื่องนี้ได้เองว่า

โอ้โหทำไมถึง....ตรงกับที่..คุณตะวัน...เขาบอกเอาไว้เลยนะนี่
ว่าศีลข้อสองระดับสูงนี่...คือเราจะต้องไม่คิดจะไปเอาไม่คิดจะไปหาความสุขจากวัตถุสิ่งของอะไรทั้งนั้นในโลกนี้
อ้อ...ไม่ใช่แค่วัตถุสิ่งของหรอกนะ....ต้องรวมถึงไม่ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆรวมไปถึง...สัญญา..สังขาร..ความคิดปรุงแต่งสารพัดอะไรด้วย

ไม่ว่าจะเป็น...สัญญาสังขารเกี่ยวกับ...นิยาย...เกม...หนังละคร..อะไรต่างๆพวกนี้...
ต้องไม่ไปเอา..ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นมาเป็นตัวเราของเราให้ได้ทั้งหมด
(คือหมายความว่า..ไม่ไปแสวงหาความสุขจากสัญญาอารมณ์จากหนัง ละคร นิยายเหล่านี้นั่นแหละ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2018, 16:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
เฉลยให้ฟังก็แล้วกัน
ก่อนเฉลยก็เอาที่ตอบแบบหยาบๆยกมาให้ฟังก่อนแล้วกัน


พระท่านว่า คำสอนและธรรมมีความลึกตื้นต่างระดับกันไป..และลึกยิ่งๆขึ้นไปไม่สิ้นสุด ในคำๆเดียว

ในมุมมองของตัวเอง..มองในเรื่องปล่อยวางในมุมนี้ว่า..


เอาเรื่องการมอง...ความลึกในการมอง....ศีลข้อสอง(อทินนาทานาฯ)แล้วกัน
1.ตื้นสุดหรือหยาบสุด....ก็น่าจะ...ยึดมั่นถือมั่น..จนต้านความอยากของตัวเองไม่ได้จนต้องไปขโมยสิ่งที่ตัวเองอยากได้...จากผู้อื่น..จนผิดศีลข้อสอง

2.ลึกขึ้นไปหน่อย....หรือละเอียดเพิ่มขึ้นมา....ก็มีความกลัวบาป...ก็เลยไม่กล้าไปลักของเขา...เพราะกลัวตกนรกอะไรทำนองนั้น

3.ละเอียดขึ้นไปอีก...คือมีความละอาย...ที่จะไปลักของเขา....เห็นว่า...ถ้ามีคนมาลักของๆเรา..เราก็จะเสียใจ...ทำนองเห็นใจเขาเห็นใจเรานั่นแหละ...ไม่อยากให้มีคนมาทำไม่ดีกับตัวเองอย่างไร..ตัวเองก็เลยคิดได้ไม่อยากไปทำให้เขาเสียใจด้วย....นี่น่าจะถือว่าเป็นขั้นที่ละเอียดกว่าสูงกว่าขั้น...กลัวบาป..กลัวตกนรกเพราะไปลักของเขาแหละ

แต่พวกนี้ก็ยังไม่เป็นขั้นลึกสุดล่ะนะ....ไออยากถามยูว่า...ยูคิดว่า...ถ้าคนที่เขามองศีลข้อสอง...แบบลึกสุดนี่....เขาจะ...ปฏิบัติยังงัยกับศีลข้อนี้...คิดยังงัยพิจารณายังงัยกับศีลข้อนี้.....ก็ตอบแบบที่ยูคิดว่าละเอียดสุด...ลึกสุด..ที่ยูพอจะพิจารณาได้แล้วกัน......พอจะตอบได้ไหม?????


บอกใบ้ให้หน่อยแล้วกัน....ระดับ 1-3 ที่ว่านั่น...ที่ไอว่ายังหยาบอยู่ยังไม่ละเอียด...เพราะยังคิดจะมาเอาสิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบตัวเองอยากได้อยู่...เพียงแต่วิธีการต่างกันเท่านั้นเอง...ข้อ1หยาบที่สุดเพราะไปทำเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้แบบผิดวิธีด้วยการไปลักขโมย...
ส่วนข้อ 2-3 ก็ดีขึ้นละเอียดขึ้นเพราะไม่ได้ไปลักไปขโมยสิ่งที่ตัวเองอยากได้...แต่ไปทำงานเก็บเงินซื้อเอาอะไรทำนองนั้น....ก็ละเอียดขึ้นแต่ก็ยังหยาบอยู่

แล้วแบบละเอียดสุดล่ะ....ท่านผู้ที่ทำได้แบบละเอียดสุด....ท่านถือกันยังงัย???...ศีลข้อสองนี่????
ตอบได้ไหม?????
.....ก็ตอบแบบที่ยูคิดว่าละเอียดสุด...ลึกสุด..ที่ยูพอจะพิจารณาได้แล้วกัน......



ทีนี้จะเฉลย...ล่ะนะ
ขั้นละเอียดสุด....ที่ไอพิจารณาได้นี่...(หรือใครที่คิดว่าพิจารณาได้ละเอียดกว่านี้..ก็ให้มา..เพิ่มเติมได้นะ...
ได้ยินเปล่าคุณกบ(แต่อย่าแค่มาบอกว่า...ไม่ได้เรื่อง...แล้วกลับไม่ยกตัวอย่างที่คุณกบคิดว่า...ได้เรื่อง....มาให้กันอ่านบ้างอีกนะ...ถ้าบอกว่าไม่ได้เรื่องแล้วต้องเอาสิ่งที่ได้เรื่องมาพูดให้กันฟังด้วยสิ่...ถึงจะไม่โดนหาว่า...ดีแต่พูดเฉยๆ...หึหึ)

ขั้นละเอียดสุด....ที่ไอพิจารณาได้นี่...ก็คือ.....ท่านที่รักษาศีลข้อสองได้แบบละเอียดสุดนี่....ท่านจะ...ไม่เอาอะไรเลยทั้งนั้นในโลกนี้....นี่แหละที่ไอคิดว่าละเอียดสุดล่ะ.....
ไม่อยากจะได้ไม่อยากจะเอาอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้....เพราะพิจารณาทางปัญญาแล้วเห็นโทษของการอยากได้อยากเอาอะไรต่างๆในโลกใบนี้ได้ชัดเจนแล้ว

ถ้ามีความคิดที่อยากจะได้อันนั้นอันนี้โผล่ขึ้นมาในใจท่านแล้ว...นั่นล่ะท่านถือว่าผิดศีลข้อสองแบบละเอียดสุดของท่านแล้ว ท่านรักษาศีลถึงระดับใจโน่นเลยล่ะ ไม่ให้มีความคิดปรุงแต่งอยากจะได้อันนั้นอันนี้อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้...ท่านจะรักษาใจท่านให้บริสุทธิ์...ไม่ให้มีความคิดที่อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ในโลกนี้เลย

ถ้ายังคิดอยากจะได้โน่นนี่นั่น...ในโลกนี้อยู่...ก็เหมือนกับว่า...ยังอยากจะขโมยอะไรๆในโลกนี้อยู่อีกงัย...ซึ่งส่งผลให้มาเกิดอีกนั่นเอง...ตรงกับหลักธรรมเรื่องอิทัปปัจจยตา(ไม่รู้สะกดถูกเปล่า)เหตุอันหนึ่งไปสะเทือนทำให้เกิดผลอีกอันหนึ่ง...

เหตุคือยังอยากได้โน่นนี่นั่นอยุ่แล้วก็ส่งผลให้มาเกิดอีกนั่นงัยล่ะ

.....หรือภาษาโลกที่เขาพูดกันว่า...เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว...อะไรนั่นอันนี้ก็เข้ากันได้กับกฎเรื่องอิทัปปัจจยตา...เหมือนกัน...เมื่อยังอยากได้โน่นนี่นั่นอยู่...อะไรล่ะเป็นผู้อยากได้...ก็อัตตาตัวตนงัย..เป็นผู้อยากได้...

.เมื่อยังอยากได้อะไรๆในโลกนี้อยู่..แม้ไม่ได้ไปลักไปขโมยของเขา..แต่มันก็ยังเป็นขั้นหยาบอยู่งัย...เป็นเหตุที่ทำให้ต้องได้มา...เกิดแก่เจ็บตาย..อยู่ต่อไป

การที่อยากได้อันนี้อันนั้นในโลกนี้อยู่ก็คือ...อยากจะไปหาความสุขจากสิ่งนั้นที่มีอยู่ในโลกนั่นเอง
....ไอถึงพิจารณาว่า...ศีลข้อสองระดับสูงสุดนี่...ท่านจะพิจารณาด้วยปัญญาท่านจนเห็นโทษของการไปหาความสุขจากสิ่งที่อยากได้นั้นว่าทำให้เกิด...อัตตา...ขึ้นมา....แล้วปล่อยวางความอยากได้ในสิ่งนั้นที่มีอยู่ในโลกนั้นเสีย...จนถึงขั้นสูงสุด..เป็นระดับที่...ไม่อยากได้ไม่อยากเอาอะไรๆทั้งนั้นในโลกนี้...นี้ล่ะศีลข้อสองระดับสูงสุด...ที่ไอพอจะพิจารณาได้

ซึ่งจะว่าไปแล้วศีลข้อสองกับข้อสามนี่ก็สัมพันธ์กันอยู่นะ....เพราะส่วนมากที่ยังอยากได้อะไรกันอยู่ในโลกนี่..ก็คืออยากได้...ผัวอยากได้เมียนั่นแหละ...น่าจะเยอะสุดมากสุด....

เห็นหรือยังว่า...หลักธรรมต่างๆจะสัมพันธ์กันเชื่อมโยงกัน
การจะเห็นแบบนี้ได้...รักษาศีลได้ละเอียดสุดแบบนี้ได้...ก็ต้องมีปัญญาระดับสูง...
จะมีปัญญาระดับสูงขนาดนี้ได้...ก็จะต้องมี...สมาธิระดับสูง....เช่นกันมาสนับสนุนเกื้อหนุนปัญญานี้..

ไม่งั้นถ้าไม่มี...สมาธิ...มาหนุน...ก็จะได้แค่...สัญญา..เฉยๆ..ตัดกิเลสไม่ได้..ปล่อยวางไม่ได้..ปล่อยวางความอยากได้วัตถุสิ่งของอะไรต่างๆในโลกนี้ไม่ได้...

ธรรมะแต่ละข้อจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน....คุณอย่าแยกธรรมะให้ออกจากกันเหมือนกับเป็นคนละเรื่องแบบที่เคยทำนะ...คุงเมยเอ๊ย....แยกไปว่า..ศีล..ควบคุมแค่กาย..วาจา..อะไรที่คุณเคยพูดบ่อยๆนั่น...ศีลขั้นละเอียดขั้นสูง..ท่านรักษากันถึง...ระดับใจ...เลยจำเอาไว้...ซึ่งการจะรักษาศีลให้ได้ถึงขั้น..ระดับใจนั่น..ต้องได้อาศัย...สติ..สมาธิ...ปัญญา..มาช่วย...ไม่งั้นจะรักษาศีลถึงขั้นละเอียดสุด..ถึงระดับใจ..ไม่ได้หรอก...

ถ้าอยากเข้าใจธรรมะให้ถูกต้องละเอียดลึกซึ้งก็ให้พยายามพิจารณาธรรมะเรื่องต่างๆให้เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันให้ได้เน้อทุกๆท่าน :b39: :b39: :b39:




ก็คงเป็นตัวอย่าง การแสดงการวิปัสสนา ที่เข้าใจผิดๆๆ ปฎิบัติมาผิดๆๆ

ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ไม่มีการกำหนดลงในอสุภะ หรือลงในไตรลัษณ์

เพราะวิปัสสนาที่ถูกต้อง ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้
คือ

การเจริญอบรมภาวนา ปัญญา พร้อมทั้งโสภณเจตสิก 19 ดวง
โดยปัญญาจะเจริญขึ้น ตามลำดับขั้นญาน ทั้ง 16 ญาน


ตัวอย่าง เพื่อรู้ในรูปนามขันธ์ห้า ที่เคยหลงไปยึดถือ ด้วยนะคะ

ว่า สุภะ นิจจะ สุขะ อัตตะ ว่างาม เที่ยง เป็นสุข และเป็นของเรา

ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า อสุภะ อนิจจะ ทุกขะ และ อนัตตะ ไม่งาม ไม่เที่ยง ไม่สุข และไม่ใช่ของเราค่ะ

นี่คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ในการวิปัสสนา ตามที่พระพุทธองค์สอนค่ะ

[/quote]



ที่คุณโลกฯ...ว่าการพิจารณาของเราผิดไปนั่น...ทำไมถึงบอกว่าผิดล่ะ???
คุณพิจารณาวิปัสสนา..ไปเพื่อจุดมุ่งหมายอะไรหรือ???...
ถ้าคุณโลกฯ...อ่านข้อความนี้ที่คุณโลกฯโพสเองคุณก็คงจะเข้าใจว่าพิจารณาไปเพื่ออะไร
ลองอ่านดูนะที่คุณโพสไปนี่

ตัวอย่าง เพื่อรู้ในรูปนามขันธ์ห้า ที่เคยหลงไปยึดถือ ด้วยนะคะ
ว่า สุภะ นิจจะ สุขะ อัตตะ ว่างาม เที่ยง เป็นสุข และเป็นของเรา
ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า อสุภะ อนิจจะ ทุกขะ และ อนัตตะ ไม่งาม ไม่เที่ยง ไม่สุข และไม่ใช่ของเราค่ะ

อ่านแล้วคุณโลกฯรู้ัคำตอบยัง...ว่าพิจารณาไปเพื่ออะไร
===>>>>เพื่อปล่อยวาง...ละวาง...สลัดทิ้ง...สิ่งที่ติดข้องอยู่ใช่ไหมล่ะ??
แล้วที่เราบอกว่า...ศีลข้อสองระดับสูงสุดนั่น...คือการไม่เอาอะไรทุกอย่างในโลกนี้...สละทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่เราเคยติดข้องอยู่....แล้วคำเฉลยเรื่องความหมายของศีลข้อสองระดับสูงสุดของเรา...ตรงกับเป้าหมายของการพิจารณาธรรม(วิปัสสนา)หรือเปล่า????
แล้วทำไม..คุณโลกฯถึงว่า....
ก็คงเป็นตัวอย่าง การแสดงการวิปัสสนา ที่เข้าใจผิดๆๆ ปฎิบัติมาผิดๆๆ
ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ไม่มีการกำหนดลงในอสุภะ หรือลงในไตรลัษณ์

ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงตรงไหน...พระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เราสละปล่อยวางวัตถุกามทุกสิ่งทุกอย่างที่เราติดข้องอยู่ไม่ใช่เหรอ???
แล้วไม่มีการกำหนดลงในไตรลักษณ์อย่างไร...ก็อนัตตา...งัยล่ะ...ถ้าไม่เห็นว่าเป็นอนัตตา...จะกล้าสละวัตถุกามทุกสิ่งทุกอย่าง..ไม่ไปเอาอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้ได้แบบที่เราว่าไปเหรอ...ที่เราเฉลยความหมายของศีลข้อสองระดับสูงสุดที่เราพิจารณาได้ไปนั่น...คือไม่เอาอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้...ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง...สามีภรรยา...สัญญาสังขาร..ความคิดปรุงแต่งที่ทำให้เพลินให้หลงรักหลงชังอะไรต่างๆก็ให้...สละทิ้งให้หมด...ปล่อยวางทิ้งให้หมด..อย่าไปยึดมั่นถือมั่นไปยึดเป็นเจ้าของนั่น....

แต่การจะทำแบบนี้ได้พิจารณาให้ละได้แบบนี้...ต้องอาศัยพลังของ...สติ...สมาธิ...ที่แก่กล้ามากๆมาสนับสนุนด้วย...ไม่ใช่จะคิดเอาเองเฉยๆ...ต้องมีข้อปฏิบัติต่างๆมาช่วยเราด้วย....ไม่งั้นพิจารณาไปก็เป็นได้แค่...สัญญา(ความจำได้)เท่านั้น...ไม่เป็น..ปัญญา...ที่จะเอาไปละความติดข้องในวัตถุสิ่งของต่างๆที่เรายังติดข้องได้อยู่หรอก...ถ้ายังละการติดข้องในสิ่งเหล่านี่้ไม่ได้ก็ยังต้องได้มาเกิดแก่เจ็บตายในโลกนี้อยู่ต่อไป...ยังไปนิพพานไม่ได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 44 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร