วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2018, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"คนเถียงพ่อเถียงแม่ จะเอาดีไม่ได้
ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่ไม่ดี
ก็ทำมาหากินไม่ขึ้นแล้ว

ต้องแก้ปัญหาก่อน คือถอนคำพูด
ถอนความคิด ไปขอขมาลาโทษ
กรรมใด ที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
ขอให้คุณพ่อคุณแม่ อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วย

แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่
คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูต่อพ่อแม่''

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม







"ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด
ของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
แล้วได้พบพระพุทธศาสนา
ได้ยิน ได้ฟังแล้ว ก็คือ การปฏิบัติตาม
ถ้าเราไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่มีประโยชน์"

ครูบาเจ้าพรหมมา พรหมจักโก





"คนที่ทำดี แต่ไม่ได้ดี
เพราะเหตุผลหลายอย่าง คือ
ทำดีไม่ถึงดี ทำดีเกินพอดี
ทำดีผิดที่ ทำดีเอาหน้า
นึกว่าทำดี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ดี
ทำดีกับคนไม่ดี"

หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป





ดังที่ทราบกันโดยส่วนมากแล้วว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นพระภิกษุอีกรูปหนึ่งที่มีประสบการณ์สลบไปโลกทิพย์ จึงมีพระภิกษุรูปหนึ่งกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า ตำราบางเล่มเล่าถึงเรื่องอสูรกับเทวดาสู้รบกัน เพื่อแย่งชิงสรวงสวรรค์บ้าง เพื่อแย่งชิงบัลลก์พระที่นั่งทิพยสมบัติบ้าง ทำให้เกิดความสงสัยว่า ทำไมเมืองสวรรค์แท้ๆ ถึงยังรบราฆ่าฟันกัน และเรื่องของยานพาหนะของเทพเจ้าที่ยังใช้ช้างใช้ม้าในการเดินทางว่ายังจะต้องใช้พวกนี้อยู่อีกหรือ?

สำหรับข้อสงสัยที่น่าสนใจนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้กรุณาอธิบายให้กระจ่างแจ้งไว้ว่า

“...การที่เรารู้ว่าอะไรเป็นสวรรค์ของพุทธหรือไม่ใช่ของพุทธนั้น เราต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนว่า พุทธของเรานั้นมีความหมายอย่างไร และของพราหมณ์มีความหมายอย่างไร ถ้าจะว่าตามหลักทางพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้าของเรา ตรัสไว้ว่าสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญ ไม่มีใครสร้างสรรค์ แต่เกิดขึ้นเองด้วยอำนาจผลแห่งความดีที่ทำไว้ ท่านจึงเรียกว่า ..โลกทิพย์.. ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ และใครก็ลักขโมยไม่ได้ อุปมาเหมือนความรู้ของเราที่มีอยู่ในใจ ก็ไม่มีใครสามารถแย่งชิงเอาไปได้ฉันใดเรื่องบุญกุศลก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าหากว่าแย่งเอาไปได้จริงๆ ก็คงไมมีใครอยากทำบุญ เพราะถ้าเราเห็นใครทำบุญมากๆ ถ้าเผลอเมื่อไร ก็มีหวังถูกขโมยเมื่อนั้น แต่แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อสรุปแล้วก็ได้ความว่า ..สวรรค์ของพุทธที่แท้จริง ไม่มีอิจฉาตาร้อนซึ่งกันและกัน.. เมื่อไม่มีการอิจฉา การแย่งชิงดีชิงเด่นก็ไม่มี การเบียดเบียนซึ่งกันและกันก็ไม่มี...

และอีกอย่างหนึ่ง ที่คุณว่าสวรรค์มีช้าง มีม้า มีรถ มีเกวียนเหล่านี้เป็นต้น เป็นยานพาหนะ ส่วนมนุษย์ของเรา มีถึงจรวดและเครื่องบิน เมื่อผมฟังดูก็รู้สึกว่าน่าฟัง ความจริงเรื่องสวรรค์ที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้น ผมเคยเห็นอยู่ ในคัมภีร์พราหมณ์ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก คุณหลวงเสนา ซึ่งเป็นตาของผมท่านเคยเล่าสู่ฟัง ผมจำได้ตั้งแต่สมัยกระโน้นผมยังนับถือศาสนาฮินดูอย่างเคร่งครัดต่อมาพอผมได้ฟังธรรมทางพระพุทธศาสนา และได้เกิดศรัทธาปสาทะขึ้น จึงได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา แต่พอมาค้นคว้าตำราของพุทธศาสนาเข้า ก็เจอเรื่องอสูรกับเทวดาเข้าอีกผมจึงแปลกใจ ไม่รู้เข้ามาปะปนอยู่ในทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อไร

และอีกประการหนึ่งเรื่องเทวดา หรือเทพเจ้าของพุทธ ผมเชื่อว่าไม่ต้องขี่อะไรเป็นพาหนะ เพราะเทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่ได้กายทิพย์ด้วยกันทั้งนั้น กายทิพย์ เป็นกายที่ระเอียด พอนึกได้ว่าจะไปไหนก็ไปถึงเลย ไม่ต้องขี่ยานพาหนะให้ลำบาก เปรียบเหมือความคิดของเราเวลาจะไปไหนมาไหน ไม่เห็นว่าความคิดของเราขี่อะไรเลย และก็ไม่จำเป็นในเรื่องยานพาหนะที่จะให้ความคิดเราขี่ด้วยฉันนั้น ในเมื่อเราจะไปไหนก็ได้ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เรื่องยานพาหนะ สมมุติว่าใครสัปดนสร้างยานพาหนะให้ความคิดของตัวเองขี่ เพื่อไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เข้า คนคนนั้นก็แย่เต็มที่... "
ตอบข้อสงสัยเรื่อง สวรรค์พุทธ - สวรรค์พราหมณ์
โดย พระวิสุทธิญาณเถร(หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) วัดเขาสุกิม





“อุเบกขาจากสมาธิและอุเบกขาจากปัญญา”

ถาม : โยมได้อุเบกขาจากสมาธิ ยังมีความสุขมากๆ เวลาเราวางสิ่งต่างๆ ได้ แม้จะชั่วคราว ทำให้นึกถึงว่า ถ้าวางจากปัญญาได้ถาวร จะสุขขนาดไหน อุเบกขาจากสมาธิจะมีน้ำหนักเท่าอุเบกขาจากปัญญาไหมคะ หรือต่างกันตรงไหนคะ

พระอาจารย์: อ๋อ น้ำหนักเท่ากัน ต่างกันตรงที่มันถาวรหรือไม่ถาวร ถ้ามีปัญญาแล้วมันจะอุเบกขาอย่างถาวรกับเรื่องนั้นๆ เพราะปัญญามันจะตัดเป็นเรื่องๆ ไป ถ้าอุเบกขากับแฟนนี่ ถ้าอุเบกขาด้วยสมาธิมันก็อุเบกขาตอนเข้าสมาธิ พอออกจากสมาธิอุเบกขาหมดไป ก็ไปกังวลไปห่วงแฟนแล้ว แต่ถ้าใช้ปัญญาตัดแฟนได้ พิจารณาว่าแฟนนี้ก็ไม่เที่ยงไม่แน่นอน ไปอยากไปกังวลก็ไม่ได้ไปช่วยอะไรเขาไปเปลี่ยนอะไรเขาได้ ถึงเวลาอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าใช้ปัญญามันก็จะอุเบกขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในสมาธิหรือไม่อยู่ในสมาธิ มันก็ต่างกันตรงนั้น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





"...กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การได้เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นลาภอันประเสริฐสูงสุด ได้เปรียบสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างมากทีเดียว นี่เราก็ได้เป็นมนุษย์แล้วเวลานี้ แล้วนอกจากนั้นยังได้นับถือพระพุทธศาสนาอีกด้วย เมื่อนับถือพระพุทธศาสนาก็ควรจะระลึกรู้ว่าศาสนาท่านสอนอะไรเป็นหลักใหญ่ คือสอนหลักใจเป็นหลักใหญ่แก่ชาวพุทธเรา หลักใจให้มีการให้ทานเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจของชาวพุทธเรา ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านนอกในเมือง อยู่ในป่าในเขา เกิดสถานที่ใด ๆ การให้ทานอย่าปล่อยอย่าวาง ให้มีการเสียสละการให้ทานประจำนิสัยของตนอยู่เสมอ นี่เรียกว่าสร้างเรือนใจขึ้นภายในตัวของเรา ผลของทานนี้แลจะนำเราให้ไปสู่สุคติ..."

พระธรรมคำสอนโดย
พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) จ.อุดรธานี
(พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๕๕๔)





หลวงพ่อก็เลยเคยแอบถามท่านว่า ทำไมจึงต้องภาวนาพุทโธ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธเป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือเราจะเขียน พ-พาน-สระอุ-ท-ทหาร สะกด สระโอ ตัว ธ-ธง อ่านว่า พุทโธ อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้วมันสงบวูบลงไปนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
พอหลังจากนั้นคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา

พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ยังแถมมีปิติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกริยาของจิตมันใกล้กับความจริง แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆ ๆ ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น

ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธ นั่นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนั้นเราก็ต้องท่อง พุทโธๆๆๆ เหมือนกับว่า เราต้องการจะพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขา หรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้ในเมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา

ทีนี้ในทำนองเดียวกัน ในเมื่อเรียก พุทโธๆ ๆ เข้ามาในจิตของเรา เมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้า ควรจะนึกถึงพุทโธอีก พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้ สมาธิของเราจะถอนทันที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบาน จะหายไป เพราะสมาธิถอน

ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า เมื่อเราภาวนาพุทโธไป จิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป จิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียดๆๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น
ถ้าจิตส่งกระแสออกนอกเกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด ตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี้เหมือนกับแก้วโปร่งดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟที่เราจุดไว้ในพลบครอบ แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป
จนกระทั่งว่ากายหายไปแล้ว จึงจะเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียว ร่างกายตัวตนหายหมด

ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง
เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป


เรื่อง "ทำไมหลวงปู่เสาร์จึงสอนภาวนาพุทโธ"
(เล่าโดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 89 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร