วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 81 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานก็ได้ อาศัยทุติยฌานก็ได้ ตติยฌานก็ได้ จตุตถฌานก็ได้ อากาสานัญจายตนะ ก็ได้ วิญญาณัญจายตนะก็ได้ อากิญจัญญายตนะก็ได้ เนวสัญญานาสัญญายตนะก็ได้ (สัญญาเวทยิตนิโรธก็ได้) * (ฌานสูตร ในองฺ.นวก. 23/240/438; ข้อความในวงเล็บ ไม่มีในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐของไทย แต่มีในฉบับอื่นบางฉบับ เช่น ฉบับของพม่า)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฌานสมาบัติทั้งหลาย นอกจากจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพานแล้ว บางครั้งท่านยังเรียกเป็นนิพพานโดยปริยาย คือ โดยอ้อม หรือโดยความหมายบางแง่บางด้านอีกด้วย เช่น
มีพุทธพจน์ตรัสเรียก ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ละอย่างๆ ว่าเป็นตทังคนิพพาน บ้าง ทิฏฐธรรมนิพพาน บ้าง สันทิฏฐิกนิพพาน บ้าง เช่น ข้อความในบาลีว่า

"ภิกษุผู้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌาน แม้เท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกว่า เป็นทิฏฐธรรมนิพพาน โดยปริยาย (โดยอ้อมหรือแง่หนึ่ง); ฯลฯ

"ภิกษุก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ เพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายของเธอก็หมดสิ้นไป แม้เพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกว่า เป็นทิฏฐธรรมนิพพาน โดยนิปริยาย (โดยตรง) " (องฺ.นวก.23/237, 251,255/425,475,476)


ผู้ที่ (กำลังเจริญวิปัสสนา) มองเห็นขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีอันจะต้องผันแปรไปเป็นธรรมดา ละความโศกเศร้าเป็นต้นเสียได้ หมดความร่านรนกระวนกระวาย อยู่เป็นสุข ท่านก็เรียกว่าเป็นผู้ตทังคนิพพาน * (สํ.ข.17/88/54)

มีพุทธพจน์น่าสนใจแห่งหนึ่ง ตรัสว่า คนที่ถูกราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำ ย่อมคิดในทางที่จะทำตนเองให้ลำบากเดือดร้อนบ้าง ทำคนอื่นให้ลำบากเดือดร้อนบ้าง ทำทั้งตนเองและผู้อื่นให้ลำบากเดือด ร้อนทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัสทางใจบ้าง
ครั้นเขาละราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว เขาก็ไม่คิดในทางที่จะทำตนเองหรือทำผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่ายให้ลำบากเดือดร้อน ไม่ต้องเสวยทุกขโทมนัสทางใจ อย่างนี้แหละเป็นสันทิฏฐิกนิพพาน
เมื่อใดบุคคลผู้นี้เสวยภาวะปลอดราคะสิ้นเชิง ภาวะปลอดโทสะสิ้นเชิง ภาวะปลอดโมหะสิ้นเชิง อย่างนี้แล คือ นิพพานที่เป็นสันทิฏฐิกะ อกาลิกะ เอหิปัสสิกะ โอปนยิกะ ปัจจัตตัง เวทิตัพพัง วิญญูหิ (ซึ่งวิญญูชน พึงทราบจำเพาะตน) * (องฺ.ติก.20/495/202)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่เห็นตอนนี้ มีช่องทางเดียวคือการกำจัดกิเลสในจิตในใจให้เบาบางลงๆ จนถึงหมดไป แต่อย่างว่า กิเลสมันก็มีกำลังของมัน เปรียบให้เห็นภาพก็เหมือนคนอันธพาล ใครไปยุ่งไปวุ่นวายกะเขานี่มีสวนกลับ คิกๆๆ ดังตัวอย่างที่นำมาให้ดูบ่อยๆ นั่นแหละกิเลสมันสวนกลับ ถ้าพูดตามภาษาธรรมก็เรียกว่า สภาวะ (สภาวธรรม)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เชื่อก็ดูตัวอย่าง

อ้างคำพูด:
เริ่มสงบจะมีอาการคันคอ

เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพักจะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมา สักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ


นี่แค่นักเลงคุมซอยนะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่เชื่อก็ดูตัวอย่าง

อ้างคำพูด:
เริ่มสงบจะมีอาการคันคอ

เวลานั่งสมาธิกำหนดคำภาวนา พร้อมไปกับลมหายใจ นั่งทำสมาธิไปสักพักจะต้องเริ่มมีอาการคันคอ ทุกครั้ง พยามยามฝืนไม่สนใจ แต่จะคันคอจนต้องไอออกมาทุกครั้ง บางครั้งน้ำลายกระเด็นออกมาเลอะปาก พร้อมน้ำตาไหล พอไอออกมา สักครั้ง สองครั้ง แล้วจะหายไป แล้วไม่คันคออีกเลย อยากรบกวนสอบถามถึงอาการที่เกิด และทำอย่างไรถึงจะไม่ให้เกิดอาการคันคอได้ เพราะตอนนั่งพอจะเริ่มสงบนิ่งจะเป็นทุกครั้ง ทำให้เกิดความรำคาญ


นี่แค่นักเลงคุมซอยนะ :b32:

Kiss
เทียบดูกะอ้างอิงนี้ใครรู้ความจริงที่สุด
:b32:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
deecup เขียน:
ศร้า.. สถาปนิกโหมงานหนัก หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน นอนดับคาโต๊ะเขียนแบบ


เชื่อหรือยังคะ ว่าสัจจธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีจริง เป็นจริง

Kiss
เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาที่คนทั่วโลกก็ทราบไม่ใช่หรือคะใครก็พูดได้
แต่พระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีจริงๆที่กำลังปรากฏตรงปัจจุบันซึ่งไม่มีใครรู้ค่ะ
เพราะเป็นทศพลญาณ1เดียวในจักรวาลที่ทรงตรัสรู้แล้วจึงมาประกาศคำสอน
ให้สาวกฟังเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังมีและกำลังปรากฏว่ามีแล้วก่อนดับไป
ไม่มีคนสัตว์วัตถุตามปรมัตถธรรมซึ่งแยกย่อยละเอียดตามพระอภิธรรมที่เป็นจิเจรุนิ
ประกอบด้วยธัมมะคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ4ประเภทที่จิตรู้ตนต้องรู้ความจริงตรง1สัจจะที่ตนมี
ไม่รู้ความจริงที่กำลังมีตรง1สัจจะที่กำลังเป็นไปแปลว่าความจริงกำลังปรากฏกับอวิชชาของตน
onion onion onion
viewtopic.php?f=1&t=56440

:b32:
ตถาคตตรัสทุกคำเพื่อต้องการให้ทุกคนพึ่งหูตนเองฟังคำจริงและดูความจริงด้วยตาเนื้อตรงตามที่กำลังมีน๊า
https://youtu.be/2yHyI_hD0oQ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 10:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ผมไม่เคยหานิพพานจากจิตนะครับ จิตต้องไปสัมผัสนิพพานซึ่งในสังสาระวัฏจะสัมผัสได้ 4 ครั้ง
ไม่นับรวมผลสมาบัติ นิโรธสมาบัตินะครับ


มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรอก...


เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ นอกจากนิโรธสมาบัติ ใครเห็นนิพพานได้เกินกว่านี้รบกวนบอกผมทีครับ


ขอสิทธิ์พาดพิง นิพพาน คือ การกำจัดกิเลสได้ตามลำดับ จนถึงที่สุดคือ ขีณาสพ (หมดกิเลสแล้ว) ภาวะที่จิตสิ้นอาสวกิเลสแล้วแล้วนั่นแหละนิพพาน ดังนั้น หน้าที่ของเราคือปฏิบัติเพื่อทำให้อาสวะสิ้นไป ตามหลักไตรสิกขาดังว่า

ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ ที่ล่วงออกมาทางกายวาจา

สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณ์ธรรม

ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส


ถ้าจิตยังมีธุลีคือกิเลสครอบงำอยู่ก็มองไม่เห็นนิพพาน อุปมาเหมือนคนจะมองท้องฟ้าสีคราม แต่ตราบเท่าที่ท้องฟ้ายังมีเมฆปกคลุมอยู่ก็มองไม่เห็นท้องฟ้า คงต้องนั่งรอให้ฟ้าเปิดก่อน :b32:

ดังนั้นหน้าที่ของปัญญาชนต้องปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสเป็นปฐมฤกษ์



สติ แยก กุศล อกุศล เจริญ รักษา กุศล ระงับ กำจัด อกุศล
สมาธิ ตั้งมั่นในกุศล จนเข้าถึงอัพยากตาธรรมา
ปัญญา ไตรลักษณ์ อิทิปปัจยตา อริยสัจ 4 ปฏิจสมุปปบาท

เห็นต่างกัน แต่ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูด ถ้าคุณไม่เข้าใจที่ผมพูดก็ข้ามไปครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ผมไม่เคยหานิพพานจากจิตนะครับ จิตต้องไปสัมผัสนิพพานซึ่งในสังสาระวัฏจะสัมผัสได้ 4 ครั้ง
ไม่นับรวมผลสมาบัติ นิโรธสมาบัตินะครับ


มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรอก...


เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ นอกจากนิโรธสมาบัติ ใครเห็นนิพพานได้เกินกว่านี้รบกวนบอกผมทีครับ


ขอสิทธิ์พาดพิง นิพพาน คือ การกำจัดกิเลสได้ตามลำดับ จนถึงที่สุดคือ ขีณาสพ (หมดกิเลสแล้ว) ภาวะที่จิตสิ้นอาสวกิเลสแล้วแล้วนั่นแหละนิพพาน ดังนั้น หน้าที่ของเราคือปฏิบัติเพื่อทำให้อาสวะสิ้นไป ตามหลักไตรสิกขาดังว่า

ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ ที่ล่วงออกมาทางกายวาจา

สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณ์ธรรม

ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส


ถ้าจิตยังมีธุลีคือกิเลสครอบงำอยู่ก็มองไม่เห็นนิพพาน อุปมาเหมือนคนจะมองท้องฟ้าสีคราม แต่ตราบเท่าที่ท้องฟ้ายังมีเมฆปกคลุมอยู่ก็มองไม่เห็นท้องฟ้า คงต้องนั่งรอให้ฟ้าเปิดก่อน :b32:

ดังนั้นหน้าที่ของปัญญาชนต้องปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสเป็นปฐมฤกษ์



สติ แยก กุศล อกุศล เจริญ รักษา กุศล ระงับ กำจัด อกุศล
สมาธิ ตั้งมั่นในกุศล จนเข้าถึงอัพยากตาธรรมา
ปัญญา ไตรลักษณ์ อิทิปปัจยตา อริยสัจ 4 ปฏิจสมุปปบาท

เห็นต่างกัน แต่ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูด ถ้าคุณไม่เข้าใจที่ผมพูดก็ข้ามไปครับ


เล่นแยกกันแบบนั้นแล้วไปนิพพานนะ ก็เอาสะทีเดียวให้ถึงนิพพานไปเลยหมดเรื่อง จบข่าว คิกๆๆ ขำๆขอรับอย่าคิดหลาย ปวดหัวเปล่าๆ เถียงกันเรื่องนามธรรมโดยเฉพาะนิพพานด้วยแล้ว ต่อให้ถกเถียงกันตายกันไปข้างก็ไม่ตรงกัน เขาเถียงกันเรื่องค้างคาวเห็นๆยังเห็นไม่ตรงกันเลย

บ้างก็ว่า นก อีกฝ่ายว่าหนู นกทำไมมีหู แกว่าหนูทำไมมีปีก หนูบ้านพ่องเอ็งรึ คิกๆๆ เกือบมีเรื่อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จะค่อยๆนำหลักฐานในคัมภีร์มาเรียงให้ดู

นำด้วยไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เห็นภาพแล้วว่ามีสมาธิอยู่ด้วย พระพุทธเจ้าก็แนะนำให้เจริญสมาธิด้วย เมื่อฝึกฝนพัฒนาจิตจนเกิดมีสมาธิแล้ว ก็ใช้จิตที่ตั้งมั่นนั้นเป็นฐานของปัญญาอีกต่อหนึ่ง เช่น บาลีว่า "สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ" ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง

:b12:
นี่คิดอะไรไม่ตรงจริง(ปัญญา ก็เห็นภาพแล้วว่ามีสมาธิอยู่ด้วย)ปัญญาเป็นเห็นไม่ได้และไม่ใช่รูปของเห็น
แต่เป็นจิตเห็นรูปของสีที่กำลังปรากฏไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเลยปัญญาไม่เห็นแต่เป็นจิตเห็นคือจักษุวิญญาณ
:b32:
ศีลคือเจตสิก,สมาธิคือเจตสิกเกิดได้ทุกขณะจิตไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล
ปัญญาคือเจตสิกเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นและพร้อมกับมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย
สติเป็นเจตสิกฝ่ายดีที่ไม่เกิดตอนมีอกุศลตอนที่ไม่ระลึกตรงตามคำตถาคตอยู่
สติเจตสิกเกิดโดยไม่มีปัญญาได้ย้ำสติเกิดโดยไม่มีปัญญาได้แต่ถ้าปัญญาเกิดไม่ขาดสติ
สติแปลว่าระลึกตามคำสอนได้ตรงความจริงที่กำลังมีและปัญญารู้และเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ตอนกำลังมีเป็นปัจจุบันขณะเดี๋ยวนี้พอจะคิดออกไหมว่ามจิตกำลังเกิดดับฟังให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรก่อน
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
จิต เจตสิก รูป เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันไม่ใช่หรอครับ


จิตในความหมายพระอภิธรรมที่พระอนุรุธคันถรจนาจารย์แสดงไว่ หมายถึงสภาพของวิญญาณขันธ์ประเภทต่างๆ ที่ปรากฎให้จิตรู้ค่ะ
ไม่ใช่จิตค่ะ
เกิดดับพร้อมกันกะเจตสิก และรูป

แต่สภาพจิตแท้จริง เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่ รู้บ้างไม่รู้บ้าง ติดแล้วรู้ ดับแล้วไม่รู้เรื่องรู้ราว

และพุทธพจน์กล่าวว่า จิต มีดวงเดียวค่ะ ไม่ได้มีพิศดาร ถึง 121ดวง




:b12:
เมน่ะดวงเดียวมีเมคนเดียวหรือคะที่มีจิตคริคริคริเป็น1ประเภทไหนล่ะไม่ซ้ำ
คนในลานทั้งหมดที่เข้ามาชมน่ะเป็นจิตแต่ละ1หลากหลายล้นหลามเลย
ที่เข้ามาอ่านและมีความคิดไปต่างๆกันทุก1ดวงไม่ซ้ำดับหมดแล้วด้วย
ครบทุกประเภทไงคะมีตรงตามคำสอนครบในพระไตรปิฎกทุกคำจ้ะ
:b32: :b32: :b32:


นั่นแน้ คุณยายโรสขา คุณยายไม่ได้เรียนพระอภิธรรมมาด้วย

เรยไม่แตกฉาน

เรยไม่รู้ว่าความหมายจิต 121 ดวง นั้น เค้าเรียกว่า จิต + วิญญานขันธ์ค่ะ
นั่นเป็นสีปรุงแต่งจิต ให้เป็นสีๆ ที่แต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ

หนูแนะนำให้คุณยายหัดเรียนพระอภิธรรมด้วยนะคะ
จะได้ไม่ปล่อยไก่ค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
ผมไม่เคยหานิพพานจากจิตนะครับ จิตต้องไปสัมผัสนิพพานซึ่งในสังสาระวัฏจะสัมผัสได้ 4 ครั้ง
ไม่นับรวมผลสมาบัติ นิโรธสมาบัตินะครับ


จิตที่บริสุทธ์ หาได้จากจิตที่ไม่บริสุทธ์ค่ะ ไม่ใช่ไปหาจากห้องสมุดค่ะ

และจิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนี่ ไม่ต้องไปสัมผัสนิพพาน แบบที่ไปสัมผัสแล้ว ก็หนีวกกลับมา กลับมาทำสมาบัติต่อนะคะ


แต่จิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสนี้ แน่นอนต่อนิพพาน
เป็นสภาพนิพพานแล้วค่ะ
ท่านเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ค่ะ



ใช่ค่ะ จิตที่บริสุทธิ์หาได้จากจิตที่ไม่บริสุทธิ์ค่ะ
แต่จิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตวิมุติ คือเป็นจิตที่มีปัญญาพ้นทุกข์นะคะ เกิดดับเหมือนกันค่ะ
อย่าเอาเรื่องห้องสมุดมาพูดเลยค่ะ อ่านหนังสือมีประโยชน์ค่ะ อ่านหนังสือก็ภาวนาได้
ทรงจำมากก็บรรลุได้ค่ะ บรรลุแล้วก็มีความรู้บอกคุนอื่นได้ถูกต้องไม่สับสนค่ะ
ส่วนนิพพานธาตุ เป็น อัมตะธาตุ อย่าเอามาผสมปนเปกันค่ะ



นั้นแน่ คุณ ลัฟเจ คะ

คุณไม่ได้เรียนพระอภิธรรมมัตสังคห 9 ปริเฉทมาเรย
เรยเข้าใจผิดๆ รู้มาผิดๆ

เรยไม่รู้ว่า

แม้นจิตอกุศล ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิด กุศลโลกุตรจิตได้
ด้วยอำนาจ อารัมมณปัจจัย และ ปกตูปนิสสยปัจจัย ได้

และโลกุตรจิต ที่เห็นนิพพาน ก็มีบุคคลเหล่านี้อีกมากมายเรยหละค่ะ
ที่เห็นได้ทั้งอนุมาน และโดยประจักษ์ค่ะ

แน้และอีกอย่างนะคะ

ได้ข่าวมาว่า จะมาใช้วิชาพาล จะมาพูดยียวน กวนหนูเหรอคะ

ได้เรยค่ะ

จะได้รู้ว่า เก่งแต่ปาก จริงหรือป่าว หรือมือถึงด้วย






โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ผมไม่เคยหานิพพานจากจิตนะครับ จิตต้องไปสัมผัสนิพพานซึ่งในสังสาระวัฏจะสัมผัสได้ 4 ครั้ง
ไม่นับรวมผลสมาบัติ นิโรธสมาบัตินะครับ


มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรอก...


เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ นอกจากนิโรธสมาบัติ ใครเห็นนิพพานได้เกินกว่านี้รบกวนบอกผมทีครับ


ขอสิทธิ์พาดพิง นิพพาน คือ การกำจัดกิเลสได้ตามลำดับ จนถึงที่สุดคือ ขีณาสพ (หมดกิเลสแล้ว) ภาวะที่จิตสิ้นอาสวกิเลสแล้วแล้วนั่นแหละนิพพาน ดังนั้น หน้าที่ของเราคือปฏิบัติเพื่อทำให้อาสวะสิ้นไป ตามหลักไตรสิกขาดังว่า

ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ ที่ล่วงออกมาทางกายวาจา

สมาธิ กำจัดกิเลสอย่างกลาง คือ นิวรณ์ธรรม

ปัญญา กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส


ถ้าจิตยังมีธุลีคือกิเลสครอบงำอยู่ก็มองไม่เห็นนิพพาน อุปมาเหมือนคนจะมองท้องฟ้าสีคราม แต่ตราบเท่าที่ท้องฟ้ายังมีเมฆปกคลุมอยู่ก็มองไม่เห็นท้องฟ้า คงต้องนั่งรอให้ฟ้าเปิดก่อน :b32:

ดังนั้นหน้าที่ของปัญญาชนต้องปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสเป็นปฐมฤกษ์



สติ แยก กุศล อกุศล เจริญ รักษา กุศล ระงับ กำจัด อกุศล
สมาธิ ตั้งมั่นในกุศล จนเข้าถึงอัพยากตาธรรมา
ปัญญา ไตรลักษณ์ อิทิปปัจยตา อริยสัจ 4 ปฏิจสมุปปบาท

เห็นต่างกัน แต่ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูด ถ้าคุณไม่เข้าใจที่ผมพูดก็ข้ามไปครับ


เล่นแยกกันแบบนั้นแล้วไปนิพพานนะ ก็เอาสะทีเดียวให้ถึงนิพพานไปเลยหมดเรื่อง จบข่าว คิกๆๆ ขำๆขอรับอย่าคิดหลาย ปวดหัวเปล่าๆ เถียงกันเรื่องนามธรรมโดยเฉพาะนิพพานด้วยแล้ว ต่อให้ถกเถียงกันตายกันไปข้างก็ไม่ตรงกัน เขาเถียงกันเรื่องค้างคาวเห็นๆยังเห็นไม่ตรงกันเลย

บ้างก็ว่า นก อีกฝ่ายว่าหนู นกทำไมมีหู แกว่าหนูทำไมมีปีก หนูบ้านพ่องเอ็งรึ คิกๆๆ เกือบมีเรื่อง

tongue
ที่แยกไม่ออกเนี่ยไปไม่ได้นิพพานน่ะ
:b32:
แยกไม่ออกเพราะมีความไม่รู้ไงคะ
แปลว่าความจริงกำลังปรากฏแต่ตัวเองมีอวิชชาไงคะ
ปัญญาจะเริ่มเกิดตอนที่เริ่มฟังพระพุทธพจน์แล้วคิดถูกเข้าใจถูกตามทีละน้อย
ต้องพึ่งคิดตามคำจริงของตถาคตทีละคำเพื่อเปิดทางกิเลสที่มันแออัดยัดเยียดไหลมาให้ดูไม่ขาดสายนั้นน่ะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
โลกสวย เขียน:
Love J. เขียน:
จิต เจตสิก รูป เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันไม่ใช่หรอครับ


จิตในความหมายพระอภิธรรมที่พระอนุรุธคันถรจนาจารย์แสดงไว่ หมายถึงสภาพของวิญญาณขันธ์ประเภทต่างๆ ที่ปรากฎให้จิตรู้ค่ะ
ไม่ใช่จิตค่ะ
เกิดดับพร้อมกันกะเจตสิก และรูป

แต่สภาพจิตแท้จริง เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่ รู้บ้างไม่รู้บ้าง ติดแล้วรู้ ดับแล้วไม่รู้เรื่องรู้ราว

และพุทธพจน์กล่าวว่า จิต มีดวงเดียวค่ะ ไม่ได้มีพิศดาร ถึง 121ดวง





ธาตุรู้ก็ธาตุ รู้ จิตก็จิต จิตเกิดเพราะมีราคะ โทสะ โมหะ จิตสิ้นราคะ โทสะ โมหะ ก็ จิตวิมุติ
ตายก็ปริพนิพพาน


ธาตุรู้ มีทั้งสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ ค่ะ



"" ธาตุรู้ มีทั้งสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ ค่ะ ""

.... ครับ ผมจึงเห็นว่าควรแยกกันให้ชัดเจน ระหว่าง อมตะธาตุคือนิพพานธาตุ กับ ธาตุ ที่เกิดดับ ๆ คือจิตราคะ โทสะ ไม่งั้นคำสอนจะขัดกันเอง อย่างเช่น สรุปแล้วจิตเที่ยงหรือไม่เที่ยง

... ส่วนพระอรหันต์ จิตท่านก็เรียกจิตวิมุติหลุดพ้นจากขันธ์ ตอนยังไม่ดับขันธ์ปริพนิพพาน จิตท่านก็ยังมีอยู่ รู้ ขันธ์ ๕ อยู่แต่มีปัญญา มีญานทัศนวิสุทธิ์ หลังจากดับขันธปริพพานจิตท่านก็เข้านิพพาน ไม่เกิด ไม่ปรากฎเป็นจิต อีกต่อไป

ถ้าตามนี้ คำสอนก็จะไม่ขัดกัน จิตเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตน เป็นเพียงความเห็นนะครับ


คงต้องทำความเห็นเสียใหม่ค่ะ จิต+ราคะ จิต+ โทสะ ส่วน+ นั้น เป้นสังขารที่ประกอบจิตค่ะ ที่เกิดดับ ไม่ใช่จิตราคะ จิตโทสะ อย่างที่เรียกกันโดยไม่เข้าใจว่านั่นสังขารประกอบจิตค่ะ

และถ้าทำความเห็นแบบนั้น
ถ้าเป็นเช่นนั้น นิพพาน ก็นับว่าเป็นส่วนอื่นต่างหาก ที่ไม่อาจหาพบได้จากจิตเสียแล้วหละค่ะ

:b32:
นิพพานเที่ยงและนิพพานไม่ใช่จิตค่ะแต่เป็นจิตไปรู้ทุกอย่างที่ปรากฏ
ถ้ารู้ก็ต้องเป็นปัญญารู้ชัดแจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่าจิตกำลังสะสมอะไรอยู่
ไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่าตนสะสมตรงกับจิตประเภทไหนน่านแหละมีกิเลสอวิชชายังปรุงแต่งรสอาหารไหมคะเม
:b32: :b32:
จิต+เจตสิก+รูปพาเกิดทั้ง31ภพภูมิเลยค่ะ
นิพพานเท่านั้นที่ไม่เกิดไม่ดับนะคะ
:b12:
:b4: :b4:




คุณยายโรสขา คุณยาย เรียนแต่ บวก มา จบหลักสูตรแล้วค่ะ มารับปริญญาการบวก จากเมได้

ต่อไป หลักสูตรที่เมเสอนให้ ให้คุณยาย ไปศึกษาต่อนะคะ

เมให้ทุนก็ได้ นะ ถ้าคุณยายต้นทุนไม่พอ

เม แนะนำให้คุณยาย เรียนต่อ เรื่องลบนะคะ


จิต -(ลบ) วิญญานขันธ์ - (ลบ)เจตสิก -(ลบ) รูป น่ะค่ะ
เป็นจิตปริสุทธิ์ ค่ะ

เรียนเรืองลบนะคะ
คุณยายจะเห็นการ- (ลบ) ที่รูป พาไปเกิดภพไหนภูมิไหนก็ไม่ได้ค่ะ

เดี๋ยวจบแล้ว เมจะแจกใบประหานปริญญาให้ค่ะ


cool
งั้นก็อย่าแก่นะอย่าเจ็บนะอย่าตายนะ
ทำเห็นได้ไหมคะคนตาบอดก็มีตา
ลูกกะตาไม่เห็น...แต่เป็นจิตเห็น
เมเห็นน่ะคือเห็นผิดหรือเห็นสี
ความจริงของเห็นคือกำลัง
มองดูทุกสิ่งที่กำลังปรากฏ
ต่อสายตาเดี๋ยวนี้มีสีไหม
หรือจำเป็นชื่อกรัชกายคริคริคริ
กบนอกกะลาลุงหมานเช่นนั้น
หลงจำแต่สมมุติบัญญัติอยู่ไงโมเมโลกสวย
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลาลุงหมานเช่นนั้น
หลงจำแต่สมมุติบัญญัติอยู่ไงโมเมโลกสวย
:b32: :b32: :b32:


:b9: :b9: :b9: หาคนเกาหรา Rosarin

สมมติบัญญัติ เป็นกุศล หรืออกุศล หรืออัพยากตธรรม

สมมติบัญญัติมีสภาวะแท้จริงของมันเองรองรับหรือไม่

อธิบายมาสิ ว่าสิ่งที่ฟังทีละคำสั่งสมเป็นสุเตะสุตะ สุกๆดิบๆ นั่น เข้าใจว่าอย่างไร

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลาลุงหมานเช่นนั้น
หลงจำแต่สมมุติบัญญัติอยู่ไงโมเมโลกสวย
:b32: :b32: :b32:


:b9: :b9: :b9: หาคนเกาหรา Rosarin

สมมติบัญญัติ เป็นกุศล หรืออกุศล หรืออัพยากตธรรม

สมมติบัญญัติมีสภาวะแท้จริงของมันเองรองรับหรือไม่

อธิบายมาสิ ว่าสิ่งที่ฟังทีละคำสั่งสมเป็นสุเตะสุตะ สุกๆดิบๆ นั่น เข้าใจว่าอย่างไร

:b12:
คนไม่รู้ไม่มีใครมาพยายามบอกเหตุผลให้ไต่ตามน๊า
เดี๋ยวนี้ที่กะพริบตาแล้วรู้ไม่เท่าเอาไม่ทันเลยสัก1ทางน่ะ
แปลว่าเป็นผู้มีกิเลสหนาแน่นไม่รู้อะไรเลยและไม่รู้ด้วยว่า
ไม่รู้ว่าสะสมจิตครบ4ชาติแล้วเพราะไม่พึ่งคำตถาคตเพื่อคิดถูกตามไงคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2018, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลาลุงหมานเช่นนั้น
หลงจำแต่สมมุติบัญญัติอยู่ไงโมเมโลกสวย
:b32: :b32: :b32:


:b9: :b9: :b9: หาคนเกาหรา Rosarin

สมมติบัญญัติ เป็นกุศล หรืออกุศล หรืออัพยากตธรรม

สมมติบัญญัติมีสภาวะแท้จริงของมันเองรองรับหรือไม่

อธิบายมาสิ ว่าสิ่งที่ฟังทีละคำสั่งสมเป็นสุเตะสุตะ สุกๆดิบๆ นั่น เข้าใจว่าอย่างไร

:b12:
คนไม่รู้ไม่มีใครมาพยายามบอกเหตุผลให้ไต่ตามน๊า
เดี๋ยวนี้ที่กะพริบตาแล้วรู้ไม่เท่าเอาไม่ทันเลยสัก1ทางน่ะ
แปลว่าเป็นผู้มีกิเลสหนาแน่นไม่รู้อะไรเลยและไม่รู้ด้วยว่า
ไม่รู้ว่าสะสมจิตครบ4ชาติแล้วเพราะไม่พึ่งคำตถาคตเพื่อคิดถูกตามไงคะ
:b32: :b32:

ไหนถ้าแยกรายละเอียดได้คุณเช่นนั้นก็เรียงมาให้ดูหน่อยสิคะ
แบบตถาคตแจกแจงนะทั้ง6ทางคุณเช่นนั้นอะไรเกิดก่อนหลัง
ตถาคตแจกแจงไว้ละเอียดแล้วเมื่อไหร่จะเริ่มฟังเพื่อเข้าใจถูกตาม
:b12:
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 81 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร