วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin
ทนได้ทนไป จะประกาศคำตถาคตทุกวัน จนกว่าจะสึกไปให้หมด
ภิกษุณีไม่มีได้ ก็ไม่ต้องมีภิกษุ
ใครจะกราบลงเห็นผ้าเหลืองเดินหนีค่ะ

viewtopic.php?f=1&t=56314&p=424379#p424379



นี่ชัดเจน :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดูไม่ได้เลยยังมีนิสัยชอบใช้เงินทองอยู่ก็อย่าไปห่มจีวรต้องเลือกถูกแต่แรกอย่ามั่วนิ่ม

ตอนรับเงินนั้นน่ะมันชัดเจนแล้ว ว่ายังชอบใช้เงินไม่เหมาะกับเพศนักบวชแล้ว

มันขาดจากความเป็นพระแล้วตั้งแต่รับเงิน ไม่ละอายแก่ใจเลยหรือคะ


คนถ้าพูดอะไรโดยไม่ศึกษาให้รู้จริงแล้ว ไม่ใช่พูดเพื่อก่อ แต่พูดเพื่อทำลาย เช่นว่า "มันขาดจากความเป็นพระแล้วตั้งแต่รับเงิน" คิกๆๆ ไปเอามาแต่ไหนรับเงินขาดจากความเป็นพระ นี่แหละเพื่อทำลาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดูไม่ได้เลยยังมีนิสัยชอบใช้เงินทองอยู่ ก็อย่าไปห่มจีวรต้องเลือกถูกแต่แรกอย่ามั่วนิ่ม

ตอนรับเงินนั้นน่ะมันชัดเจนแล้ว ว่ายังชอบใช้เงิน ไม่เหมาะกับเพศนักบวชแล้ว


ไม่ให้ใช้เงิน แล้วจะให้ใช้อะไรคุณโรส เงินเขามีไว้ใช้ :b32: ไม่มีเงินทำอะไรไม่ได้เลยติดขัดไม่หมด ดูเอาเถอะ ยุคนี้พระเหาะเองไม่ได้ด้วยจะให้ทำยังไง :b13:

เรื่องนี้เคยพูดกว้างๆไว้ที่

viewtopic.php?f=1&t=56221

อ้างคำพูด:
มองให้กว้าง ก็ไม่รู้นะ แต่จะลองยกตัวอย่าง ให้ดู ค่าใช้จ่ายภายในวัด/สำนัก มีอะไรบ้าง เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเก็บขยะ แต่ละเดือนๆ ค่าก่อสร้างกุฏิวิหาร ค่าบูรณะปฏิสังขรณ์กุฎีวิหารลานเจดีย์ที่คร่ำคร่า แต่ละปีๆ ฯลฯ จะให้วัดแต่ละวัดๆทำอย่างไร ถ้าอย่างนั้นรัฐบาลต้องจัดงบประมาณให้วัดทั่วประเทศ ข่าวว่าทั้งประเทศมีวัดสามหมื่นกว่าวัด สำนักสงฆ์อีก คิกๆๆ

ไม่ให้พระจับเฮินเอง ทางรัฐก็ต้องจัดคนรับใช้พระแต่ละรูปๆ พระจะไปไหนก็ต้องไปส่ง จะไปเรียนหนังสือก็ต้องไปส่ง สมุดดินสอปากกาก็ต้องหาให้ เขาว่าพระทั่วประเทศมีประมาณสามแสนกว่ารูป ก็ต้องจัดคนรับใช้พระสามแสนกว่าคน อิอิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณบรรจบ บรรณรุจิ นำต้นบัญญัติมาให้ดู

๑. บทความตอนที่ ๑ กับตอนที่ ๒ มีคำสำคัญที่น่าทบทวน คือ ชาตะรูปะระชะตะ (บาลี ชาตรูปรชต) ระตะนะ (บาลี รตน) รูปิยะ (บาลี รูปิย) สรุปแล้วก็คือ เงิน ทอง ที่ทำเป็นรูปพรรณมีมูลค่าใช้ในซื้อ/แลกเปลี่ยนสิ่งของ

๒. พระพุทธเจ้าทรงห้ามพระรับหรือให้คนรับแทน โดยใช้คำบาลีว่า ชาตะรูปะระชะตัง อุคฺคัณฺเหยฺยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ซึ่งแปลว่า รับ หรือ ให้คนอื่นรับ ทองและเงิน ซึ่งมีการอธิบายว่า อุคคัณฺเหยยะ ได้แก่ คัณหาติ แปลว่า รับ อุคฺคัณหาเปยยะ ได้แก่ คัณหาเปติ แปลว่า ให้ (คนอื่น) รับ (ดูพระไตรปิฎก มจร. รูปิยสิกขาบท ที่ ๒ ในโกสิยวรรค ข้อ ๕๘๔)
สรุปแล้ว ก็คือ ภิกษุ รับ หรือ ให้คนอื่นรับ ทองและเงิน เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง

๓. คำว่า คัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ที่เคยแปลว่า “รับ / ให้คนอื่นรับ” มาแล้วนั้น มีการนำคำนี้มาใช้อีกในรัตนสิกขาบท (สิกขาบทว่าด้วยรัตนะ) ที่ ๒ ในรตนวรค ข้อ ๕๐๒ แต่ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า รับ / ให้คนอื่นรับ แต่ต้องแปลว่า จับ หรือ หยิบ จึงจะได้ความหมาย อย่างที่จะกล่าวต่อไป

@ พระถูกต้อง / จับ / หยิบ ของมีค่า ?

“ของมีค่า” ในที่นี้ ได้แก่ รัตนะ หรือ ของที่รู้กันว่าทำมาจากรัตนะ ซึ่งได้แก่ ห่อเงิน และ ทองรูปพรรณที่ใช้เป็นเครื่องประดับ ซึ่งมีผู้ลืมไว้ ศึกษาได้จากสิกขาบท หรือ พระพุทธบัญญัติที่ตรัส สิกขาบทนี้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติแก้ไขให้เกิดความเหมาะสมเพิ่มถึง ๓ ครั้ง

๑. ครั้งที่ ๑ ทรงบัญญัติว่า

โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง – ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่ารัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่ารัตนะ คือ ห่อเงิน ซึ่งมีผู้ลืมไว้ ศึกษาได้จากเนื้อเรื่องที่มีเล่าไว้ว่า

.... มีภิกษุรูปหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ที่แม่น้ำอจิรวดี ขณะนั้นพราหมณ์คนหนึ่งวางห่อเงิน ๕๐๐ กหาปณะไว้บนบกแล้วลงอาบน้ำที่แม่น้ำอจิรวดีเช่นกัน อาบเสร็จแล้วก็ไปโดยลืมห่อเงินไว้ ฝ่ายภิกษุรูปนั้น(เห็นห่อนั้นแล้ว)ก็คิดว่า “ขอห่อเงินของพราหมณ์นี้อย่าได้หายเลย” จึงหยิบเอาไปด้วยตั้งใจจะเก็บไว้ให้ ครู่เดียว พราหมณ์นั้นก็กระหืดกระหอบรีบมาหาภิกษุรูปนั้นแล้วถามว่า “เห็นถุงเงินของผมบ้างไหม ?” เมื่อพระตอบว่า “เห็น”

ตามธรรมเนียมปฏิบัติเจ้าของเงินที่ได้ของคืนน่าจะต้องให้ค่าตอบแทนแก่ผู้เก็บไว้ให้ อย่างน้อยต้องให้ร้อยละ ๕ คือ ต้องชักให้ ๕ กหาปณะ จาก ๑๐๐ กหาปณะ (สะตะโต ปัญจะ กะหาปะณา) พราหมณ์นั้นกลัวว่าจะต้องให้ค่าตอบแทนจึงคิดหาอุบายให้ไม่ต้องจ่ายแก่ท่านจึงพูดสับปลับว่า “เงินของผมไม่ใช่ ๕๐๐ กหาปณะ แต่เป็น ๑,๐๐๐ กหาปณะ” แล้วผละจากไปแล้วไปพูดให้เสียหายต่อสาธารณชนว่า “พระหยิบของตัวเองไป” ฝ่ายภิกษุนั้นกลับวัดแล้วเล่าเรื่องให้เพื่อนพระด้วยกันทราบ ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงประชุมสงฆ์สอบสวนท่าน เมื่อท่านรับว่า “หยิบไปจริง” พระพุทธเจ้าทรงตำหนิแล้วบัญญัติสิกขาบทดังกล่าวแล้ว

ข้อสังเกต

๑. ของมีค่านี้เจ้าของลืมไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งไม่ใช่ในพื้นที่ของวัด
๒. การบัญญัติครั้งนี้เป็นการบัญญัติครั้งแรก เรียกตามพระวินัยว่า ปฐมบัญญัติ – บัญญัติครั้งที่ ๑

๒. ครั้งที่ ๒ ทรงบัญญัติว่า

“โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัญญัตระ อัชฌารามา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง – ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่า(ทำมาจาก)รัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่จับ/หยิบในเขตอาราม”

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ คือ เครื่องประดับที่ทำจากรัตนะต่าง ได้แก่ มหาลดาประสาธน์ ราคา เก้าโกฏิกหาปณะ ซึ่งเป็นเครื่องประดับประจำตัวนางวิสาขา ที่สาวใช้ลืมไว้ ศึกษาได้จากเหตุการณ์ที่มีกล่าวไว้ว่า

....คราวหนึ่ง ในเมืองสาวัตถีมีการแสดงมหรสพซึ่งจัดขึ้นในอุทยาน (สวนสาธารณะ) มีผู้คนไปเที่ยวชมกันมาก แต่ละคนต่างแต่งตัวสวยงาม นางวิสาขาก็ตั้งใจไปอุทยานด้วย จึงแต่งตัวสวยงามด้วยเครื่องประดับเต็มอัตรา แต่ระหว่างทางคิดได้ว่าไปอุทยานก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จึงเปลี่ยนใจเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นไปถึงเขตวัดปุพพารามแล้วก็ปลดเครื่องประดับออกแล้วเอาผ้าพาดไหล่ห่อไว้แล้วยื่นให้สาวใช้ถือไว้ นางวิสาขาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมแล้วก็กราบลา ปรากฏว่า สาวใช้ลืมห่อเครื่องประดับไว้ที่วัด พระเห็นแล้วจึงนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งว่า “เตนะหิ ภิกขะเว อุคคะเหตวา นิกขิปถ - ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ให้พวกเธอหยิบมาเก็บไว้” ต่อมา พระองค์ทรงอาศัยเหตุการณ์นั้นรับสั่งประชุมสงฆ์แล้วตรัสเปิดทางว่า

“อะนุชานามิ ภิกขะเว ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม อุคคะเหตวา วา อุคคะหาเปตวา วา นิกขิปิตุง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ’อิติ – ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้(ภิกษุ) หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นหยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ(ที่ตก)ในเขตอารามด้วยมาเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้ที่เป็นเจ้าของจักมารับไป’”

จากนั้น จึงทรงบัญญัติเป็นสิกขาบทว่าไว้ให้พระสาวกได้เรียนรู้อย่างที่กล่าวไว้ข้างบน

โปรดสังเกตว่า
๑. การบัญญัติครั้งที่ ๒ นี้ เป็นการเพิ่มเติมเนื้อหา คือ “ในเขตอาราม” ซึ่งในการบัญญัติครั้งแรกไม่มี
๒. การบัญญัติเพิ่มเติมนี้ เรียกว่า อนุบัญญัติ – การบัญญัติเพิ่ม จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผ่อนคลายหรือยืดหยุ่นขึ้น

แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น ยังมีการบัญญัติเพิ่มอีกเป็นครั้งที่ ๓

๓. ครั้งที่ ๓ ทรงบัญญัติว่า

“โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัญญัตระ อัชฌารามา วา อัชฌาวะสถา วา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง. ระตะนัง วา ปะนะ ภิกขุนา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม วา อัชฌาวะสะเถ วา อุคคะเหตวา วา อุคคะหาหาเปตวา วา นิกขิปิตัพพัง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ ; อะยัง ตัตถะ สามีจิ’
ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่า(ทำมาจาก)รัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่จับ/หยิบในเขตอาราม หรือในที่พัก, อนึ่ง ภิกษุจะจับ/หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นจับ/หยิบซึ่งรัตนะหรือของที่รับรู้ร่วมกันว่าทำมาจากรัตนะในเขตพื้นที่อารามหรือในที่พักแรมมาเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้เป็นเจ้าของจักมารับไป’ นี้เป็นความชอบในเรื่องนั้น”

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ คือ เครื่องประดับที่ทำจากรัตนะต่าง ได้แก่ แหวนสวมนิ้วมือ (อังคุลิมุททิกา) ที่เจ้าของถอดลืมไว้ในที่พัก ศึกษาได้จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

...คราวหนึ่ง ที่หมู่บ้านสำหรับประกอบการของอนาถบิณฑิกเศรษฐีซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นกาสี มีพระมาหลายรูป เศรษฐีเคยสั่งคนใก้ลชิดไว้ว่า “ถ้ามีพระมา ให้ทำอาหารถวาย” ดังนั้นเขาจึงนิมนต์พระให้มาฉันอาหารในวันรุ่งขึ้น รุ่งขึ้นเช้า เมื่อพระมาพร้อม เขาก็จัดการเลี้ยงพระด้วยตนเองโดยถอดแหวนออกวางไว้เพื่อให้คล่องตัว ครั้นเลี้ยงพระแล้วส่งพระกลับแล้ว เขาก็ออกไปทำงานโดยลืมแหวนไว้ในที่พักที่เลี้ยงพระ พระเห็นเขาลืมแหวนกลัวแหวนจะหายจึงยังเฝ้ารออยู่ ณ ที่นั้นจนกระทั่งคนสนิทของเศรษฐีมาเอาแหวนคืนไป ทั้งหมดเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถีแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นใหห้เพื่อนพระด้วยกันฟัง พระพุทธเจ้าทรงทราบความจริงจึงตรัสประชุมสงฆ์แล้วตรัสแนะนำว่า

“อะนุชานามิ ภิกขะเว ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม วา อัชฌาวะสะเถ วา อุคคะเหตวา วา อุคคะหาเปตวา วา นิกขิปิตุง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ’อิติ – ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้ (ภิกษุ) หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นหยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ(ที่ตก)ในเขตอารามหรือในที่พักแรมาเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้ที่เป็นเจ้าของจักมารับไป’”

จากนั้น จึงทรงบัญญัติสิกขาบทดังกล่าวไว้แล้วฃ้างต้น

โปรดสังเกต
๑. การบัญญีติครั้งที่ ๓ เป็นอนุบัญญัติ- การบัญญัติเพิ่ม คือเพิ่ม อัชฌาวะสะเถ - ในที่พักแรม เข้ามา ต่อจากครั้งที่ ๒
๒.จะเห็นว่าทรงแก้ไขเหมือนแก้กฏหมาย แก้หลังมีสถานการณ์ให้ต้องแก้
๓.เป็นการแก้เพื่อให้พระสาวกปฏิบัติตัวได้ง่ายขึ้นเป็นที่พึ่งของสังคมได้ เพราะแสดงความรับผิดชอบต่อมนุษย์ด้วยกัน
สรุป
การจับ/หยิบ ในสิกขาบทนี้ไม่ใช่เพื่อตน แต่เพื่อเก็บไว้คืนเจ้าของ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ทำได้ ไม่เป็นอาบัติ
สาระสำคัญของเหตุการณ์ อยากให้ผู้อ่านศึกษาถึงการบัญญัตติสิกขาบทแบบผ่อนผันของพระพุทธเจ้าในที่หรือโอกาสหรือสถานการณ์ที่ทรงเห็นว่าผ่อนผันแบบให้พระอยู่ในสังคมโลกได้ โดยไม่เสียความเป็นพระ

https://www.facebook.com/bannaruji.home ... 3466386538

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ทนได้ทนไป จะประกาศคำตถาคตทุกวัน จนกว่าจะสึกไปให้หมด
ภิกษุณีไม่มีได้ ก็ไม่ต้องมีภิกษุ
ใครจะกราบลงเห็นผ้าเหลืองเดินหนีค่ะ

viewtopic.php?f=1&t=56314&p=424379#p424379



นี่ชัดเจน :b14:


คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะซึ่งมีแม่สุจินเป็นเจ้าสำนัก คิดย้อนกลับให้ดีๆ อย่าใช้โทสะคิดว่าต้องได้ดังใจ ถ้าไม่ดังใจ พวกฉันแล้วต้องทำลายให้หมด ไหนๆภิกษุณีก็ไม่มีแล้ว สังฆมณฑลทั้งประเทศก็ต้องทำลายไปด้วย เหลือไว้ทำซากอะไร คิดให้ดีกรรมหนักนะจ๊ะ ทำลายศาสนาเลยนะขอรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กดดู

https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/ ... e=5C0DF29E


https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/ ... e=5BCD0AD1


https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/ ... e=5BCC6DE8

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2018, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณบรรจบ บรรณรุจิ นำต้นบัญญัติมาให้ดู

๑. บทความตอนที่ ๑ กับตอนที่ ๒ มีคำสำคัญที่น่าทบทวน คือ ชาตะรูปะระชะตะ (บาลี ชาตรูปรชต) ระตะนะ (บาลี รตน) รูปิยะ (บาลี รูปิย) สรุปแล้วก็คือ เงิน ทอง ที่ทำเป็นรูปพรรณมีมูลค่าใช้ในซื้อ/แลกเปลี่ยนสิ่งของ

๒. พระพุทธเจ้าทรงห้ามพระรับหรือให้คนรับแทน โดยใช้คำบาลีว่า ชาตะรูปะระชะตัง อุคฺคัณฺเหยฺยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ซึ่งแปลว่า รับ หรือ ให้คนอื่นรับ ทองและเงิน ซึ่งมีการอธิบายว่า อุคคัณฺเหยยะ ได้แก่ คัณหาติ แปลว่า รับ อุคฺคัณหาเปยยะ ได้แก่ คัณหาเปติ แปลว่า ให้ (คนอื่น) รับ (ดูพระไตรปิฎก มจร. รูปิยสิกขาบท ที่ ๒ ในโกสิยวรรค ข้อ ๕๘๔)
สรุปแล้ว ก็คือ ภิกษุ รับ หรือ ให้คนอื่นรับ ทองและเงิน เพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง

๓. คำว่า คัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ที่เคยแปลว่า “รับ / ให้คนอื่นรับ” มาแล้วนั้น มีการนำคำนี้มาใช้อีกในรัตนสิกขาบท (สิกขาบทว่าด้วยรัตนะ) ที่ ๒ ในรตนวรค ข้อ ๕๐๒ แต่ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า รับ / ให้คนอื่นรับ แต่ต้องแปลว่า จับ หรือ หยิบ จึงจะได้ความหมาย อย่างที่จะกล่าวต่อไป

@ พระถูกต้อง / จับ / หยิบ ของมีค่า ?

“ของมีค่า” ในที่นี้ ได้แก่ รัตนะ หรือ ของที่รู้กันว่าทำมาจากรัตนะ ซึ่งได้แก่ ห่อเงิน และ ทองรูปพรรณที่ใช้เป็นเครื่องประดับ ซึ่งมีผู้ลืมไว้ ศึกษาได้จากสิกขาบท หรือ พระพุทธบัญญัติที่ตรัส สิกขาบทนี้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติแก้ไขให้เกิดความเหมาะสมเพิ่มถึง ๓ ครั้ง

๑. ครั้งที่ ๑ ทรงบัญญัติว่า

โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง – ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่ารัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่ารัตนะ คือ ห่อเงิน ซึ่งมีผู้ลืมไว้ ศึกษาได้จากเนื้อเรื่องที่มีเล่าไว้ว่า

.... มีภิกษุรูปหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ที่แม่น้ำอจิรวดี ขณะนั้นพราหมณ์คนหนึ่งวางห่อเงิน ๕๐๐ กหาปณะไว้บนบกแล้วลงอาบน้ำที่แม่น้ำอจิรวดีเช่นกัน อาบเสร็จแล้วก็ไปโดยลืมห่อเงินไว้ ฝ่ายภิกษุรูปนั้น(เห็นห่อนั้นแล้ว)ก็คิดว่า “ขอห่อเงินของพราหมณ์นี้อย่าได้หายเลย” จึงหยิบเอาไปด้วยตั้งใจจะเก็บไว้ให้ ครู่เดียว พราหมณ์นั้นก็กระหืดกระหอบรีบมาหาภิกษุรูปนั้นแล้วถามว่า “เห็นถุงเงินของผมบ้างไหม ?” เมื่อพระตอบว่า “เห็น”

ตามธรรมเนียมปฏิบัติเจ้าของเงินที่ได้ของคืนน่าจะต้องให้ค่าตอบแทนแก่ผู้เก็บไว้ให้ อย่างน้อยต้องให้ร้อยละ ๕ คือ ต้องชักให้ ๕ กหาปณะ จาก ๑๐๐ กหาปณะ (สะตะโต ปัญจะ กะหาปะณา) พราหมณ์นั้นกลัวว่าจะต้องให้ค่าตอบแทนจึงคิดหาอุบายให้ไม่ต้องจ่ายแก่ท่านจึงพูดสับปลับว่า “เงินของผมไม่ใช่ ๕๐๐ กหาปณะ แต่เป็น ๑,๐๐๐ กหาปณะ” แล้วผละจากไปแล้วไปพูดให้เสียหายต่อสาธารณชนว่า “พระหยิบของตัวเองไป” ฝ่ายภิกษุนั้นกลับวัดแล้วเล่าเรื่องให้เพื่อนพระด้วยกันทราบ ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงประชุมสงฆ์สอบสวนท่าน เมื่อท่านรับว่า “หยิบไปจริง” พระพุทธเจ้าทรงตำหนิแล้วบัญญัติสิกขาบทดังกล่าวแล้ว

ข้อสังเกต

๑. ของมีค่านี้เจ้าของลืมไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งไม่ใช่ในพื้นที่ของวัด
๒. การบัญญัติครั้งนี้เป็นการบัญญัติครั้งแรก เรียกตามพระวินัยว่า ปฐมบัญญัติ – บัญญัติครั้งที่ ๑

๒. ครั้งที่ ๒ ทรงบัญญัติว่า

“โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัญญัตระ อัชฌารามา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง – ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่า(ทำมาจาก)รัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่จับ/หยิบในเขตอาราม”

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ คือ เครื่องประดับที่ทำจากรัตนะต่าง ได้แก่ มหาลดาประสาธน์ ราคา เก้าโกฏิกหาปณะ ซึ่งเป็นเครื่องประดับประจำตัวนางวิสาขา ที่สาวใช้ลืมไว้ ศึกษาได้จากเหตุการณ์ที่มีกล่าวไว้ว่า

....คราวหนึ่ง ในเมืองสาวัตถีมีการแสดงมหรสพซึ่งจัดขึ้นในอุทยาน (สวนสาธารณะ) มีผู้คนไปเที่ยวชมกันมาก แต่ละคนต่างแต่งตัวสวยงาม นางวิสาขาก็ตั้งใจไปอุทยานด้วย จึงแต่งตัวสวยงามด้วยเครื่องประดับเต็มอัตรา แต่ระหว่างทางคิดได้ว่าไปอุทยานก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จึงเปลี่ยนใจเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นไปถึงเขตวัดปุพพารามแล้วก็ปลดเครื่องประดับออกแล้วเอาผ้าพาดไหล่ห่อไว้แล้วยื่นให้สาวใช้ถือไว้ นางวิสาขาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังธรรมแล้วก็กราบลา ปรากฏว่า สาวใช้ลืมห่อเครื่องประดับไว้ที่วัด พระเห็นแล้วจึงนำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งว่า “เตนะหิ ภิกขะเว อุคคะเหตวา นิกขิปถ - ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ให้พวกเธอหยิบมาเก็บไว้” ต่อมา พระองค์ทรงอาศัยเหตุการณ์นั้นรับสั่งประชุมสงฆ์แล้วตรัสเปิดทางว่า

“อะนุชานามิ ภิกขะเว ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม อุคคะเหตวา วา อุคคะหาเปตวา วา นิกขิปิตุง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ’อิติ – ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้(ภิกษุ) หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นหยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ(ที่ตก)ในเขตอารามด้วยมาเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้ที่เป็นเจ้าของจักมารับไป’”

จากนั้น จึงทรงบัญญัติเป็นสิกขาบทว่าไว้ให้พระสาวกได้เรียนรู้อย่างที่กล่าวไว้ข้างบน

โปรดสังเกตว่า
๑. การบัญญัติครั้งที่ ๒ นี้ เป็นการเพิ่มเติมเนื้อหา คือ “ในเขตอาราม” ซึ่งในการบัญญัติครั้งแรกไม่มี
๒. การบัญญัติเพิ่มเติมนี้ เรียกว่า อนุบัญญัติ – การบัญญัติเพิ่ม จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผ่อนคลายหรือยืดหยุ่นขึ้น

แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น ยังมีการบัญญัติเพิ่มอีกเป็นครั้งที่ ๓

๓. ครั้งที่ ๓ ทรงบัญญัติว่า

“โย ปะนะ ภิกขุ ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัญญัตระ อัชฌารามา วา อัชฌาวะสถา วา อุคคัณเหยยะ วา อุคคัณหาเปยยะ วา ปาจิตติยัง. ระตะนัง วา ปะนะ ภิกขุนา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม วา อัชฌาวะสะเถ วา อุคคะเหตวา วา อุคคะหาหาเปตวา วา นิกขิปิตัพพัง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ ; อะยัง ตัตถะ สามีจิ’
ก็ ภิกษุใด จับ/หยิบ รัตนะหรือของที่รับรู้กันว่า(ทำมาจาก)รัตนะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่จับ/หยิบในเขตอาราม หรือในที่พัก, อนึ่ง ภิกษุจะจับ/หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นจับ/หยิบซึ่งรัตนะหรือของที่รับรู้ร่วมกันว่าทำมาจากรัตนะในเขตพื้นที่อารามหรือในที่พักแรมมาเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้เป็นเจ้าของจักมารับไป’ นี้เป็นความชอบในเรื่องนั้น”

ในตอนนี้ รัตนะหรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ คือ เครื่องประดับที่ทำจากรัตนะต่าง ได้แก่ แหวนสวมนิ้วมือ (อังคุลิมุททิกา) ที่เจ้าของถอดลืมไว้ในที่พัก ศึกษาได้จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

...คราวหนึ่ง ที่หมู่บ้านสำหรับประกอบการของอนาถบิณฑิกเศรษฐีซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นกาสี มีพระมาหลายรูป เศรษฐีเคยสั่งคนใก้ลชิดไว้ว่า “ถ้ามีพระมา ให้ทำอาหารถวาย” ดังนั้นเขาจึงนิมนต์พระให้มาฉันอาหารในวันรุ่งขึ้น รุ่งขึ้นเช้า เมื่อพระมาพร้อม เขาก็จัดการเลี้ยงพระด้วยตนเองโดยถอดแหวนออกวางไว้เพื่อให้คล่องตัว ครั้นเลี้ยงพระแล้วส่งพระกลับแล้ว เขาก็ออกไปทำงานโดยลืมแหวนไว้ในที่พักที่เลี้ยงพระ พระเห็นเขาลืมแหวนกลัวแหวนจะหายจึงยังเฝ้ารออยู่ ณ ที่นั้นจนกระทั่งคนสนิทของเศรษฐีมาเอาแหวนคืนไป ทั้งหมดเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถีแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นใหห้เพื่อนพระด้วยกันฟัง พระพุทธเจ้าทรงทราบความจริงจึงตรัสประชุมสงฆ์แล้วตรัสแนะนำว่า

“อะนุชานามิ ภิกขะเว ระตะนัง วา ระตะนะสัมมะตัง วา อัชฌาราเม วา อัชฌาวะสะเถ วา อุคคะเหตวา วา อุคคะหาเปตวา วา นิกขิปิตุง ‘ยัสสะ ภะวิสสะติ, โส หะริสสะติ’อิติ – ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้ (ภิกษุ) หยิบเอง หรือ ใช้ให้คนอื่นหยิบ รัตนะ หรือของที่รับรู้ว่า(ทำมาจาก)รัตนะ(ที่ตก)ในเขตอารามหรือในที่พักแรมาเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า ‘ผู้ที่เป็นเจ้าของจักมารับไป’”

จากนั้น จึงทรงบัญญัติสิกขาบทดังกล่าวไว้แล้วฃ้างต้น

โปรดสังเกต
๑. การบัญญีติครั้งที่ ๓ เป็นอนุบัญญัติ- การบัญญัติเพิ่ม คือเพิ่ม อัชฌาวะสะเถ - ในที่พักแรม เข้ามา ต่อจากครั้งที่ ๒
๒.จะเห็นว่าทรงแก้ไขเหมือนแก้กฏหมาย แก้หลังมีสถานการณ์ให้ต้องแก้
๓.เป็นการแก้เพื่อให้พระสาวกปฏิบัติตัวได้ง่ายขึ้นเป็นที่พึ่งของสังคมได้ เพราะแสดงความรับผิดชอบต่อมนุษย์ด้วยกัน
สรุป
การจับ/หยิบ ในสิกขาบทนี้ไม่ใช่เพื่อตน แต่เพื่อเก็บไว้คืนเจ้าของ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ทำได้ ไม่เป็นอาบัติ
สาระสำคัญของเหตุการณ์ อยากให้ผู้อ่านศึกษาถึงการบัญญัตติสิกขาบทแบบผ่อนผันของพระพุทธเจ้าในที่หรือโอกาสหรือสถานการณ์ที่ทรงเห็นว่าผ่อนผันแบบให้พระอยู่ในสังคมโลกได้ โดยไม่เสียความเป็นพระ

https://www.facebook.com/bannaruji.home ... 3466386538



คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะซึ่งนำโดยแม่สุจิน เมื่อพูดถึงสิกขาบท ต้องย้อนกลับไปดูที่ต้นบัญญัติ อนุบัญญัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร