วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 23:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 00:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คุณโรส.ครับ...ญาณรู้ยังไม่กระดิก ..อย่าคิดว่ารู้....นะครับ

เดี๋ยวนี้มีครบ
ทั้ง6ทางดับแล้ว
คิดให้ตรงนะคะกบ
คำตถาคตแสดงไว้ว่าเห็นสี
กำลังเห็นไม่ใช่เราเป็นธัมมะ
แต่เป็นเราเห็นผิดเป็นคนสัตว์วัตถุ
เป็นเราเห็นคลาดเคลื่อนเป็นสัณฐานสีไม่ใช่ตัวสีจริงๆ
เดี๋ยวนี้เลยกำลังเห็นผิดคือมิจฉาทิฏฐิและจะเกิดสัมมาได้
ตอนกำลังฟังพระพุทธพจน์เท่านั้นแต่เอดูเหมือนว่าศรัทธาไม่เกิด
เลยหมดโอกาสรู้จักคำตถาคตที่ตรัสเพื่อเป็นสัทบัญญัติตรงคำตรงขณะคริคริคริ
:b12:
:b32: :b32:



Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ฟังคำตถาคต...นั้นดี...ไม่เห็นมีใครแย้งคุณโรส...นี้ครับ

รึใครว่าไม่ดี?

แต่..แนวคิดพื้นฐานในการฟังของคุณโรส ..นั้นผิด

ทำไม..ผมถึงว่าผิด?

เพราะ...ไม่มีวี้แววของญาณรู้...ให้เห็นเลย

ญาณรู้สึกในเรื่องกฏของกรรม...รู้สึกในไตรลักษณ์..รู้สึกถึงความดับไปของทุกๆสิ่ง...รู้สึกถึงภัยของวัฏฏะสงสาร .ฯ

ทำไม..ผมถึงกล้ากล่าวว่า. คุณโรส..ไม่ได้รู้สึกในญาณเหล่านี้...อันเป็นสัญญลักษณ์..ของคนที่กำลังเจริญในมรรค.เลย?

เพราะ....คุณโรสยังวางเฉยต่อสังขาร..คำพูดภายนอกทั้งหลายแหล่...ไม่ได้เลย....

เมื่อญาณรู้ไม่เกิด....ก็แสดงว่า..ทำมาผิด

คุณรสชอบการฟัง...ก็แสดงว่าวิธีการฟังของคุณโรส..มันผิด...

คำตถาคต. ไม่ผิด..
วิธีการฟังของคุณโรส..มันผิดเอง...
ไม่ได้ฟังโดยชอบ....ไม่ได้สะดับโดยชอบ...

:b12:
ญาณไหนคะกบตามปกติลืมตาเห็นเนี่ยทุกคนเห็นเหมือนกันหมดเลยพระอรหันต์ก็เห็นด้วยตาเนื้อปกติไม่ต่าง
ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา=รู้แยกแยะที่กายใจตนเองตามปกติเป็นปกติรู้แจ้งชัดตามเป็นจริงมีครบ4ชาติเลย
แยกแยะออกไหมคะแยกไม่ออกน่ะไม่รู้และไปนิพพานไม่ได้เพราะนิพพานรู้ความจริงทั้ง4ชาติตามปกติ
ถ้าไม่ฟังน่ะแยกไม่ออกหรอกค่ะเพราะความจริงไม่เหาะเหินเดินอากาศแต่เป็นบุญหูที่ได้เกิดมาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:

เข้าใจไหมคะว่ารู้ความจริงตามปกติเป็นปกติที่คิดถูกตามคำสอนได้ตรงความเป็นจริงไม่ใช่แค่ผิวเผินนะคะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56392&start=15


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คุณโรส.ครับ...ญาณรู้ยังไม่กระดิก ..อย่าคิดว่ารู้....นะครับ

เดี๋ยวนี้มีครบ
ทั้ง6ทางดับแล้ว
คิดให้ตรงนะคะกบ
คำตถาคตแสดงไว้ว่าเห็นสี
กำลังเห็นไม่ใช่เราเป็นธัมมะ
แต่เป็นเราเห็นผิดเป็นคนสัตว์วัตถุ
เป็นเราเห็นคลาดเคลื่อนเป็นสัณฐานสีไม่ใช่ตัวสีจริงๆ
เดี๋ยวนี้เลยกำลังเห็นผิดคือมิจฉาทิฏฐิและจะเกิดสัมมาได้
ตอนกำลังฟังพระพุทธพจน์เท่านั้นแต่เอดูเหมือนว่าศรัทธาไม่เกิด
เลยหมดโอกาสรู้จักคำตถาคตที่ตรัสเพื่อเป็นสัทบัญญัติตรงคำตรงขณะคริคริคริ
:b12:
:b32: :b32:



Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ฟังคำตถาคต...นั้นดี...ไม่เห็นมีใครแย้งคุณโรส...นี้ครับ

รึใครว่าไม่ดี?

แต่..แนวคิดพื้นฐานในการฟังของคุณโรส ..นั้นผิด

ทำไม..ผมถึงว่าผิด?

เพราะ...ไม่มีวี้แววของญาณรู้...ให้เห็นเลย

ญาณรู้สึกในเรื่องกฏของกรรม...รู้สึกในไตรลักษณ์..รู้สึกถึงความดับไปของทุกๆสิ่ง...รู้สึกถึงภัยของวัฏฏะสงสาร .ฯ

ทำไม..ผมถึงกล้ากล่าวว่า. คุณโรส..ไม่ได้รู้สึกในญาณเหล่านี้...อันเป็นสัญญลักษณ์..ของคนที่กำลังเจริญในมรรค.เลย?

เพราะ....คุณโรสยังวางเฉยต่อสังขาร..คำพูดภายนอกทั้งหลายแหล่...ไม่ได้เลย....

เมื่อญาณรู้ไม่เกิด....ก็แสดงว่า..ทำมาผิด

คุณรสชอบการฟัง...ก็แสดงว่าวิธีการฟังของคุณโรส..มันผิด...

คำตถาคต. ไม่ผิด..
วิธีการฟังของคุณโรส..มันผิดเอง...
ไม่ได้ฟังโดยชอบ....ไม่ได้สะดับโดยชอบ...

:b12:
ญาณไหนคะกบตามปกติลืมตาเห็นเนี่ยทุกคนเห็นเหมือนกันหมดเลยพระอรหันต์ก็เห็นด้วยตาเนื้อปกติไม่ต่าง
ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา=รู้แยกแยะที่กายใจตนเองตามปกติเป็นปกติรู้แจ้งชัดตามเป็นจริงมีครบ4ชาติเลย
แยกแยะออกไหมคะแยกไม่ออกน่ะไม่รู้และไปนิพพานไม่ได้เพราะนิพพานรู้ความจริงทั้ง4ชาติตามปกติ
ถ้าไม่ฟังน่ะแยกไม่ออกหรอกค่ะเพราะความจริงไม่เหาะเหินเดินอากาศแต่เป็นบุญหูที่ได้เกิดมาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:

เข้าใจไหมคะว่ารู้ความจริงตามปกติเป็นปกติที่คิดถูกตามคำสอนได้ตรงความเป็นจริงไม่ใช่แค่ผิวเผินนะคะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56392&start=15



ก็บอกแล้วว่าต้องหลับตา จึงจะเห็นตัวเอง เห็นธรรมชาติ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เดี๋ยวนี้มีครบ
ทั้ง6ทางดับแล้ว
คิดให้ตรงนะคะกบ
คำตถาคตแสดงไว้ว่าเห็นสี
กำลังเห็นไม่ใช่เราเป็นธัมมะ
แต่เป็นเราเห็นผิดเป็นคนสัตว์วัตถุ
เป็นเราเห็นคลาดเคลื่อนเป็นสัณฐานสีไม่ใช่ตัวสีจริงๆ
เดี๋ยวนี้เลยกำลังเห็นผิดคือมิจฉาทิฏฐิและจะเกิดสัมมาได้
ตอนกำลังฟังพระพุทธพจน์เท่านั้นแต่เอดูเหมือนว่าศรัทธาไม่เกิด
เลยหมดโอกาสรู้จักคำตถาคตที่ตรัสเพื่อเป็นสัทบัญญัติตรงคำตรงขณะคริคริคริ
:b12:
:b32: :b32:


Rosarin เขียน:
:b12:
ญาณไหนคะกบตามปกติลืมตาเห็นเนี่ยทุกคนเห็นเหมือนกันหมดเลยพระอรหันต์ก็เห็นด้วยตาเนื้อปกติไม่ต่าง
ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา=รู้แยกแยะที่กายใจตนเองตามปกติเป็นปกติรู้แจ้งชัดตามเป็นจริงมีครบ4ชาติเลย
แยกแยะออกไหมคะแยกไม่ออกน่ะไม่รู้และไปนิพพานไม่ได้เพราะนิพพานรู้ความจริงทั้ง4ชาติตามปกติ
ถ้าไม่ฟังน่ะแยกไม่ออกหรอกค่ะเพราะความจริงไม่เหาะเหินเดินอากาศแต่เป็นบุญหูที่ได้เกิดมาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
เข้าใจไหมคะว่ารู้ความจริงตามปกติเป็นปกติที่คิดถูกตามคำสอนได้ตรงความเป็นจริงไม่ใช่แค่ผิวเผินนะคะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56392&start=15


ชี้แจงแล้ว..เลยยกมา..
viewtopic.php?f=1&t=56392&start=15
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ฟังคำตถาคต...นั้นดี...ไม่เห็นมีใครแย้งคุณโรส...นี้ครับ

รึใครว่าไม่ดี?

แต่..แนวคิดพื้นฐานในการฟังของคุณโรส ..นั้นผิด

ทำไม..ผมถึงว่าผิด?

เพราะ...ไม่มีวี้แววของญาณรู้...ให้เห็นเลย

ญาณรู้สึกในเรื่องกฏของกรรม...รู้สึกในไตรลักษณ์..รู้สึกถึงความดับไปของทุกๆสิ่ง...รู้สึกถึงภัยของวัฏฏะสงสาร .ฯ

ทำไม..ผมถึงกล้ากล่าวว่า. คุณโรส..ไม่ได้รู้สึกในญาณเหล่านี้...อันเป็นสัญญลักษณ์..ของคนที่กำลังเจริญในมรรค.เลย?

เพราะ....คุณโรสยังวางเฉยต่อสังขาร..คำพูดภายนอกทั้งหลายแหล่...ไม่ได้เลย
..
..

เมื่อญาณรู้ไม่เกิด....ก็แสดงว่า..ทำมาผิด

คุณรสชอบการฟัง...ก็แสดงว่าวิธีการฟังของคุณโรส..มันผิด...

คำตถาคต. ไม่ผิด..
วิธีการฟังของคุณโรส..มันผิดเอง...
ไม่ได้ฟังโดยชอบ....ไม่ได้สะดับโดยชอบ.
..

:b12:
ญาณไหนคะกบตามปกติลืมตาเห็นเนี่ยทุกคนเห็นเหมือนกันหมดเลยพระอรหันต์ก็เห็นด้วยตาเนื้อปกติไม่ต่าง
ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา=รู้แยกแยะที่กายใจตนเองตามปกติเป็นปกติรู้แจ้งชัดตามเป็นจริงมีครบ4ชาติเลย
แยกแยะออกไหมคะแยกไม่ออกน่ะไม่รู้และไปนิพพานไม่ได้เพราะนิพพานรู้ความจริงทั้ง4ชาติตามปกติ
ถ้าไม่ฟังน่ะแยกไม่ออกหรอกค่ะเพราะความจริงไม่เหาะเหินเดินอากาศแต่เป็นบุญหูที่ได้เกิดมาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:


กบนอกกะลา เขียน:
ขนาดพูด..ตรงขนาดนี้..คุณโรส..ยังไม่รู้สึกถึง..ลักษณะของญาณ..เลย

ซึ่งก็..ยิ่งชัดเจน...มาก..ว่า..คุณโรสปฏิบัติผิด...ไม่ได้ฟังโดยชอบ


การปฏิบัติ..อย่าลืมว่า..ต้องปฏิบัติโดยชอบด้วย..
ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่อแล้วก็ยึดไปปฏิบัติ..เพียงคิดว่า..น่าจะถูก..โดยไม่รู้อะไรชอบ...อะไรไม่ชอบ...


กระผมยึดพระพุทธเจ้า...พระองค์บอกชัดเจนว่า...หากปฏิบัติโดยชอบ...จะเกิดความรู้สึกเข้าใจในธรรมเป็นอย่างไร...อันนี้แหละ..เรียกว่า..ญาณรู้เพื่อการละกิเลส

แม้การฟัง...ก็ไม่เว้น..จะฟังทีละคำหรือทีละสองคำ..เห็นทีละสีหรือเห็นทีละวรรณะ...ถ้าฟังโดยชอบ..เห็นโดยชอบแล้ว....ผลก็เหมือนกัน..คือ..เกิดญาณรู้ลดละกิเลส..ไปตามลำดับ

กระผมใช้ผล..ที่พระพุทธองค์ตรัสสอนใว้..ใช้ในการตรวจสอบตน..ใว้โจทย์โทษตน..ว่า..ปฏิบัติโดยชอบหรือไม่ชอบ

คุณโรสใช้อะไร...ในการตรวจสอบโจทย์โทษตน..ว่า..ปฏิบัติโดย...ชอบหรือไม่ชอบ..บ้าง?


:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คุณโรส.ครับ...ญาณรู้ยังไม่กระดิก ..อย่าคิดว่ารู้....นะครับ

เดี๋ยวนี้มีครบ
ทั้ง6ทางดับแล้ว
คิดให้ตรงนะคะกบ
คำตถาคตแสดงไว้ว่าเห็นสี
กำลังเห็นไม่ใช่เราเป็นธัมมะ
แต่เป็นเราเห็นผิดเป็นคนสัตว์วัตถุ
เป็นเราเห็นคลาดเคลื่อนเป็นสัณฐานสีไม่ใช่ตัวสีจริงๆ
เดี๋ยวนี้เลยกำลังเห็นผิดคือมิจฉาทิฏฐิและจะเกิดสัมมาได้
ตอนกำลังฟังพระพุทธพจน์เท่านั้นแต่เอดูเหมือนว่าศรัทธาไม่เกิด
เลยหมดโอกาสรู้จักคำตถาคตที่ตรัสเพื่อเป็นสัทบัญญัติตรงคำตรงขณะคริคริคริ
:b12:
:b32: :b32:



Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ฟังคำตถาคต...นั้นดี...ไม่เห็นมีใครแย้งคุณโรส...นี้ครับ

รึใครว่าไม่ดี?

แต่..แนวคิดพื้นฐานในการฟังของคุณโรส ..นั้นผิด

ทำไม..ผมถึงว่าผิด?

เพราะ...ไม่มีวี้แววของญาณรู้...ให้เห็นเลย

ญาณรู้สึกในเรื่องกฏของกรรม...รู้สึกในไตรลักษณ์..รู้สึกถึงความดับไปของทุกๆสิ่ง...รู้สึกถึงภัยของวัฏฏะสงสาร .ฯ

ทำไม..ผมถึงกล้ากล่าวว่า. คุณโรส..ไม่ได้รู้สึกในญาณเหล่านี้...อันเป็นสัญญลักษณ์..ของคนที่กำลังเจริญในมรรค.เลย?

เพราะ....คุณโรสยังวางเฉยต่อสังขาร..คำพูดภายนอกทั้งหลายแหล่...ไม่ได้เลย....

เมื่อญาณรู้ไม่เกิด....ก็แสดงว่า..ทำมาผิด

คุณรสชอบการฟัง...ก็แสดงว่าวิธีการฟังของคุณโรส..มันผิด...

คำตถาคต. ไม่ผิด..
วิธีการฟังของคุณโรส..มันผิดเอง...
ไม่ได้ฟังโดยชอบ....ไม่ได้สะดับโดยชอบ...

:b12:
ญาณไหนคะกบตามปกติลืมตาเห็นเนี่ยทุกคนเห็นเหมือนกันหมดเลยพระอรหันต์ก็เห็นด้วยตาเนื้อปกติไม่ต่าง
ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา=รู้แยกแยะที่กายใจตนเองตามปกติเป็นปกติรู้แจ้งชัดตามเป็นจริงมีครบ4ชาติเลย
แยกแยะออกไหมคะแยกไม่ออกน่ะไม่รู้และไปนิพพานไม่ได้เพราะนิพพานรู้ความจริงทั้ง4ชาติตามปกติ
ถ้าไม่ฟังน่ะแยกไม่ออกหรอกค่ะเพราะความจริงไม่เหาะเหินเดินอากาศแต่เป็นบุญหูที่ได้เกิดมาฟังน๊า
:b32: :b32: :b32:

เข้าใจไหมคะว่ารู้ความจริงตามปกติเป็นปกติที่คิดถูกตามคำสอนได้ตรงความเป็นจริงไม่ใช่แค่ผิวเผินนะคะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56392&start=15



ก็บอกแล้วว่าต้องหลับตา จึงจะเห็นตัวเอง เห็นธรรมชาติ :b1:

Kiss
:b32:
ตาไม่บอดแล้วยังไปหลับตาจะรู้ความจริงได้อย่างไรคะ
ตถาคตตรัสรู้ความจริงบำเพ็ญบารมีรวม20อสงไขยกับแสนมหากัปป์
ฟังพระพุทธพจน์จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้ามาเกือบถึง6แสนพระองค์
ในอสงไขยที่16ชาติที่เป็นสุเมธดาบสจะบรรลุอรหันต์ได้แต่พุทธภูมิกั้น
และได้รับพยากรณ์จะได้เป็นพระพุทธเจ้าอีก4อสงไขยกับแสนมหากัปป์
เมื่อตรัสรู้แล้วทรงเพียรแสดงพระธรรมเทศนาตามปกติเป็นปกติให้ฟังค่ะ
ทั้งมนุษย์และเทพพรหมเทวดาโดยพระปฐมเทศนาท่านโกญทัญญะบรรลุโสดาบันพร้อมกับ
มีพรหมบรรลุธรรมเป็นโกฏิๆเลยเข้าใจไหมคะบรรลุด้วยปัญญาถึงระดับนั้นจากสะสมฟังมาก่อน
ถ้าไม่สะสมการฟังจะมีปัญญาเพิ่มเป็นไปไม่ได้ค่ะเพราะปัญญาตามคำสอนเริ่มที่ฟังแล้วพากันไปทำอะไรคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
การรักษาอารมณ์ใจ อย่าให้ไหลขึ้น - ไหลลง ก็ต้องมองธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง
ไม่มีหนทางอื่นที่จักแก้ไขอารมณ์อย่างนี้ได้ มีแต่ตัวปัญญามองตามความเป็นจริงเท่านั้นก็จักแก้ไขได้
อย่าใจร้อน - อย่าวู่วาม ให้ถามตนเองว่าร้อนทำไม - หวั่นไหวทำไม
ทำใจให้เกิดปัญญาก็ต้องเอาความจริงขึ้นมาหักล้างกิเลส
โลกนี้ทั้งโลกมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น อย่าไปฝืนโลก - อย่าไปฝืนธรรม
แล้วจิตใจก็จักดีขึ้นตามลำดับ



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2018, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
อย่ากังวลใจกับการทำงาน ให้สร้างความสบายใจในการทำงาน งานออกมาจักได้ดี
การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ให้ทำไปเรื่อย ๆ แล้วพิจารณาตามความเป็นจริง
การทำงานทำโดยไม่ต้องหยุดพักย่อมไม่ได้

การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ถ้าทำโดยไม่หยุดเลย ก็จักเครียดมากจนเกินไป
เพราะฉะนั้น จงรู้จักการผ่อนสั้น - ผ่อนยาว จิตจักได้เป็นสุข


แล้วบารมีของคนก็ไม่เท่ากัน มาเปรียบเทียบเข้าจักลำบากใจมาก
จงดูแบบอย่างได้ ตามได้ แต่อย่าเครียด
และจงอย่าตั้งความหวังไว้ว่าจักได้อย่างท่าน
จิตคิดอย่างนั้นก็เป็นกามตัณหา ให้ทำตามไปโดยไม่ตั้งใจอยาก
แต่รักษากำลังใจ ทำไปได้แค่ไหนพอใจแค่นั้น
จิตจักได้เป็นสุข ไม่ดิ้นรนทะยานอยากจนเกินไป



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2018, 07:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยรู้สึกแบบนี้ไหมคะ.. :b8:

ยิ่งปฎิบัติธรรม ยิ่งทุกข์ :b8:

ยิ่งแก้ไขตามหลักธรรมคำสอน ยิ่งทุกข์ไปเรื่อยๆ :b8:
.
.
.
มีคำครูบาอาจาร์ย ท่านกล่าวไว้ว่า...ยิ่งทุกข์ยิ่งเห็นธรรม :b8:

การที่เราปฎิบัติธรรม ยิ่งปฎิบัติ ยิ่งทุกข์

นั่นแปลว่า เราปฎิบัติแล้วเห็นทุกข์สัจจ์ได้ตลอดเวลา

เมื่อทำ ธรรมวิจยะ...แก้ไขแจกแจงทุกข์สัจจ์ จนเจอสมุทัย

และเดินตามคำสอนในการแก้ไขทุกข์สัจจ์ ที่เรียกว่ามรรค

เมื่อเราเพียรเพียงพอ ผลเกิด เราก็ได้พบเจอ นิโรจ ของทุกข์สัจจ์

ที่เราเจอในขณะนั้น...

และเมื่อปลดทุกข์สัจจ์ตัวนี้ได้

ปัญญาญาน จะทำให้เราไปเห็นทุกข์ที่ละเอียดกว่า

มันจึงทำให้เรายิ่งปฎิบัติยิ่งทุกข์
.
.
.
.
เมื่อใดปฎิบัติเจอความสงบของจิต...ให้ตีไว่ก่อน ว่าเดินผิดทางคะ

เพราะในขณะที่เราพบความสงบ มันทำให้เราไม่เห็นกิเลสในตนเอง

เมื่อเราไม่เห็นกิเลสในตนเอง...เราก็ไม่เห็นถึงโทษของกิเลส

ถ้าเห็นโทษของกิเลส เราก็ปรารถนาที่จะเดินออกจากกิเลส

(มันจะเป็นไปตามลำดับของวิปัสสนาญานเก้าและวิปัสสนาญานสิบหกได้เอง)
.
.
.
อีกมุมหนึ่งนะคะ :b8:

เคยมองมุมนี้ไหมคะ...การเจอความสงบ และการอยู่ในความสงบ

เป็นการยึดอารมณ์ :b8:

ความสงบเป็นเพียงอารมณ์ อารมณ์หนึ่งเท่านั้นที่เรายึดไว้

เพื่อเบี่ยงเบนจิต ไม่ให้จิตเจอการกระทบและระคาย ทำให้จิตไม่ทุกข์ :b8:
.
.
.
ความสงบจากการยึดอารมณ์ ไม่ใช่ ความสุขที่แท้จริง :b8:

ความสุขที่แท้จริงเกิดได้จากการปล่อยวาง

ปล่อยวางได้มันจึงสงบ

เมื่อสงบจากกิเลส สงบจากตัณหา สงบจากอุปาทานและสงบจากอารมณ์

ความสุขจึงเกิดขึ้นได้ :b53:
.
.
.
เอาอีกมุมมองหนึ่งมาให้ลองพิจารณาคะ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย สายน้ำเมย เมื่อ 22 ส.ค. 2018, 07:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2018, 07:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยนะครับ..ที่ว่า

..ยิ่งปฏิบัติธรรม..ยิ่งทุกข์..
..ยิ่งทุกข์..ยิ่งเห็นธรรม...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2018, 19:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
การปรารถนาไม่สมหวังเป็นของธรรมดา
อย่าไปถือสาระเหล่านี้ขึ้นมาให้เป็นทุกข์

(สัทธรรม ๕ หรือสัจธรรม ๕ มีความโดยย่อว่า
เกิดมาแล้ว ก็ต้องป่วย ต้องแก่ ต้องตาย เป็นธรรมดา
ระหว่างมีชีวิตอยู่ก็ต้องพบกับความปรารถนาไม่สมหวัง
และต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา)


เมื่อได้ข่าวว่าใครตาย ก็จงปล่อยวางพฤติการณ์เดิมเขาเสีย
กรรมใครย่อมเป็นกรรมมัน อย่าไปยึดถือเอากรรมของใครมาไว้ในใจ
ทุกอย่างจบสิ้นไป ไม่ควรจักกล่าวถึงอีก
แล้วจงอย่าไปตามรู้เลยว่าตายแล้วเขาไปไหน


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2018, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
เมื่อรู้ว่าร่างกายไม่ค่อยดี จงอย่าประมาทในชีวิต
จงหมั่นรักษาจิตอย่าให้ข้องติดอยู่ในโลกทั้งปวง
เพราะโลกย่อมได้ชื่อว่ามีอันฉิบหายไปในที่สุด
จงพยายามวางโลกเสียด้วยปัญญา พิจารณาตามความเป็นจริง
ให้เอาอาการป่วยไข้ไม่สบาย มาเป็นกำลังใจวัดผลของการปฏิบัติ
ดูความเกาะติดหรือปล่อยวางรูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณได้แค่ไหน
การยอมรับนับถือกฎของกรรมจักต้องไม่มีอาการดิ้นรนหรือเดือดร้อนไปกับอาการป่วยไข้ไม่สบาย
ให้เอาประโยชน์ให้ได้จากการป่วยไข้ไม่สบาย




:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2018, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
เมื่อรู้ว่าร่างกายไม่ค่อยดี จงอย่าประมาทในชีวิต
จงหมั่นรักษาจิตอย่าให้ข้องติดอยู่ในโลกทั้งปวง
เพราะโลกย่อมได้ชื่อว่ามีอันฉิบหายไปในที่สุด
จงพยายามวางโลกเสียด้วยปัญญา พิจารณาตามความเป็นจริง
ให้เอาอาการป่วยไข้ไม่สบาย มาเป็นกำลังใจวัดผลของการปฏิบัติ
ดูความเกาะติดหรือปล่อยวางรูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณได้แค่ไหน
การยอมรับนับถือกฎของกรรมจักต้องไม่มีอาการดิ้นรนหรือเดือดร้อนไปกับอาการป่วยไข้ไม่สบาย
ให้เอาประโยชน์ให้ได้จากการป่วยไข้ไม่สบาย




:b8: :b8: :b8:

:b12:
เวลากบป่วยทำไง
1ปล่อยให้หายเอง
2ซื้อยามากิน
3ไปหาหมอ
4ปล่อยวาง
คริคริคริ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2018, 10:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยมองมุมนี้บ้างไหมคะ :b8:


เมื่อโลกมีสองด้าน ทั้งด้านสว่างและด้านมืด สวรรค์และพรหมก็มีเช่นกัน :b8:

ถ้าเรามองตามความเป็นจริงจะเห็นว่า..
.
.
.
สวรรค์ เต็มไปด้วยกามคุณห้า เต็มไปด้วยความหลงเพลิน(นันทิ) เต็มไปด้วยราคะ(ความติดใจ)

เต็มไปด้วยความอยาก(ตัณหา) เต็มไปด้วยสังโยชน์สิบ..

และท้ายสุด สรรค์ก็อนิจจัง ซึ่งมันไม่พ้นไปได้ :b8:


พรหมก็ไม่ต่างกัน :b8:

พรหม เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างหนาแน่น :b8:

ยึดมั่นอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เพื่อกดกิเลสตัณหาอุปาทานของตัวเองไว้ :b8:

ให้ กิเลส ตัณหา อุปาทานของตัวเองสงบ

มันทำให้สังโยชน์ที่อยู่ในจิต ไม่ได้สำรอกออก ตลอดเวลาที่อยู่ที่พรหม

และท้ายสุด ก็ไม่พ้นคำว่า อนิจจัง เช่นกัน :b8:
.
.
มาเสนอ มุมมองอีกด้านตามความเป็นจริงของสวรรค์และพรหม ให้พิจารณาคะ... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2018, 11:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
คำพระสอน...

อ้างคำพูด:
เมื่อรู้ว่าร่างกายไม่ค่อยดี จงอย่าประมาทในชีวิต
จงหมั่นรักษาจิตอย่าให้ข้องติดอยู่ในโลกทั้งปวง
เพราะโลกย่อมได้ชื่อว่ามีอันฉิบหายไปในที่สุด
จงพยายามวางโลกเสียด้วยปัญญา พิจารณาตามความเป็นจริง
ให้เอาอาการป่วยไข้ไม่สบาย มาเป็นกำลังใจวัดผลของการปฏิบัติ
ดูความเกาะติดหรือปล่อยวางรูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณได้แค่ไหน
การยอมรับนับถือกฎของกรรมจักต้องไม่มีอาการดิ้นรนหรือเดือดร้อนไปกับอาการป่วยไข้ไม่สบาย
ให้เอาประโยชน์ให้ได้จากการป่วยไข้ไม่สบาย




:b8: :b8: :b8:

:b12:
เวลากบป่วยทำไง
1ปล่อยให้หายเอง
2ซื้อยามากิน
3ไปหาหมอ
4ปล่อยวาง
คริคริคริ
:b32: :b32:


ยังไม่ป่วยหนักขนาดต้องไปหาหมอ.หาโรงพยาบาล..ครับ....

ไม่ซื้อยามากินเอง..หลายปีแล้ว..ป่วยเล็กๆน้อยๆ..ผมมีวิธีจัดการ...ไม่ได้วางเฉย..เมินเฉย.นิ่งดูดาย.อะไร....

ส่วนภาวนา...ผมก็ใช้อาการจะป่วยมาสอนใจ...ว่าเราตายแน่.ๆ...ก่อนตายก็ป่วยไข้ไม่สบายอย่างนี้แหละ...มันป่วยนี้มันใกล้ตายแล้ว...

แล้วคุณโรส...ทำอย่างไรละครับ?

เวลาป่วยทำไง

1ปล่อยให้หายเอง
2ซื้อยามากิน
3ไปหาหมอ
4ปล่อยวาง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2018, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ สบน้ำเมย เขียน

อ้างคำพูด:
เมื่อใดปฎิบัติเจอความสงบของจิต...ให้ตีไว่ก่อน ว่าเดินผิดทางคะ

เพราะในขณะที่เราพบความสงบ มันทำให้เราไม่เห็นกิเลสในตนเอง

เมื่อเราไม่เห็นกิเลสในตนเอง...เราก็ไม่เห็นถึงโทษของกิเลส

ถ้าเห็นโทษของกิเลส เราก็ปรารถนาที่จะเดินออกจากกิเลส

(มันจะเป็นไปตามลำดับของวิปัสสนาญานเก้าและวิปัสสนาญานสิบหกได้เอง)


ใช่ค่ะ คุณพูดถูก เราเป็นคนหนึ่ง ที่ปฏิบัติเจอความสงบของจิต !!
แล้วลำพองตัวเอง
ทำให้ไม่ระวังโทษของกิเลส !!เหมือนกบ อยู่ในกะลา !!
แต่.....ตอนนี้ เราได้เพื่อนๆ ที่เป็นกัลญามิตร ช่วยเปิดกะลา
ให้เราเห็น ความเป็นจริง !!
( ขอโทษนะคะ ที่เข้ามาแทรก นิดนึง )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2018, 16:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณ สบน้ำเมย เขียน

อ้างคำพูด:
เมื่อใดปฎิบัติเจอความสงบของจิต...ให้ตีไว่ก่อน ว่าเดินผิดทางคะ

เพราะในขณะที่เราพบความสงบ มันทำให้เราไม่เห็นกิเลสในตนเอง

เมื่อเราไม่เห็นกิเลสในตนเอง...เราก็ไม่เห็นถึงโทษของกิเลส

ถ้าเห็นโทษของกิเลส เราก็ปรารถนาที่จะเดินออกจากกิเลส

(มันจะเป็นไปตามลำดับของวิปัสสนาญานเก้าและวิปัสสนาญานสิบหกได้เอง)


ใช่ค่ะ คุณพูดถูก เราเป็นคนหนึ่ง ที่ปฏิบัติเจอความสงบของจิต !!
แล้วลำพองตัวเอง
ทำให้ไม่ระวังโทษของกิเลส !!เหมือนกบ อยู่ในกะลา !!
แต่.....ตอนนี้ เราได้เพื่อนๆ ที่เป็นกัลญามิตร ช่วยเปิดกะลา
ให้เราเห็น ความเป็นจริง !!
( ขอโทษนะคะ ที่เข้ามาแทรก นิดนึง )



:b8: :b8: :b8: ยินดีคะ :b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 56 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร