วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 06:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2018, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180721_183848.jpg
20180721_183848.jpg [ 142.19 KiB | เปิดดู 3106 ครั้ง ]
จำให้ได้วันละนิดวันละหน่อยก็มากเอง
สมเด็จพระมหามุนี ทรงแสดงวัฏฏะ อันหาเบื้องต้นมิได้ซึ่งเป็นไปในภูมิทั้ง ๓
มีการเกี่ยวพันกันอย่างไม่ขาดสาย ที่มีการเวียนว่ายตายเกิด ติดต่อกันไม่ขาดสาย
เมื่อว่าโดยธรรมาธิษฐานแล้ว ก็ล้วนเป็นอาการเกิดขึ้นของปฏิจจสมุปบาททั้งสิ้น
กล่าวคือ เมื่อมีอวิชชาแล้วก็เป็นเหตุใหีเกิดสังขาร ๓ เกิดขึ้นโดยเฉพาะเท่านั้น
หาใช่ตัวตน คน สัตว์ ชาย หญิง เป็นต้นเกิดขึ้นไม่ และเมื่อมีชาติแล้ว
ก็เป็นเหตุให้เกิด ชรามรณะ ตามมา ด้วย โสกะ, ปริเทวะ, ทุกขะ, โทมนัสสะ, อุปายาสะเกิดขึ้น
เหล่านี้หาใช่ ตัวตน สัตว์บุคคลไม่
ความเป็นดังนี้นี้ เรียกว่า "วัฏฏสังสาร" เพราะมีความผูกพันกันอยู่อย่างไม่ขาดสายประการหนึ่ง
และย่อมเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ อย่างหนึ่ง และหาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้อย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระจอมมุนีตรัสว่า เป็น "ปฏิจจสมุปบาท"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-1974.jpg
Image-1974.jpg [ 66.55 KiB | เปิดดู 3094 ครั้ง ]
ความเป็นไปของรูปนามขันธ์ ๕ ที่หมุนเวียนอยู่ในสังสาวัฏฏ์นี้ เพราะมี
อวิชชา เป็นตัวสำคัญชื่อว่า "วัฏฏศีรษะ" ซึ่งมีสำคัญดุจศีรษะของคนเรา
พระพุทธองค์ จึงทรงยกขึ้นตั้งเป็นเหตุต้น ๆ เมื่อพิจารณาในปฏิจจสมุปบาทธรรมแล้ว
อวิชชา และ ตัณหา ทั้ง ๒ นี้ เป็นเหตุสำคัญยิ่งในการสร้าง สังขาร ทั้งหลาย
มีปุญญาภิสังขาร เป็นต้นให้สำเร็จลงได้ เพราะอาศัยความยินดีในอารมณ์ คือตัณหาเป็นเหตุ
และตัณหาที่ยินดีพอใจในอารมณ์ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย อวิชชา
ปกปิดไว้ไม่ให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ถ้าไม่มีอวิชชา
เป็นผู้ปกปิดความจริงไว้ ตัณหาก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อตัณหาเกิดขึ้นไม่ได้
สังขาร คือการทำบุญทำบาปต่างๆ ก็จะไม่สำเร็จลง ฉะนั้น อวิชชา และตัณหา
ทั้ง ๒ นี้ มีอวิชชาเป็นตัวนำ ทำให้ทำให้ตัณหาเกิดขึ้นมาได้ อวิชชา จึงเป็นตัวการสำคัญ
มากกว่าตัณหา พระพุทธองค์ จึงทรงยก อวิชชา ขึ้นตั้งต้นเป็นตัวสำคัญ
ในลำดับแรก แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า อวิชชานั้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นก่อนธรรมอื่นๆ
ในการหมุนเวียนของปฏิจจสมุปบาท

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2018, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180722_110727.jpg
20180722_110727.jpg [ 595.68 KiB | เปิดดู 3088 ครั้ง ]
ผู้ถูกอวิชชาครอบงำ ย่อมสร้างสังขาร ๓ มีปุญญาภิสังขาร เป็นต้น
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง เหมือนผู้กระโดดลงเหว โดยอาศัยความอยากได้เทพธิดา หรือแมลงเม่าบินเข้ากองไฟด้วยความยินดีในแสงไฟ หรือผู้เลียคมมีด โดยอาศัยความยินดีในรส หรือเหมือนทารกที่หลงเล่นคูถของตน หรือเหมือนผู้ดื่มยาพิษด้วยความเสียใจโดยอาศัยความอยากตาย หรือผู้หลงเข้าไปในนครปีศาจ ฉะนั้น พึงทราบว่า อวิชชา เป็นปัจจัยของสังขาร เพราะเมื่อมีอวิชชาโอกาสที่สังขาร ๓ จะต้องเกิดขึ้นได้แน่นอน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-3305.jpg
Image-3305.jpg [ 82.17 KiB | เปิดดู 3076 ครั้ง ]
แค่ปัจจุบันก็ยังหนักหนาสาหัส
ยังจะไปนั่งเฝ้าอดีต คอยห่วงแต่อนาคต

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2018, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180725_081254.jpg
20180725_081254.jpg [ 295.16 KiB | เปิดดู 3024 ครั้ง ]
มูล ๒
มูลเป็นต้นเหตุ หรือเป็นที่ตั้งของวัฏฏะทุกข์ทั้งปวง
อวิชชามูล
ตัณหามูล

ปฏิจจสมุปบาท เมื่อแบ่งออกเป็นภวจักรแล้วมี ๒ คือ

ตั้งแต่อดีตเหตุ เป็นต้น จนถึง ปัจจุบันผล เป็นภวจักรอันหนึ่ง
ชื่อว่า ปุพพันตภวจักร เป็นภวจักรแรก
ตั้งแต่ปัจจุบันเหตุ เป็นต้น จนถึง อนาคต เป็นภวจักรอันหนึ่ง
ชื่อว่า อปรันตภวจักร เป็นภวจักรหลัง

ในปุพพันตภวจักร มีองค์ปฏิจจสมุปบาท ๗ องค์ คือ อวิชชา, สังขาร,
วิญญาณ, นามรูป, สฬายตนะ, ผัสสะ, เวทนา, ในองค์ทั้ง ๗ เหล่านี้
อวิชชา เป็นต้นเหตุหรือเป็นที่ตั้งถึงเวทนา

ในอปรันตภวจักร มีองค์ปฏิจจสมุปบาท ๕ องค์ คือ ตัณหา, อุปาทาน,
กัมมภวะ, ชาติ ชรามรณะ ในองค์ทั้ง ๕ เหล่านี้ ตัณหาเป็นต้นเหตุ หรือเป็นที่ตั้ง
นำให้ถึงชรา มรณะ

ในปุพพันตภวจักร ที่มีองค์ ๗ นั้น มุ่งหมายเอาแต่เฉพาะองค์ที่ปรากฏออกหน้า
แต่ในขณะที่องค์ ๗ หมุนเวียนอยู่นั้น ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ ชาติ ชรามรณะ
อีก ๕ องค์เหล่านี้ก็หมุนตามไปด้วย

ในอปรันตภวจักร ที่มีองค์ ๕ นั้น มุ่งหมายเอาแต่เฉพาะองค์ที่ปรากฏออกหน้าเช่นเดียวกัน
แต่ในขณะที่องค์ ๕ หมุนเวียนอยู่นั้น อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา องค์ทั้ง ๗
เหล่านี้ก็หมุนตามไปด้วย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180725_143251.jpg
20180725_143251.jpg [ 305.67 KiB | เปิดดู 3019 ครั้ง ]
........

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2018, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180727_110447.jpg
20180727_110447.jpg [ 322.07 KiB | เปิดดู 2966 ครั้ง ]
ภวจักร-วงล้อแห่งภพ
"อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา" อวิชชานี้ตรัสไว้ในเบืีองต้นแห่งภวจักรนั้น
เป็นไปได้ คือ เพราะโสกะเป็นต้นนั้นเอง
อวิชชามีได้เพราะโสกะเป็นต้นนั้นอย่างไร? ภวจักรมีเบื้องต้นไม่ปรากฏนั้นอย่างไร?
ปราศจากบุคคลผู้สร้างและผู้เสวยผลอย่างไร? ว่างเปล่าโดยสุญญตา ๑๒ ประการอย่างไร?

มีวิสัชนาว่า "โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส" ย่อมมีแก่บุคคลผู้หลง เพราะเหตุนี้จึงตรัสว่า
เมื่อมีธรรม มีโสกะเป็นต้นเหล่านั้น เป็นไปแล้วอวิชชาก็เป็นอันอยู่เอง

อีกประการหนึ่ง ตรัสว่า "ความเกิดขึ้นแห่งอวิชชา ย่อมมีตวามเกิดขึ้นแห่งอาสวะ" ดังนี้
ก็ธรรมทั้งหลายมีโสกะเป็นต้น ก็ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งอาสวะ คือ กามาสวะ เป็นต้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




saturn__spinningA.gif
saturn__spinningA.gif [ 67.81 KiB | เปิดดู 2964 ครั้ง ]
ภวจักรมีเบื้องต้นไม่ปรากฏ
เพราะความที่ เมื่อปัจจัยมี ธรรมที่เกิดขึ้นแต่ปัจจัยก็ต้องมีดังนี้
ครั้นอวิชชามีขึ้นแล้ว ความจบสิ้นก็ไม่มี เพราะความสืบต่อกันแห่งเหตุและผล
คือ สังขารมีขึ้นเพราะปัจจัยคืออวิชชา วิญญาณก็มีขึ้นเพราะปัจจัยคือสังขารอีกเป็นต้น
เหตุนั้น ภวจักรมีองค์ ๑๒ อันหมุนไปด้วยอำนาจ ความสัมพันธ์แห่งเหตุและผลนั้น
จึงเป็นอันสำเร็จ คือได้ว่า มีเบื้องต้นไม่ปรากฏ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2018, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-8283.jpg
Image-8283.jpg [ 70.79 KiB | เปิดดู 2956 ครั้ง ]
jupiter-planet-animation-10.gif
jupiter-planet-animation-10.gif [ 141.37 KiB | เปิดดู 2956 ครั้ง ]
ปฏิจจสมุปาท ๑๒ แบ่งเป็นภวจักร ๒
๑. อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
๒. ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ ชาติ ชรามรณะ

เมื่อปุพพันตภวจักร มี อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็นภวจักรแรก หมุนไป
ก็จะมี อปรันตภวจักร มี ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ ชาติ ชรามรณะ เป็นภวะจักรหลังหมุนตามไปด้วย

และเมื่อภวะจักรหลังเป็นผู้หมุนไป ภวะจักรแรกก็จะหมุนตามไปด้วย จะสัมพันธ์กันไปดังนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2018, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




animated_train.gif
animated_train.gif [ 164.56 KiB | เปิดดู 2942 ครั้ง ]
giphy (5).gif
giphy (5).gif [ 3.22 MiB | เปิดดู 2921 ครั้ง ]
ปฏิจจสมุปาท ๑๒ แบ่งเป็นภวจักร ๒
ภวจักร แปลว่า หมุนเวียนไปในภพต่างๆ ซึ่งมีความหมายอันเดียวกันกับปฏิจจสมุปาทธรรมนั้นเอง จำแนกออกเป็น ๒ ภวจักร คือ

๑. อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็นภวจักรตัวแรก คือ นับตั้งแต่อดีตเหตุ จนถึงปัจจุบันผล เมื่อนับตามองค์ปฏิจจสมุปาทธรรมแล้วมี ๗ ตามที่ข้างต้นตามลำดับ เป็นปุพพันตภวจักร
๒. ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ ชาติ ชรามรณะ เป็นอปรันตภวจักรตัวหลัง คือ นับตั้งแต่ปัจจุบันเหตุ ไปจนถึงอนาคตผล เมื่อว่าโดยปฏิจจสมุปบาทธรรมแล้ว มีองค์ ๕

เมื่อปุพพันตภวจักร มี อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็นภวจักรแรก หมุนไป
ก็จะมี อปรันตภวจักร มี ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ ชาติ ชรามรณะ เป็นภวะจักรหลังหมุนตามไปด้วย

ปุพพันตภวจักร จะมุ่งหมายเอาตัวที่ปรากฏออกหน้า มี อวิชชา ถึง เวทนา และในขณะที่ภวจักรแรกหมุนเวียนไปอยู่ ตัณหา อุปาทาน จนถึง ชรามรณะที่ภวจักรหลังเป็นผู้หมุนไปด้วย หมายความว่า

สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในปัจจุบันภพนี้ ย่อมเกิดได้เพราะอวิชชาเป็นผู้นำ และมีสังขารเป็นผู้จัดแจงที่ในภพก่อนๆ

ฉะนั้นอวิชชาจึงเรียกว่า ปุพพันตมูล เมื่อมีอวิชชาเป็นผู้นำมีสังขารเป็นผู้จัดแจงแล้วภพต่อไปก็ต้องมี ตัณหา อุปาทาย กัมมภวะ เกิดขึ้นด้วยเพราะอวิชชาปกปิดไม่ให้เห็นโทษ และเห็นธรรมที่เป็นความจริง จึงทำให้เกิดความยินดีในการเห็นผิด ความยึดมั่นถือมั่นขึ้น และในการกระทำสิ่งต่างๆ ด้วย กาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ตามความประสงค์ของตัณหา อุปาทาน ให้สำเร็จลง โดยมีสังขารเป็นผู้จัดแจงให้กระทำ

สำหรับร่างกายของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในปัจจุบันภพนี้ ได้แก่วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ซึ่งอยู่ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ร่างกายของสัตว์นี้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ คือจากเด็ก เป็นหนุ่มเป็นสาว และเสื่อมถอยลงไปตามลำดับ จนถึงกาลมรณะลงในชาตินั้น

เมื่อวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนาเริ่มเกิดในภพใหม่ ชาติ ก็สงเคราะห์เข้าในกาลนั้นแล้ว จึงกล่าวได้ว่าเมื่อ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นาทรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา องค์ทั้ง ๗ เหล่านี้หมุนอยู่ในปุพพันตภวจักร ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ ชาติ ชรามรณะ องค์ ๕ นี้ก็ย่อมหมุนตามไปด้วย

ส่วนอปรันตภวจักร มุงหมายเอาแต่เฉพาะองค์ที่ปรากฏออกหน้า เช่นเดียวกัน แต่ในชณะที่องค์ ๕ หมุนเวียนอยู่นั้น อวิชชา สังขารืวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ทั้ง ๗ ก็หมุนตามไปด้วย หมายความว่า สัตว์ทั้งหลายที่จะไปเกิดในภพหน้านั้น ย่อมเกิดด้วยอำนาจแห่ง ตัณหาเป็นผู้นำ และมี อุปาทาน กัมมภวะ เป็นผู้ช่วย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2018, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180730_165129.jpg
20180730_165129.jpg [ 124.85 KiB | เปิดดู 2920 ครั้ง ]
ฉะนั้น ตัณหา จึงเรียกว่า "อปรันตมูล" และสัตว์ทั้งหลายที่ปรากฏในโลกนี้
เว้นแต่พระอรหันต์แล้ว นอกนั้นย่อมมีการกระทำต่างๆ ด้วย กาย วาจา ใจ
ที่เป็นไปตามความพอใจ ความยึดมั่น ความเห็นผิด ที่มีอยู่ประจำอยู่ในตน
อันเรียกว่า ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ และเพราะความพอใจ ยึดมั่นถือมั่น
และความเห็นผิดต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะผู้นั่น มองไม่เห็นโทษ หรือไม่เห็น
สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า อวิชชา เป็นผู้ปิดบังไว้ และมีสังขารคือ
ปุพพเจตนา เป็นผู้กระตุ้นให้ทำการต่าง ให้สำเร็จตามความประสงค์
ฉะนั้น ตัณหา อุปาทาน กัมมภวะ ที่เป็นตัวการสำคัญในอปรันตภวจักร
จึงมี อวิชชา สังขารหมุนตามไปด้วย

สำหรับ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ที่หมุนตามชาติ ชรามรณะ
ไปด้วยนั้น คือสัตว์ทั้งหลายที่มีการกระทำต่างๆ ด้วยกาย วาจา ใจ เป็นกุศลบ้าง
อกุศลบ้าง ตามอำนาจของตัณหา อุปาทาน อยู่เป็นประจำนั้น เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ความแก่ ความตาย ก็ต้องปรากฏขึ้นตามลำดับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เรียกว่า
ชาติ ชรามรณะนี้ ก็ได้แก่วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา นั้นเอง
ที่เป็นผู้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-2797.jpg
Image-2797.jpg [ 96.99 KiB | เปิดดู 2857 ครั้ง ]
การเจริญมรรค ๘ ก็ต้องกำหนดที่ ศีล ได้แก่ วีรตี ๓ มีการล่วงออกมา ทางกาย กับ ทางวาจา มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สำรวมระวังด้วยกายวาจา ก็ต้องมีสติ มีความพยายาม ทำให้ต่อเนื่อง ก็จะเกิด สัมมาสติ สัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ ตามมา เมื่อสติหลุดไปบ้างก็ควรยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ที่กายวาจา เพื่อพิจารณามิให้ล่วงไปในสิ่งที่ชั่ว และเมื่อพิจารณาเห็นถึงความเป็นจริงในสิ่งนั้น ก็จะได้ สัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฏฐิ เมื่อใดถ้าหากมันรวมกันเป็นมรรคสมังคีย์ย่อมจะได้เลื่อนฐานะเป็นพระอริยะบุคคลทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาเลื่อนฐานะให้หรือติดยศให้เลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




giphy (2).gif
giphy (2).gif [ 448.56 KiB | เปิดดู 2911 ครั้ง ]
...........

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-4577.jpg
Image-4577.jpg [ 108.94 KiB | เปิดดู 2857 ครั้ง ]
......

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180802_163256.jpg
20180802_163256.jpg [ 103.69 KiB | เปิดดู 2857 ครั้ง ]
.........

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 92 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร