วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 09:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2018, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
สัญญาจำผิดเห็นแล้วเป็นคนสัตว์วัตถุทันทีทำให้จิตวิปลาสจำคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามคำสอน
เพราะจักขุวิญญาณคือตาเห็นสีได้เพียง1สีดับทันทีคิดนึกเป็นคนสัตว์วัตถุสำรวมตายังไงเห็นผิดแล้ว
onion onion onion


เมื่อจำอะไรมาผิดหรือเข้าใจผิด ก็อย่าไปโทษสัญญา หน้าที่ของสัญญาน่ะเขาทำหน้าที่จำ เขาจำได้ทั้งผิดและถูก ไม่ได้วิปลาสคลาดเคลื่อนแต่อย่างใด เขาจะตรงต่อหน้าที่ เพียงแต่ที่มันคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้นมันไม่ใช่เพราะสัญญา เป็นเพราะสังขารที่เป็นทิฏฐิปรุงแต่งให้ให้สัญญาจำสิ่งที่ผิดไป ดังนั้นอย่าไปโทษสัญญาจำผิด เพราะสังขารให้ข้อมูลมาผิด สัญญาก็จำสิ่งที่ข้อมูลป้อนมาผิด ถ้าสังขารปรุงส่งข้อมูลถูกเขาก็จำถูก นอกจากสัญญาถูกครอบงำด้วยโมหะอันนี้ก็อาจทำให้สัญญาอาจบกพร่องต่อหน้าหลงๆ ลืมๆ ได้

สัญญาเจตสิกเกิดดับพร้อมจิตทุกขณะ
ถ้าไม่รู้ว่าตนเองมีความเห็นผิดจะรู้ตัวตอนไหนคะ
เดี๋ยวนี้เลยค่ะที่กำลังลืมตาดูอยู่นี้ไม่ได้เห็นเพียงสี1สีเลยค่ะ
ตถาคตตรัสรู้ว่าจิตเห็นสีเพียง1สีเกิดแล้วดับสะสมที่จิตทันที
จะไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้เลยว่าตนเองกำลังเห็นผิดจะไปรู้ความจริงตอนไหนคะ
ตถาคตคือมหาบุรุษเอกบุรุษ1เดียวที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จะมาตรัสให้ฟังเพื่อเข้าใจถูกตามได้ค่ะ
เดี๋ยวนี้เลยที่ลืมตาอยู่มีธัมมะปรากฏครบ6ทางเมื่อเห็นเป็นใหญ่เป็นประธานในการพาเห็นผิดค่ะ
เห็นผิดจริงๆคือเห็นคนสัตว์วัตถุคือตัวเองน่ะกำลังเห็นอะไรเอาไปเทียบตามตำราว่าจิตเห็นสี1สีดับทันที
จึงกลายเป็นตาเนื้อทุกคนเป็นวิบากจิตเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นคนสัตว์วัตถุจึงกลายเป็นสัญญาวิปลาส
จำผิดคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามจิตเห็นตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเห็นของตนจึงกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
มีอุปาทานขันธ์มองเห็นทุกอย่างที่ปรากฏโดยไม่รู้ความจริงคือความเห็นผิดกำลังเห็นผิดเป็นกิเลสแล้วค่ะ
และเอาเห็นที่เห็นผิดที่กลายเป็นกิเลสออกไม่ได้จึงต้องเพียรฟังพระพุทธพจน์เพื่อให้เกิดสัมมาตามทีละน้อย



เกินเยียวยา

ขี้เหม็นเป็นกิเลส :b1:

เพิ่งนึกออก ไม่เคยถามเรื่องสีเลย คุณโรสที่ว่าเห็นสี เห็นสีทีละสี มีสีอะไรบ้างขอรับที่เห็นน่ะ

:b12:

ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้เห็นสีรู้ตัวไหมล่ะ
เห็นคนสัตว์วัตถุหรือเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว
เป็นความเห็นผิดแล้วเป็นกิเลสแล้ว
เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไหม
เห็นแค่สี1สีดับทันทีจะสีอะไร
จะรู้ได้ไหมเป็นกิเลสตัวเอง
ยังไม่รู้อีกเหรอคะว่ามีกิเลส
:b32: :b32:
เห็นคนสัตว์วัตถุเป็นรูปนิมิตที่เกิดจากสีหลากสีที่ดับไปหลายขณะจำอดีตสีไว้ไงคะ
:b34:



เอาไงแน่ เด๋วก็เห็นทีละสี มาตอนนี้ ไม่ได้เห็นสีอีกแระ :b32:

ยกเว้นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เห็นสีแล้วเป็นชาวพุทธประสาอะไร
ไม่เข้าใจว่าตัวเองเห็นอย่างพระพุทธเจ้าไหมแกล้งโง่หรือโง่จริงคะ
อวิชชาคือโง่รู้หรือยังมีใครแกล้งโง่ไหมมีแต่โง่แล้วที่ไม่รู้ว่าทรงบอกอะไร
:b32: :b32:



สนิทัสสนรูป รูปซึ่งมองเห็นได้ คือ ตา มองเห็น ได้แก่ รูปารมณ์ (หมายถึง วัณณะ คือ สี)

คุณโรสมีตาไหม

:b1:
งั้นฟังก่อนแล้วกันเพราะคำตอบมีในคลิปครบถ้วนสมบูรณ์ตามลิงค์ข้างล่างนี้ค่ะ
ดูจบให้หายสงสัยค่อยมาถามใหม่ถ้ายังสงสัยค่อยมาถามโรสใหม่นะคะคุณกรัชกาย
:b12:
Rosarin เขียน:
Kiss
ฟังครั้งเดียวตอนนี้จะรู้เท่าโรสที่ฟังมา7-8ปีหรือคะปัญญาแรกเกิดจากเริ่มฟังค่ะ
https://youtu.be/qDFblCO4Yl0

:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2018, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
คำตอบคือเดี๋ยวนี้เลยมีครบตามที่เขียนมาแล้วพร้อมกันเป็นปัจจัยร่วมกันไงคะดับและวิปลาสแล้ว
จิต+เจตสิก+รูป
เห็นสีหรือคนคะไม่ชัดเห็นสีหรือตัวอักษรคริคริคริจำผิดไงเมื่อสัญญาจำผิดคือสัญญาวิปลาส
จิตมันก็รู้พร้อมกับรูปพร้อมเจตสิกเลยมันรู้ผิดพร้อมกันไงเลยกลายเป็นวิปลาสทั้ง3อย่าง
มีแล้วนี่ตรงทุกคำคือเดี๋ยวนี้อ่านจำตัวอักษรคือบัญญัติไม่จำตามคำสอนไงว่ารู้ได้ตรงแค่1
สัญญาวิปัลลาส จิตตวิปัลลาส ทิฏฐิวิปัลลาส >สามประการมันเนื่องกัน ชงเรื่องต้องครบสามประการค่ะอิอิ
:b32: :b32:

ไปจำจากไหนมา ว่า เห็นที่ละสี
รูปที่เห็นได้กระทบได้ทางจักขายตนะ รู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณ หลักๆ เลย ด้วยวรรณะ (วรรณะไม่ได้จำกัดว่าเป็นทีละสี ตามที่ไปจำมาจากไหนก็ไม่ทราบได้ ป้าจินต์สอนมาแบบนี้รึ แสงที่กระทบจากวัตถุมาเข้าสู่จอประสาทตา ทำให้ปรากฏรู้เป็นรูป นั่นล่ะ วรรณะ)
V
จำมาว่ารู้ทีละสี และหากเห็นเป็นรูปคน นี่ยังไม่เป็นทิฏฐิวิปัลลาส ที่หนักคือมีตนไปเข้าใจว่าต้องไม่เห็นเป็นคนต้องไม่ให้เกิดความยึดเอาว่าเห็นเป็นคน นี่คือทิฏฐิวิปัลลาส
V
เมื่อมีทิฏฐิวิปัลลาส จึงจับเอาการพิจารณาต่อไปว่า ต้องประมวลการเห็นเป็นสีละ 1ขณะสั่งสมในจิต จิตเป็นตนซึ่งเป็นตัวสั่งสม นี่คือจิตตวิปัลลาส
V
สัญญาวิปัลลาสจึงเกิดขึ้น เพราะทิฏฐิวิปปัลลาส จิตตวิปัลลาส ด้วยประการฉะนี้

ไปเรียนอภิธรรมเบื้องต้นใหม่จากสถานที่ที่สอนอย่างถูกต้องตามหลักพุทธพจน์นะครับ ก่อนจะวิปัลลาสมากกว่านี้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2018, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
คำตอบคือเดี๋ยวนี้เลยมีครบตามที่เขียนมาแล้วพร้อมกันเป็นปัจจัยร่วมกันไงคะดับและวิปลาสแล้ว
จิต+เจตสิก+รูป
เห็นสีหรือคนคะไม่ชัดเห็นสีหรือตัวอักษรคริคริคริจำผิดไงเมื่อสัญญาจำผิดคือสัญญาวิปลาส
จิตมันก็รู้พร้อมกับรูปพร้อมเจตสิกเลยมันรู้ผิดพร้อมกันไงเลยกลายเป็นวิปลาสทั้ง3อย่าง
มีแล้วนี่ตรงทุกคำคือเดี๋ยวนี้อ่านจำตัวอักษรคือบัญญัติไม่จำตามคำสอนไงว่ารู้ได้ตรงแค่1
สัญญาวิปัลลาส จิตตวิปัลลาส ทิฏฐิวิปัลลาส >สามประการมันเนื่องกัน ชงเรื่องต้องครบสามประการค่ะอิอิ
:b32: :b32:

ไปจำจากไหนมา ว่า เห็นที่ละสี
รูปที่เห็นได้กระทบได้ทางจักขายตนะ รู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณ หลักๆ เลย ด้วยวรรณะ (วรรณะไม่ได้จำกัดว่าเป็นทีละสี ตามที่ไปจำมาจากไหนก็ไม่ทราบได้ ป้าจินต์สอนมาแบบนี้รึ แสงที่กระทบจากวัตถุมาเข้าสู่จอประสาทตา ทำให้ปรากฏรู้เป็นรูป นั่นล่ะ วรรณะ)
V
จำมาว่ารู้ทีละสี และหากเห็นเป็นรูปคน นี่ยังไม่เป็นทิฏฐิวิปัลลาส ที่หนักคือมีตนไปเข้าใจว่าต้องไม่เห็นเป็นคนต้องไม่ให้เกิดความยึดเอาว่าเห็นเป็นคน นี่คือทิฏฐิวิปัลลาส
V
เมื่อมีทิฏฐิวิปัลลาส จึงจับเอาการพิจารณาต่อไปว่า ต้องประมวลการเห็นเป็นสีละ 1ขณะสั่งสมในจิต จิตเป็นตนซึ่งเป็นตัวสั่งสม นี่คือจิตตวิปัลลาส
V
สัญญาวิปัลลาสจึงเกิดขึ้น เพราะทิฏฐิวิปปัลลาส จิตตวิปัลลาส ด้วยประการฉะนี้

ไปเรียนอภิธรรมเบื้องต้นใหม่จากสถานที่ที่สอนอย่างถูกต้องตามหลักพุทธพจน์นะครับ ก่อนจะวิปัลลาสมากกว่านี้

เขียนภาษาไทยให้คนอื่นอ่านเข้าใจตามได้นะคะ

คุยกะคนที่คิดว่าตัวเองรู้แล้วเนี่ยไม่รู้จักกิเลสจริงๆ
:b32: แปลก่อน
จักขายตนะคืออายตนะทางตาคือมันไม่เกิดทางอื่นนอกจากทางตาดูและตาไม่บอด
จักขุคือเห็นทางตาวิญญาณคือจิต
จักขุวิญญาณแปลว่าจิตเห็นทางตาเนื้อ
เกิดจากตาไม่บอดมีแสงสีกระทบรูปพิเศษตรงกลางตาดับทันที
ที่เห็นกลายเป็นวัตถุคืออดีตสีหลากสีที่เป็นจิตเห็นดับไปหลายขณะ
จนปรากฏเป็นสัณฐานสีที่มหาภูตรูป
มีแต่สีที่มหาภูตรูปที่เห็นได้ไม่รู้ที่ตั้งเข้าใจไหมเห็นแค่สี
เวลาดูเหมือนกะระยะใช่ไหมและไม้เหล็กปูนคิดว่าแข็ง
แต่แข็งเห็นไม่ได้ต้องเกิดจากกายกระทบแข็ง
เขียนเป็นภาษาไทยไม่ต้องเขียนให้คนอื่นเข้าใจตามยากไม่ต้องตีความต่ออีก
จักขุวิญญาณคือจิตเห็นเกิดจาก3ประสาน=จักษุ+จักขุปสาทรูป+แสงสีสันวรรณ
แต่ทุกคนรู้ตัวเองได้นี่เห็นแค่สีไหมคะ...มันวิปลาสไปต่างๆกันจนกว่าจะคิดถูกตามตอนฟังเข้าใจไหมคะ
เห็นปุ๊บโดยขาดฟังมันคิดไม่ทันสีมันเห็นและจำเป็นคนสัตว์วัตถุแล้วจริงๆมีแค่สีดับสลับกะหูจมูกลิ้นกายใจ

:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 00:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
ที่เห็นกลายเป็นวัตถุคืออดีตสีหลากสีที่เป็นจิตเห็นดับไปหลายขณะ

ที่เห็น น่ะ ปัจจุบัน
เช่น อัตตภาพของบุคคล คนหนึ่ง
อัตตภาพ ของพ่อ ของแม่

การเห็นแต่ละขณะ ๆ ด้วยวรรณะของรูปนั้น กระทบกับจักขุปสาทรูป และจักขุวิญญาณไปรับรู้
ไม่ใช่จักขุวิญญาณ รู้ขณะละสี แล้วดับไป

ตอนนี้ คุณโรส ไปนู่นล่ะ "หลากสี"

จักขุปสาท รับวรรณะ หรือแสงที่สะท้อนจากวัตถุมาสู่ตา ไม่ได้รับทีละสีๆ ครั้งละสี ดั่งที่เข้าใจ

อัตตภาพ ของสัตว์บุคคล คือวรรณะ อันประกอบด้วยความหลากสี เข้ามาสู่คลองแห่งจักษุในแต่ละขณะๆ
เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ อันเป็นไปตามกระแสแห่งปัญจทวารวิถี การรู้ว่าสัตว์ บุคคลจึงเกิดขึ้นแต่ยังไม่ใช่กุศล หรืออกุศล ...

คุณโรส การเห็น เพราะวรรณะหลากสีจรเข้ามาที่คลองแห่งจักขุนั้น เป็นปัจจุบันขณะตลอดครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ที่เห็นกลายเป็นวัตถุคืออดีตสีหลากสีที่เป็นจิตเห็นดับไปหลายขณะ

ที่เห็น น่ะ ปัจจุบัน
เช่น อัตตภาพของบุคคล คนหนึ่ง
อัตตภาพ ของพ่อ ของแม่

การเห็นแต่ละขณะ ๆ ด้วยวรรณะของรูปนั้น กระทบกับจักขุปสาทรูป และจักขุวิญญาณไปรับรู้
ไม่ใช่จักขุวิญญาณ รู้ขณะละสี แล้วดับไป

ตอนนี้ คุณโรส ไปนู่นล่ะ "หลากสี"

จักขุปสาท รับวรรณะ หรือแสงที่สะท้อนจากวัตถุมาสู่ตา ไม่ได้รับทีละสีๆ ครั้งละสี ดั่งที่เข้าใจ

อัตตภาพ ของสัตว์บุคคล คือวรรณะ อันประกอบด้วยความหลากสี เข้ามาสู่คลองแห่งจักษุในแต่ละขณะๆ
เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ อันเป็นไปตามกระแสแห่งปัญจทวารวิถี การรู้ว่าสัตว์ บุคคลจึงเกิดขึ้นแต่ยังไม่ใช่กุศล หรืออกุศล ...

คุณโรส การเห็น เพราะวรรณะหลากสีจรเข้ามาที่คลองแห่งจักขุนั้น เป็นปัจจุบันขณะตลอดครับ

:b12:
:b1:
กะพริบตาดับครบ6ทาง จิตเกิดดับทีละ1ทางตรงขณะ ถามว่าเอาอะไรมาทันสีที่ดับไปแล้วคะ
เห็นตรงขณะแค่สีดับแต่เป็นจิตคิดนึกถึงคนสัตว์วัตถุแล้วชอบไม่ชอบทันทีคือสิ่งที่ตนเห็นเคลื่อนจากสีแล้ว
ก็มีเสียงกลิ่นรสสัมผัสอากาศเย็นร้อนตลอดเวลาในความมืดคิดสิเห็นตลอดเวลาไหมคะคุณเช่นนั้นกิเลสมี
ทันทีที่จิตตื่นหลับสนิทยังไม่ลืมตาไม่รู้อะไรเลยแต่พอตื่นรู้สึกตัวยังไม่ลืมตาก็จำว่านอนอยู่ไหนคิดเอาไง
ไม่ได้เห็นเลยพอลืมตายังไม่พูดถึงสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเลยจำทุกอย่างที่นอนผ้าปูผ้าม่านนาฬิกา555กิเลส
ไม่รู้ว่าชอบทุกอย่างที่เห็นแล้วเป็นโลภะติดข้องในสิ่งที่แสวงหาเพื่อเห็นอันเก่าอยากได้อันใหม่คริคริคริ
โลกแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันมันไม่ปนกันเพราะมีภวังคจิตคั่นถึง2ต่อไม่เหลือซากเห็นแล้วตอนได้ยิน
หลงติดข้องยึดถือเห็นจำแต่บัญญัติคำและเรื่องราวต่างๆลืมสัจจธรรมที่กำลังมีที่กายใจคือไม่ทันกิเลสค่ะ
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 20 ก.ค. 2018, 07:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 07:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระท่านสอนว่า..

อ้างคำพูด:
"พระพุทธเจ้าบอกว่า ละธรรม ๑๐ อย่างไม่ได้ ไม่ควรเป็นพระอรหันต์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล

ธรรม ๑๐ อย่างคือ

๑) ราคะ ความกำหนัดยินดี
๒) โทสะ ความคิดประทุษร้าย
๓) โมหะ ความหลง
๔) โกรธะ ความโกรธ
๕) อุปนาหะ ความผูกโกรธ
๖) มักขะ ความลบหลู่บุญคุณท่าน
๗) ปลาสะ ความตีเสมอ
๘) อิสสา ความริษยา
๙) มัจฉริยะ ความตระหนี่
๑๐) มานะ ความถือตัว

ตรงนี้มาจากอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกฉบับที่ ๒๔ เพราะฉะนั้นเราก็มาดูตัวของเราเองว่ายังมีหรือไม่ ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งแสดงว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน
"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
พระท่านสอนว่า..

อ้างคำพูด:
"พระพุทธเจ้าบอกว่า ละธรรม ๑๐ อย่างไม่ได้ ไม่ควรเป็นพระอรหันต์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล

ธรรม ๑๐ อย่างคือ

๑) ราคะ ความกำหนัดยินดี
๒) โทสะ ความคิดประทุษร้าย
๓) โมหะ ความหลง
๔) โกรธะ ความโกรธ
๕) อุปนาหะ ความผูกโกรธ
๖) มักขะ ความลบหลู่บุญคุณท่าน
๗) ปลาสะ ความตีเสมอ
๘) อิสสา ความริษยา
๙) มัจฉริยะ ความตระหนี่
๑๐) มานะ ความถือตัว

ตรงนี้มาจากอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกฉบับที่ ๒๔ เพราะฉะนั้นเราก็มาดูตัวของเราเองว่ายังมีหรือไม่ ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งแสดงว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน
"

:b32:
ยังอยากรู้ยังอยากตื่นขึ้นมาเพื่อเห็นและคิดไปทำเพราะอยากรู้นิพพาน
นั่นแหละคือข้อ1ลดละเลิกราคะไม่ได้เลยนะคะนิพพานถึงได้เพราะหมดอยาก
และวิธีทำเพื่อให้หมดอยากคือฟังให้เข้าใจไม่ต้องอยากไปทำเพราะฟังทำให้รู้จึงไม่อยาก
เพราะรู้ไงว่าอยากยังไงก็ถึงไม่ได้ถ้าไม่สะสมเหตุคือปัญญาให้เกิดก่อนก็นิพพานถึงด้วยปัญญานะคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อยากฟังเป็นฉันทะเป็นนิสัยเป็นปกติเพื่อเปิดทางตาปัญญาค่ะไม่ลองไม่รู้น๊า
https://youtu.be/rqMlNxeWvF0
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
อยากฟังเป็นฉันทะเป็นนิสัยเป็นปกติเพื่อเปิดทางตาปัญญาค่ะไม่ลองไม่รู้น๊า
https://youtu.be/rqMlNxeWvF0
:b4: :b4:


คำตถาคตไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
พระท่านสอนว่า..

อ้างคำพูด:
"พระพุทธเจ้าบอกว่า ละธรรม ๑๐ อย่างไม่ได้ ไม่ควรเป็นพระอรหันต์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล

ธรรม ๑๐ อย่างคือ

๑) ราคะ ความกำหนัดยินดี
๒) โทสะ ความคิดประทุษร้าย
๓) โมหะ ความหลง
๔) โกรธะ ความโกรธ
๕) อุปนาหะ ความผูกโกรธ
๖) มักขะ ความลบหลู่บุญคุณท่าน
๗) ปลาสะ ความตีเสมอ
๘) อิสสา ความริษยา
๙) มัจฉริยะ ความตระหนี่
๑๐) มานะ ความถือตัว

ตรงนี้มาจากอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกฉบับที่ ๒๔ เพราะฉะนั้นเราก็มาดูตัวของเราเองว่ายังมีหรือไม่ ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งแสดงว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน
"

:b32:
ยังอยากรู้ยังอยากตื่นขึ้นมาเพื่อเห็นและคิดไปทำเพราะอยากรู้นิพพาน
นั่นแหละคือข้อ1ลดละเลิกราคะไม่ได้เลยนะคะนิพพานถึงได้เพราะหมดอยาก
และวิธีทำเพื่อให้หมดอยากคือฟังให้เข้าใจไม่ต้องอยากไปทำเพราะฟังทำให้รู้จึงไม่อยาก
เพราะรู้ไงว่าอยากยังไงก็ถึงไม่ได้ถ้าไม่สะสมเหตุคือปัญญาให้เกิดก่อนก็นิพพานถึงด้วยปัญญานะคะ


คุณโรสที่ว่านั่นเป็นคำตถาคตไหม ? :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ที่เห็นกลายเป็นวัตถุคืออดีตสีหลากสีที่เป็นจิตเห็นดับไปหลายขณะ

ที่เห็น น่ะ ปัจจุบัน
เช่น อัตตภาพของบุคคล คนหนึ่ง
อัตตภาพ ของพ่อ ของแม่

การเห็นแต่ละขณะ ๆ ด้วยวรรณะของรูปนั้น กระทบกับจักขุปสาทรูป และจักขุวิญญาณไปรับรู้
ไม่ใช่จักขุวิญญาณ รู้ขณะละสี แล้วดับไป

ตอนนี้ คุณโรส ไปนู่นล่ะ "หลากสี"

จักขุปสาท รับวรรณะ หรือแสงที่สะท้อนจากวัตถุมาสู่ตา ไม่ได้รับทีละสีๆ ครั้งละสี ดั่งที่เข้าใจ

อัตตภาพ ของสัตว์บุคคล คือวรรณะ อันประกอบด้วยความหลากสี เข้ามาสู่คลองแห่งจักษุในแต่ละขณะๆ
เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ อันเป็นไปตามกระแสแห่งปัญจทวารวิถี การรู้ว่าสัตว์ บุคคลจึงเกิดขึ้นแต่ยังไม่ใช่กุศล หรืออกุศล ...

คุณโรส การเห็น เพราะวรรณะหลากสีจรเข้ามาที่คลองแห่งจักขุนั้น เป็นปัจจุบันขณะตลอดครับ

:b12:
:b1:
กะพริบตาดับครบ6ทาง จิตเกิดดับทีละ1ทางตรงขณะ ถามว่าเอาอะไรมาทันสีที่ดับไปแล้วคะ
เห็นตรงขณะแค่สีดับแต่เป็นจิตคิดนึกถึงคนสัตว์วัตถุแล้วชอบไม่ชอบทันทีคือสิ่งที่ตนเห็นเคลื่อนจากสีแล้ว
ก็มีเสียงกลิ่นรสสัมผัสอากาศเย็นร้อนตลอดเวลาในความมืดคิดสิเห็นตลอดเวลาไหมคะคุณเช่นนั้นกิเลสมี
ทันทีที่จิตตื่นหลับสนิทยังไม่ลืมตาไม่รู้อะไรเลยแต่พอตื่นรู้สึกตัวยังไม่ลืมตาก็จำว่านอนอยู่ไหนคิดเอาไง
ไม่ได้เห็นเลยพอลืมตายังไม่พูดถึงสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเลยจำทุกอย่างที่นอนผ้าปูผ้าม่านนาฬิกา555กิเลส
ไม่รู้ว่าชอบทุกอย่างที่เห็นแล้วเป็นโลภะติดข้องในสิ่งที่แสวงหาเพื่อเห็นอันเก่าอยากได้อันใหม่คริคริคริ
โลกแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันมันไม่ปนกันเพราะมีภวังคจิตคั่นถึง2ต่อไม่เหลือซากเห็นแล้วตอนได้ยิน
หลงติดข้องยึดถือเห็นจำแต่บัญญัติคำและเรื่องราวต่างๆลืมสัจจธรรมที่กำลังมีที่กายใจคือไม่ทันกิเลสค่ะ
:b32: :b32:

เอาเข้าไป
บัดนี้ ผัสสะอันเป็นปัจจุบันขณะ ก็ไม่ทัน....
แม่เจ้า ท่องเรื่อยเจื้อยเป็นนกแก้ว...
เอาอะไรมาทันสีที่ดับ!!!!
กระพริบตาดับครบ 6 ทาง ว่าไปนู่นอิก มโนเก่งมั่ก
สติไม่ต้องล่ะบัดนี้ มีแต่กิเลส
อเหตุกจิตก็ไม่มต้องล่ะ
มีแต่จิตเหตุแถมมีแต่อกุศล
ตั้งแต่ตื่นจนตาย...5555

คุณโรส
ทานข้าวอิ่มไหม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ที่เห็นกลายเป็นวัตถุคืออดีตสีหลากสีที่เป็นจิตเห็นดับไปหลายขณะ

ที่เห็น น่ะ ปัจจุบัน
เช่น อัตตภาพของบุคคล คนหนึ่ง
อัตตภาพ ของพ่อ ของแม่

การเห็นแต่ละขณะ ๆ ด้วยวรรณะของรูปนั้น กระทบกับจักขุปสาทรูป และจักขุวิญญาณไปรับรู้
ไม่ใช่จักขุวิญญาณ รู้ขณะละสี แล้วดับไป

ตอนนี้ คุณโรส ไปนู่นล่ะ "หลากสี"

จักขุปสาท รับวรรณะ หรือแสงที่สะท้อนจากวัตถุมาสู่ตา ไม่ได้รับทีละสีๆ ครั้งละสี ดั่งที่เข้าใจ

อัตตภาพ ของสัตว์บุคคล คือวรรณะ อันประกอบด้วยความหลากสี เข้ามาสู่คลองแห่งจักษุในแต่ละขณะๆ
เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ อันเป็นไปตามกระแสแห่งปัญจทวารวิถี การรู้ว่าสัตว์ บุคคลจึงเกิดขึ้นแต่ยังไม่ใช่กุศล หรืออกุศล ...

คุณโรส การเห็น เพราะวรรณะหลากสีจรเข้ามาที่คลองแห่งจักขุนั้น เป็นปัจจุบันขณะตลอดครับ

:b12:
:b1:
กะพริบตาดับครบ6ทาง จิตเกิดดับทีละ1ทางตรงขณะ ถามว่าเอาอะไรมาทันสีที่ดับไปแล้วคะ
เห็นตรงขณะแค่สีดับแต่เป็นจิตคิดนึกถึงคนสัตว์วัตถุแล้วชอบไม่ชอบทันทีคือสิ่งที่ตนเห็นเคลื่อนจากสีแล้ว
ก็มีเสียงกลิ่นรสสัมผัสอากาศเย็นร้อนตลอดเวลาในความมืดคิดสิเห็นตลอดเวลาไหมคะคุณเช่นนั้นกิเลสมี
ทันทีที่จิตตื่นหลับสนิทยังไม่ลืมตาไม่รู้อะไรเลยแต่พอตื่นรู้สึกตัวยังไม่ลืมตาก็จำว่านอนอยู่ไหนคิดเอาไง
ไม่ได้เห็นเลยพอลืมตายังไม่พูดถึงสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเลยจำทุกอย่างที่นอนผ้าปูผ้าม่านนาฬิกา555กิเลส
ไม่รู้ว่าชอบทุกอย่างที่เห็นแล้วเป็นโลภะติดข้องในสิ่งที่แสวงหาเพื่อเห็นอันเก่าอยากได้อันใหม่คริคริคริ
โลกแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันมันไม่ปนกันเพราะมีภวังคจิตคั่นถึง2ต่อไม่เหลือซากเห็นแล้วตอนได้ยิน
หลงติดข้องยึดถือเห็นจำแต่บัญญัติคำและเรื่องราวต่างๆลืมสัจจธรรมที่กำลังมีที่กายใจคือไม่ทันกิเลสค่ะ
:b32: :b32:

เอาเข้าไป
บัดนี้ ผัสสะอันเป็นปัจจุบันขณะ ก็ไม่ทัน....
แม่เจ้า ท่องเรื่อยเจื้อยเป็นนกแก้ว...
เอาอะไรมาทันสีที่ดับ!!!!
กระพริบตาดับครบ 6 ทาง ว่าไปนู่นอิก มโนเก่งมั่ก
สติไม่ต้องล่ะบัดนี้ มีแต่กิเลส
อเหตุกจิตก็ไม่มต้องล่ะ
มีแต่จิตเหตุแถมมีแต่อกุศล
ตั้งแต่ตื่นจนตาย...5555

คุณโรส
ทานข้าวอิ่มไหม

:b12:
จิตเห็นสีคือตถาคต
ตัวเองเห็นอะไรไม่รู้
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ที่เห็นกลายเป็นวัตถุคืออดีตสีหลากสีที่เป็นจิตเห็นดับไปหลายขณะ

ที่เห็น น่ะ ปัจจุบัน
เช่น อัตตภาพของบุคคล คนหนึ่ง
อัตตภาพ ของพ่อ ของแม่

การเห็นแต่ละขณะ ๆ ด้วยวรรณะของรูปนั้น กระทบกับจักขุปสาทรูป และจักขุวิญญาณไปรับรู้
ไม่ใช่จักขุวิญญาณ รู้ขณะละสี แล้วดับไป

ตอนนี้ คุณโรส ไปนู่นล่ะ "หลากสี"

จักขุปสาท รับวรรณะ หรือแสงที่สะท้อนจากวัตถุมาสู่ตา ไม่ได้รับทีละสีๆ ครั้งละสี ดั่งที่เข้าใจ

อัตตภาพ ของสัตว์บุคคล คือวรรณะ อันประกอบด้วยความหลากสี เข้ามาสู่คลองแห่งจักษุในแต่ละขณะๆ
เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ อันเป็นไปตามกระแสแห่งปัญจทวารวิถี การรู้ว่าสัตว์ บุคคลจึงเกิดขึ้นแต่ยังไม่ใช่กุศล หรืออกุศล ...

คุณโรส การเห็น เพราะวรรณะหลากสีจรเข้ามาที่คลองแห่งจักขุนั้น เป็นปัจจุบันขณะตลอดครับ

:b12:
:b1:
กะพริบตาดับครบ6ทาง จิตเกิดดับทีละ1ทางตรงขณะ ถามว่าเอาอะไรมาทันสีที่ดับไปแล้วคะ
เห็นตรงขณะแค่สีดับแต่เป็นจิตคิดนึกถึงคนสัตว์วัตถุแล้วชอบไม่ชอบทันทีคือสิ่งที่ตนเห็นเคลื่อนจากสีแล้ว
ก็มีเสียงกลิ่นรสสัมผัสอากาศเย็นร้อนตลอดเวลาในความมืดคิดสิเห็นตลอดเวลาไหมคะคุณเช่นนั้นกิเลสมี
ทันทีที่จิตตื่นหลับสนิทยังไม่ลืมตาไม่รู้อะไรเลยแต่พอตื่นรู้สึกตัวยังไม่ลืมตาก็จำว่านอนอยู่ไหนคิดเอาไง
ไม่ได้เห็นเลยพอลืมตายังไม่พูดถึงสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเลยจำทุกอย่างที่นอนผ้าปูผ้าม่านนาฬิกา555กิเลส
ไม่รู้ว่าชอบทุกอย่างที่เห็นแล้วเป็นโลภะติดข้องในสิ่งที่แสวงหาเพื่อเห็นอันเก่าอยากได้อันใหม่คริคริคริ
โลกแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันมันไม่ปนกันเพราะมีภวังคจิตคั่นถึง2ต่อไม่เหลือซากเห็นแล้วตอนได้ยิน
หลงติดข้องยึดถือเห็นจำแต่บัญญัติคำและเรื่องราวต่างๆลืมสัจจธรรมที่กำลังมีที่กายใจคือไม่ทันกิเลสค่ะ
:b32: :b32:

เอาเข้าไป
บัดนี้ ผัสสะอันเป็นปัจจุบันขณะ ก็ไม่ทัน....
แม่เจ้า ท่องเรื่อยเจื้อยเป็นนกแก้ว...
เอาอะไรมาทันสีที่ดับ!!!!
กระพริบตาดับครบ 6 ทาง ว่าไปนู่นอิก มโนเก่งมั่ก
สติไม่ต้องล่ะบัดนี้ มีแต่กิเลส
อเหตุกจิตก็ไม่มต้องล่ะ
มีแต่จิตเหตุแถมมีแต่อกุศล
ตั้งแต่ตื่นจนตาย...5555

คุณโรส
ทานข้าวอิ่มไหม

:b12:
จิตเห็นสีคือตถาคต
ตัวเองเห็นอะไรไม่รู้
:b32: :b32:



จิตเห็นสีคือตถาคต หมายถึงอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
พระท่านสอนว่า..

อ้างคำพูด:
"พระพุทธเจ้าบอกว่า ละธรรม ๑๐ อย่างไม่ได้ ไม่ควรเป็นพระอรหันต์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล

ธรรม ๑๐ อย่างคือ

๑) ราคะ ความกำหนัดยินดี
๒) โทสะ ความคิดประทุษร้าย
๓) โมหะ ความหลง
๔) โกรธะ ความโกรธ
๕) อุปนาหะ ความผูกโกรธ
๖) มักขะ ความลบหลู่บุญคุณท่าน
๗) ปลาสะ ความตีเสมอ
๘) อิสสา ความริษยา
๙) มัจฉริยะ ความตระหนี่
๑๐) มานะ ความถือตัว

ตรงนี้มาจากอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกฉบับที่ ๒๔ เพราะฉะนั้นเราก็มาดูตัวของเราเองว่ายังมีหรือไม่ ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งแสดงว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน
"

:b32:
ยังอยากรู้ยังอยากตื่นขึ้นมาเพื่อเห็นและคิดไปทำเพราะอยากรู้นิพพาน
นั่นแหละคือข้อ1ลดละเลิกราคะไม่ได้เลยนะคะนิพพานถึงได้เพราะหมดอยาก
และวิธีทำเพื่อให้หมดอยากคือฟังให้เข้าใจไม่ต้องอยากไปทำเพราะฟังทำให้รู้จึงไม่อยาก
เพราะรู้ไงว่าอยากยังไงก็ถึงไม่ได้ถ้าไม่สะสมเหตุคือปัญญาให้เกิดก่อนก็นิพพานถึงด้วยปัญญานะคะ


คุณโรสที่ว่านั่นเป็นคำตถาคตไหม ? :b10:



คุณโรส คุณต้องรีบเพ่นออกจากโฮมสะเตย์นะขอรับ นรกกวักมือเรียกอยู่นะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
ที่เห็นกลายเป็นวัตถุคืออดีตสีหลากสีที่เป็นจิตเห็นดับไปหลายขณะ

ที่เห็น น่ะ ปัจจุบัน
เช่น อัตตภาพของบุคคล คนหนึ่ง
อัตตภาพ ของพ่อ ของแม่

การเห็นแต่ละขณะ ๆ ด้วยวรรณะของรูปนั้น กระทบกับจักขุปสาทรูป และจักขุวิญญาณไปรับรู้
ไม่ใช่จักขุวิญญาณ รู้ขณะละสี แล้วดับไป

ตอนนี้ คุณโรส ไปนู่นล่ะ "หลากสี"

จักขุปสาท รับวรรณะ หรือแสงที่สะท้อนจากวัตถุมาสู่ตา ไม่ได้รับทีละสีๆ ครั้งละสี ดั่งที่เข้าใจ

อัตตภาพ ของสัตว์บุคคล คือวรรณะ อันประกอบด้วยความหลากสี เข้ามาสู่คลองแห่งจักษุในแต่ละขณะๆ
เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ อันเป็นไปตามกระแสแห่งปัญจทวารวิถี การรู้ว่าสัตว์ บุคคลจึงเกิดขึ้นแต่ยังไม่ใช่กุศล หรืออกุศล ...

คุณโรส การเห็น เพราะวรรณะหลากสีจรเข้ามาที่คลองแห่งจักขุนั้น เป็นปัจจุบันขณะตลอดครับ

:b12:
:b1:
กะพริบตาดับครบ6ทาง จิตเกิดดับทีละ1ทางตรงขณะ ถามว่าเอาอะไรมาทันสีที่ดับไปแล้วคะ
เห็นตรงขณะแค่สีดับแต่เป็นจิตคิดนึกถึงคนสัตว์วัตถุแล้วชอบไม่ชอบทันทีคือสิ่งที่ตนเห็นเคลื่อนจากสีแล้ว
ก็มีเสียงกลิ่นรสสัมผัสอากาศเย็นร้อนตลอดเวลาในความมืดคิดสิเห็นตลอดเวลาไหมคะคุณเช่นนั้นกิเลสมี
ทันทีที่จิตตื่นหลับสนิทยังไม่ลืมตาไม่รู้อะไรเลยแต่พอตื่นรู้สึกตัวยังไม่ลืมตาก็จำว่านอนอยู่ไหนคิดเอาไง
ไม่ได้เห็นเลยพอลืมตายังไม่พูดถึงสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเลยจำทุกอย่างที่นอนผ้าปูผ้าม่านนาฬิกา555กิเลส
ไม่รู้ว่าชอบทุกอย่างที่เห็นแล้วเป็นโลภะติดข้องในสิ่งที่แสวงหาเพื่อเห็นอันเก่าอยากได้อันใหม่คริคริคริ
โลกแต่ละ1ทางที่เกิดดับสลับกันมันไม่ปนกันเพราะมีภวังคจิตคั่นถึง2ต่อไม่เหลือซากเห็นแล้วตอนได้ยิน
หลงติดข้องยึดถือเห็นจำแต่บัญญัติคำและเรื่องราวต่างๆลืมสัจจธรรมที่กำลังมีที่กายใจคือไม่ทันกิเลสค่ะ
:b32: :b32:

เอาเข้าไป
บัดนี้ ผัสสะอันเป็นปัจจุบันขณะ ก็ไม่ทัน....
แม่เจ้า ท่องเรื่อยเจื้อยเป็นนกแก้ว...
เอาอะไรมาทันสีที่ดับ!!!!
กระพริบตาดับครบ 6 ทาง ว่าไปนู่นอิก มโนเก่งมั่ก
สติไม่ต้องล่ะบัดนี้ มีแต่กิเลส
อเหตุกจิตก็ไม่มต้องล่ะ
มีแต่จิตเหตุแถมมีแต่อกุศล
ตั้งแต่ตื่นจนตาย...5555

คุณโรส
ทานข้าวอิ่มไหม

:b12:
จิตเห็นสีคือตถาคต
ตัวเองเห็นอะไรไม่รู้
:b32: :b32:



จิตเห็นสีคือตถาคต หมายถึงอะไร


:b32:
ยกคำสอนมาแสดงได้เป็นชุดๆคริคริคริตถาคตผู้เดียวที่รู้สีคนอื่นไม่รู้
ทั้งหมดเลยทั้ง3ปิฎกคือปัญญาตถาคตเท่าใบไม้ในกำมือที่เข้าใจตามได้
แต่ปัญญาแท้จริงของตถาคตมีทั้งป่าที่ไม่ได้แสดงเพราะเป็นทศพลญาณ
ในกาลที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เท่านั้นที่ไม่มีใครรู้อย่างพระองค์แค่รู้ตามได้เท่านั้น
จะไปทำให้เหมือนพระองค์เป็นไปไม่ได้เพราะคนต่อไปที่จะรู้ความจริงใน3ปิฎกคนต่อไปคือพระศรีอาริย์ฯ
และในการมีปัญญารองจากพระพุทธเจ้าก็แค่คิดเห็นถูกตามได้เท่านั้นไม่มีใครรู้แบบพระพุทธเจ้ารู้ได้ค่ะ
ทศพลญาณเป็นปัญญาตรัสรู้ได้เองมีในชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้ที่เหลือคือสาวกที่เกิดคือมีปัญญาน้อย
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 123 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร