นำลัทธิของนิครนถ์ข้อเดียวให้สังเกตกับตัวอย่างที่จะเทียบให้ดู
ลัทธินิครนถ์มีว่า ความสุขความทุกข์อะไรทั้งหลายแหล่ที่คนเราประสบอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นผลของกรรมแต่อดีตชาติตามมาให้ผล ประมาณว่า ชาติก่อนตนเคยทำอะไรไว้ดีหรือชั่วก็ตาม มันจะตามมาส่งผลให้ในชาตินี้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำนองถูกล๊อกสะเป๊กไว้แล้ว




มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ คือ

๑.ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท

ฯลฯ

ทั้งนี้ตามพุทธพจน์ที่ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิเดียรถีย์ ๓ ระบบเหล่านี้ ถูกบัณฑิตไต่ถาม ซักไซ้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างการถือสืบๆกันมา .... คือ

๑. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี
อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน (ปุพฺเพกตเหตุ)

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๓ พวกนั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๑) แล้วถามว่า

“ทราบว่าท่านทั้งหลายมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?” ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ
จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ
จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์....เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ
เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และสิ่งไม่ที่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้ นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ ผู้มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้”

คุณโรสทำความเข้าใจ คคห.ข้างให้ชัดนะครับ ต่อไปจะนำข้อคิดเห็นของคุณโรสเองมาเทียบ

ตัวโตนั่นแหละขอรับใช่เลยเป็นความคิดที่ถูกล๊อกสะเป๊กไว้แต่ชาติปางก่อน เหมือนกับพุทธพจน์ที่ว่า ชาติก่อนเคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ชาตินี้ก็ต้องฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์กันต่อไป จะแก้ไขอะไรมิได้ ... ก็เท่ากับคนที่อยู่อย่างหลงสติ ไร้ฉันทะ ไม่มีความเพียรพยายามแก้ไขปรับปรุงตน ยอมเลย จิตใจหมดแรงยอมสารภาพเบย

ใจสารภาพ

https://www.youtube.com/watch?v=SPuNP9y7GRk

ลัทธิ ความเชื่อถือ, ความรู้และประเพณีที่ได้รับ และปฏิบัติสืบต่อกันมา

ลัทธิสมัย สมัยคือลัทธิ หมายถึงลัทธินั่นเอง

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/63c ... ?s=960x664

คนที่เข้าใจคำสอนน่ะเขาว่าตามคำสอนตรงความจริงที่มีคนทำให้เห็นไงคะมีประจักษ์พยาน
ไม่ใช่ทำตามๆกันเป็นประเพณี555ไม่มีใครเห็นก็ทำได้หรือคะตนนั่นแหละเป็นสักขีพยาน
https://youtu.be/pmDGuucOLk0

ชัดไหมคะตอนเป็นชาวบ้านก็ผิดศีลแล้วบวชก็ไปทำผิดศีลหนักพอกันเลยทุศีลค่ะ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56214

ถามอย่างตอบอย่าง ถามใหม่นะขอรับ ง่ายๆ

คุณโรสมีบ้านไหม ? หรือคอนโดก็ได้ คุณโรสมีคอนโดไหม

งั้นขอถามกลับนะคะ
มีคนเงินวัดกุฏิศาลาโบสถ์วิหารลานเจดีย์
ในความหมายของคำว่าพระพุทธศาสนาไหมคะดูความหมายนะคะ
พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระ=ผู้ประเสริฐ
พุทธะ=ผู้รู้ตื่นเบิกบาน
ศาสนา=คำสอน
เจ้าของคำสอนเรียกศาสดา
ศาสดายกคำสอนแทนตนเอง
ดังนั้นศาสดา=คำสอน=ศาสนา
คิดไตร่ตรองให้รอบรู้ทุกคำตรงความหมาย

เหมือนเราพูดกันคนละเรื่องเดียวกันน้อ ชั่วชีวิตนี้เราจะพูดกันรู้เรื่องไหมเนี่ยหือ

ความจริงตามคำสอนต้องรู้ตามปกติเป็นปกติจึงจะรู้ตามได้
มันเรื่องเดียวกันทั้งหมดนั่นแหละเพราะทุกคำคือปัจจุบันขณะ
มีตามที่ทรงบัญญัติคำต่างๆจริงทุกคำมีแล้วแค่ฟังให้เข้าใจตาม
รูปคือสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยมี28รูปปรมัตถ์ที่ไปจำเป็นคนบ้านรถ
ชื่อบัญญัติต่างๆที่มีทั้งหมดไม่ใช่ปัญญาตนเองเพราะปัญญาเจตสิกมี
การสะสมตรงปัจจุบันขณะทีละ1ขณะจิตตอนกำลังระลึกถูกตามคำสอน
ถ้าคิดพูดทำไปโดยยังไม่เข้าใจก็คิดพูดทำตามที่ตนไม่เข้าใจคือคิดเห็นผิด
คิดจำคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามคำสอนเป็นมิจฉาทิฏฐิคิดเอาเองไม่เงี่ยโสตลงสดับ
รูปคือมหาภูตรูป4+อุปาทายรูป24รวม28รูปจะมีที่เกิดพร้อมแสงตอนลืมตาเห็นแค่1รูป
แต่อีก27รูปไม่มีแสงเกิดในความมืดแต่28รูปมีปรากฏให้ร้ตรงวิสยรูป7ตอนลืมตาตรงปัจจุบันค่ะ
เห็นมหาภูตรูปที่ชื่อบ้านไม่ได้เพราะมหาภูตรูปรู้ได้จากกายสัมผัส3ธาตุตามวิสยรูปไงส่วนจิตเห็น
แค่สีที่มหาภูตรูปแค่แสงสี1สีกระทบตาดับทันทียังไม่เป็นรูปร่างของบ้านเลยค่ะต้องจับตัวบ้านจึงรู้ที่ตั้งค่ะ
เห็นสีไม่ได้เห็นบ้านค่ะแต่จำรูปร่างสัณฐานสีที่ตัดกันว่าอันนี้ชื่อว่าอะไรจำผิดคลาดเคลื่อนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เห็นสีกระทบตามีระยะห่างสัมผัสตัวบ้านจึงรู้ว่าแข็งถ้าตากระทบแข็งก็เจ็บสิคะเป็นมหาภูตรูปแข็งกระทบกัน

คิกๆๆ บริหารสุวรรณภูมิสอนศิษย์ดีจริงๆ

คคห.ที่ขีดเส้นใต้นี่ชัดแจ๋วเลย

ปกติตามภพภูมิที่กำลังมองเห็นไม่ชัดหรือคะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่าจิตเห็นสีสันวรรณ+แสง
จะเห็นอะไรแสงมากน้อยแค่ไหนก็มีแค่สีไม่มีตัวตนคนสัตว์วัตถุ
เพราะสีดับทันทีแต่ปรากฏว่ามีตัวเราเห็นแล้วยึดทุกอย่างที่เห็นว่ามีจริงๆเช่นเงิน
ใครรับเงินใช้เงินก็รู้ว่าใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนถูกไหมดังนั้นบรรพชาไม่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน
เพราะบวชมาอาศัยปัจจัยสี่ที่เขาถวายให้ผู้ประพฤติตามพระธรรมวินัยได้สละหมดไม่มีเยื่อใยใดๆอีกเลย
แต่มองด้วยตาตัวเองตามปกติภพภูมิเห็นผู้ที่ครองจีวรรับเงินไหมคะเอาไปทำอะไรไม่มีกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนน๊า
5555555555

คำตอบ ยุงลายเป็นพาหะของไข้เลือดออกค่ะ