วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
อ้าวระบุให้ชัดสิก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นสีทีละ1สีไม่มีรูปร่างไงเป็นสีกระทบจักขุปสาทรูปดับทันทีไงคะ
แล้วตาตัวเองน่ะกำลังเห็นสีแค่1สีไหมคะเพราะมันมีจิตทางอื่นที่มืดอีก5ทางเกิดต่อแปลว่าปรากฏได้ทีละ1รูป


นั่นเป็นสิ่งที่ รู้มาผิด จำมาผิด จากการฟังมาผิด

สิ่งที่ควรศึกษา เป็นอย่างนี้ครับ
Quote Tipitaka:
[๖๑๙] รูปที่เป็นรูปายตนะ นั้นเป็นไฉน
รูปใดที่เป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ ได้แก่
สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียวใบไม้ สีม่วง ยาว
สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม
ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์
แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงแก้วมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์
แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแม้อื่นใดที่เป็นสีต่างๆ ซึ่งอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่
เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่ เพราะปรารภรูปใด จักขุสัมผัสอาศัยจักษุ เคยเกิด
กำลังเกิด จักเกิด หรือพึงเกิด ฯลฯ เพราะปรารภรูปใด เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส
ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขุวิญญาณอาศัยจักษุ เคยเกิด กำลังเกิด จักเกิด
หรือพึงเกิด ฯลฯ จักขุสัมผัส มีรูปใดเป็นอารมณ์ อาศัยจักษุ เคยเกิด กำลังเกิด
จักเกิด หรือพึงเกิด ฯลฯ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา
ฯลฯ จักขุวิญญาณมีรูปใดเป็นอารมณ์ อาศัยจักษุ เคยเกิด กำลังเกิด จักเกิด หรือ
พึงเกิด นี้ชื่อว่ารูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปนี้ชื่อว่าเป็นรูปายตนะ

และ
หากนับอายุรูป ไม่ดับทันทีครับ
เพราะรูป เป็นจิตตวิปปยุตครับ มีอายุยาวสุดได้ถึง 17 ขณะจิต หรือ 51อนุขณะในปัญญทวารวิถีครับ
รูปที่มีอายุสั้นกว่า 17 ขณะ ตย.ก็มีครับ คือ รูปวิญญัติ เช่น กายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติ มีอายุเพียง 1 ขณะจิต หรือ3 อนุขณะ เนื่องจากเป็นจิตตสหภูรูป

Quote Tipitaka:
[๖๖๘] รูปที่เกิดพร้อมกับจิต นั้นเป็นไฉน
กายวิญญัติ และวจีวิญญัติ รูปนี้ชื่อว่าเกิดพร้อมกับจิต


ดังนั้น วัณณนิภา ไม่ใช่หมายถึง สีทีละสี ดั่งที่ฟังมาผิด จำมาผิด เนื่องจากฟังคำสอนที่ผิดครับ

เลิกฟังสิ่งที่ไม่ใช่คำพระพุทธองค์ครับ คำป้าเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงสอนผิดให้ผู้ฟังฟังผิดครับ

รูปมีอายุยืนกว่าหมายถึงเหตุปัจจัยที่รูปยังปรากฏว่ามี
แต่เมื่อจิตเกิดดับทีละ1ขณะทุกอย่างจึงดับสะสมพร้อมจิตค่ะ
จิตเห็นดับภวังค์มโนทวารดับภวังค์คือ1ขณะเห็นดับแล้วจึงเกิดจิตทางอื่น
จิตเห็นไม่เหลือซากแล้วไม่มีจิตทางอื่นปนด้วยคิดผิดคิดใหม่เข้าใจใหม่ได้นะคะ
จากไม่มีคืออดีตที่ดับไปแล้วรู้ไม่ได้ไงคะจึงเกิดมีนิดนึงนี่คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆแล้วดับไม่มี
อนาคตยังไม่เกิดแต่มีปัจจุบันขณะก่อนดับนิดนึงนั้นน่ะถ้าไม่ทันสัจจะตรง1นั้นที่กำลังมีแปลว่ามีกิเลส
จิตรู้รูปไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นอัพยากตาธัมมาคือกิริยาจิตไงคะและปุถุชนมีครบจิตทั้ง4ชาติก็ไม่รู้
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
Rosarin เขียน:
อ้าวระบุให้ชัดสิก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นสีทีละ1สีไม่มีรูปร่างไงเป็นสีกระทบจักขุปสาทรูปดับทันทีไงคะ
แล้วตาตัวเองน่ะกำลังเห็นสีแค่1สีไหมคะเพราะมันมีจิตทางอื่นที่มืดอีก5ทางเกิดต่อแปลว่าปรากฏได้ทีละ1รูป


นั่นเป็นสิ่งที่ รู้มาผิด จำมาผิด จากการฟังมาผิด

สิ่งที่ควรศึกษา เป็นอย่างนี้ครับ
Quote Tipitaka:
[๖๑๙] รูปที่เป็นรูปายตนะ นั้นเป็นไฉน
รูปใดที่เป็นสีต่างๆ อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เห็นได้และกระทบได้ ได้แก่
สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียวใบไม้ สีม่วง ยาว
สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม
ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์
แสงดาว แสงกระจก แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงแก้วมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์
แสงทอง แสงเงิน หรือรูปแม้อื่นใดที่เป็นสีต่างๆ ซึ่งอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่
เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่ เพราะปรารภรูปใด จักขุสัมผัสอาศัยจักษุ เคยเกิด
กำลังเกิด จักเกิด หรือพึงเกิด ฯลฯ เพราะปรารภรูปใด เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส
ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขุวิญญาณอาศัยจักษุ เคยเกิด กำลังเกิด จักเกิด
หรือพึงเกิด ฯลฯ จักขุสัมผัส มีรูปใดเป็นอารมณ์ อาศัยจักษุ เคยเกิด กำลังเกิด
จักเกิด หรือพึงเกิด ฯลฯ เวทนาที่เกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา
ฯลฯ จักขุวิญญาณมีรูปใดเป็นอารมณ์ อาศัยจักษุ เคยเกิด กำลังเกิด จักเกิด หรือ
พึงเกิด นี้ชื่อว่ารูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปนี้ชื่อว่าเป็นรูปายตนะ

และ
หากนับอายุรูป ไม่ดับทันทีครับ
เพราะรูป เป็นจิตตวิปปยุตครับ มีอายุยาวสุดได้ถึง 17 ขณะจิต หรือ 51อนุขณะในปัญญทวารวิถีครับ
รูปที่มีอายุสั้นกว่า 17 ขณะ ตย.ก็มีครับ คือ รูปวิญญัติ เช่น กายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติ มีอายุเพียง 1 ขณะจิต หรือ3 อนุขณะ เนื่องจากเป็นจิตตสหภูรูป

Quote Tipitaka:
[๖๖๘] รูปที่เกิดพร้อมกับจิต นั้นเป็นไฉน
กายวิญญัติ และวจีวิญญัติ รูปนี้ชื่อว่าเกิดพร้อมกับจิต


ดังนั้น วัณณนิภา ไม่ใช่หมายถึง สีทีละสี ดั่งที่ฟังมาผิด จำมาผิด เนื่องจากฟังคำสอนที่ผิดครับ

เลิกฟังสิ่งที่ไม่ใช่คำพระพุทธองค์ครับ คำป้าเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงสอนผิดให้ผู้ฟังฟังผิดครับ

รูปมีอายุยืนกว่าหมายถึงเหตุปัจจัยที่รูปยังปรากฏว่ามี
แต่เมื่อจิตเกิดดับทีละ1ขณะทุกอย่างจึงดับสะสมพร้อมจิตค่ะ
จิตเห็นดับภวังค์มโนทวารดับภวังค์คือ1ขณะเห็นดับแล้วจึงเกิดจิตทางอื่น
จิตเห็นไม่เหลือซากแล้วไม่มีจิตทางอื่นปนด้วยคิดผิดคิดใหม่เข้าใจใหม่ได้นะคะ
จากไม่มีคืออดีตที่ดับไปแล้วรู้ไม่ได้ไงคะจึงเกิดมีนิดนึงนี่คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆแล้วดับไม่มี
อนาคตยังไม่เกิดแต่มีปัจจุบันขณะก่อนดับนิดนึงนั้นน่ะถ้าไม่ทันสัจจะตรง1นั้นที่กำลังมีแปลว่ามีกิเลส
จิตรู้รูปไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นอัพยากตาธัมมาคือกิริยาจิตไงคะและปุถุชนมีครบจิตทั้ง4ชาติก็ไม่รู้
:b12:
:b4: :b4:

:b4: :b4: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ขณิกะมรณะตายทุกขณะ
จิตออกจากร่างไปแบบไม่รู้ค่ะ
เข้าร่างใหม่เร็วแบบกะพริบตาไงคะ
พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีสติทุกขณะทั้ง
ก่อนเกิดตรวจดูที่เกิดก่อนมีสติตั้งแต่เกิดจนตาย
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
รู้ทันปัจจุบัน
อดีตอนาคต
ก็รวมลงปัจจุบัน
ทันคือรู้ทันคือละไม่รู้
กิเลสแทรกเข้าไม่ได้ไงคะ
เป็นสติสัมปชัญญะสติปัฏฐานสี่ส่วนปัญญาเพิ่มทีละน้อยตามที่เข้าใจจากฟังค่ะ
สติปัฏฐานสี่เลือกฐานไม่ได้ต้องตามรู้ตรงฐานที่เกิดแล้วก่อนดับ
:b4: :b4:


คิกๆๆ สติ หมายถึงอะไร
สัมปชัญญะ หมายถึงอะไร
สติปัฏฐานมีสี่ ไม่ถาม (เพราะบอกอยู่ว่ามีสี่) แต่จะถามว่า สติปัฏฐานสี่ ใช้ปฏิบัติยังไงจึงว่ารวมลงในปัจจุบัน

ทุกคำในพระไตรปิฎกคือปัจจุบันขณะ
เป็นจิตแต่ละ1ดวงเกิดดับสลับกันไม่ซ้ำ
ดับไม่ย้อนกลับมาให้รู้อีกเป็นอนันตกาล
ไม่มีใครเลยสักคนมีแต่นิมิตที่ปรากฏไงคะ
สติสัมปชัญญาคือปัญญินทรีย์รู้ตัวทั่วพร้อม
:b32: :b32:



ถามว่า เขาฝึกสติปัฏฐานยังไง คือว่า ที่สำนักบ้านธัมมะนั่นน่า ฝึกหัดปฏิบัติสติปัฏฐานกันยังไงแบบไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
อ้าวระบุให้ชัดสิก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเห็นสีทีละ1สีไม่มีรูปร่างไงเป็นสีกระทบจักขุปสาทรูปดับทันทีไงคะ
แล้วตาตัวเองน่ะกำลังเห็นสีแค่1สีไหมคะเพราะมันมีจิตทางอื่นที่มืดอีก5ทางเกิดต่อแปลว่าปรากฏได้ทีละ1รูป

รูปมีอายุยืนกว่าหมายถึงเหตุปัจจัยที่รูปยังปรากฏว่ามี

เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำของพระพุทธองค์
คำพูดจึงขัดแย้งกันเอง

Rosarin เขียน:
แต่เมื่อจิตเกิดดับทีละ1ขณะทุกอย่างจึงดับสะสมพร้อมจิตค่ะ


เพราะรู้มาผิด จำมาผิด จากคำสอนอันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์
จึงเกิดความเข้าใจผิดๆ ว่า รูปดับสะสมพร้อมจิต

Rosarin เขียน:
จิตเห็นดับภวังค์มโนทวารดับภวังค์คือ1ขณะเห็นดับแล้วจึงเกิดจิตทางอื่น
จิตเห็นไม่เหลือซากแล้วไม่มีจิตทางอื่นปนด้วยคิดผิดคิดใหม่เข้าใจใหม่ได้นะคะ
จากไม่มีคืออดีตที่ดับไปแล้วรู้ไม่ได้ไงคะจึงเกิดมีนิดนึงนี่คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆแล้วดับไม่มี
อนาคตยังไม่เกิดแต่มีปัจจุบันขณะก่อนดับนิดนึงนั้นน่ะถ้าไม่ทันสัจจะตรง1นั้นที่กำลังมีแปลว่ามีกิเลส
จิตรู้รูปไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นอัพยากตาธัมมาคือกิริยาจิตไงคะและปุถุชนมีครบจิตทั้ง4ชาติก็ไม่รู้


นี่ก็เป็นตัวอย่างของ การจำมาผิด รู้มาผิด จากคำสอนผิดๆ เช่นกัน

เพราะปราศจากการฟังจากคำสอนครูอาจารย์ซึ่งทรงปริยัติอย่างถูกต้อง ถึงเหตุปัจจัยในกระแสแห่งปัญญจทวารวิถี
จึงเข้าใจไปว่า จิตเห็นดับภวังค์ 1 ขณะ แล้วเกิดจิตทางอื่น

ความเข้าใจผิดๆ พลาดๆ คลาดเคลื่อนจากกระแสแห่งนามรูปตามเป็นจริงอย่างนี้
การเจริญสติปัฏฐานใดก็ตามจึงเกิดขึ้นไม่ได้เลย
สิ่งที่คิดสิ่งที่ทำ จึงเป็นเพียงมโนเอาล้วนๆ จากความรู้ ความจำผิดๆ

บอกหลายหนแล้วนะครับ
ว่า
ควรขวนขวายหาความรู้ ฟังธรรมชั้นลึกๆ จากครูอาจารย์ที่มีความรู้ถูกต้องตรงตามคำพระพุทธองค์
ไม่ใช่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองจน เกิดถิรสัญญา อันนำไปสู่ความคิดผิด

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ขณิกะมรณะตายทุกขณะ
จิตออกจากร่างไปแบบไม่รู้ค่ะ
เข้าร่างใหม่เร็วแบบกะพริบตาไงคะ
พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีสติทุกขณะทั้ง
ก่อนเกิดตรวจดูที่เกิดก่อนมีสติตั้งแต่เกิดจนตาย
onion onion onion

เลื่อนลงมาอ่าน
แทบตะลึง ว่าทำไมหนอจึงรู้ผิด คิดผิด Go so big ได้เพียงนี้
แม้กระทั่งขณิกมรณะ ยังถูกสอนว่า จิตออกจากร่าง

มีจิตอย่างหนึ่ง ร่างอย่างหนึ่ง
มีจิตออก มีจิตเข้า

อัตตาชัดๆ เลยบัดนี้

ขณิกะมรณะ ถูกใช้ในอนุขณะจิตครับ คือ อุบัติ ฐิติ ภังคะขณะครับ
เรียนมาใหม่ศึกษาใหม่ จากครูที่มีสัมมาทิฏฐินะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ขณิกะมรณะตายทุกขณะ
จิตออกจากร่างไปแบบไม่รู้ค่ะ
เข้าร่างใหม่เร็วแบบกะพริบตาไงคะ

พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีสติทุกขณะทั้ง
ก่อนเกิดตรวจดูที่เกิดก่อนมีสติตั้งแต่เกิดจนตาย


คคห.คุณโรสออกแนวๆพุทธผสมโยคี ให้ดูหัวข้อ

หลักของโยคี

ลัทธิของโยคี เขาถือว่าในมนุษย์เรามีส่วนใหญ่ที่แบ่งออกได้เป็น ๗ ส่วน คือ

๗. วิญญาณ
๖. ดวงจิต
๕. ปัญญา
๔. สัญญา
๓. ปราณ
๒. เจตภูต
๑. กาย

การที่เรียงลำดับ ๗ ลงมาหา ๑ นั้น ก็เพื่อให้เห็นว่าวิญญาณเป็นธรรมชาติที่สูงสุด และกายเป็นธรรมชาติต่ำที่สุด

(จากหนังสือ วิชชาแปดประการ พล.ต. หลวงวิจิตรวาทการ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ขณิกะมรณะตายทุกขณะ
จิตออกจากร่างไปแบบไม่รู้ค่ะ
เข้าร่างใหม่เร็วแบบกะพริบตาไงคะ

พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีสติทุกขณะทั้ง
ก่อนเกิดตรวจดูที่เกิดก่อนมีสติตั้งแต่เกิดจนตาย


คคห.คุณโรสออกแนวๆพุทธผสมโยคี ให้ดูหัวข้อ

หลักของโยคี

ลัทธิของโยคี เขาถือว่าในมนุษย์เรามีส่วนใหญ่ที่แบ่งออกได้เป็น ๗ ส่วน คือ

๗. วิญญาณ
๖. ดวงจิต
๕. ปัญญา
๔. สัญญา
๓. ปราณ
๒. เจตภูต
๑. กาย

การที่เรียงลำดับ ๗ ลงมาหา ๑ นั้น ก็เพื่อให้เห็นว่าวิญญาณเป็นธรรมชาติที่สูงสุด และกายเป็นธรรมชาติต่ำที่สุด

(จากหนังสือ วิชชาแปดประการ พล.ต. หลวงวิจิตรวาทการ)

:b32:
มีแต่ตัวเองนั่นแหละมีความคิดเห็นเพี๊ยนไปตามสิ่งที่อ่าน
คริคริคริความจริงตามคำสอนทรงแสดงให้รู้ความจริงค่ะ
ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้คืออดีตรู้ไม่ได้ผ่านไปแล้วและอนาคตยัง
มาไม่ถึงแปลว่ารู้ไม่ได้ไงคะจะรู้ต้องรู้ตรงขณะเดี๋ยวนี้มีแล้ว
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
รู้ทันปัจจุบัน
อดีตอนาคต
ก็รวมลงปัจจุบัน
ทันคือรู้ทันคือละไม่รู้
กิเลสแทรกเข้าไม่ได้ไงคะ
เป็นสติสัมปชัญญะสติปัฏฐานสี่ส่วนปัญญาเพิ่มทีละน้อยตามที่เข้าใจจากฟังค่ะ
สติปัฏฐานสี่เลือกฐานไม่ได้ต้องตามรู้ตรงฐานที่เกิดแล้วก่อนดับ
:b4: :b4:


คิกๆๆ สติ หมายถึงอะไร
สัมปชัญญะ หมายถึงอะไร
สติปัฏฐานมีสี่ ไม่ถาม (เพราะบอกอยู่ว่ามีสี่) แต่จะถามว่า สติปัฏฐานสี่ ใช้ปฏิบัติยังไงจึงว่ารวมลงในปัจจุบัน

ทุกคำในพระไตรปิฎกคือปัจจุบันขณะ
เป็นจิตแต่ละ1ดวงเกิดดับสลับกันไม่ซ้ำ
ดับไม่ย้อนกลับมาให้รู้อีกเป็นอนันตกาล
ไม่มีใครเลยสักคนมีแต่นิมิตที่ปรากฏไงคะ
สติสัมปชัญญาคือปัญญินทรีย์รู้ตัวทั่วพร้อม
:b32: :b32:



ถามว่า เขาฝึกสติปัฏฐานยังไง คือว่า ที่สำนักบ้านธัมมะนั่นน่า ฝึกหัดปฏิบัติสติปัฏฐานกันยังไงแบบไหน

ศึกษาคำสอนเข้าใจเพื่อละไม่รู้ที่กำลังมีจากการฟังไงคะ
จึงเป็นการพึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงยกคำสอนขึ้น
เป็นศาสดาไม่ได้มอบให้(เกจิ=อื่นๆ)อาจารย์ขึ้นแทนไงคะ
ดังนั้นการศึกษาคำสอนต้องมีปัญญาเพราะคำตถาคตตรง
คือต้องกำลังรู้สิ่งที่เกิดแล้วตรงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงปัจจุบัน
ขณะที่กำลังเห็นกำลังได้ยินทุกอย่างเลยทั้ง6ทางกำลังมีแล้ว
เพียงแต่ไม่เพียรรู้ความจริงตามปกติมีแต่คิดจะไปทำไม่รู้เพิ่มอีก
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
รู้ทันปัจจุบัน
อดีตอนาคต
ก็รวมลงปัจจุบัน
ทันคือรู้ทันคือละไม่รู้
กิเลสแทรกเข้าไม่ได้ไงคะ
เป็นสติสัมปชัญญะสติปัฏฐานสี่ส่วนปัญญาเพิ่มทีละน้อยตามที่เข้าใจจากฟังค่ะ
สติปัฏฐานสี่เลือกฐานไม่ได้ต้องตามรู้ตรงฐานที่เกิดแล้วก่อนดับ
:b4: :b4:


คิกๆๆ สติ หมายถึงอะไร
สัมปชัญญะ หมายถึงอะไร
สติปัฏฐานมีสี่ ไม่ถาม (เพราะบอกอยู่ว่ามีสี่) แต่จะถามว่า สติปัฏฐานสี่ ใช้ปฏิบัติยังไงจึงว่ารวมลงในปัจจุบัน

ทุกคำในพระไตรปิฎกคือปัจจุบันขณะ
เป็นจิตแต่ละ1ดวงเกิดดับสลับกันไม่ซ้ำ
ดับไม่ย้อนกลับมาให้รู้อีกเป็นอนันตกาล
ไม่มีใครเลยสักคนมีแต่นิมิตที่ปรากฏไงคะ
สติสัมปชัญญาคือปัญญินทรีย์รู้ตัวทั่วพร้อม
:b32: :b32:



ถามว่า เขาฝึกสติปัฏฐานยังไง คือว่า ที่สำนักบ้านธัมมะนั่นน่า ฝึกหัดปฏิบัติสติปัฏฐานกันยังไงแบบไหน

ศึกษาคำสอนเข้าใจเพื่อละไม่รู้ที่กำลังมีจากการฟังไงคะ
จึงเป็นการพึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงยกคำสอนขึ้น
เป็นศาสดาไม่ได้มอบให้(เกจิ=อื่นๆ)อาจารย์ขึ้นแทนไงคะ
ดังนั้นการศึกษาคำสอนต้องมีปัญญาเพราะคำตถาคตตรง

คือต้องกำลังรู้สิ่งที่เกิดแล้วตรงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงปัจจุบัน
ขณะที่กำลังเห็นกำลังได้ยินทุกอย่างเลยทั้ง6ทางกำลังมีแล้ว
เพียงแต่ไม่เพียรรู้ความจริงตามปกติมีแต่คิดจะไปทำไม่รู้เพิ่มอีก


ก็นั่นน่าซี่ แล้วทำไมคุณโรสถึงฟังแต่คลิปศาสดีบริหารฯเล่า ทำไมไม่ฟังคำตถาคต :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ขณิกะมรณะตายทุกขณะ
จิตออกจากร่างไปแบบไม่รู้ค่ะ
เข้าร่างใหม่เร็วแบบกะพริบตาไงคะ

พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีสติทุกขณะทั้ง
ก่อนเกิดตรวจดูที่เกิดก่อนมีสติตั้งแต่เกิดจนตาย


คคห.คุณโรสออกแนวๆพุทธผสมโยคี ให้ดูหัวข้อ

หลักของโยคี

ลัทธิของโยคี เขาถือว่าในมนุษย์เรามีส่วนใหญ่ที่แบ่งออกได้เป็น ๗ ส่วน คือ

๗. วิญญาณ
๖. ดวงจิต
๕. ปัญญา
๔. สัญญา
๓. ปราณ
๒. เจตภูต
๑. กาย

การที่เรียงลำดับ ๗ ลงมาหา ๑ นั้น ก็เพื่อให้เห็นว่าวิญญาณเป็นธรรมชาติที่สูงสุด และกายเป็นธรรมชาติต่ำที่สุด

(จากหนังสือ วิชชาแปดประการ พล.ต. หลวงวิจิตรวาทการ)

:b32:
มีแต่ตัวเองนั่นแหละมีความคิดเห็นเพี๊ยนไปตามสิ่งที่อ่าน
คริคริคริความจริงตามคำสอนทรงแสดงให้รู้ความจริงค่ะ
ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้คืออดีตรู้ไม่ได้ผ่านไปแล้วและอนาคตยัง
มาไม่ถึงแปลว่ารู้ไม่ได้ไงคะจะรู้ต้องรู้ตรงขณะเดี๋ยวนี้มีแล้ว
:b32: :b32:



อ้างคำพูด:
จิตออกจากร่างไปแบบไม่รู้ค่ะ
เข้าร่างใหม่เร็วแบบกะพริบตาไงคะ


นี่แหละที่ว่าทำนองลัทธิโยคี :b35: เข้าร่างใหม่เร็วแบบกระพริบตาว่า พูดเหมือนว่าไปสร้างร่างดักรอไว้แล้วงั้นแหละเออ :b13:

ให้ดูเจตภูต

๒. เจตภูต เจตภูตเป็นกายอีกกายหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะละเอียดกว่ากายธรรมดา เพราะตามปกติเราเห็นด้วยตาไม่ได้ แต่ก็ยังหยาบกว่าธรรมชาติอีก ๕ ประการข้างบน เพราะเจตภูตนี้ยังอาจเห็นได้ด้วยตา ในบางครั้ง เจตภูตเป็นสิ่งที่คนสมัยโบราณรู้จักดีที่สุด และเป็นบ่อเกิดแห่งการถือลางหรือผีสาง หรือสิ่งลึกลับอะไรต่างๆ แต่ตามลัทธิของโยคีนั้น เจตภูตเป็นส่วนหนึ่งของกายทีเดียว แยกออกจากกายได้เป็นบางครั้ง เช่น เวลานอนหลับ การที่แยกออกไปนั้นก็ยังมีความเกี่ยวพันกับกายอยู่ คล้ายกับมีสายใยผูกติดกันไว้ สามารถจะดึงเอากลับเข้ามาสู่กายในเมื่อต้องการ ในบางถูกดึงเข้ามาโดยแรงหรือเร็วเกินไป เจตภูตก็กระทบกายอย่างแรงจนคนเรารู้สึกตัว อย่างเช่น เรานอนหลับอย่างสบาย เจตภูตกำลังออกจากกายไปท่องเที่ยวอย่างเพลิดเพลิน พอเกิดมีเสียงโครมครามขึ้นข้างๆ ตัวเราตกใจตื่น สายใยดึงเอาเจตภูตเข้ามาสู่กายทันที กระทบกายอย่างแรง จนเมื่อเวลาเราตื่นนั้น เรารู้สึกใจเต้น หรือตัวสั่นอยู่นานๆ

เมื่อ กายแตกทำลายลง ที่เราเรียกว่า "ตาย" เจตภูต ซึ่งไม่มีกายจะอยู่ก็ท่องเที่ยวไป จนบางครั้งกระทำให้คนอื่นเห็นประจักษ์ตา อย่างที่เราเรียกกันว่า "ปีศาจ" ในเรื่องกาย กับ เจตภูตนี้ อาจเปรียบเทียบได้อย่างดีกับตัวเรา และบ้านของเรา สมมติว่าเรามีบ้าน ซึ่งเราอยู่มานานจวนพังแล้ว เรารู้ว่าบ้านนั้น จะพังลงมาวันหนึ่ง จึงเตรียมแสวงหาที่อยู่ไว้ใหม่ เมื่อบ้านนั้นพังทลายลงไปจริงๆ เราก็ไปอยู่บ้านใหม่ทีเดียว โดยไม่ต้องวนเวียนอยู่ที่เก่า หรือต้องวิ่งไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ แต่ถ้าบ้านของเรายังดีอยู่แท้ๆ เราไม่เคยนึกว่าบ้านจะทำลาย บังเอิญเกิดภัยพิบัติเช่นอัคีภัย มาทำลายบ้านของเราลงไปโดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่ได้เตรียมแสวงหาที่อื่นไว้เช่นนี้ เราก็มีอยู่สองทาง ทางหนึ่ง วิ่งไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ อีกทางหนึ่ง ถ้าเราไม่รู้จะไปอาศัยใคร เราก็ต้องวนเวียนอยู่ในบริเวณบ้านเก่าที่ทำลายไปแล้ว ตากแดด ตากฝนอยู่ในที่นั้น จนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้ ดังนี้ ฉันใด เจตภูตก็ฉันนั้น

เมื่อกายเจ็บปวดทนทุกขเวทนาอยู่นาน เช่นเป็นโรคเรื้อรังแรมปี เจตภูตรู้ตัวแล้วว่ากายนี้จะทนทานอยู่ไม่ได้นาน ก็เริ่มท่องเที่ยวออกมองหาที่ไปที่อยู่ไว้ก่อน พอกายอันนี้ทำลายลง เจตภูตก็ออกจากกายโดยเรียบร้อย ไม่ต้องวนเวียนไปมาอยู่ใกล้ๆ แต่ถ้าร่างกายทำลายลงเพราะอุบัติเหตุ เช่น ถูกรถทับตาย ถูกฆ่าตาย หรือตายด้วยโรคปัจจุบันอย่างใดอย่างหนึ่ง เจตภูตต้องออกจากกายโดยมิทันเตรียมตัว ไม่รู้จะไปทางไหน จึงต้องวนเวียนอยู่ที่นั่นเอง หรือวิ่งไปหาญาติพี่น้องที่ตนรักใคร่ จนถึงกับในบางครั้งไปปรากฏแก่ตาของใครคนหนึ่งเข้า จึงถูกเรียกว่า "ปีศาจ" และเพราะเหตุนี้เอง คนที่ตายด้วยโรคเรื้อรังทนทุกขเวทนาตลอดกาลนานนั้น ไม่ค่อยจะมีใครเห็น "ปีศาจ" แต่คนที่ตายโดยปัจจุบันทันด่วน มักจะมีคนเห็น "ปีศาจ" บ่อยๆ จนเราถือกันว่าคนที่ตายโหงมักจะผีดุ

แต่ถ้าเราเชื่อ ตามลัทธิของโยคีที่อธิบายมานี้แล้ว เราจะไม่กลัวผีเลย เพราะสิ่งที่เราเรียกว่า "ผี" หรือ "ปีศาจ" ซึ่งเราหมายความถึงธรรมชาติที่ดุร้ายอะไรต่างๆ นั้น ที่จริงก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนี้เอง และมีอยู่ตั้งแต่เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีขึ้นแต่เมื่อเราตายไปแล้ว

นอกจากนั้น หนังสือของโยคีรามะจรกะ ยังยืนยันต่อไปว่า เจตภูตเป็นของที่เราใช้ทำประโยชน์ได้ ในเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ กล่าวคือ เมื่อฝึกฝนดีแล้ว เราอาจบังคับให้เจตภูตของเราไปปรากฏในที่ใดก็ได้ แต่จะให้พูดให้ทำอะไรได้หรือไม่นั้น หนังสือไม่ได้กล่าวถึง กล่าวแต่ว่าสามารถจะให้สืบข่าว หรือทราบกาลล่วงหน้าได้ในเวลาเราหลับ และเจตภูตจะนำความที่ตนทราบนั้นมารายงานต่อเรา จนปรากฏเป็นความฝัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
รู้ทันปัจจุบัน
อดีตอนาคต
ก็รวมลงปัจจุบัน
ทันคือรู้ทันคือละไม่รู้
กิเลสแทรกเข้าไม่ได้ไงคะ
เป็นสติสัมปชัญญะสติปัฏฐานสี่ส่วนปัญญาเพิ่มทีละน้อยตามที่เข้าใจจากฟังค่ะ
สติปัฏฐานสี่เลือกฐานไม่ได้ต้องตามรู้ตรงฐานที่เกิดแล้วก่อนดับ
:b4: :b4:


คิกๆๆ สติ หมายถึงอะไร
สัมปชัญญะ หมายถึงอะไร
สติปัฏฐานมีสี่ ไม่ถาม (เพราะบอกอยู่ว่ามีสี่) แต่จะถามว่า สติปัฏฐานสี่ ใช้ปฏิบัติยังไงจึงว่ารวมลงในปัจจุบัน

ทุกคำในพระไตรปิฎกคือปัจจุบันขณะ
เป็นจิตแต่ละ1ดวงเกิดดับสลับกันไม่ซ้ำ
ดับไม่ย้อนกลับมาให้รู้อีกเป็นอนันตกาล
ไม่มีใครเลยสักคนมีแต่นิมิตที่ปรากฏไงคะ
สติสัมปชัญญาคือปัญญินทรีย์รู้ตัวทั่วพร้อม
:b32: :b32:



ถามว่า เขาฝึกสติปัฏฐานยังไง คือว่า ที่สำนักบ้านธัมมะนั่นน่า ฝึกหัดปฏิบัติสติปัฏฐานกันยังไงแบบไหน

ศึกษาคำสอนเข้าใจเพื่อละไม่รู้ที่กำลังมีจากการฟังไงคะ
จึงเป็นการพึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงยกคำสอนขึ้น
เป็นศาสดาไม่ได้มอบให้(เกจิ=อื่นๆ)อาจารย์ขึ้นแทนไงคะ
ดังนั้นการศึกษาคำสอนต้องมีปัญญาเพราะคำตถาคตตรง

คือต้องกำลังรู้สิ่งที่เกิดแล้วตรงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงปัจจุบัน
ขณะที่กำลังเห็นกำลังได้ยินทุกอย่างเลยทั้ง6ทางกำลังมีแล้ว
เพียงแต่ไม่เพียรรู้ความจริงตามปกติมีแต่คิดจะไปทำไม่รู้เพิ่มอีก


ก็นั่นน่าซี่ แล้วทำไมคุณโรสถึงฟังแต่คลิปศาสดีบริหารฯเล่า ทำไมไม่ฟังคำตถาคต :b32:

Kiss
สงสัยก็หัดฟังเสียบ้างสิ
เกจิสายกรรมฐานเราก็ฟังมาเยอะ
ไม่งั้นจะเปรียบเทียบได้ไงว่าอะไรเป็นอะไร
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ก็นั่นน่าซี่ แล้วทำไมคุณโรสถึงฟังแต่คลิปศาสดีบริหารฯเล่า ทำไมไม่ฟังคำตถาคต :b32:



สงสัยก็หัดฟังเสียบ้างสิ
เกจิสายกรรมฐานเราก็ฟังมาเยอะ
ไม่งั้นจะเปรียบเทียบได้ไงว่าอะไรเป็นอะไร
[/quote]

รับแล้วว่าฟังคลิปแม่บริหารฯ ไม่ใช่ฟังคำตถาคต :b32:

ฟังอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องคิดเป็นด้วย ฟังเอา คิดเอา ยังไม่พ่อ ต้องภาวนาด้วย เป็นสุตะ จินตะ ภาวนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ก็นั่นน่าซี่ แล้วทำไมคุณโรสถึงฟังแต่คลิปศาสดีบริหารฯเล่า ทำไมไม่ฟังคำตถาคต :b32:


Rosarin เขียน:
สงสัยก็หัดฟังเสียบ้างสิ
เกจิสายกรรมฐานเราก็ฟังมาเยอะ
ไม่งั้นจะเปรียบเทียบได้ไงว่าอะไรเป็นอะไร


รับแล้วว่าฟังคลิปแม่บริหารฯ ไม่ใช่ฟังคำตถาคต :b32:

ฟังอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องคิดเป็นด้วย ฟังเอา คิดเอา ยังไม่พ่อ ต้องภาวนาด้วย เป็นสุตะ จินตะ ภาวนา

Kiss
ฟังไม่เข้าใจแปลว่าปัญญาไม่พอนะคะ
เพราะกว่าจะเข้าใจแล้วทิ้งความเห็นผิด
มันอาจทำไม่ได้เลยตลอดชาตินี้ก็เป็นได้น๊า
เพราะคำจริงตถาคตดับความเห็นผิดตรงขณะ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ก็นั่นน่าซี่ แล้วทำไมคุณโรสถึงฟังแต่คลิปศาสดีบริหารฯเล่า ทำไมไม่ฟังคำตถาคต :b32:


Rosarin เขียน:
สงสัยก็หัดฟังเสียบ้างสิ
เกจิสายกรรมฐานเราก็ฟังมาเยอะ
ไม่งั้นจะเปรียบเทียบได้ไงว่าอะไรเป็นอะไร


รับแล้วว่าฟังคลิปแม่บริหารฯ ไม่ใช่ฟังคำตถาคต :b32:

ฟังอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องคิดเป็นด้วย ฟังเอา คิดเอา ยังไม่พ่อ ต้องภาวนาด้วย เป็นสุตะ จินตะ ภาวนา

Kiss
ฟังไม่เข้าใจแปลว่าปัญญาไม่พอนะคะ
เพราะกว่าจะเข้าใจแล้วทิ้งความเห็นผิด
มันอาจทำไม่ได้เลยตลอดชาตินี้ก็เป็นได้น๊า
เพราะคำจริงตถาคตดับความเห็นผิดตรงขณะ


บอกว่าฟังอย่างเดียวถูกจูงได้ง่าย จึงบอกว่าฟังอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีจินตะ คือ รู้จักคิด คิดเป็น (โยนิโสมนสิการ) อีกด้วย ฟัง, คิด สองอย่างก็ยังไม่พอ เพราะคิดเอง เออเองได้ง่าย ต้องภาวนาด้วย ภาวนานี่แหละ ตัวตัดสินว่า สภาวะซึ่งมิใช่เกิดจากมโนเป็นฉันใด :b13:

ตัวอย่างภาวนา

อ้างคำพูด:
ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ น่าจะเหมาะกับตัวเราก็เลยปฏิบัติแนวนนี้มาตลอดครับ เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดัวเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ผมก็มองดูเอ..หรือเราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม. พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว แต่ใจนึงก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้ เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญา ตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ...



แม่บริหารฯ เรียนอภิธรรมกับ อ.แนบ นี่เอง :b32: กรัชกายน้อยเคยสนทนากับ สมช.ลานนี่แหละ ซึ่งใช้ชื่อเฉลิมศักดิ์ ศิษย์ อ.แนบเหมือนกัน แต่ปัจจุบันเห็นอยู่ที่พันทิพโน่น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร