วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 20:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 205 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2018, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่รู้ว่าใครกัน...เป็น...ป้าทำคุณโรสเสียคน...หรือ..คุณโรสทำป้าแกเสียคน กันแน่?

แต่ที่แน่ๆ...ผมต้องขอบคุณ..คุณโรส..ที่ทำให้ผมลองฟังป้าแกมากขึ้น.. ลองฟังทีละคำ

เกิดความรู้สึกหลายๆอย่าง...ใหม่ก็มี..เน้นย้ำของเก่าๆให้ชัดเจนขึ้นก็มี..รู้สึกแล้วก็ปลงๆ

เก่าๆ..ก็อย่างเช่น....

แม้อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา...อลัชชีบางคน..ทำให้คนหลายพันหลายหมื่นคนหันมาทำบุญทำทาน..รักษาศีล..มากกว่าคนดีหลายๆคนซะอีก...เห็นคนที่มาฟังป้าแกแล้วก็รู้ว่าล้วนต้องการความดีความเจริญ...จึงดิ้นรนไขว่คว้ามาฟัง......ก็ลองก้มดูตัวเองซิว่า..ทำให้คนไม่ทำบุญหันมาทำบุญได้กี่คน..ทำให้คนไม่รักษาศีลหันกลับมารักษาศีลได้กี่คน..? จะเห็นว่าเราเองก็สู้อลัชชีไม่ได้...นี้...อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา.....จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี
(ปล. หลายคนอาจจะคิดว่า..อลัชชีทำศาสนาเสื่อมนะโว้ย...ผมกลับเห็นว่า..คนมีศรัทธาบารมีมาพอเขาไม่เสื่อมศรัทธาพระศาสนาหรอก...ส่วนคนที่ทำท่ารวนเร..แม้ไม่มีอลัชชี..ศรัทธาหัวเต่าของเขาก็ไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว..)

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...หลายคนไม่ชอบป้าแก....หลายคนก็ชอบที่จะฟังป้าแก..จะไม่เรียกว่ามีบุญมีกรรมทำร่วมกันมาได้อย่างไร...
คนที่ทำบุญร่วมชาติกับพระเทวทัต..ย่อมจะรักพระเทวทัต..ฟังพระเทวทัด..เชื่อพระเทวทัต.เป็นธรรมดา...แต่บุญกรรมมันเป็นของหมดกันได้...ภายหลังพระหลายๆรูปก็กลับมาฟังมาเชื่อตามที่พระสารีบุตรเทศน์อย่างไร...คนที่เชื่อฟังอลัชชีก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นเช่นกัน
พระเทวทัตจากนรกอเวจีในวันนี้...วันหน้ายังสามารถบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้อย่างไร.. อลัชชีวันนี้..วันหน้าก็สามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้อย่างนั้นเช่นกัน..จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี.

เป็นต้น

:b12:
คิดมากเกิน1คำตามความคิดของตนคือคิดเองตามเห็นผิดเพราะต้องเป็นพระพุทธเจ้าถึงไม่ต้องคิดตาม
อลัชชีแปลว่านักบวชที่ไม่มีความละอายและไม่เกรงกลัวบาปบวชในคำสอนทำตามสิกขาบทไม่ได้
แต่ไม่ยอมลาสิกขาแถมไม่ปลงอาบัติทำหมู่คณะเสื่อมที่ทำตามๆกันรับเงินตามๆกันไม่บอกชาวบ้าน
หลอกชาวบ้านไปวันวันไม่ทำอะไรนอกจากคิดวิธีเรี่ยไรเงินสร้างวัตถุเพื่อให้เหลือเศษเงินไว้ใช้ไงคะ
ฟังคำสอนเข้าใจมองกิเลสออกหมดจะให้ว่าไงลัชชีคือผู้ที่เข้าใจคำสอนฟังเข้าใจแล้วลาสิกขาไงคะ
ใส่บาตรอลัชชีศีล5ก็ไม่ผ่านฟังพระพุทธพจน์คือบุญสูงสุดเป็นกุศลที่ประกอบปัญญาส่งบุญเองได้
ทำไมถึงพูดถึงเด็กกินขนมจีนคลุกน้ำปลาบอกชาวบ้านไงเอาไปทำบุญกะนักเรียนยากจนดีกว่าไหม



ไม่เสียหาย ทำไปเลย บ้านเด็กกำพร้า ยังไงที่ไหนก็ไป รูปแบบอย่างนี้ไม่มีใครว่า พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ เป็นบุญทั้งนั้น เป็นทานมัย อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ 3 (เข้าใจเปล่าเนี่ย)

Kiss
แต่รู้ไหมล่ะคะว่าบวชแล้วทำแบบชาวบ้านเขาไม่ได้น่ะ
ทำสังคมสงเคราะห์แบบรับเงินเอาไปเลี้ยงดูใครไม่ได้
สละหมดมีบาตร1จีวร3ผืนไม่ต้องถือกุญแจไม่มีสมบัติ
กฏิที่พักศาลาคนก็สร้างให้อยู่ฟรีไฟฟ้ากลางคืนก็ปิดสิ
เทียนพรรษาเขาก็ถวายไม้ขีดก็มีน้ำฉันก็มีคนถวายหมด
บิณฑบาตด้วยการเดินมีขาไม่พิการหรือว่าเป็นพระขี้เกียจ
:b32: :b32:


บ้านธัมมะนำโดยบริหารสุวรรณภูมิ ล้มล้างพระรัตนตรัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2018, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห.นี้ คุณโรสก็ตามหาจิต

อ้างคำพูด:


กิเลสอยู่ที่จิตใช่ไหม แล้วตอนนี้จิตคุณอยู่ที่ไหน ถ้าคุณไม่รู้ว่าจิตคุณอยู่ตรงไหน แปลว่า คุณไม่รู้จักจิตตนเองไงคะ

มีแต่ไปท่องจำบัญญัติคำที่ตถาคตบัญญัติ
ไม่มีปัญญาจำเพื่อรู้จักจิตตนเองตรงขณะเดี๋ยวนี้ตรงไหนที่รูปหรือนามถ้าไม่รู้แปลว่าไม่ทันกิเลสตนเอง
เพราะรู้ตรง1รูปหรือ1นามตามปกติตามเป็นจริงคือสติปัญญาตรงสัจจะที่รู้ทัน1ตัวจริงธัมมะจะไปทันตอนไหน
เดี๋ยวนี้ที่ไม่ทันเลยคือความจริงที่กำลังเกิดดับปรากฏกับอวิชชาแล้วนับไม่ได้คือไม่ทัน1คือไม่รู้ทั้งหมดที่มีเลย

viewtopic.php?f=1&t=56640&p=428515#p428515


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2018, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห. นี้ คุณโรสก็ตามหาจิต

อ้างคำพูด:
ดูคุณเขียนสิ...(จิตก็ความคิด)...มีที่ไหน ตถาคตแสดงความจริงของจิตแต่ละ1

คุณกรัชกายแสดงความคิดเห็นผิดไง

จิตคิดนึกไม่ใช่จิตเห็นไม่ใช่ตัวตนด้วย

ตลกมากเลยดื้อและไม่รอบคอบ55556

viewtopic.php?f=1&t=56647


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2018, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2018, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.


จะไปแสวงหา ควานหาจิตชนิดไหนหรอคะ
ที่สามารถท่องเที่ยวออกไปจนพ้นขอบเขตอำนาจของจิตเองได้

มีแต่จิตดวงเดียว ไม่มีสรีระ ไร้ขอบเขตแห่งอำนาจ

สามารถพบได้ในทุกหนทุกแห่งทุกที่
ที่กายเดินทางไปถือกำเนิดได้ในตลอดทั้งสามภพ

จิตนั้น จะปรากฎอย่างเด่นชัด ให้เห็นสัมผัสได้ในรุปฌาน 4
คือเอกคัตตาจิต ที่คงสภาพอุเบกขา ปราศจากนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์

และสามารถเห็นได้เด่นชัดอีก ในอรูปฌาน หรือสมาบัติ 8 เป็นสภาพ ที่ไร้จากจิตสังขาร อารมณ์ปรุงแต่ง วิญญาน และสัญญา

จิตนั้นจะเห็นได้ด้วยสัมมากัมฐาน
ไม่ใช่ด้วยจินตนาการ ไม่ใช่จากอำนาจแห่งการฟังเจ็ดปี ไม่ใช่ด้วยอำนาจแห่งสัญญาการท่องจำ
ไม่ใช่ด้วยอำนาจของวิญญานอายตนะ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของความคิดปรุงแต่ง

แต่พบเห็น รู้ชัด จริง แจ้ง ได้ด้วยการปฎิบัติที่ถูกต้อง สอดคล้อง ตามพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเท่านั้นค่ะ

ผุ้ที่ไม่เรียน พระปริยัติให้ถ่องแท้ จึงไม่สามารถรู้หนทางปฎิบัติให้เห็นจริง
และไปไปสู่ปฎิเวธ ตรงตามที่พระพุทธองค์สอนได้ค่ะ

เม มาแจกความรู้ให้ฟรีๆนะคะ
เพราะ

พันปีที่สามนี้ ไม่มีใครบอกอย่างนี้เรย นะคะๆๆ









โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2018, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.


จะไปแสวงหา ควานหาจิตชนิดไหนหรอคะ
ที่สามารถท่องเที่ยวออกไปจนพ้นขอบเขตอำนาจของจิตเองได้

มีแต่จิตดวงเดียว ไม่มีสรีระ ไร้ขอบเขตแห่งอำนาจ

สามารถพบได้ในทุกหนทุกแห่งทุกที่
ที่กายเดินทางไปถือกำเนิดได้ในตลอดทั้งสามภพ

จิตนั้น จะปรากฎอย่างเด่นชัด ให้เห็นสัมผัสได้ในรุปฌาน 4
คือเอกคัตตาจิต ที่คงสภาพอุเบกขา ปราศจากนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์

และสามารถเห็นได้เด่นชัดอีก ในอรูปฌาน หรือสมาบัติ 8 เป็นสภาพ ที่ไร้จากจิตสังขาร อารมณ์ปรุงแต่ง วิญญาน และสัญญา

จิตนั้นจะเห็นได้ด้วยสัมมากัมฐาน
ไม่ใช่ด้วยจินตนาการ ไม่ใช่จากอำนาจแห่งการฟังเจ็ดปี ไม่ใช่ด้วยอำนาจแห่งสัญญาการท่องจำ
ไม่ใช่ด้วยอำนาจของวิญญานอายตนะ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของความคิดปรุงแต่ง

แต่พบเห็น รู้ชัด จริง แจ้ง ได้ด้วยการปฎิบัติที่ถูกต้อง สอดคล้อง ตามพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเท่านั้นค่ะ

ผุ้ที่ไม่เรียน พระปริยัติให้ถ่องแท้ จึงไม่สามารถรู้หนทางปฎิบัติให้เห็นจริง
และไปไปสู่ปฎิเวธ ตรงตามที่พระพุทธองค์สอนได้ค่ะ

เม มาแจกความรู้ให้ฟรีๆนะคะ
เพราะ

พันปีที่สามนี้ ไม่มีใครบอกอย่างนี้เรย นะคะๆๆ





นี่ก็ของฟรี สติปัฏฐาน ๔ (สั้นๆ) ได้แก่

@ กายานุปัสสนา

@ เวทนานุปัสสนา

@ จิตตานุปัสสนา (จิตต์ + อนุปัสสนา)

@ ธัมมานุปัสสนา

ถ้าใช้ภาษาสมมติ ก็ว่า นี่เท่ากับคนๆหนึ่งๆ

เบื้องต้นต้องเข้าใจว่า อันว่า การปฏิบัติธรรมแนวสติปัฏฐาน ๔ อย่างนั้น ไม่ใช่ไปนั่งคิดนั่งทำกันทีละข้อๆตามลำดับ ไม่ใช่ ไม่ใช่ นั่งอยู่ตรงนี้ตรงนั้น 5 นาที 10 นาที มีหมดเข้าหมด ส่วนตัวจะเข้าใจ ไม่เข้าใจวิธีปฏิบัตินั่น จะไปโทษอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2018, 10:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วางคาถาไว้

ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.



ตรงนี้เข้าใจเลยครับ เมื่อมีกี่วันก่อนนี้ หากผมไม่หลงผิดไป ก็แสดงว่าผมได้เห็นจริง เป็นสภาพที่จิตรวมอยู่ภายใน ซึ่งแรกที่รู้สึกมันมืด สงบไม่มีอะไร สภาวะแวดล้อมเหมือนอยู่ในถ้ำ ซึ่งถ้ำนั้นเป็นคือรูปกายทั้งหมดเหมือนกายมันใหญ่มากที่จิตเราอาศัยอยู่นี้ ในขณะเกิดก็เปิดไฟเปิดโทรทัศน์ไป จิตไม่สนใจภายนอกแต่รู้อยู่

โดยผมทำเหมือนว่าเราตายแล้ว เพราะร่างกายเจ็บป่วยมีแต่โรค มันเอือมระอากับกายนี้ที่เจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา กายนี้ไม่ใช่ที่อาศัยของเราอีกต่อไปแล้ว จักจรไปจากกายที่เจ็บป่วยประชุมไปด้วยโรค ภัย ไข้ เจ็บทั้งสิ้นนี้แล้ว จิตรวมไว้ในภายในไม่ทำความยึดกาย ไม่ทำเจตนาอื่นทางกาย ทิ้งความรู้สึกทางกาย เราตายแล้ว ไม่มีเราในกายนี้อีกแล้ว เมื่อจิตสงบได้เป็นสมาธินิดหน่อยก็เกิดอาการนี้ขึ้น เรา คือตัวรู้อยู่ในโพรงถ้ำมืด ซึ่งถ้ำนั้นเรารู้ว่าเป็นกายที่เราอาศัยอยู่ แต่จิตมันไม่รับสัมผัสทางกายแล้วนิ่งรู้อยู่ที่อาการที่อยู่ในโพรงถ้ำ

สิ่งที่เห็นนี้ก็คงมีทั้งจริงและไม่จริง หรือของปลอมทั้งหมด แต่ก็เอามาโยนิโสในขณะนั้นได้ว่า กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กาย จิตเราแค่จรมาอาศัยถ้ำ คือกายที่พ่อแม่ให้มานี้ เมื่อเอาใจเข้ายึดครองก็จึงเกิดเป็นตัวตนสืบต่อขึ้นมา แต่มีันทำให้เข้าใจความหมายของประโยคที่คุณ กรัชกาย ยกมาได้ครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2018, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.


จะไปแสวงหา ควานหาจิตชนิดไหนหรอคะ
ที่สามารถท่องเที่ยวออกไปจนพ้นขอบเขตอำนาจของจิตเองได้

มีแต่จิตดวงเดียว ไม่มีสรีระ ไร้ขอบเขตแห่งอำนาจ

สามารถพบได้ในทุกหนทุกแห่งทุกที่
ที่กายเดินทางไปถือกำเนิดได้ในตลอดทั้งสามภพ

จิตนั้น จะปรากฎอย่างเด่นชัด ให้เห็นสัมผัสได้ในรุปฌาน 4
คือเอกคัตตาจิต ที่คงสภาพอุเบกขา ปราศจากนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์

และสามารถเห็นได้เด่นชัดอีก ในอรูปฌาน หรือสมาบัติ 8 เป็นสภาพ ที่ไร้จากจิตสังขาร อารมณ์ปรุงแต่ง วิญญาน และสัญญา

จิตนั้นจะเห็นได้ด้วยสัมมากัมฐาน
ไม่ใช่ด้วยจินตนาการ ไม่ใช่จากอำนาจแห่งการฟังเจ็ดปี ไม่ใช่ด้วยอำนาจแห่งสัญญาการท่องจำ
ไม่ใช่ด้วยอำนาจของวิญญานอายตนะ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของความคิดปรุงแต่ง

แต่พบเห็น รู้ชัด จริง แจ้ง ได้ด้วยการปฎิบัติที่ถูกต้อง สอดคล้อง ตามพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเท่านั้นค่ะ

ผุ้ที่ไม่เรียน พระปริยัติให้ถ่องแท้ จึงไม่สามารถรู้หนทางปฎิบัติให้เห็นจริง
และไปไปสู่ปฎิเวธ ตรงตามที่พระพุทธองค์สอนได้ค่ะ

เม มาแจกความรู้ให้ฟรีๆนะคะ
เพราะ

พันปีที่สามนี้ ไม่มีใครบอกอย่างนี้เรย นะคะๆๆ





นี่ก็ของฟรี สติปัฏฐาน ๔ (สั้นๆ) ได้แก่

@ กายานุปัสสนา

@ เวทนานุปัสสนา

@ จิตตานุปัสสนา (จิตต์ + อนุปัสสนา)

@ ธัมมานุปัสสนา

ถ้าใช้ภาษาสมมติ ก็ว่า นี่เท่ากับคนๆหนึ่งๆ

เบื้องต้นต้องเข้าใจว่า อันว่า การปฏิบัติธรรมแนวสติปัฏฐาน ๔ อย่างนั้น ไม่ใช่ไปนั่งคิดนั่งทำกันทีละข้อๆตามลำดับ ไม่ใช่ ไม่ใช่ นั่งอยู่ตรงนี้ตรงนั้น 5 นาที 10 นาที มีหมดเข้าหมด ส่วนตัวจะเข้าใจ ไม่เข้าใจวิธีปฏิบัตินั่น จะไปโทษอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง



ดีแล้วหล่ะค่ะ ที่คุณลุงกรัชกาย หันมาโทษตัวเอง
เพราะป่านนี้แล้ว ไม่เรียนพระอภิธรรม ไม่เรียนพระปริยัติให้ถ่องแท้

เรยไม่รู้ว่า ธรรมชาติของจิตน่ะ สืบเนื่องไปด้วยอำนาจ 6 ปัจจัย

กระทู้ก่อน ลุงหมานผุ้ดูแลลาน ยังมาขอให้เมผู้ชำนาญปริยัติ แจงให้ฟังมาแล้วเรย
เมเรยแจงไปนิดหน่อย เดี่ยวจะหาว่า เม มาแย่งซีน แย่งกระทู้

ก็เรยมาแจงนิดๆหน่อยๆ ให้ ลุงกรัชกาย ฟรีๆ อีกหนนะคะ

เพราะไปวงสีที่จิตตานุปัสสนา เอาไว้ แต่ไม่รู้เรื่อง แยกกออกไม่เป็น

จะบอกให้ฟรีๆนะคะว่า


กายยานุปัสสนาน่ะ มีตั้ง 14 หมวด
เวทนานุปัสสสนา มีตั้ง 9 หมวด
จิตตานุปัสสนา ที่ไปวงไว้น่ะ ตั้งมี 16 หมวด
ธัมมานุปัสสนา มี 5 หมวด

รวมเป็น 44 หมวดแหละค่ะ


พระพุทธจ้า พระอรหันต์ และเม ก็ใช้ภาษาแบบสมมุติและปรมัตถ์ได้ โดยไม่มีปัญญหาหรอกค่ะ
เพราะในภาษาสมมุติ มีปรมัตถ์ละเอียดอยุ่ในทุกคำค่ะ

ในการปฎิบัตินะค๊ะ ในหมวดต่างๆ 44 หมวด เห็นตัวไหนเกิดเฉพาะหน้าในเวลานั้น นาม รูปปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอารมณ์ ในอาการความเป็นไปของปัจจัยธรรม และไตรลักษณะน๊าคร้า

เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่เรียนพระอภิธรรมไม่รู้หรอก
เรยปฎิบัติไมถูก ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงน๊าค๊ะ

เมแนะนำนะคะ ให้คุณลุงกรัชกาย รีบๆไปเรียนซะน๊าค๊ะ อย่ารอไปเรียนในพุทธันดรหน้าเรยค่ะ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.


จะไปแสวงหา ควานหาจิตชนิดไหนหรอคะ
ที่สามารถท่องเที่ยวออกไปจนพ้นขอบเขตอำนาจของจิตเองได้

มีแต่จิตดวงเดียว ไม่มีสรีระ ไร้ขอบเขตแห่งอำนาจ

สามารถพบได้ในทุกหนทุกแห่งทุกที่
ที่กายเดินทางไปถือกำเนิดได้ในตลอดทั้งสามภพ

จิตนั้น จะปรากฎอย่างเด่นชัด ให้เห็นสัมผัสได้ในรุปฌาน 4
คือเอกคัตตาจิต ที่คงสภาพอุเบกขา ปราศจากนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์

และสามารถเห็นได้เด่นชัดอีก ในอรูปฌาน หรือสมาบัติ 8 เป็นสภาพ ที่ไร้จากจิตสังขาร อารมณ์ปรุงแต่ง วิญญาน และสัญญา

จิตนั้นจะเห็นได้ด้วยสัมมากัมฐาน
ไม่ใช่ด้วยจินตนาการ ไม่ใช่จากอำนาจแห่งการฟังเจ็ดปี ไม่ใช่ด้วยอำนาจแห่งสัญญาการท่องจำ
ไม่ใช่ด้วยอำนาจของวิญญานอายตนะ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของความคิดปรุงแต่ง

แต่พบเห็น รู้ชัด จริง แจ้ง ได้ด้วยการปฎิบัติที่ถูกต้อง สอดคล้อง ตามพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเท่านั้นค่ะ

ผุ้ที่ไม่เรียน พระปริยัติให้ถ่องแท้ จึงไม่สามารถรู้หนทางปฎิบัติให้เห็นจริง
และไปไปสู่ปฎิเวธ ตรงตามที่พระพุทธองค์สอนได้ค่ะ

เม มาแจกความรู้ให้ฟรีๆนะคะ
เพราะ

พันปีที่สามนี้ ไม่มีใครบอกอย่างนี้เรย นะคะๆๆ





นี่ก็ของฟรี สติปัฏฐาน ๔ (สั้นๆ) ได้แก่

@ กายานุปัสสนา

@ เวทนานุปัสสนา

@ จิตตานุปัสสนา (จิตต์ + อนุปัสสนา)

@ ธัมมานุปัสสนา

ถ้าใช้ภาษาสมมติ ก็ว่า นี่เท่ากับคนๆหนึ่งๆ

เบื้องต้นต้องเข้าใจว่า อันว่า การปฏิบัติธรรมแนวสติปัฏฐาน ๔ อย่างนั้น ไม่ใช่ไปนั่งคิดนั่งทำกันทีละข้อๆตามลำดับ ไม่ใช่ ไม่ใช่ นั่งอยู่ตรงนี้ตรงนั้น 5 นาที 10 นาที มีหมดเข้าหมด ส่วนตัวจะเข้าใจ ไม่เข้าใจวิธีปฏิบัตินั่น จะไปโทษอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง



ดีแล้วหล่ะค่ะ ที่คุณลุงกรัชกาย หันมาโทษตัวเอง
เพราะป่านนี้แล้ว ไม่เรียนพระอภิธรรม ไม่เรียนพระปริยัติให้ถ่องแท้

เรยไม่รู้ว่า ธรรมชาติของจิตน่ะ สืบเนื่องไปด้วยอำนาจ 6 ปัจจัย

กระทู้ก่อน ลุงหมานผุ้ดูแลลาน ยังมาขอให้เมผู้ชำนาญปริยัติ แจงให้ฟังมาแล้วเรย
เมเรยแจงไปนิดหน่อย เดี่ยวจะหาว่า เม มาแย่งซีน แย่งกระทู้

ก็เรยมาแจงนิดๆหน่อยๆ ให้ ลุงกรัชกาย ฟรีๆ อีกหนนะคะ

เพราะไปวงสีที่จิตตานุปัสสนา เอาไว้ แต่ไม่รู้เรื่อง แยกกออกไม่เป็น

จะบอกให้ฟรีๆนะคะว่า


กายยานุปัสสนาน่ะ มีตั้ง 14 หมวด
เวทนานุปัสสสนา มีตั้ง 9 หมวด
จิตตานุปัสสนา ที่ไปวงไว้น่ะ ตั้งมี 16 หมวด
ธัมมานุปัสสนา มี 5 หมวด

รวมเป็น 44 หมวดแหละค่ะ


พระพุทธจ้า พระอรหันต์ และเม ก็ใช้ภาษาแบบสมมุติและปรมัตถ์ได้ โดยไม่มีปัญญหาหรอกค่ะ
เพราะในภาษาสมมุติ มีปรมัตถ์ละเอียดอยุ่ในทุกคำค่ะ

ในการปฎิบัตินะค๊ะ ในหมวดต่างๆ 44 หมวด เห็นตัวไหนเกิดเฉพาะหน้าในเวลานั้น นาม รูปปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอารมณ์ ในอาการความเป็นไปของปัจจัยธรรม และไตรลักษณะน๊าคร้า

เพราะคุณลุงกรัชกาย ไม่เรียนพระอภิธรรมไม่รู้หรอก
เรยปฎิบัติไมถูก ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงน๊าค๊ะ

เมแนะนำนะคะ ให้คุณลุงกรัชกาย รีบๆไปเรียนซะน๊าค๊ะ อย่ารอไปเรียนในพุทธันดรหน้าเรยค่ะ






อ้างคำพูด:
กายยานุปัสสนาน่ะ มีตั้ง 14 หมวด
เวทนานุปัสสสนา มีตั้ง 9 หมวด
จิตตานุปัสสนา ที่ไปวงไว้น่ะ ตั้งมี 16 หมวด
ธัมมานุปัสสนา มี 5 หมวด

รวมเป็น 44 หมวดแหละค่ะ



ปริยัติธรรม เรียนรู้เอาไว้พูดคุยสนทนากัน คือ ทำให้มีข้อมูลพูดถกเถียงกันได้กว้างขึ้น พูดไปน้ำลายเต็มกะโถน คิกๆๆ
แต่ภาคปฏิบัติ ให้พับเก็บไว้ก่อน ขืนเอาไปนั่งนับเป็นหมวดๆ กายมี 14 หมวด อะไรก็น้บไป
เวทนา มี 9 หมวด อะไรก็นั่งนับไป
จิตต์ มี 16 หมวด มีอะไรบ้างนั่งนับไป
ธัมม์ มี 5 หมวด อะไรก็นั่งนับไป
ถ้านั่งคิดแบบนี้นะ อย่าปฏิบัติเลย เสียเวลาฟุ้งซ่านเปล่าๆ เชื่อไอ้เรืองเหอะ คิกๆๆ


อ้อ นึกได้ ถ้าจะนับ โบราณท่านให้นับตัวเลขพร้อมกับลมหายใจ ถ้าอยากรู้จะนำมาให้ดู ถ้าไม่อยากก็แล้วไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 17:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วางคาถาไว้

ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.



ตรงนี้เข้าใจเลยครับ เมื่อมีกี่วันก่อนนี้ หากผมไม่หลงผิดไป ก็แสดงว่าผมได้เห็นจริง เป็นสภาพที่จิตรวมอยู่ภายใน ซึ่งแรกที่รู้สึกมันมืด สงบไม่มีอะไร สภาวะแวดล้อมเหมือนอยู่ในถ้ำ ซึ่งถ้ำนั้นเป็นคือรูปกายทั้งหมดเหมือนกายมันใหญ่มากที่จิตเราอาศัยอยู่นี้ ในขณะเกิดก็เปิดไฟเปิดโทรทัศน์ไป จิตไม่สนใจภายนอกแต่รู้อยู่

โดยผมทำเหมือนว่าเราตายแล้ว เพราะร่างกายเจ็บป่วยมีแต่โรค มันเอือมระอากับกายนี้ที่เจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา กายนี้ไม่ใช่ที่อาศัยของเราอีกต่อไปแล้ว จักจรไปจากกายที่เจ็บป่วยประชุมไปด้วยโรค ภัย ไข้ เจ็บทั้งสิ้นนี้แล้ว จิตรวมไว้ในภายในไม่ทำความยึดกาย ไม่ทำเจตนาอื่นทางกาย ทิ้งความรู้สึกทางกาย เราตายแล้ว ไม่มีเราในกายนี้อีกแล้ว เมื่อจิตสงบได้เป็นสมาธินิดหน่อยก็เกิดอาการนี้ขึ้น เรา คือตัวรู้อยู่ในโพรงถ้ำมืด ซึ่งถ้ำนั้นเรารู้ว่าเป็นกายที่เราอาศัยอยู่ แต่จิตมันไม่รับสัมผัสทางกายแล้วนิ่งรู้อยู่ที่อาการที่อยู่ในโพรงถ้ำ

สิ่งที่เห็นนี้ก็คงมีทั้งจริงและไม่จริง หรือของปลอมทั้งหมด แต่ก็เอามาโยนิโสในขณะนั้นได้ว่า กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กาย จิตเราแค่จรมาอาศัยถ้ำ คือกายที่พ่อแม่ให้มานี้ เมื่อเอาใจเข้ายึดครองก็จึงเกิดเป็นตัวตนสืบต่อขึ้นมา แต่มีันทำให้เข้าใจความหมายของประโยคที่คุณ กรัชกาย ยกมาได้ครับ


:b16: ...ดีใจเจอคนปฏิบัติ... :b16:

เอกอนก็ไปอยู่ในถ้ำพอสมควรนะ ตอนที่เริ่มลงมือศึกษาเข้าไปภายใน
จนเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ยังไม่รู้จะไปไหนต่อ
สมัยนั้นหาหนังสืออ่านยาก ครูบาอาจารย์ก็อยู่ไกล

เมื่อเข้าไปถึงในถ้ำแล้วจะทำอะไรต่อ ก็ยังไม่รู้
จะหยิบธรรมขึ้นมาพิจารณาอะไร ก็ดูไม่ค่อยถนัด
เพราะความคิดมันไม่น้อมไป แม้เราพยายามจะลากมันไปพิจารณาธรรม
มันก็กลับมาตั้งอยู่ในถ้ำเหมือนเดิม มารู้แบบโพร่ง ๆ อยู่อย่างนั้น
ตอนนั้น ใครได้สัมผัสสภาวะนั้น จะค่อนข้างรู้ไปโดยสภาวะว่า กายไม่ใช่เรา
เพราะเราในตอนนั้นได้เข้าไปตั้งมั่นอยู่ที่การเป็นอะไรบางอย่างที่ รู้โพร่ง ๆ อยู่

เมื่อลากมันไปคิดอะไรไม่ได้ ก็เลยนั่งมองอาการรู้โพร่ง ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ... :b1: :b12:
จนกระทั่ง ความว่างที่ไม่มีขอบเขตก็ค่อย ๆ ปรากฏ และก็เรื่อย ๆ ไปเป็นลำดับ
...

เอกอนคิดว่าคุณควรมีครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำในการปฏิบัติต่อไปนะคะ... :b1:

เพราะเอกอนไปแบบมั่ว ๆ ไปแบบดุ่ม ๆ ไปตามประสา
ไปตามที่จิตจะพาไปน่ะ

คือ ... :b1: มันเป็นความแปลก
ตอนนั้นที่เอกอนติดอยู่ตรงนั้น ในถ้ำ ทำสมาธิทีไรก็มาจบอยู่ตรงนี้
ยังไม่รู้จะทำไงต่อไป ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ใกล้ ที่พอจะให้ได้เข้าไปปรึกษาถามไถ่

แต่ ... เอกอนรู้สึกอยู่ราวกับว่าเอกอนกำลังมองตากับสิ่งที่เอกอนจับตาอยู่
และสิ่งนั้นเหมือนจะมองตอบกลับมา และสื่อออกมาว่า

"ถ้าอยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ เธอต้องวางใจ และเชื่อใจเขา
แล้วเขาจะแสดงให้เห็นเอง
เพียงแค่เชื่อใจ ไว้ใจ วางใจ"

มันจะฝืนสักนิดในตอนแรก เพราะเราคิดว่าเราเป็นจิต และจิตเป็นเรามาตลอด
เหมือนว่าเราขับรถแล้วเรากุมพวงมาลัยรถไว้ในมือตลอด
แต่...มาตอนนี้ มีบางสิ่งบอกให้เราปล่อยพวงมาลัย

และ...ผนังถ้ำก็หายไป และอะไร ๆ มันก็ดำเนินไป ...

สภาวะนี้ ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติเข้าถึงเรื่อย ๆ จะรู้ได้โดยกสภาวะที่ปรากฎเป็นลำดับๆ

ว่า "จิตไม่ใช่เรา..."

แต่คุณควรมีครูบาอาจารย์นะคะ
เพราะสำหรับเอกอน กับสิ่งที่เอกอนสบตาด้วย
ตอนแรกเอกอนก็กังวล กับสิ่งที่จะดำเนินไป เพราะในสภาวะธรรมที่ละเอียด
กิเลสถือว่าเป็นภัยอย่างมาก ๆ
เพราะ ในธรรมหยาบ
เมื่อลูกบอลหล่นลงพื้น ลูกบอลยังคงเป็นลูกบอล
เมื่อจานข้าวตก ข้าวก็กระจายอยู่ในบริเวณที่จำกัด
เมื่อน้ำหก น้ำก็ไหลกระจายไปในขอบเขตที่จำกัด

แต่กับสภาวะธรรมที่ละเอียด มันเริ่มจะเบาเหมือนอากาศ ก๊าซ มันจะฟุ้งงงงงงง

สิ่งนั้นเขาบอกเอกอนให้สำรวมอย่างมาก ๆ ในเรื่องของกิเลส

แต่เราไปทำอะไรตรง ๆ กับกิเลสไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือ การเจริญพรหมวิหาร 4
เป็นธรรมที่มีความชุ่มชื่น ส่งให้จิตมีความเบา มีความแผ่กว้างออกไป
ความอหังการ มมังการ ... ต้องเบาบางลง

คือ ในการปฏิบัติ เราไม่มีทางละอะไรอย่างตรง ๆ ได้
ผู้ปฏิบัติเพียงแต่ทำได้ก็คือ เจริญธรรมอันเป็นคู่ปรับ

:b1:

ขอคุยแบบไม่อิงหลักการ ไม่อิงตำรา คุยแบบสบาย ๆ นะคะ

:b1: เป็นกำลังใจให้การเดินทางในทางธรรม(ปฏิบัติ)ของคุณประสบผลสำเร็จให้เห็นได้ในเร็ววันนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2018, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หมอเอธิโอเปีย เจอตะปูในท้องคนไข้ 112 ตัว ของมีคมอีกเพียบ เผยเหตุป่วยจิตเลยกินเข้าไป

“คนไข้มีปัญหาเจ็บป่วยทางจิตมาเป็นเวลานานถึง 10 ปีแล้วและได้หยุดเข้ารับยาไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเริ่มกินพวกวัตถุสิ่งของเข้าไป”

นายแพทย์ดาวิทบอกอีกว่า ตนคิดว่าคนไข้เริ่มกินวัตถุสิ่งของเข้าไปด้วยการดื่มน้ำช่วย แต่เขายังโชคดีที่วัตถุมีคมเหล่านี้ไม่ได้แทงกระเพาะเขาเข้า ที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อร้ายแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้

นายแพทย์ดาวิทยังบอกอีกว่าตนเคยเจอกรณีแบบนี้มาแล้วหลายรายที่คนไข้ซึ่งมีอาการป่วยทางจิตมักชอบกลืนวัตถุมีคมเข้าไป แต่ก็ยังไม่เคยพบกรณีไหนที่มีการกลืนวัตถุมีคมเข้าไปมากมายอย่างรายนี้ อย่างไรก็ดีคนไข้รายนี้กำลังมีอาการฟื้นตัวดีขึ้น

https://www.prachachat.net/world-news/news-238372

ลงตัวกับกระทู้ตามหาจิต ให้ดูภาพรวมไม่ต้องแยกเป็นเจตสิกอีก เพราะรวมอยู่ด้วยกันแล้ว :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2018, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วางคาถาไว้

ทูรงฺคมํ เอกจรํ - อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ - โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.


คำแปล: บุคคลเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย บุคคลเหล่านั้น จะพ้นจากบ่วงแห่งมาร.



ตรงนี้เข้าใจเลยครับ เมื่อมีกี่วันก่อนนี้ หากผมไม่หลงผิดไป ก็แสดงว่าผมได้เห็นจริง เป็นสภาพที่จิตรวมอยู่ภายใน ซึ่งแรกที่รู้สึกมันมืด สงบไม่มีอะไร สภาวะแวดล้อมเหมือนอยู่ในถ้ำ ซึ่งถ้ำนั้นเป็นคือรูปกายทั้งหมดเหมือนกายมันใหญ่มากที่จิตเราอาศัยอยู่นี้ ในขณะเกิดก็เปิดไฟเปิดโทรทัศน์ไป จิตไม่สนใจภายนอกแต่รู้อยู่

โดยผมทำเหมือนว่าเราตายแล้ว เพราะร่างกายเจ็บป่วยมีแต่โรค มันเอือมระอากับกายนี้ที่เจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา กายนี้ไม่ใช่ที่อาศัยของเราอีกต่อไปแล้ว จักจรไปจากกายที่เจ็บป่วยประชุมไปด้วยโรค ภัย ไข้ เจ็บทั้งสิ้นนี้แล้ว จิตรวมไว้ในภายในไม่ทำความยึดกาย ไม่ทำเจตนาอื่นทางกาย ทิ้งความรู้สึกทางกาย เราตายแล้ว ไม่มีเราในกายนี้อีกแล้ว เมื่อจิตสงบได้เป็นสมาธินิดหน่อยก็เกิดอาการนี้ขึ้น เรา คือตัวรู้อยู่ในโพรงถ้ำมืด ซึ่งถ้ำนั้นเรารู้ว่าเป็นกายที่เราอาศัยอยู่ แต่จิตมันไม่รับสัมผัสทางกายแล้วนิ่งรู้อยู่ที่อาการที่อยู่ในโพรงถ้ำ

สิ่งที่เห็นนี้ก็คงมีทั้งจริงและไม่จริง หรือของปลอมทั้งหมด แต่ก็เอามาโยนิโสในขณะนั้นได้ว่า กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กาย จิตเราแค่จรมาอาศัยถ้ำ คือกายที่พ่อแม่ให้มานี้ เมื่อเอาใจเข้ายึดครองก็จึงเกิดเป็นตัวตนสืบต่อขึ้นมา แต่มีันทำให้เข้าใจความหมายของประโยคที่คุณ กรัชกาย ยกมาได้ครับ


:b16: ...ดีใจเจอคนปฏิบัติ... :b16:

เอกอนก็ไปอยู่ในถ้ำพอสมควรนะ ตอนที่เริ่มลงมือศึกษาเข้าไปภายใน
จนเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ยังไม่รู้จะไปไหนต่อ
สมัยนั้นหาหนังสืออ่านยาก ครูบาอาจารย์ก็อยู่ไกล

เมื่อเข้าไปถึงในถ้ำแล้วจะทำอะไรต่อ ก็ยังไม่รู้
จะหยิบธรรมขึ้นมาพิจารณาอะไร ก็ดูไม่ค่อยถนัด
เพราะความคิดมันไม่น้อมไป แม้เราพยายามจะลากมันไปพิจารณาธรรม
มันก็กลับมาตั้งอยู่ในถ้ำเหมือนเดิม มารู้แบบโพร่ง ๆ อยู่อย่างนั้น
ตอนนั้น ใครได้สัมผัสสภาวะนั้น จะค่อนข้างรู้ไปโดยสภาวะว่า กายไม่ใช่เรา
เพราะเราในตอนนั้นได้เข้าไปตั้งมั่นอยู่ที่การเป็นอะไรบางอย่างที่ รู้โพร่ง ๆ อยู่

เมื่อลากมันไปคิดอะไรไม่ได้ ก็เลยนั่งมองอาการรู้โพร่ง ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ... :b1: :b12:
จนกระทั่ง ความว่างที่ไม่มีขอบเขตก็ค่อย ๆ ปรากฏ และก็เรื่อย ๆ ไปเป็นลำดับ
...

เอกอนคิดว่าคุณควรมีครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำในการปฏิบัติต่อไปนะคะ... :b1:

เพราะเอกอนไปแบบมั่ว ๆ ไปแบบดุ่ม ๆ ไปตามประสา
ไปตามที่จิตจะพาไปน่ะ

คือ ... :b1: มันเป็นความแปลก
ตอนนั้นที่เอกอนติดอยู่ตรงนั้น ในถ้ำ ทำสมาธิทีไรก็มาจบอยู่ตรงนี้
ยังไม่รู้จะทำไงต่อไป ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ใกล้ ที่พอจะให้ได้เข้าไปปรึกษาถามไถ่

แต่ ... เอกอนรู้สึกอยู่ราวกับว่าเอกอนกำลังมองตากับสิ่งที่เอกอนจับตาอยู่
และสิ่งนั้นเหมือนจะมองตอบกลับมา และสื่อออกมาว่า

"ถ้าอยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ เธอต้องวางใจ และเชื่อใจเขา
แล้วเขาจะแสดงให้เห็นเอง
เพียงแค่เชื่อใจ ไว้ใจ วางใจ"

มันจะฝืนสักนิดในตอนแรก เพราะเราคิดว่าเราเป็นจิต และจิตเป็นเรามาตลอด
เหมือนว่าเราขับรถแล้วเรากุมพวงมาลัยรถไว้ในมือตลอด
แต่...มาตอนนี้ มีบางสิ่งบอกให้เราปล่อยพวงมาลัย

และ...ผนังถ้ำก็หายไป และอะไร ๆ มันก็ดำเนินไป ...

สภาวะนี้ ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติเข้าถึงเรื่อย ๆ จะรู้ได้โดยกสภาวะที่ปรากฎเป็นลำดับๆ

ว่า "จิตไม่ใช่เรา..."

แต่คุณควรมีครูบาอาจารย์นะคะ
เพราะสำหรับเอกอน กับสิ่งที่เอกอนสบตาด้วย
ตอนแรกเอกอนก็กังวล กับสิ่งที่จะดำเนินไป เพราะในสภาวะธรรมที่ละเอียด
กิเลสถือว่าเป็นภัยอย่างมาก ๆ
เพราะ ในธรรมหยาบ
เมื่อลูกบอลหล่นลงพื้น ลูกบอลยังคงเป็นลูกบอล
เมื่อจานข้าวตก ข้าวก็กระจายอยู่ในบริเวณที่จำกัด
เมื่อน้ำหก น้ำก็ไหลกระจายไปในขอบเขตที่จำกัด

แต่กับสภาวะธรรมที่ละเอียด มันเริ่มจะเบาเหมือนอากาศ ก๊าซ มันจะฟุ้งงงงงงง

สิ่งนั้นเขาบอกเอกอนให้สำรวมอย่างมาก ๆ ในเรื่องของกิเลส

แต่เราไปทำอะไรตรง ๆ กับกิเลสไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือ การเจริญพรหมวิหาร 4
เป็นธรรมที่มีความชุ่มชื่น ส่งให้จิตมีความเบา มีความแผ่กว้างออกไป
ความอหังการ มมังการ ... ต้องเบาบางลง

คือ ในการปฏิบัติ เราไม่มีทางละอะไรอย่างตรง ๆ ได้
ผู้ปฏิบัติเพียงแต่ทำได้ก็คือ เจริญธรรมอันเป็นคู่ปรับ

:b1:

ขอคุยแบบไม่อิงหลักการ ไม่อิงตำรา คุยแบบสบาย ๆ นะคะ

:b1: เป็นกำลังใจให้การเดินทางในทางธรรม(ปฏิบัติ)ของคุณประสบผลสำเร็จให้เห็นได้ในเร็ววันนะคะ



สาธุครับ ขอบพระคุณ คุณ eragon_joe ที่ชี้แนะครับ ยินดีอย่างยิ่งครับ

Kiss Kiss Kiss

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2018, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่รู้ว่าใครกัน...เป็น...ป้าทำคุณโรสเสียคน...หรือ..คุณโรสทำป้าแกเสียคน กันแน่?

แต่ที่แน่ๆ...ผมต้องขอบคุณ..คุณโรส..ที่ทำให้ผมลองฟังป้าแกมากขึ้น.. ลองฟังทีละคำ

เกิดความรู้สึกหลายๆอย่าง...ใหม่ก็มี..เน้นย้ำของเก่าๆให้ชัดเจนขึ้นก็มี..รู้สึกแล้วก็ปลงๆ

เก่าๆ..ก็อย่างเช่น....

แม้อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา...อลัชชีบางคน..ทำให้คนหลายพันหลายหมื่นคนหันมาทำบุญทำทาน..รักษาศีล..มากกว่าคนดีหลายๆคนซะอีก...เห็นคนที่มาฟังป้าแกแล้วก็รู้ว่าล้วนต้องการความดีความเจริญ...จึงดิ้นรนไขว่คว้ามาฟัง......ก็ลองก้มดูตัวเองซิว่า..ทำให้คนไม่ทำบุญหันมาทำบุญได้กี่คน..ทำให้คนไม่รักษาศีลหันกลับมารักษาศีลได้กี่คน..? จะเห็นว่าเราเองก็สู้อลัชชีไม่ได้...นี้...อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา.....จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี
(ปล. หลายคนอาจจะคิดว่า..อลัชชีทำศาสนาเสื่อมนะโว้ย...ผมกลับเห็นว่า..คนมีศรัทธาบารมีมาพอเขาไม่เสื่อมศรัทธาพระศาสนาหรอก...ส่วนคนที่ทำท่ารวนเร..แม้ไม่มีอลัชชี..ศรัทธาหัวเต่าของเขาก็ไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว..)

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...หลายคนไม่ชอบป้าแก....หลายคนก็ชอบที่จะฟังป้าแก..จะไม่เรียกว่ามีบุญมีกรรมทำร่วมกันมาได้อย่างไร...
คนที่ทำบุญร่วมชาติกับพระเทวทัต..ย่อมจะรักพระเทวทัต..ฟังพระเทวทัด..เชื่อพระเทวทัต.เป็นธรรมดา...แต่บุญกรรมมันเป็นของหมดกันได้...ภายหลังพระหลายๆรูปก็กลับมาฟังมาเชื่อตามที่พระสารีบุตรเทศน์อย่างไร...คนที่เชื่อฟังอลัชชีก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นเช่นกัน
พระเทวทัตจากนรกอเวจีในวันนี้...วันหน้ายังสามารถบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้อย่างไร.. อลัชชีวันนี้..วันหน้าก็สามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้อย่างนั้นเช่นกัน..จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี.

เป็นต้น

:b12:
คิดมากเกิน1คำตามความคิดของตนคือคิดเองตามเห็นผิดเพราะต้องเป็นพระพุทธเจ้าถึงไม่ต้องคิดตาม
อลัชชีแปลว่านักบวชที่ไม่มีความละอายและไม่เกรงกลัวบาปบวชในคำสอนทำตามสิกขาบทไม่ได้
แต่ไม่ยอมลาสิกขาแถมไม่ปลงอาบัติทำหมู่คณะเสื่อมที่ทำตามๆกันรับเงินตามๆกันไม่บอกชาวบ้าน
หลอกชาวบ้านไปวันวันไม่ทำอะไรนอกจากคิดวิธีเรี่ยไรเงินสร้างวัตถุเพื่อให้เหลือเศษเงินไว้ใช้ไงคะ
ฟังคำสอนเข้าใจมองกิเลสออกหมดจะให้ว่าไงลัชชีคือผู้ที่เข้าใจคำสอนฟังเข้าใจแล้วลาสิกขาไงคะ
ใส่บาตรอลัชชีศีล5ก็ไม่ผ่านฟังพระพุทธพจน์คือบุญสูงสุดเป็นกุศลที่ประกอบปัญญาส่งบุญเองได้
ทำไมถึงพูดถึงเด็กกินขนมจีนคลุกน้ำปลาบอกชาวบ้านไงเอาไปทำบุญกะนักเรียนยากจนดีกว่าไหม



ไม่เสียหาย ทำไปเลย บ้านเด็กกำพร้า ยังไงที่ไหนก็ไป รูปแบบอย่างนี้ไม่มีใครว่า พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ เป็นบุญทั้งนั้น เป็นทานมัย อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ 3 (เข้าใจเปล่าเนี่ย)

Kiss
แต่รู้ไหมล่ะคะว่าบวชแล้วทำแบบชาวบ้านเขาไม่ได้น่ะ
ทำสังคมสงเคราะห์แบบรับเงินเอาไปเลี้ยงดูใครไม่ได้
สละหมดมีบาตร1จีวร3ผืนไม่ต้องถือกุญแจไม่มีสมบัติ
กฏิที่พักศาลาคนก็สร้างให้อยู่ฟรีไฟฟ้ากลางคืนก็ปิดสิ
เทียนพรรษาเขาก็ถวายไม้ขีดก็มีน้ำฉันก็มีคนถวายหมด
บิณฑบาตด้วยการเดินมีขาไม่พิการหรือว่าเป็นพระขี้เกียจ
:b32: :b32:


บ้านธัมมะนำโดยบริหารสุวรรณภูมิ ล้มล้างพระรัตนตรัย

:b32:
ตถาคตบอกให้รู้ที่กายใจตนนี่
จักขุนทรีย์เพ่งไปว่ามีคนทำไม่ดี
ที่คิดอย่างนี้เป็นใครไม่ดีเหรอคะ
มีแต่ตัวเองคิดไปตามที่ตัวเองเห็น
ไม่ได้คิดตามคำตถาคตบอกเอาไว้
ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนมีแต่ธัมมะนะ
ที่คิดอย่างนี้คงคิดว่าตัวเองดีกว่ามีอะไรนะ
ทิฏฐิมานะถือตนว่าดีกว่ารู้ดีรู้ชั่วมากกว่างั้นหรือ
ที่คุณกรัชกายว่านั้นน่ะตรงคำไหนในพระไตรปิฎกหรือคะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2018, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่รู้ว่าใครกัน...เป็น...ป้าทำคุณโรสเสียคน...หรือ..คุณโรสทำป้าแกเสียคน กันแน่?

แต่ที่แน่ๆ...ผมต้องขอบคุณ..คุณโรส..ที่ทำให้ผมลองฟังป้าแกมากขึ้น.. ลองฟังทีละคำ

เกิดความรู้สึกหลายๆอย่าง...ใหม่ก็มี..เน้นย้ำของเก่าๆให้ชัดเจนขึ้นก็มี..รู้สึกแล้วก็ปลงๆ

เก่าๆ..ก็อย่างเช่น....

แม้อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา...อลัชชีบางคน..ทำให้คนหลายพันหลายหมื่นคนหันมาทำบุญทำทาน..รักษาศีล..มากกว่าคนดีหลายๆคนซะอีก...เห็นคนที่มาฟังป้าแกแล้วก็รู้ว่าล้วนต้องการความดีความเจริญ...จึงดิ้นรนไขว่คว้ามาฟัง......ก็ลองก้มดูตัวเองซิว่า..ทำให้คนไม่ทำบุญหันมาทำบุญได้กี่คน..ทำให้คนไม่รักษาศีลหันกลับมารักษาศีลได้กี่คน..? จะเห็นว่าเราเองก็สู้อลัชชีไม่ได้...นี้...อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา.....จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี
(ปล. หลายคนอาจจะคิดว่า..อลัชชีทำศาสนาเสื่อมนะโว้ย...ผมกลับเห็นว่า..คนมีศรัทธาบารมีมาพอเขาไม่เสื่อมศรัทธาพระศาสนาหรอก...ส่วนคนที่ทำท่ารวนเร..แม้ไม่มีอลัชชี..ศรัทธาหัวเต่าของเขาก็ไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว..)

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...หลายคนไม่ชอบป้าแก....หลายคนก็ชอบที่จะฟังป้าแก..จะไม่เรียกว่ามีบุญมีกรรมทำร่วมกันมาได้อย่างไร...
คนที่ทำบุญร่วมชาติกับพระเทวทัต..ย่อมจะรักพระเทวทัต..ฟังพระเทวทัด..เชื่อพระเทวทัต.เป็นธรรมดา...แต่บุญกรรมมันเป็นของหมดกันได้...ภายหลังพระหลายๆรูปก็กลับมาฟังมาเชื่อตามที่พระสารีบุตรเทศน์อย่างไร...คนที่เชื่อฟังอลัชชีก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นเช่นกัน
พระเทวทัตจากนรกอเวจีในวันนี้...วันหน้ายังสามารถบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้อย่างไร.. อลัชชีวันนี้..วันหน้าก็สามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้อย่างนั้นเช่นกัน..จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี.

เป็นต้น

:b12:
คิดมากเกิน1คำตามความคิดของตนคือคิดเองตามเห็นผิดเพราะต้องเป็นพระพุทธเจ้าถึงไม่ต้องคิดตาม
อลัชชีแปลว่านักบวชที่ไม่มีความละอายและไม่เกรงกลัวบาปบวชในคำสอนทำตามสิกขาบทไม่ได้
แต่ไม่ยอมลาสิกขาแถมไม่ปลงอาบัติทำหมู่คณะเสื่อมที่ทำตามๆกันรับเงินตามๆกันไม่บอกชาวบ้าน
หลอกชาวบ้านไปวันวันไม่ทำอะไรนอกจากคิดวิธีเรี่ยไรเงินสร้างวัตถุเพื่อให้เหลือเศษเงินไว้ใช้ไงคะ
ฟังคำสอนเข้าใจมองกิเลสออกหมดจะให้ว่าไงลัชชีคือผู้ที่เข้าใจคำสอนฟังเข้าใจแล้วลาสิกขาไงคะ
ใส่บาตรอลัชชีศีล5ก็ไม่ผ่านฟังพระพุทธพจน์คือบุญสูงสุดเป็นกุศลที่ประกอบปัญญาส่งบุญเองได้
ทำไมถึงพูดถึงเด็กกินขนมจีนคลุกน้ำปลาบอกชาวบ้านไงเอาไปทำบุญกะนักเรียนยากจนดีกว่าไหม



ไม่เสียหาย ทำไปเลย บ้านเด็กกำพร้า ยังไงที่ไหนก็ไป รูปแบบอย่างนี้ไม่มีใครว่า พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ เป็นบุญทั้งนั้น เป็นทานมัย อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ 3 (เข้าใจเปล่าเนี่ย)

Kiss
แต่รู้ไหมล่ะคะว่าบวชแล้วทำแบบชาวบ้านเขาไม่ได้น่ะ
ทำสังคมสงเคราะห์แบบรับเงินเอาไปเลี้ยงดูใครไม่ได้
สละหมดมีบาตร1จีวร3ผืนไม่ต้องถือกุญแจไม่มีสมบัติ
กฏิที่พักศาลาคนก็สร้างให้อยู่ฟรีไฟฟ้ากลางคืนก็ปิดสิ
เทียนพรรษาเขาก็ถวายไม้ขีดก็มีน้ำฉันก็มีคนถวายหมด
บิณฑบาตด้วยการเดินมีขาไม่พิการหรือว่าเป็นพระขี้เกียจ


บ้านธัมมะนำโดยบริหารสุวรรณภูมิ ล้มล้างพระรัตนตรัย



ตถาคตบอกให้รู้ที่กายใจตนนี่
จักขุนทรีย์เพ่งไปว่ามีคนทำไม่ดี
ที่คิดอย่างนี้เป็นใครไม่ดีเหรอคะ
มีแต่ตัวเองคิดไปตามที่ตัวเองเห็น
ไม่ได้คิดตามคำตถาคตบอกเอาไว้
ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนมีแต่ธัมมะนะ
ที่คิดอย่างนี้คงคิดว่าตัวเองดีกว่ามีอะไรนะ
ทิฏฐิมานะถือตนว่าดีกว่ารู้ดีรู้ชั่วมากกว่างั้นหรือ
ที่คุณกรัชกายว่านั้นน่ะตรงคำไหนในพระไตรปิฎกหรือคะ


อ้างคำพูด:
มีแต่ตัวเองคิดไปตามที่ตัวเองเห็น

ไม่ได้คิดตามคำตถาคตบอกเอาไว้

ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนมีแต่ธัมมะนะ




นี่ธัมมะมั้ย


ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า

“ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา

๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา

๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา

๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา

๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้

“ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา


"ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข (ช่องทางเสื่อม) ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย...


“ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข (ช่องทางเพิ่มขึ้น) ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ ใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย...

“ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร”

จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา * (องฺ.อฏฺฐก.23/145/294)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2018, 02:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่รู้ว่าใครกัน...เป็น...ป้าทำคุณโรสเสียคน...หรือ..คุณโรสทำป้าแกเสียคน กันแน่?

แต่ที่แน่ๆ...ผมต้องขอบคุณ..คุณโรส..ที่ทำให้ผมลองฟังป้าแกมากขึ้น.. ลองฟังทีละคำ

เกิดความรู้สึกหลายๆอย่าง...ใหม่ก็มี..เน้นย้ำของเก่าๆให้ชัดเจนขึ้นก็มี..รู้สึกแล้วก็ปลงๆ

เก่าๆ..ก็อย่างเช่น....

แม้อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา...อลัชชีบางคน..ทำให้คนหลายพันหลายหมื่นคนหันมาทำบุญทำทาน..รักษาศีล..มากกว่าคนดีหลายๆคนซะอีก...เห็นคนที่มาฟังป้าแกแล้วก็รู้ว่าล้วนต้องการความดีความเจริญ...จึงดิ้นรนไขว่คว้ามาฟัง......ก็ลองก้มดูตัวเองซิว่า..ทำให้คนไม่ทำบุญหันมาทำบุญได้กี่คน..ทำให้คนไม่รักษาศีลหันกลับมารักษาศีลได้กี่คน..? จะเห็นว่าเราเองก็สู้อลัชชีไม่ได้...นี้...อลัชชีก็มีหน้าที่ของเขา.....จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี
(ปล. หลายคนอาจจะคิดว่า..อลัชชีทำศาสนาเสื่อมนะโว้ย...ผมกลับเห็นว่า..คนมีศรัทธาบารมีมาพอเขาไม่เสื่อมศรัทธาพระศาสนาหรอก...ส่วนคนที่ทำท่ารวนเร..แม้ไม่มีอลัชชี..ศรัทธาหัวเต่าของเขาก็ไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว..)

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...หลายคนไม่ชอบป้าแก....หลายคนก็ชอบที่จะฟังป้าแก..จะไม่เรียกว่ามีบุญมีกรรมทำร่วมกันมาได้อย่างไร...
คนที่ทำบุญร่วมชาติกับพระเทวทัต..ย่อมจะรักพระเทวทัต..ฟังพระเทวทัด..เชื่อพระเทวทัต.เป็นธรรมดา...แต่บุญกรรมมันเป็นของหมดกันได้...ภายหลังพระหลายๆรูปก็กลับมาฟังมาเชื่อตามที่พระสารีบุตรเทศน์อย่างไร...คนที่เชื่อฟังอลัชชีก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นเช่นกัน
พระเทวทัตจากนรกอเวจีในวันนี้...วันหน้ายังสามารถบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้อย่างไร.. อลัชชีวันนี้..วันหน้าก็สามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้อย่างนั้นเช่นกัน..จึงไม่รู้สึกอยากจะโทษอลัชชี.

เป็นต้น

:b12:
คิดมากเกิน1คำตามความคิดของตนคือคิดเองตามเห็นผิดเพราะต้องเป็นพระพุทธเจ้าถึงไม่ต้องคิดตาม
อลัชชีแปลว่านักบวชที่ไม่มีความละอายและไม่เกรงกลัวบาปบวชในคำสอนทำตามสิกขาบทไม่ได้
แต่ไม่ยอมลาสิกขาแถมไม่ปลงอาบัติทำหมู่คณะเสื่อมที่ทำตามๆกันรับเงินตามๆกันไม่บอกชาวบ้าน
หลอกชาวบ้านไปวันวันไม่ทำอะไรนอกจากคิดวิธีเรี่ยไรเงินสร้างวัตถุเพื่อให้เหลือเศษเงินไว้ใช้ไงคะ
ฟังคำสอนเข้าใจมองกิเลสออกหมดจะให้ว่าไงลัชชีคือผู้ที่เข้าใจคำสอนฟังเข้าใจแล้วลาสิกขาไงคะ
ใส่บาตรอลัชชีศีล5ก็ไม่ผ่านฟังพระพุทธพจน์คือบุญสูงสุดเป็นกุศลที่ประกอบปัญญาส่งบุญเองได้
ทำไมถึงพูดถึงเด็กกินขนมจีนคลุกน้ำปลาบอกชาวบ้านไงเอาไปทำบุญกะนักเรียนยากจนดีกว่าไหม



ไม่เสียหาย ทำไปเลย บ้านเด็กกำพร้า ยังไงที่ไหนก็ไป รูปแบบอย่างนี้ไม่มีใครว่า พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ เป็นบุญทั้งนั้น เป็นทานมัย อยู่ในบุญกิริยาวัตถุ 3 (เข้าใจเปล่าเนี่ย)

Kiss
แต่รู้ไหมล่ะคะว่าบวชแล้วทำแบบชาวบ้านเขาไม่ได้น่ะ
ทำสังคมสงเคราะห์แบบรับเงินเอาไปเลี้ยงดูใครไม่ได้
สละหมดมีบาตร1จีวร3ผืนไม่ต้องถือกุญแจไม่มีสมบัติ
กฏิที่พักศาลาคนก็สร้างให้อยู่ฟรีไฟฟ้ากลางคืนก็ปิดสิ
เทียนพรรษาเขาก็ถวายไม้ขีดก็มีน้ำฉันก็มีคนถวายหมด
บิณฑบาตด้วยการเดินมีขาไม่พิการหรือว่าเป็นพระขี้เกียจ


บ้านธัมมะนำโดยบริหารสุวรรณภูมิ ล้มล้างพระรัตนตรัย



ตถาคตบอกให้รู้ที่กายใจตนนี่
จักขุนทรีย์เพ่งไปว่ามีคนทำไม่ดี
ที่คิดอย่างนี้เป็นใครไม่ดีเหรอคะ
มีแต่ตัวเองคิดไปตามที่ตัวเองเห็น
ไม่ได้คิดตามคำตถาคตบอกเอาไว้
ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนมีแต่ธัมมะนะ
ที่คิดอย่างนี้คงคิดว่าตัวเองดีกว่ามีอะไรนะ
ทิฏฐิมานะถือตนว่าดีกว่ารู้ดีรู้ชั่วมากกว่างั้นหรือ
ที่คุณกรัชกายว่านั้นน่ะตรงคำไหนในพระไตรปิฎกหรือคะ


อ้างคำพูด:
มีแต่ตัวเองคิดไปตามที่ตัวเองเห็น

ไม่ได้คิดตามคำตถาคตบอกเอาไว้

ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนมีแต่ธัมมะนะ




นี่ธัมมะมั้ย


ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า

“ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา

๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา

๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา

๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา

๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้

“ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา


"ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข (ช่องทางเสื่อม) ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย...


“ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข (ช่องทางเพิ่มขึ้น) ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ ใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย...

“ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร”

จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา * (องฺ.อฏฺฐก.23/145/294)

:b12:
คุณไม่เข้าใจความเป็นปกติที่กำลังมีหรือคะ
คิดให้ตรงว่าคุณมีจิตครบ6ทางแล้วนี่คะ
เห็นหรือได้ยินหรือได้กลิ่นหรือลิ้มรส
หรือรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสหรือคิดนึก
มีครบแล้วกำลังเกิดดับสลับกัน
คุณไม่รู้ว่าไม่รู้ความจริงที่มีแต่
จะไปทำเพื่อให้รู้สิ่งที่คุณไม่มี
การทำสมถภาวนาเป็นการทำ
ไม่รู้เพิ่มขึ้นไม่รู้เป็นภาษาไทย
แปลเป็นบาลีว่ามีกิเลสชัดเจนว่า
มีไม่รู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
การศึกษาไม่ตรงสัจจะที่ปรากฏว่ามีแล้ว
มันเลยปัจจุบันขณะตลอดเวลาเมื่อไหร่จะเข้าใจคะ
ไม่มีใครทำทุกสิ่งที่กำลังเกิดดับเพราะทุกอย่างมีตามเหตุปัจจัย
คำสอนสำหรับฟังเพื่อคิดถูกตามได้เท่านั้นจนกว่าปัญญาเจริญขึ้น
จนประจักษ์ความจริงตรงตามที่กำลังฟังตามปกติเป็นปกติ
ที่รู้ว่าขณะที่มีกุศลที่ประกอบปัญญาเป็นขณะที่ไม่มีกิเลส
ที่คุณอยากไปทำเพราะไม่รู้คือมีกิเลสไงคะ
:b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 205 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร