วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 11:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ปฏิบัติยาก ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้
ถ้าค่อยทำ มันก็จะค่อยไป

เหมือนภาษิตที่ว่า
หนทางหมื่นลี้ จะไปถึงได้
ก็ด้วยการเริ่มต้น
จากการก้าว ทีละก้าว

ดังนั้น ยากก็ทำไป ง่ายก็ทำไป
แล้วจะสำเร็จเอง"

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต




"ให้ต่างคน ต่างเชื่อบุญ
เชื่อกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ใครจะพบจะเห็น ไม่พบไม่เห็น ไม่สำคัญ
ที่ลับไม่มีในโลก ใครไม่เห็นเราก็เห็น
ที่ลับ ที่แจ้ง ที่มืด เรารู้เรา
เป็นของเรา ตลอดเวลา

ผู้ทำอยู่กับเรา ทำที่ไหนรู้หมดๆ
นั่นละ จึงเรียกว่าไม่มีที่แจ้งที่ลับ"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





"นรก ไม่มีวันเต็มเด้อ
สวรรค์ ก็ไม่มีวันเต็มเด้อ
ใครอยากไปอยู่ที่ไหน ก็ทำเอง"
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ







การดูจิต ที่อ้างคำกล่าวของ หลวงปู่ดูลย์ มันก็ถูกของท่าน

แต่มันเป็นคนละขั้น คนละตอนกับเรา

ท่านเหมือนมีทรัพย์ บริบูรณ์แล้ว ก็มองดูทรัพย์นั้น

ท่านดูจิต แบบเป็นวิหารธรรม ของท่านเฉย ๆ

แต่เราล่ะ มีสมบัติ คือ ศีล สมาธิ อย่างท่านแล้วหรือ?

จิต มันยังไม่ยอมอยู่กับเจ้าของ

จิต ไม่มีสมาธิ ก็ย่อมไม่อิ่มไม่พอ

จึงมีแนวโน้ม แล่นไปตามความอยาก

ดูแต่ที่ชอบใจ ดูจิตอย่างนี้แล้ว จะยังไงต่อหละ

มันไม่ได้ดู เพื่อปล่อยเพื่อวาง

นักปฏิบัติสมัยนี้ ไม่ฟังคำสอน ของพระพุทธเจ้า

ว่าการปฏิบัติ ต้องมีขั้นมีตอน

และ ต้องครบถ้วนทั้งศีล สมาธิ และปัญญา

จะเอาแต่ ปัญญาๆ

ท่านอัญญาโกณทัญญะ ท่านฟังธรรม บรรลุธรรม

ก็เพราะ ท่านมีทุนเดิม คือ ศีล สมาธิ ที่มากพอแล้ว

ไม่ใช่ไม่มี หรือ ไม่ต้องใช้

พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร

วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิตร อุดรธานี







“ความรักก็เป็นความกระเพื่อมจิตกวนจิต ความชัง ความเกลียด ความโกรธ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ก่อกวนจิตให้ผิดจากปกติเดิมของตน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องชำระและสอนให้ชำระ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำจิตให้ไหวอยู่เสมอ ไม่เป็นปกติ ถ้าเป็นน้ำก็ถูกกวน หาความสงบหาความนิ่งหาความใสไม่ได้ เพราะถูกรบกวนเสมอ
.
จิตใจที่หาความสงบเย็นเป็นของตัวไม่ได้ ก็เพราะถูกกวนจากความรักความชังความเกลียดความโกรธ และการเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้จากความผลักดันภายในจิต ให้เป็นไปอยู่โดยสม่ำเสมอไม่ขาดวรรคขาดตอน
.
จิตจึงเป็นเจ้าเรื่อง ทั้ง ๆ จิตนั้นไม่ต้องการเป็นเจ้าเรื่อง แต่สิ่งที่มาเคลือบแฝงจิตอันเป็นยาพิษให้ผิดปกตินั้นเป็นเจ้าเรื่อง จึงต้องก่อแต่เรื่องแต่ราวภายในจิตใจของสัตว์ของเราของท่านอยู่เสมอ”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๘ ตุลาคม ๒๕๒๔







"พวกเรามันภาวนาเอาเวลากัน
ภาวนาได้เท่านั้นชั่วโมง เท่านี้ชั่วโมง
เวลาจะภาวนาก็เอานาฬิกามาตั้ง
ภาวนาไปก็หรี่ตาขึ้นดูนาฬิกา ได้กี่นาที....
เอ้าหลับตาใหม่ภาวนาต่อ.... หรี่ตาดูนาฬิกาอีก.....
มันไม่ใช่นี่...
ภาวนาต้องมีสติ...ภาวนาให้ใจสงบ.... ให้เกิดสมาธิ ให้ใช้ปัญญา
ภาวนาต้องเอาที่ใจ ไม่ใช่ภาวนาเอาเวลา"

พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิตร จ.อุดรธานี






“ธรรมเป็นมิตรแท้ มิตรพึ่งเป็นพึ่งตายได้แท้ ก็ได้แก่คุณงามความดีที่เป็นรสชาติเครื่องประดับหรือประคับประคองใจเรา ไปตามวิถีทางที่ถูกที่ดี มีความสุขเป็นผล ตามธรรมดาใจย่อมมี “กุศล อกุศล” เป็นผู้พาเดิน เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติ หรือ ผู้รับผิดชอบตนเองอยู่แล้วโดยหลักธรรมชาติ จึงต้องมีความมั่นใจ ใฝ่“เข็มทิศ ทางเดิน” อันดีงามได้แก่ ศีลธรรม ซึ่งเป็นเครื่องพยุงเราให้ไปสู่สถานที่ดีคติที่งาม สมกับเราเป็นผู้รับผิดชอบตัวเอง ธรรมนี้แลเป็นเครื่องสนับสนุนเรา เหมือนอาหารที่รับประทานลงไปแล้ว ส่งผลให้มีความอิ่ม มีความสุขกาย สบายใจ ทั่วสรรพางค์ร่างกาย
.
ฉะนั้น การนับถือพุทธศาสนา จึงเรียกว่า เป็นการนับถือตน หรือ รักษาตนโดยชอบธรรม เพราะตนกับศาสนาเข้ากันได้อย่างสนิท ถ้าไม่เห็นว่าศาสนาเป็นคุณแก่ตน ซึ่งความจริงก็คือ ตนเป็นพิษแก่ตน นั่นแลศาสนาเป็นของกลาง พระโอวาทคำสั่งสอนเป็นแนวทางชี้บอกไว้ สำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติจะได้ดำเนินตามธรรมที่เป็นฝ่ายเหตุ ฝ่ายผลก็คือความสุข ความสมหวังดังใจหมาย อันจะพึงได้รับจากการปฏิบัติถูกต้องดีงามนั้น ๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๘





“เทวทัตยังรู้โทษ เทวทัตเป็นข้าศึกศัตรูต่อพระพุทธเจ้า เวลาพระเทวทัตแยกตัวออกไปเป็นศาสดาองค์เอกขึ้นมาแข่งพระพุทธเจ้า เขามาบอก พระอานนท์ก็นำมาทูล บอกว่า เวลานี้พระเทวทัตแยกตัวจากพระองค์แล้วไปเป็นศาสดาองค์ใหม่แทนพระองค์ หรือจะว่าแข่งพระองค์ก็ได้ พอพระองค์รับทราบแล้วก็ว่า เอ๊อ ภาษิตนี้เราก็ไม่ลืม เพราะเป็นภาษิตที่สะดุดใจอย่างแรงกล้า ที่พระเทวทัตไปทำลายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงปลงธรรมสังเวช เออ ท่านว่างั้น

สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ,
ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ.

สิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย ทั้งไม่เป็นประโยชน์แก่ตนและไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย สัตว์ที่ชั่วช้าลามกทำได้ง่าย ส่วนกรรมใดงานการใดที่เป็นประโยชน์แก่โลกแก่ตนด้วยแก่ผู้อื่นด้วย ดีด้วย งานนั้นสัตว์ประเภทนี้ทำได้ยากอย่างยิ่ง นี่พระพุทธพจน์ พระองค์แสดงไว้แล้ว

พระเทวทัตยังดีนะ กลับมาถวายคางกรรไกร เห็นโทษเห็นภัยกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ก็รับสั่งว่า “เอ้อ เราก็เสียดาย แต่มานี้หลักธรรมชาติ คือความชั่วของตัวเองนั้นแหละเป็นไปเอง ไม่มีใครที่ควรจะไปตำหนิเขา กรรมของตัวเองทำ แล้วก็จะบังคับตัวเอง นี่จะมาหาเราตถาคตนี้ มาถึงเพียงหน้าวัดเท่านั้น ไม่เข้าถึงเราก็จะถูกแผ่นดินสูบ ท่านว่าอย่างนั้น แล้วเทวทัตก็มาถึงนั่นจริงๆ หามกันมาลงที่สระหน้าวัด บรรดาลูกน้องทั้งหลายลงอาบน้ำ พระเทวทัตก็จมลงไป แล้วไม่ได้อะไรที่นี่จนตรอกเต็มที่แล้ว ว่าจะขอขมาโทษจะถวายบูชาด้วยความเห็นโทษของตัวเองก็ไม่ทัน

พอแผ่นดินสูบลงไปถึงคางกรรไกร เลยขอถวายคางกรรไกรเป็นวาระสุดท้ายแล้ว เห็นโทษตัวเองอย่างเต็มเหนี่ยว แล้วยกพระพุทธเจ้าขึ้นเป็นคุณอย่างสุดยอด ขอถวายคางกรรไกรนี้เป็นพุทธบูชาแก่พระองค์ แล้วก็จมลงไป”


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 94 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร