วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังเกตขั่วต่อขั่วแยกระหว่างสัทธา กับ ปัญญา

@ ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้ (ไม่ใช่ปัญญา) แต่อาจเป็นทางเชื่อมไปสู่ความรู้ได้
เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน
ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้น ก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้นหรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา
แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ ทิฏฐิ คือความเห็น ความเข้าใจตามแนวความคิดของตน เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการพัฒนาปัญญา เพราะความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ปุถุชน ที่ต่อจากขั้นขึ้นต่อผู้อื่นด้วยศรัทธา ก้าวมาสู่การมีความคิดความเข้าใจหรือมีสิ่งที่เรียกว่าเหตุผลของคนเอง ประกอบ พอจะนับได้ว่าเป็นความเข้าใจของตนเอง ก็คือทิฏฐิ
บางครั้งทิฏฐิ ก็สัมพันธ์ กับ ศรัทธาอย่างใกล้ชิด หรือถึงกับเป็นคนละแง่ของเรื่องเดียวกัน กล่าวคือ แง่ที่เป็นการมอบความไว้วางใจในความรู้ของผู้อื่น ยอมไปตามปัญญาของเขา (แต่ออกหรือพุ่งไปหา) เป็นศรัทธา
ส่วนแง่ที่เป็นการรับเอาความรู้นั้นหรือสิ่งที่เขาบอกให้มายึดถือทำเป็นของตน (รับมาถือหรือเอาเข้ามา) เป็นทิฏฐิลักษณะสำคัญของทิฏฐิ คือการยึดถือเป็นของตน

ความรู้ที่เป็นทิฏฐินี้มีได้ตั้งแต่ขั้นไม่มีเหตุผลเลย จนถึงมีเหตุผลบ้างและมีเหตุผลมาก เมื่อใดทิฏฐินั้นพัฒนาขึ้นไปจนเป็นความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ ที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง คือ ตรงตามสภาวะ ก็เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ และจัดเป็นปัญญา *
เมื่อปัญญานั้น เจริญขึ้นจนมองเห็นสภาวะนั้นด้วยตนเองอย่างชัดแจ้งสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องยึดถือความรู้นั้นเป็นของตน เพราะความจริงแท้ดำรงอยู่อย่างเป็นกลางๆ ไม่ต้องมีที่อ้างที่ยัน เป็นอันเลยพ้นขั้นของทิฏฐิไปเอง

แต่เพราะทิฏฐิพ่วงอยู่กับความยึดถือเป็นของตน ทิฏฐิจึงมักก่อให้เกิดผลเสีย ถ้ายึดถือเหนียวแน่น แม้จะเป็นทิฏฐิที่ใกล้เคียงความจริงอย่างมาก แต่ก็กลายเป็นเครื่องปิดบังขวางกั้นไม่ให้เข้าถึงความจริงนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมหะ คือ ความหลง ความไม่รู้ เป็นไวพจน์ของคำว่า อวิชชา หมายถึงความไม่รู้ความเป็นจริง ไม่รู้ตรงตามสภาวะ เป็นภาวะตรงข้ามกับปัญญา โดยเฉพาะปัญญาที่เรียกชื่อเฉพาะว่าวิชชา
พูดอย่างสามัญว่า โมหะหรืออวิชชา คือความไม่รู้นี้ เป็นภาวะพื้นเดิมของคน ซึ่งจะต้องกำจัดให้หมดไปด้วยวิชชา คือความรู้ หรือ ด้วยการฝึกอบรมเจริญปัญญา


อย่างไรก็ตาม แม้จะเล่าเรียนศิลปวิทยาต่างๆมากมาย และใช้ศิลปวิทยาเหล่านั้นทำกิจประกอบการต่างๆ ได้มากมาย แต่ถ้าไม่ช่วยให้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่มองเห็นสังขารธรรมทั้งหลายหรือโลกและชีวิตตามสภาวะของมันแล้ว ศิลปวิทยาเหล่านั้น ก็เป็นเพียงสุตะ คือสิ่งที่สดับถ่ายทอดกันไปเท่านั้น ยังไม่เป็นปัญญาแท้จริง ไม่สามารถกำจัดโมหะหรืออวิชชาได้ และไม่อาจแก้ปัญหาพื้นฐานของชีวิตได้สำเร็จ บางทีจะแก้แต่กลายเป็นก่อปัญหาขึ้นใหม่ เหมือนคนต้องการแสงสว่าง แสวงหารวบรวมฟืนและเชื้อไฟชนิดต่างๆ มามากมาย ถึงจะรวมมาได้เท่าใด และจะปฏิบัติอย่างไรต่อฟืน และเชื้อไฟเหล่านั้น จะตกแต่งประดับประดาประดิดประดอยอย่างไร แต่ตราบใดที่ยังมิได้จุดไฟขึ้น ก็ไม่อาจให้แสงสว่างเกิดขึ้นได้

ปัญญา ที่เป็นตัวความรู้ในสังขารขันธ์นั้น เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดให้มีขึ้น ต้องฝึกปรือ ทำให้เจริญเพิ่มพูนขึ้นไปโดยลำดับ
ปัญญาจึงมีหลายขั้นหลายระดับ และมีชื่อเรียกต่างๆ ตามขั้นของความเจริญบ้าง ตามทางเกิดของปัญญานั้นบ้าง ตามลักษณะเฉพาะของปัญญาชนิดนั้นบ้าง จะขอยกชื่อของปัญญามาให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น ปริญญา ญาณ วิชชา อัญญา อภิญญา พุทธิ โพธิ สัมโพธิ เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะสามตัวนี้พ่วงๆพันๆกันอยู่


สัญญา - วิญญาณ - ปัญญา


สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง
ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ

แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา
ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก

ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึง ทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้นกับส่วนนี้กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก

พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์

แต่ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้

กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง * (ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)

* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าต้องการรู้เข้าใจธรรมะระดับพ้นทุกข์ ต้องดูคนมองตนเป็นสองชั้น อย่ามองชั้นเดียว

ชั้นที่หนึ่ง มองมองตนมองตนว่าเป็นเหมือนอุปกรณ์สำหรับเอาไว้ใช้ทำกิจหน้าที่ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น พ่อแม่ลูกเมียผัวเป็นต้น มีหน้าที่อะไรก็ทำไป, ระหว่างสังคมเท่าที่เราสามารถช่วยได้ทำได้ นี่ขั้นที่หนึ่ง

ชั้นที่สอง อันเดียวกันนั่นแหละ แต่มองให้ทะลุเลยคนไปถึงแก่นของชีวิตนี้ แก่นนั้นแหละคือธรรมะ (สภาวะ) ไม่ใช่คน ชั้นนี้สำหรับเอาไว้รู้จักเข้าใจมัน

ของสิ่งเดียวกันนั่นแหละ แต่มองเป็นสองขั้นสองระดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2018, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูตัวระหว่างคน กับ ธรรมะ นี่คนขัดแย้งกับธรรมะ หมายความว่า เมื่อคนประสบกับธรรมะแล้ว :b1: คนไปฝืนธรรมชาติ ไม่ยอมรับความเป็นจริง คนจะเอาตามที่ตนเองต้องการ จึงขัดแย้งกับธรรม

อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสมานี่ดีกว่า กบนอกกะลาด้วย :b16: :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ครั้งพุทธกาลก่อนบวชทุกคนที่ได้ฟังธัมมะจากพระโอษฐ์
เข้าใจคำสอนและออกบวชเพื่อสละกิจแบบชาวบ้านทั้งหมด
คือสละสมบัติที่เคยมีออกบวชเพื่อเรียนธัมมะครองจีวรแค่3ผืน
และบิณฑบาตเป็นกิจวัตรไม่ทำอาชีพไม่รับเงินไม่ทำสงเคราะห์ใคร
ไม่ว่าจะเป็นกาลสมัยใดก็ตามคำของตถาคตจริงถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้
สำหรับการบวชสมัยนี้บวชด้วยความไม่รู้แถมยังทำผิดแล้วไม่รับผิดชอบ
ยังจะเปลี่ยนแปลงสิกขาบทต่างๆให้มาเข้ากับกิเลสตนเองบาปต้องตกนรกน๊า
ฆราวาสที่ศึกษาคำจริงจนเข้าใจได้ประกาศความจริงให้รู้โดยเพ่งโทษติเตียนแล้ว
ยังโพนทะนาคือทำเสียงดังๆถึงความผิดปกติที่ผู้บวชปฏิบัติโดยไม่เคารพพระธรรมวินัย
บวชแล้วไม่สละกลับรับเงินมาใช้จ่ายอย่างชาวบ้านจริงใจที่จะบวชหรือไม่เพราะปฏิบัติไม่ตรง
ถ้ามีสำนวนก็เหมาะกับคำว่าคดในข้องอในกระดูกเป็นอันเข้าใจนะคะว่าผู้กล่าวตามคำตถาคตให้
ผู้บวชเห็นโทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์คืออริยทรัพย์คือปัญญา/บวชรับเงินเป็นอกุศลปิดกั้นมรรคผลนิพพาน
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:


เข้าหัวข้อกระทู้

พระเอกรุ่นใหญ่ 'ไพโรจน์' บวชพระเรียบง่าย

https://dailynews.co.th/regional/650627

คุณโรสถ้าเขาสละทรัพย์ให้คนอื่นหมด สึกมาจะไปอยู่ที่ไหน จะกินอะไร ตอบสิครับ อยากฟังความคิดเห็นประเด็นนี่จัง

อย่าบอกนะ ไม่มีที่อยู่ก็ไปอยู่ใต้ทางด่วนรามอินทรา คิกๆๆ


คุณโรสลองตอบสิครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โหลๆๆ เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวบ้านมารวมตัวกันที่ วัดโพธารามประมาณ 3,000 คน เพื่อรอรับเงินโปรยทาน 1,000,000 บาท

รูปภาพ


นี่เขาสละได้เท่าที่เขาไม่เดือดร้อน สึกออกมาเขาก็ยังมีกินมีใช้ ถ้าทำอย่างที่คุณโรสว่าคือสละทรัพย์สมบัติให้หมดตัว สึกออกมาที่อาศัยโน่นใต้ทางด่วน :b12:

และถ้าเขาทำกันอย่างว่านะคงไม่มีคนบวช พระพุทธศาสนาคงสูญสิ้นไปนานแล้ว คงมาไม่ถึง พ.ศ.นี่หรอก คิดสิคิด

อีกอย่างหนึ่ง วัดวาอารามที่สร้างๆเห็นๆกันนั่นน่า ใช้เฮินทั้งนั้น กระเบื้องแผ่นหนึ่งก็ใช้ปัจจัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเห็นมา

อ้างคำพูด:
ผมอยากพบกับผู้หญิงคนนี้จังใครช่วยจัดเวทีให้พบกันสักทีสิครับ (กับผม)ไม่ต้องถึงมือพระท่านหรอกครับ.เพราะจะทำให้พระเสียความรู้สึกเปล่าๆครับ.เพราะ.นางสุจินต์.คนนี้ยังไม่รู้จักแม้กระทั้งตัวเองว่าเป็นใคร.มาจากใหน.พูดออกมาได้ไงว่า.;;ไม่ต้องมีวัด,,.ไม่ต้องมีพระ,,..ก็ทำความดีได้,,ทำบุญได้,,.ถ้าไม่มีพระ.ถ้าไม่มีวัด.แล้วจะเอาศพไปไว้ที่ไหนละ..นางสุจินต์.ทุก ศาสนา.ก็ต้องมีที่พึ่ง.พูดแบบโง่ๆ.เป็นถึงอาจารย์.ไม่น่าโง่.พูดแบบอยากดังใครก็พูดได้.ตัวคุณไม่ตายรึครับ ฯลฯ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

ที่พระพุทธศาสนายืนมาจนถึงวันนี้ เพราะการสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น คนรุ่นเรานี่มันปลายแถวแล้ว แล้วทำท่าจะฉิบหายก็เพราะคนรุ่นเราๆท่านๆนี่แหละ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังสละไม่หมดนิ
เหลือจีวรสามผืนแน่ะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ยังสละไม่หมดนิ
เหลือจีวรสามผืนแน่ะ


แก้เลยหมดเรื่อง เอาแบบนิครนถ์ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ชาวบ้านมารวมตัวกันที่ วัดโพธารามประมาณ 3,000 คน เพื่อรอรับเงินโปรยทาน 1,000,000 บาท

รูปภาพ


นี่เขาสละได้เท่าที่เขาไม่เดือดร้อน สึกออกมาเขาก็ยังมีกินมีใช้ ถ้าทำอย่างที่คุณโรสว่าคือสละทรัพย์สมบัติให้หมดตัว สึกออกมาที่อาศัยโน่นใต้ทางด่วน :b12:

และถ้าเขาทำกันอย่างว่านะคงไม่มีคนบวช พระพุทธศาสนาคงสูญสิ้นไปนานแล้ว คงมาไม่ถึง พ.ศ.นี่หรอก คิดสิคิด

อีกอย่างหนึ่ง วัดวาอารามที่สร้างๆเห็นๆกันนั่นน่า ใช้เฮินทั้งนั้น กระเบื้องแผ่นหนึ่งก็ใช้ปัจจัย

Kiss
ภิกษุณีทำตามคำสอนไม้ได้จึงไม่มี
ภิกษุก็ต้องเป็นแบบนั้นเพราะไร
เพราะพุทธบริษัทมี4บริษัท
ถ้าไม่ทำตามคำสอนแล้ว
จะดำรงคำสอนยังไงคะ
พระคือผู้ประเสริฐ
พุทธะคือผู้ตื่นผู้รู้ผู้เบิกบาน
ศาสนาแปลว่าคำสอน
ใครบัญญัตคำสอนคะ
ตถาคตตั้งคนแทนคำสอนไหม
ในเมื่อคำสอนแทนศาสดาเนี่ย
ไม่ฟังคำสอนกิเลสเลวไหมคะ
เพราะกิเลสแปลว่าไม่รู้เป็นอกุศล
ภิกษุหัวหน้าบริษัททำลายคำสอนจะให้ว่าไงคะ
อุบาสกอุบาสิกาที่ศึกษาคำสอนเขาป่าวประกาศฟังบ้างไหมคะ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวบ้านมารวมตัวกันที่ วัดโพธารามประมาณ 3,000 คน เพื่อรอรับเงินโปรยทาน 1,000,000 บาท

รูปภาพ


นี่เขาสละได้เท่าที่เขาไม่เดือดร้อน สึกออกมาเขาก็ยังมีกินมีใช้ ถ้าทำอย่างที่คุณโรสว่าคือสละทรัพย์สมบัติให้หมดตัว สึกออกมาที่อาศัยโน่นใต้ทางด่วน :b12:

และถ้าเขาทำกันอย่างว่านะคงไม่มีคนบวช พระพุทธศาสนาคงสูญสิ้นไปนานแล้ว คงมาไม่ถึง พ.ศ.นี่หรอก คิดสิคิด

อีกอย่างหนึ่ง วัดวาอารามที่สร้างๆเห็นๆกันนั่นน่า ใช้เฮินทั้งนั้น กระเบื้องแผ่นหนึ่งก็ใช้ปัจจัย

Kiss
ภิกษุณีทำตามคำสอนไม้ได้จึงไม่มี
ภิกษุก็ต้องเป็นแบบนั้นเพราะไร
เพราะพุทธบริษัทมี4บริษัท
ถ้าไม่ทำตามคำสอนแล้ว
จะดำรงคำสอนยังไงคะ
พระคือผู้ประเสริฐ
พุทธะคือผู้ตื่นผู้รู้ผู้เบิกบาน
ศาสนาแปลว่าคำสอน
ใครบัญญัตคำสอนคะ
ตถาคตตั้งคนแทนคำสอนไหม
ในเมื่อคำสอนแทนศาสดาเนี่ย
ไม่ฟังคำสอนกิเลสเลวไหมคะ
เพราะกิเลสแปลว่าไม่รู้เป็นอกุศล
ภิกษุหัวหน้าบริษัททำลายคำสอนจะให้ว่าไงคะ
อุบาสกอุบาสิกาที่ศึกษาคำสอนเขาป่าวประกาศฟังบ้างไหมคะ
:b32:



ตอบคำถามนี้ก่อน เขาบวช 15 วัน แล้วให้เขาสละทรัพย์สินให้หมด วันที่ 16 เขาสึกมาจะเอาอะไรกินอะไรใช้ ไหนลองตอบสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 97 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร