วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2018, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...ฉะนั้นให้ชนะตัวเรา แล้วใจเราจะสงบ
ชนะอะไร..ก็ชนะความโลภ ความโกรธ
ความหลง ชนะความอยากต่างๆ

.
นี่ ถ้าชนะตัวนี้แล้ว ใจเราจะสงบ เย็นสบาย
แต่ถ้าอยากจะชนะคนอื่นแล้วไม่ชนะนี่
เราจะเสียใจ
ฉะนั้นอย่าไปหวังที่จะชนะใจคนอื่น

.
แต่ก็มีธรรมที่ทำให้คนอื่นเขายอมรับเราก็ได้
อย่างพระพุทธเจ้านี่ ท่านก็ชนะใจพวกเรา
เพราะว่าท่านทำสิ่งที่ทำให้เราเกิดศรัทธา
เกิดความเคารพในตัวท่านขึ้นมาได้

.
ฉะนั้น ถ้าอยากชนะใจผู้อื่น
ก็ต้องเอาชนะใจผู้อื่นด้วย "การทำความดีไป"
ทำตัวเราให้เป็นคนดี มีเมตตา
มีความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่.
.............................
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 22/12/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





...อย่างพวกเราที่มาวัดกันนี้
ก็ไม่ได้มาเพราะ มีใครบังคับให้มา

.
แต่นิสัยของเรานั่นเอง
ที่เป็นผู้ชวนเรามา
เรามีความพอใจ
มีความสุขใจ ที่จะทำบุญ

.
เราเคยทำมาแล้วในอดีต
นับไม่ถ้วน
"มันจึงเกิดนิสัยมา"

.
พอเวลาใดที่เรา มีเวลาว่าง
เราก็ คิดถึงการทำบุญ
คิดถึงการรักษาศีล
คิดถึงการภาวนา เป็นต้น.
...................................
.
ธรรมะในศาลา 20/1/2551
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





...ความโลภกับความอยาก
ก็.."ตัวเดียวกัน"
เพียงแต่ท่านเปลี่ยนชื่อ
ให้มันฟังจะได้ไม่เบื่อเท่านั้นเอง

.
แต่ความจริงมันก็ตัวเดียวกัน
ความโลภก็อยากได้
ความอยากก็อยากได้

.
ฉะนั้นต้องหยุดความอยากทั้งปวง
ถ้าหยุดความอยากได้
ความโกรธก็จะไม่มี

.
ความโกรธนั้น
เกิดจาก "ความอยาก" นี่แหละ

.
พออยากได้อะไร
ไม่ได้ก็โกรธคนที่ขัดขวางเรา
หรือคนที่ไม่ตอบสนอง
ความต้องการของเรา
แล้วก็จะโกรธเขา

.
แล้วความอยาก
ก็เกิดจากความหลง
ความหลงที่ไม่รู้ว่า
การทำตามความอยากนี้
เป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ

.
ความสุข
ไม่ได้อยู่ที่การทำตามความอยาก
ความสุขอยู่ที่..
"การไม่มีความอยาก".
................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา2/5/2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




ลูก หลาน เอ๋ย
“..ต้องรอให้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจก่อน เหรอ
ถึงจะพากันเข้าวัด หรือต้องรอครั้งเดียวในชีวิต
คือ ตอนเข้ามาเผาร่างกัน ให้รีบเร่งพิจารณา
ชีวิตเรามีน้อย อย่าคอยเวลา..”
.............................................................................
โอวาทคติธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
(หลวงปู่ประสาร สุมโน)
วัดป่าหนองไคร้ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร




โยม : นี่คือรายชื่อครูบาอาจารย์ที่ผมรวบรวม
พระอาจารย์ : เอารายชื่อไปทำไม ไม่เอาตัวเรา
โยม : ไปสร้างบารมีกับท่านทุกๆองค์
พระอาจารย์ : ไม่ต้องไปสร้างทุกองค์หรอก เอาองค์เดียวก็พอ เหมือนกันรถ โตโยต้า ๕๐ คัน มันก็เหมือนกันหมดทุกคนแหละ คันเบนซ์ ๕๐ คันมันก็เบนซ์เหมือนกันหมด เอาคันเดียวก็พอ เวลาคุณขับรถขับกี่คัน ก็นั่งคันเดียว ครูบาอาจารย์องค์ไหนใกล้เรา เราสะดวกไปหาท่านก็เอาองค์นั้น ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วเข้าใจง่ายก็เอาองค์นั้นก็เท่านั้นเอง

__________________

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวราราม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖




“อย่าแสดงความมักง่าย”

..โดยมาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็วิ่งตามเขาเลยนะ ถ้าเป็นความง่วงเหงาหาวนอน ก็วิ่งตามเขา ความขี้เกียจขี้คร้าน ก็วิ่งตามเขา ถูกเขาดึงจูงจมูกอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปหละ ถ้าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาหน่อย ก็หาแต่ทางจะออก ที่จริงก็อยากออก อยากหยุด ตั้งแต่ยังไม่มีเหตุ พอมีอะไรมาหน่อย กระทบนิดหน่อยก็ไปเลย อันนี้ให้สังเกตดู พิจารณาดู มันแสดงถึงความมักง่ายถึงขนาดนั้นนะ แล้วทำยังไง จึงจะเห็นอรรถเห็นธรรม ให้พิจารณาดูบ้าง เวลาทำอย่างอื่น สิ่งไม่ดี ทำไม ทำตามเขาง่ายหละ แต่เวลาจะเดินไปสู่คุณงามความดี ทำไมไม่อยากทำ อันนี้ เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขตัวเจ้าของเอง..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง เราลืมเจตนาดั้งเดิม




"การทานมุ่งในการเสียสละด้วยความบริสุทธิ์ใจ ๑
คือไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง
ไม่ใช่ทานเพื่อมุ่งของตอบแทน
ไม่ใช่ทานเพื่อมุ่งให้หน้าตาใหญ่โตอะไร
ทานเพื่อเป็นการบูชา
สิ่งที่เรานำไปบริจาคนั้น เป็นของที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรง
คือได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ๑
แล้วก็บุคคลที่รับไทยทานของเราก็เป็นบุคคลที่มีความบริสุทธิ์ ๑
ถ้าหากว่าความบริสุทธิ์สามส่วนนี้มารวมกัน
ไม่ต้องเรียกว่าผ้าป่า ไม่ต้องเรียกว่ากฐิน
เป็นบุญกุศลมหาศาลทั้งนั้น"


หลวงปู่แบน ธนากโร





สูตรการแผ่เมตตา โดย หลวงปู่ทิวา อาภากโร
(ศิษย์หลวงปู่หลุย จันทสาโร และ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)

การเพิ่มคุณภาพจิตโดยการแผ่เมตตา

จิต ที่มีคุณภาพสูงเป็นจิตที่มีความสุขมากกว่าปกติเป็นจิตที่ประกอบไปด้วยกุศล ไม่คิดเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ปรารถนาความสุขให้แก่ตนเองและผู้อื่น ตรงกันข้ามกับจิตที่มีคุณภาพต่ำ เป็นจิตที่ประกอบไปด้วยอกุศลเป็นส่วนมาก ทำตนเองให้เป็นทุกข์ แล้วก็แผ่กระจายความทุกข์นั้นไปให้ผู้อื่น ทั้งที่โดยเจตนาและไม่เจตนาก็ตาม

พระอริยเจ้าทุกพระองค์ นับตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จิตของท่านมีคุณภาพสูงกว่าจิตของปุถุชน เพราะท่านมีความเมตตาเป็นวิหารธรรม คือ เป็นเครื่องอยู่ ฉะนั้นท่านจึงเป็นผู้มีความสุขมากกว่าปุถุชนธรรมดา พวกเราถึงแม้ว่ายังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ถ้าเจริญเมตตาพรหมวิหารเป็นประจำ เราก็จะเป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าปกติ ต่างกันแต่ว่าพระอริยเจ้าท่านมีเมตตาเป็นอัตโนมัติเกิดขึ้นเป็นประจำไม่มี การเสื่อม สำหรับปุถุชนต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นทำให้มีขึ้นและต้องพยายามรักษาไว้ไม่ ให้เสื่อมด้วย

เมตตาพรหมวิหารนี้ ถ้าเกิดขึ้นแล้ว ความเป็นผู้มีศีล คือไม่คิดเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น คิดปรารถนาความสุขให้แก่ตนเองและผู้อื่นก็เกิดขึ้นด้วย อยู่ที่ใดไปที่ใดก็มีแต่ความเยือกเย็นเป็นสุข

เมตตาพรหมวิหารนี้ ถ้าทำให้มากเจริญให้มาก ย่อมแก้กรรมได้ กรรมที่ทำแล้วถ้าหนักก็อาจจะเบาบางลงได้ ถ้ากรรมนั้นพอประมาณก็อาจจะจางหายไปได้ ผู้ที่จะบำเพ็ญความดีจนบรรลุถึงความเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จำเป็นต้องสร้างบารมี คือ ทำคุณสมบัติ ๑๐ ประการให้เกิดขึ้นให้มีขึ้นกับตนเองก่อน คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

เมตตาเป็นบารมีอันหนึ่ง ซึ่งจำเป็นจะต้องสร้างให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้นกับตน การเจริญเมตตาพรหมวิหาร ทำให้เมตตาบารมีของเราเพิ่มขึ้น...... เพิ่มขึ้น

เมตตาพรหมวิหารแก้ Side Effect คือ ผลเสียบางอย่างของการภาวนาได้ การทำสมาธิภาวนาในระบบใดก็ตาม จะใช้อะไรเป็นกรรมฐานก็ตาม จะมีอยู่อีกจุดหนึ่งที่จิตของเราสงบ ต้องการความสงบและอยากอยู่ในที่สงบ แต่สิ่งแวดล้อมก็เป็นไปตามปกติของเขา เช่น เราอยู่ในบ้าน แต่ก่อนเรายังไม่ภาวนา คนในครอบครัวทำเสียงดัง เราก็รู้สึกเป็นของธรรมดา แต่เมื่อเราภาวนา ถึงจุดที่มีความสงบ ต้องการความสงบ และอยากอยู่ในที่สงบแล้ว บางครั้งเราอาจจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญเสียง แล้วไปโทษสิ่งแวดล้อมว่าทำให้เกิดความไม่สงบ แต่ถ้าเราเจริญเมตตาพรหมวิหารแล้ว เราจะไม่ไปโทษสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่จะรู้สึกเมตตาทุกคนเสมอกันหมด และสามารถปรับความรู้สึกของเราให้เป็นปกติได้ ไม่ยากนัก เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก สังคมที่ขาดเมตตา คือ สังคมของสัตว์ป่า สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก สัตว์ที่แข็งแรงเบียดเบียนสัตว์ที่อ่อนแอ มีแต่ความหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา ตัวเรา ครอบครัวและในสังคมส่วนย่อย ถ้าปราศจากเมตตาไปแล้วก็จะเดือดร้อน เป็นทุกข์หวาดระแวง เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์เราขาดเมตตา สังคมมนุษย์ต้องแย่ยิ่งกว่าสังคมของสัตว์เสียอีก เพราะมนุษย์ทุกวันนี้มีอำนาจในทางวัตถุมาก ถ้าเอาอำนาจนี้มาใช้ในทางเบียดเบียนกัน ทำลายกันโลกก็คงอยู่ไม่ได้แน่ ที่โลกยังอยู่ได้เพราะมนุษย์เรายังมีเมตตาต่อกัน แม้จะอยู่ในวงจำกัดก็ตาม

ถ้า มนุษย์เรามีเมตตาแผ่กว้างไปมากเท่าไร โลกก็จะน่าอยู่มากขึ้น สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมตตาจึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ค้ำจุนโลกให้คงอยู่ได้ ฉะนั้นโบราณจารย์ท่านจึงให้แผ่เมตตาทุกค่ำเช้า หลังจากไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้ว

อานิสงส์ของการเจริญเมตตามีดังนี้
๑. ตื่นก็เป็นสุข
๒. หลับก็เป็นสุข
๓. ไม่ฝันร้าย
๔. เป็นที่รักของมนุษย์
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ อมนุษย์นี่หมายถึง เทวดา ผี และสัตว์ทั้งหลายด้วย
๖. เทวดารักษา ผู้ใดที่เทวดารักษา ผู้นั้นเจริญรุ่งเรืองไม่ตกต่ำ
๗. ไม่เป็นอันตรายด้วยไฟ ยาพิษ และศาสตรา
๘. จิตจะเป็นสมาธิอย่างรวดเร็ว ถ้าเราแผ่เมตตาแล้วทำสมาธิต่อ จิตจะเป็นสมาธิเร็วกว่าปกติ
๙. สีหน้าจะผ่องใส ดีกว่า Make up ด้วยเครื่องสำอาง
๑๐. ก่อนจะตายจะมีสติไม่หลงตาย การหลงตายคือ เพ้อ หรือโกรธ จิตเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ทุกข์คติ จึงเป็นไปในเบื้องหน้า
๑๑. เมื่อไม่บรรลุนิพพาน ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร