วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2018, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คราวหนึ่งเขานิมนต์สังฆราชมาโรงเรียนศรีบุญญานนท์ สังฆราชมาถึงแล้วให้นั่งอยู่อีก กระซิบถามว่าให้นั่งทำอะไร บอกว่า ยังไม่ได้ฤกษ์ ก็บอกว่า ตัวฤกษ์มานั่งอยู่แล้วละ
สังฆราชถึงน่ะมันได้ฤกษ์แล้ว ให้นั่งอยู่ทำไม เสียเวลาท่าน วางศิลาฤกษ์แล้ว จะกลับไปฉันเพลวัดโพธิ์อีก ทีนี้ มันสาย วางฤกษ์ไว้ ๑๑ นาฬิกา ๕ นาที กว่าจะถึงได้ฤกษ์ เสียเวลาท่านเปล่าๆ เสร็จแล้วยังต้องถวายของ อะไรต่ออะไร เวลาเลยไปตั้งเยอะแยะ มิต้องขับรถบึ่งไปให้ทันเพล ประเดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุเหมือนสังฆราชวัดมงกุฎ ฯ เท่านั้นเอง มันฤกษ์ถึงแล้ว เพราะสังฆราชมาถึงแล้ว ควรจุดธูปเทียนได้แล้ว
คนหัวถือโชคลางมันมาก ในหย่อมนั้น ถึงเราพูดเขาก็ไม่ฟัง เรื่องมันเป็นอย่างนั้น เขาถือ ไอ้ผมนี่มันไม่ถืออะไรเลย ไปไหนผมไปเท่านั้นเอง ผมดูว่าเรือบินมันออกเวลาไหน รถไฟออกเวลาไหน ไปให้ทันก็แล้วกัน จากนี้ไปสนามบิน ๑๕ นาที พอเรือบินออกก็ฤกษ์ดี เป็นอย่างนั้น

ฤกษ์จะสึก ก็เหมือนกัน ญาติโยมก็เป็นห่วง ต้องไปแอบดู ลูกจะสึก เดี๋ยวนี้ญาติโยมชักจะเข้าใจ ไม่ค่อยมีอย่างแต่ก่อน เทศน์ให้ฟังๆ ญาติโยมแกรู้เข้า ไม่สนใจแล้ว สึกเมื่อไรก็ได้ ชักจะคลายแล้ว ลูกจะสึกเมื่อไรก็ได้ ไม่อย่างนั้น ก็จะไปคอยเที่ยวดูมา ดูหมอพระนะ ฤกษ์จะสึกของพระภิกษุองค์นั้น ให้สึกเวลานั้น หันหน้าไปทิศนั้น หันหน้าไปทิศนี้ เวลารดน้ำมนต์หันหน้าไปทิศนั้น ออกจากวัดหันหน้าไปทิศนั้น เข้าบ้านทางทิศนั้น เข้าบ้านของตัวยังต้องดูเวลา เวลาเท่านั้นเท่านี้ ถ้าไปถึงก่อนเวลา ต้องเดินเตร่ เข้าบ้านของตัวไม่ได้

น่าขำที่สุด ให้ฤกษ์สึกเวลา ๑๑. ๒๑ น. ฤกษ์นี้ฤกษ์หิว ตายละโยม สึกไม่ได้ ไม่เจริญ พระกำลังฉันเพลจะไปสึกอย่างไร มันหิวนะซี่ ยังไม่ทันฉันของหวานเลย พออธิบายให้เข้าใจ ก็สึกแล้วในตอนเช้า ก็เรียบร้อยออกไปก็ยังเรียบร้อย ไม่เห็นเสียหายอะไร
บางคนบอกว่าบวชไม่เป็นไร สึกต้องดูฤกษ์หน่อย มันเท่ากัน ไม่มีอะไร เราออกไปแล้วประพฤติให้เรียบร้อยไม่มีอะไรดอก
สึกออกไปกินเหล้า เสพสิ่งเสพติด ฤกษ์ดีก็ไม่ได้ความอะไร เราทำอะไรต้องนัดหมาย ฤกษ์ในสมัยโบราณเขาถือเป็นเวลานัดหมายเท่านั้น เช่น จะช่วยกันมายกบ้าน ๙ ชั้น
สมัยก่อนไม่มีนาฬิกา เอาเงาแดด เอาไม้ปักไว้กลางแดด ยืนดูเงา ครบ ๙ ชั้น ก็ยกได้ คนจะได้มาเวลายกกันได้ แต่คนเอามาถือเป็นมงคลตื่นข่าว ไม่ถูก ขอให้รู้ให้ถูกต้องว่า เรื่องมันเป็นอย่างไร

นี่แหละ เรียกว่า ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ควรจะเชื่อกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สุขทุกข์ เสื่อม เจริญ เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่ได้เกิดจากเรื่องอื่น นี่เป็นหลักใหญ่ แต่ต้องอธิบายกันอีกทีหนึ่ง เรื่องกรรมนี่ถึงจะเข้าใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2018, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2018, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันก่อนพูดเรื่องสมบัติของอุบาสกอุบาสิกา มาจบแค่ ประการที่ ๓ ไม่ถือมงคลตื่นข่าวเอาไว้

มงคลในพระพุทธศาสนามีเหมือนกัน คำว่า “มงคล” แปลว่า เหตุให้เกิดความสุข ความเจริญ แต่ว่าจะเกิดก็เพราะเกิดจากปฏิบัติธรรมะ ไม่ใช่เกิดจากอะไรๆ ดังที่เป็นประเภทตื่นข่าว ไม่ได้เกิดเพราะการปลุกเสก เพราะการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตามแบบที่เขาเชื่อกันทั่วๆไป
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเพื่อทำลายความเชื่อเหลวไหล ทำลายมงคลตื่นข่าว ทำลายไสยศาสตร์ ทำลายความเห็นผิด ประเภทต่างๆ ให้ผู้ปฏิบัติตามพุทธธรรมมีความเห็นถูก

มงคลในพระพุทธศาสนานั้น ปรากฏอยู่ในมงคลสูตร มี ๓๘ ประการ ขึ้นต้นก็ อะเสวะนา จะ พาลานัง การไม่คบคนพาล ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา การคบหาสมาคมกับบัณฑิต ปูชา จะ ปูชะนียานัง บูชาคนที่ควรบูชา

๓ นี้ ถือว่าเป็นมงคลในคาถาต้น มีอยู่ ๓๘ เรื่อง เกี่ยวกับสังคม, เกี่ยวกับครอบครัว, เกี่ยวกับการงาน, เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่, และประการสุดท้าย เกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนต่างๆ

ในมงคลสุดท้ายซิ มันสูงทีเดียว อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ที่ไม่มีความโศก ไม่มีมลทิน มีความเกษม สงัดจากสิ่งผูกพัน ชื่อว่าเป็นมลคลสูงสุด ตามมงคลที่ ๓๘ นี้ ไต่เต้าไปตามลำดับ จนถึงสูงสุดคือนิพพาน หลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2018, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราต้องการความสุขความเจริญ ก็ต้องปฏิบัติตามมงคล ๓๘ นั้น ไม่ใช่มงคลทิศนั้น มงคลทิศนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ด้วยการปฏิบัติชอบตามธรรมะ หรือพูดง่ายๆว่า อยู่ในศีล ในธรรมอันเป็นหลักปฏิบัติทั่วๆไป แต่ก็มีธรรมะสำหรับปฏิบัติเฉพาะเรื่อง เฉพาะบุคคล เฉพาะหน้าที่
ถ้าเราปฏิบัติให้ถูกต้องตามเรื่องตามราว เราก็จะได้รับความสุขความเจริญ

ความสุขความเจริญนั้น เกิดจากการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้วัตถุก็มี การปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ความสุขความสบายทางใจก็มี ผลมันมี ๒ อย่าง เช่นว่า เราจะหาทรัพย์สมบัติ เราก็ต้องปฏิบัติธรรม เช่น เป็นคนขยันทำมาหากิน รู้จักเก็บหอมรอมริบ คบคนดี เลี้ยงชีพในทางที่ถูกที่ต้อง นี้เป็นเหตุให้เกิดเจริญในทางทรัพย์ ให้งดเว้นจากการเหลวไหล เช่น งดจากการดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน การพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร สนุกสนานไม่เข้าเรื่อง เกียจคร้านไม่ได้เรื่อง ท่านสอนให้เราปฏิบัติธรรมะอย่างนั้น เพื่อให้ได้สิ่งที่เป็นวัตถุ

ส่วนธรรมะที่สอนให้สงบใจ ก็มีมากมายก่ายกองในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา เราผู้ต้องการในเรื่องใดก็ต้องศึกษาเหตุของเรื่องนั้น ว่ามันจะได้โดยวิธีใด ควรจะทำอย่างไร ถ้าเราศึกษาธรรมะให้ถูกต้องทุกประการแล้ว เราก็หยิบเอาไปใช้เป็นเรื่องๆไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2018, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของธรรมะ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนยาแก้โรค มากมายหลายขนาน ที่พระพุทธเจ้าท่านปรุงไว้เสร็จแล้วเป็นยาสำเร็จรูป เราไม่ต้องไปปรุงอีกแล้ว ท่านปรุงไว้เรียบร้อยแล้ว เราเพียงแต่ว่าหยิบขวดยา อ่านฉลากยาให้เข้าใจ แล้วก็กินตามฉลากที่เขาบอกไว้ ก็จะหายโรคไปฉันใด เรื่องธรรมะก็อย่างนั้นเหมือนกัน เราหยิบมาใช้ ท่านวางไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ธรรมหมวดนั้นชื่อนั้นๆใช้ได้อย่างนั้นๆ เราก็หยิบธรรมะอย่างนั้นๆ มาใช้ในกิจวัตรประจำวันของเราได้ให้ถูกต้อง เราปฏิบัติไปก็จะได้ผลและสำเร็จได้ก็ด้วยการปฏิบัติธรรม
ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมแล้ว อย่าไปหวังเลยว่าจะได้รับความสุขความเจริญ ถ้าจะได้ก็ได้สิ่งที่เป็นความทุกข์ ความเดือดร้อน เป็นความเสื่อม ความเสียหาย เกิดขึ้นจากการไม่ปฏิบัติธรรมะ
ถ้าเราปฏิบัติธรรมะ หวังได้ว่าเราจะได้พบความสุข ความเจริญ


เพราะฉะนั้น ที่เป็นคฤหัสถ์ครองบ้านครองเมือง ควรต้องถือมงคลที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา อย่าไปเชื่อพวกงมงายทั้งหลาย ว่าอย่างนั้นดี อย่างโน้นดี ใครว่าไม่มีตัวตน เขาว่าๆจนหาเจ้าของไม่ได้ พวกลัทธิต่างๆ นี้มันไม่มีเจ้าของ เขาว่าๆสืบต่อกันมา เราเป็นพุทธศาสนิกชนไม่ให้ปฏิบัติตามเขาว่าๆอย่างนั้น แต่ให้ปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้า เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำตามธรรมะของพระองค์ ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามธรรมะของพระองค์ ก็ได้ชื่อว่าไม่ซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า ไม่จงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า แล้วมันก็แย่ไปตามๆกัน หลักการเป็นอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2018, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประการที่ ๔ ไม่แสวงบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา. อันนี้ หมายความว่า ไม่ทำบุญนอกพระพุทธศาสนา ในสมัยมีศาสนาอื่น มีคำสอนแบบอื่นๆ อยู่ในอินเดียเยอะแยะ และเขามีการทำบุญกันในรูปต่างๆ ตามประเพณีของเขา เช่นว่า มีการบูชายัญ
การบูชายัญก็คือการจับสัตว์เป็นๆ เอามาฆ่าเผาไฟ เพื่อบูชาเทพเจ้า ในครั้งโบราณนั้นทำกันเป็นจำนวนมากๆ แกะ ๕๐๐ แพะ ๕๐๐ ม้า ๕๐๐ เอาไปบูชายัญขนาดหนัก จนถึงเอาลูกที่ตัวรักไปบูชายัญ ก็เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ เช่น ต้องการความเป็นใหญ่ ต้องการกามคุณ รูป รส เสียง สัมผัส เลยก็ทำการบูชายัญ

ในพระสูตร มีครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จเดินไปในทุ่ง ได้เห็นคนต้อนฝูงแกะประมาณ ๕๐๐ ตัวไป
พระองค์ก็เข้าถามดูว่าจะต้อนไปไหนกันมากมายอย่างนี้
เขาบอกว่า จะต้อนไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งนครสาวัตถี ท่านจะทำการบูชายัญในบ่ายวันนี้จึงได้เอาแกะนี้ไป แล้วก็มีลูกแกะตัวหนึ่งมันง่อยเดินไม่ไหว
พระองค์ทรงอุ้มลูกแกะตัวนั้นแล้วก็เดินไปด้วยกัน ไปจนกระทั่งถึงบริเวณที่เขากำลังจะทำการบูชายัญกัน ในบริเวณนั้น เขาขุดหลุมกว้างใหญ่ประมาณสัก ๑๐ เมตร เอาไม้มาจุดลุกโพลงเป็นถ่านแดงทีเดียวแหละ แล้วก็มีพลับพลาพิธี มีพวกพราหมณ์แต่งตัวรุ่มร่ามรุงรังเปื้อนขี้เถ้าที่จะมาทำพิธี แก่ะนั้น เมื่อมาถึงก็ต้องเอาไปอาบน้ำเสียก่อน ให้สะอาด เพราะเทวดาไปชอบสกปรก อาบน้ำทาแป้งด้วยอะไรๆเสียก่อน แล้วจึงจะมาบูชายัญ

ในวันนั้น เมื่อไปถึง ก็เสด็จไปพบพระเจ้าแผ่นดินเลย พอพบก็ถามว่า มหาบพิตร นี่กำลังจะทำอะไร
พระเจ้าแผ่นดินก็ตอบว่า จะทำการบูชายัญ
พระองค์ก็ถามว่า จะทำการบูชายัญเพื่ออะไร
พระเจ้าแผ่นดินตอบว่า เพื่อให้สมปรารถนาแบบชาวบ้าน เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง และเพื่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เลย
ตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น พระองค์น่าจะสละสิ่งที่พระองค์รักที่สุดจึงจะได้ ไปสละแกะ ๕๐๐ มันยังไม่สมกัน สละสิ่งที่เรารักที่สุดถึงจะได้สิ่งที่เราต้องการ
ถามว่าอะไรเป็นสิ่งที่รักที่สุด
พระพุทธองค์ก็บอกว่า พระองค์ควรจะรู้ได้ด้วยตนเอง
พระเจ้าแผ่นดินก็ว่า ชีวิตหมอฉันนี่แหละเป็นสิ่งที่รักที่สุด
ถ้าอย่างนั้น พระองค์ก็ควรโดดลงไปในหลุมถ่านเพลิงเลย บูชายัญจึงจะได้สิ่งที่ต้องการ
พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ไม่เอาซี่ บูชายัญด้วยตัวเองแล้วจะได้อะไรล่ะ ได้แต่ขี้เถ้าเท่านั้นเอง เลยไม่เอา

พระพุทธเจ้าเลยสอนว่า “ผู้ใดต้องการความสุข แต่ทำความทุกข์ให้ผู้อื่น ทำสัตว์อื่นให้เดือดร้อน ย่อมไม่ได้สุขสมปรารถนา แต่ผู้ใดต้องการความสุข ด้วยให้ผู้อื่นได้รับความสุขแล้ว ตัวเองจึงจะได้รับความสุขสมใจ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เข้าใจในคำสอน เลยประกาศยกเลิกบูชายัญ ให้แกะกลับไปกินหญ้าในทุ่งกว้างต่อไป

พวกพราหมณ์ทั้งหลายก็เศร้าสร้อยหงอยเหงา พึมพำไปตามๆกันว่า พระสมณโคดมขัดคอพวกเราอีกแล้ว เลยไม่ได้มีการบูชายัญ อันนี้ เป็นตัวอย่าง


ในอินเดียในสมัยนี้ก็ยังมีอยู่ การบูชายัญยังไม่หมดไปทีเดียวดอก แต่มีน้อย วันหนึ่งสัก ๑๕ ตัว ที่เมืองกัลกัตตามีศาลอยู่แห่งหนึ่ง เขาเรียกว่าศาลเจ้าแม่กาลี เจ้าแม่กาลีเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง เป็นเมียพระศิวะเหมือนกัน พระอุมาเทวีก็เป็นเมียพระศิวะ
แต่เจ้าแม่กาลีเป็นเมียภาคดุร้าย หน้าตาดุร้ายแลบลิ้นปลิ้นตา เขาทำรูปไว้น่ากลัว ถ้าเด็กเห็นร้องวี๊ดทีเดียวละ เขาเรียกว่าศาลเจ้าแม่กาลี ที่นี่เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวเหมือนกัน เที่ยวดูเที่ยวชมกันมาก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2018, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บูชายัญ พิธีเซ่นสรวงเทพเจ้าของพราหมณ์, การเซ่นสรวงเทพเจ้าด้วยวิธีฆ่าคนหรือสัตว์เป็นเครื่องบูชา, ในภาษาบาลี ไม่ใช่คำว่า “บูชา” กับคำว่า “ยัญ” ที่พูดกันว่า “บูชายัญ” นั้น แปลจากคำบาลีว่า “ยัญญยชนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2018, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไปเมืองกัลกัตตาครั้งแรก ได้ไปเหมือนกัน ครั้งที่สองไม่ไปแล้ว เพราะไปแล้วมันยิ่งโง่หนักขึ้นไปอีก ไม่ได้อะไรเลย บริเวณไม่สะอาด คนมาก และคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็เป็นคนยากจน ขอทานรบกวนเหลือเกิน กว่าจะเข้าได้ เวลาเราจะขึ้นไปบนศาลาพวกนั้นไม่ให้ขึ้น ไปล้างมือล้างเท้าเสียก่อนด้วยน้ำในแม่น้ำคงคา
ถามว่า แม่น้ำคงคาอยู่ที่ไหนล่ะ นั่นไงล่ะ ไหลอยู่ในคูนั้นแหละ ดูน้ำแล้วมันล้างไม่ไหว มันควรจตะเพิ่มความสกรากมากกว่าลดความสกปรก ล้างไปไม่ไหว ไม่ล้างดีกว่า
เขาบอกว่าไม่ล้างก็ขึ้นไปบนศาลไม่ได้ ก็เลยบอกว่า ดูแล้ว เราก็ไม่อยากขึ้นละ เขามีพิธีการบูชายัญด้วยแพะ วันหนึ่ง ประมาณ ๑๕ ตัว มีคนต้อนแพะมาที่บริเวณนั้น พร้อมที่จะขายกับทายกทายิกาทั้งหลาย
คนที่มานมัสการเจ้าแม่กาลี มาถึงก็เรี่ยไรกับคนที่มา สมมติสมมติว่าแพะราคา ๒๐ รูปี เมื่อเรี่ยไรกันครบ ๒๐ รูปี ก็เอาไปฆ่าได้
ก่อนฆ่าต้องอาบน้ำในแม่น้ำคงคาดังว่าแล้วนั้นแหละ น้ำที่จะให้เราลงล้างมือนั่นแหละ เสร็จแล้วก็เอาสีแดงๆ มาทาหน้าผาก ๓ แฉกเป็นเครื่องหมายพระผู้เป็นเจ้า เขาเอาแป้งมาโรยพอเป็นพิธี เสร็จแล้วเขามีที่ทำเป็นง่ามเอาแพะมายืน ไขว้คอวางบนง่ามพอดี เอาเชือกรัดคอพอไม่ให้มันดิ้น แล้วก็มีคนจับหัวแพไว้คนหนึ่ง ในเวลานั้น ต้องมีพราหมณ์คนหนึ่งมาร่ายมนต์ พึมพำ เป็นภาษาสันสกฤต อุทิศให้แก่พระผู้เป็นเจ้า เจ้าแม่กาลี
คนหนึ่ง เอาอีโต้ใหญ่คมมากมาถึงก็จ้องให้พร้อม พอคนร่ายมนต์จบก็ฟันฉับลงไป มันก็ฟันเก่งเหมือนกัน ฟันทีเดียวขาดเลย พอขาดแล้วก็มีเลือดพุ่งออกมา
คนเหล่านั้น ก็รองเลือดแล้วไปถวายเจ้าแม่กาลี เอาเลือดที่ติดใบตองไปเช็ดที่ปากเจ้าแม่ แล้วเอานิ้วชี้เช็ดออกจากปากเจ้าแม่กาลีอีกทีหนึ่ง มาเจิมที่หน้าผาก ถือว่าเป็นสิริมงคลได้ลาภ ได้ผลได้กุศลยิ่งใหญ่ นี่เขาเรียกว่าพิธีบูชายัญ ตามแบบของพวกพราหมณ์ในสมัยนั้น

ถ้าเราถือพระพุทธศาสนา เราคงไม่ไปฆ่าแพะ ทำทารุณอย่างเขา เพราะว่าการกระทำเช่นนั้น มันไม่เป็นบุญ เป็นบาป แต่เขาถือว่าเป็นบุญตามศาสนาของเขา อย่างที่พี่น้องอิสลาม เขาฆ่าสัตว์เองจึงจะกินได้ ต้องเชือดเอง พระนาบีโมฮัมหมัด ได้ตรัสสอนไว้เพียงเพื่อไม่ให้กินสัตว์ตาย เพราะสัตว์ตายอาจมีโรคระบาด
แต่ถ้าเราฆ่าด้วยมือของเรา เราก็ประกันไม่ได้ว่าสัตว์นั้นไม่มีโรค เพราะโรคมีอยู่ในเลือดในตัวของสัตว์ ใครจะไปมองเห็น ฉะนั้น พวกอิสลามเขาจึงต้องฆ่าด้วยมือ เนื้อวัว เนื้อควาย พี่น้องอิสลามฆ่าทั้งนั้น มิฉะนั้น พวกเขาไม่กิน นี่มันเป็นลัทธิของเขาอย่างนั้น
เราผู้เป็นพุทธบริษัท เราทำบุญตามแบบนั้นก็ไม่ได้ แบบนี้ ไม่ตรงกับพุทธศาสนา ทำไม่ได้

แต่ถ้าอันไหนตรงกับพุทธศาสนาก็ใช้ได้ ได้บุญ ทำบุญที่ตรงกับพระศาสนามีอะไร ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2018, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีอยู่ ๑๐ ประการ เรียกว่า บุญกิริยาตามแบบพุทธศาสนา ๑๐ ประการ

๑. ให้ทาน ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน. การให้ทานนี้เป็นบุญ ให้เสื้อให้ผ้า ให้หยูกยา ให้ยานพาหนะ ให้อะไรต่ออะไร เรียกว่าทานหลายอย่าง

๒. สีลมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ศีล ๕ ศีลอุโบสถ ศีลอะไรก็ได้ เป็นบุญ

๓. ภาวนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการภาวนา เช่น เรานั่งฝึกจิตให้เกิดสมาธิฝึกให้มั่นคง ให้เห็น ไตรลักษณ์ อย่างนี้ เรียกว่า เจริญภาวนา เป็นบุญตามหลักพระพุทธศาสนา

๔. อปจายนมัย เป็นบุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม เป็นคนอ่อนโยน อ่อนน้อม ไม่กระด้าง ไม่ถือตัว เป็นที่รักใคร่ของคนที่ประสบพบเห็น นั้นก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง

๕.เวยยาวัจจมัย เป็นบุญที่เกิดจากการขวนขวายช่วยในกิจกรรมของคนอื่น. เห็นใครเขาทำอะไรไม่อยู่นิ่งดูดาย เข้าไปช่วย มีอะไรช่วยได้ช่วย ไม่เป็นคนดูดาย เขาหามเราก็ช่วย เขาชักลากเข้าไปช่วย เขามีงานอะไร เพื่อนบ้านเรือนเคียง เราไม่อยู่เฉย เช่นงานแต่งงาน งานศพ อย่างนี้ เรียกว่า .เวยยาวัจจมัย ช่วยในงานบุญ งานกุศล ก็ เป็นเวยยาวัจจมัย ย่อมผูกมิตรกับคนทั่วไป อย่างทำตัวเป็นคนโดดเดี่ยว เหมือนกับเกาะกลางทะเล อยู่ไม่ได้ ต้องผูกมิตรกับคนบ้านใกล้เรือนเคียง ด้วยการช่วยเหลือเจือจุนกัน มีอะไรก็แบ่งกันกินกันใช้ อย่าเป็นคนจับแคบ อย่างนั้น จึงจะมีมิตรมีเพื่อน และมิตรนั่นแหละจะช่วยป้องกันอันตรายให้แก่เรา รั้วที่สร้างด้วยไม้ ด้วยกำแพง ด้วยอิฐ ขโมยปีนได้

แต่ถ้ารั้วทำด้วยคนแล้วมันดีกว่า เป็นหูเป็นตาให้ เพื่อจะให้มีรั้วอย่างนี้เราก็ต้องช่วยเหลือกัน อย่าใจจืดใจดำ ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อนแผ่คนบ้านใกล้เรือนเคียงก็จะเป็นการดี

๖. ปัตติทานมัย บุญที่สร้างด้วยการให้ส่วนบุญ เราทำบุญแล้วแผ่ส่วนบุญให้คนอื่น ที่เราเรียกว่ากรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้แก่คนตาย คนเป็นเราก็ให้ การแผ่ส่วนบุญดีมาก คนได้ยินได้ฟัง เขาจะได้เอาเป็นตัวอย่างบ้าง แล้วจะได้ทำบุญเหมือนเราบ้าง

๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สร้างด้วยการอนุโมทนา เมื่อเขาให้เราก็ต้องอนุโมทนา คือยินดีในบุญนั้น เช่น การบอกว่าฉันไปทำบุญวัดนั้นวัดนี้มา ขอแผ่ส่วนบุญให้ เราก็บอกว่า “สาธุ ขอยินดีด้วย” คำที่กล่าวว่า “ยินดีด้วย” นี่ไม่กล่าวได้ง่ายๆ นะ มันเป็นน้ำใจ คนไม่มีน้ำใจ กล่าวไม่ออกดอก บางทีดูหมิ่นน้ำใจ เอาของอะไรมาให้ก็ไม่รู้ ไม่ได้เรื่องได้ราว นั่นมันกิเลสตัวหนึ่ง เกิดขึ้นในตัวเราโดยไม่รู้สึกตัว ถือเนื้อถือตัว ไม่ยอมรับความดีของคนอื่นน่ะ มันไม่ดี ก็ควรยกมือสาธุ “ดีแล้วครับ/ค่ะ ขออนุโมทนาด้วย” มันเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง เรียกว่าปัตตานุโมทนามัย

๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟัง หมั่นศึกษาหาความรู้ทางธรรมด้วยทางหู เป็นบุญอย่างหนึ่ง

๙. ธัมมเทสนามัย เรามีความรู้แล้ว อย่าเก็บไว้คนเดียว แจกเพื่อนบ้าน คอยพูดให้คนอื่นฟังให้เขาเข้าใจ แนะนำเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ให้รู้จักธรรมะ ให้เขาถึงธรรมะมากเท่าไร โลกยิ่งสันติ มีความสุข มีความสงบ เราจึงถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องไปพูดธรรมะกับใครๆบ้าง ช่วยแนะนำแนวทางชีวิตให้คนอื่นนั้นแหละ เป็นยอดกุศล เป็นเรื่องที่ควรจะกระทำบ่อยๆ อันหนึ่ง

๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ คือว่าคิดให้ถูกให้ตรงตามหลักสอนพระพุทธศาสนา


เหล่านี้ เรียกว่า เป็นบุญตามทางพุทธศาสนา ถ้าอะไรก็ตามที่ศาสนาอื่นเขาทำ เราก็ต้องนำมาคิดดูว่า เข้าอยู่ในหลัก ๑๐ ประการนี้หรือไม่ ถ้าเข้ากันกับข้อไหนได้ เพราะมันตรงกับของเราแล้ว ก็ทำได้ อย่าไปเที่ยวถือเกินไป พุทธบริษัทเรานั้น ควรจะใจกว้าง เมื่อเห็นว่ามีอะไรดีมีประโยชน์ก็ควรช่วย


คราวหนึ่ง อยู่เชียงใหม่น้ำท่วมมากมาย ท่วมใหญ่ เลยเอาข้าวสารไปแจก ไปที่หมู่บ้านหนึ่ง มีหมู่บ้านคริสต์เตียนอยู่กัน ๔-๕ ครอบครัว
ถามชาวบ้านพุทธว่าหมู่บ้านนั้นเขาเป็นใคร ชาวพุทธบอกว่า เขาเป็นคริสต์เตียน เขามาแจกแล้วเมื่อวาน เขามาแจกกันเฉพาะพวกคริสต์เตียน ๕ ครอบครัว ไม่แจกชาวบ้านพุทธเลย ไม่ได้รับแจกเลยหรือ ไม่เป็นไร เรามาแจกชาวบ้าน เป็นพุทธด้วยและคริสต์เตียนด้วย แจกทุกบ้านให้เขาเห็นว่าเราแจกหมด ไม่ว่าพุทธหรือคริสต์เตียน
มีอยู่บ้านหนึ่ง ชาวคริสต์เตียนตกใจเบสทเรโฮม โบสถ์พระเยซู อยู่ระหว่างลำพูนกับเชียงใหม่ บ้านต็อกต๊องชาวบ้านเรียกสันป่าตอง นี่ก็น้ำท่วมหมดเลย ชาวบ้านไปไหนไม่ได้
ผมไปกับญาติโยมหลายคน ไปขึ้นอยู่ที่โบสถ์ เคาระฆังเลยแหง๋งๆๆ มันผิดเวลา ตีระฆังผิดเวลา
พวกนั้นมาที่โบสถ์กันใหญ่เลย มาเห็นตุเจ้าอยู่กันหลายคน ถามว่าตุเจ้าตีระฆังทำไม บอกว่า พระผู้เป็นเจ้าส่งให้มาช่วยพีน้องทั้งหลาย พีน้องทั้งหลายจะอดตาย พระผู้เป็นเจ้าให้มาช่วยยกเข้าสารมาแจก ไปป่าวร้องพวกพ้องเรามา แจกให้ทั่วถึงกันแจกให้ทุกบ้านทุกเรือน


พอไปแจกอย่างนั้น อีก ๓-๔ วัน พวกคริสต์เตียนที่เชียงใหม่ต้องนำข้าวสาร อะไรต่ออะไรมาให้ที่พุทธสถาน เอามาให้พวกเราไปช่วยแจกบ้าง นี่เป็นการเอาชนะด้วยความดี การชนะด้วยความดีอย่างนี้ เราแจกทั่วถึง ทำอย่างนี้ถือว่าเป็นการชนะของเรา เราแจกทั่วถึง ไม่เฉพาะเจาะจงอย่างพวกเขา คือเรามองดูเพื่อนมนุษย์มีความทุกข์ยากเหมือนกัน ไม่มีเขาไม่มีเรา แจกให้ทั่วถึง อันนี้เป็นการที่เราทำอยู่
ชาวพุทธทำกันอย่างนี้ ไม่ถือ
ที่นี้ ที่ท่านบัญญัติว่า “ไม่ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา” ก็คือ ว่าไปทำบุญแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบพระพุทธศาสนา แต่ว่าถ้าอยู่ในหลักของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือลัทธิใด เราก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ มันไม่เสียหาย แต่ถ้าตามแบบของเขาเขาไม่ยอม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2018, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประการที่ ๕ บำเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา นี่ก็เหมือนกัน ข้อความคล้ายๆกัน คือ ทำบุญตามแบบอื่นๆ อย่างที่เรามีอยู่ในหลักพุทธศาสนา เป็นการอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข

นี่เป็นกฎของสมบัติแห่งอุบาสกอุบาสิกา ๕ ประการ ในสมบัติทั้ง ๕ ประการนี้ เราควรถือเป็นหลักปฏิบัติแก่อุบาสกอุบาสิกา เพราะเมื่อเราบวช ๓ เดือนแล้ว เราก็จะออกไปเป็นอุบาสกก็ถือตามหลักนี้

ทีนี้ อาจจะมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น คือว่าสิ่งบางอย่างมันขัดต่อหลักพุทธศาสนา แต่ว่า คนส่วนมากเขาปฏิบัติกันอยู่ เราไปอยู่ในที่นั้น เราจะทำอย่างไร อันนี้ ต้องอาศัยหลักธรรมะ เขาเรียกว่า ปริสัญญุตา ต้องรู้จักที่ประชุม ที่เราเข้าไปอยู่ เราอย่าไปขัดคอเขาให้มันแรงเกินไป อย่าไปถึงบอกว่า ฉันบวชวัดชลประทาน ฯ เจ้าคุณปัญญาสอนแบบนี้ ไอ้ที่ทำกันอย่างนี้มันโง่ๆ ไม่เท่าใดก็หัวแตกเท่านั้นเอง ไอ้อย่างนั้นมันไม่ได้ ทำอย่างนั้นมันไม่ได้ เราต้องรู้จักกาลเทศะ รู้จักประพฤติธรรม เราต้องอนุโลมตามเขาก่อน เขาทำอยู่ก็ผสมโรงไปกับเขา เขาทำอะไรอยู่ เขาถือพุทธ แต่เขาทำออกนอกทาง เราก็ผสมโรงไปก่อน เพื่ออะไร เพื่อให้เกิดความสนิทสนมเป็นกันเอง ให้เขารักเรา แน่ ทีนี้ เมื่อสนิทสนมเป็นกันเองแล้ว ต้องค่อยพูดค่อยจาหยั่งเสียงแต่ละคน สองคน แทรกซึมเข้าไป อย่าเข้าโจมตีแบบน้ำเหนือป่าท่วมบ้านท่วมเมือง ไม่ได้ มันทำฤทธิ์เสียหมด ต้องแทรกซึมทีละน้อยๆ ต้องอธิบายทีละน้อยๆ ให้มีความเข้าใจ พูดกันบ้าง ทำไปบ้าง มีโอกาสก็คุยทีละน้อยๆ ค่อยทำความเข้าใจเรื่อยๆไป ตามโอกาสที่จะอำนวย ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อช่วยให้คนเหล่านั้นได้ลืมหูลืมตาเกิดความเข้าใจถูก ไม่ถูกใครเขามาต้มมายำกันอีกต่อไป เพราะความเชื่อประเภทเหลวไหล มันต้มกันนักหนาในหมู่พวกเรา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2018, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยกตัวอย่างง่ายๆ ไม่กี่ปีมานี้ที่บ้านโป่ง วัดกุสินารายณ์ มีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง อยู่ๆเกิดเป็นหนองน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา
แล้วคนแห่กันไปใหญ่ เหมารถกันเป็นคันๆ บอกว่า น้ำศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ต่างๆ อันนี้แหละ เป็นวิธีต้มมนุษย์ด้วยวิธีเหลวไหล
นี่แหละเขาเรียกว่า เชื่อในสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ เป็นมงคลตื่นข่าว เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นเรื่อง ฝรั่งเรียกว่า Superstition เลยถูกต้มกันไปเป็นแถว
ผมกำลังพูดอยู่ที่วิทยุยานเกราะ เลยพูดออกไปเลยทางวิทยุว่า “พี่น้องทั้งหลาย โปรดทราบเถอะ น้ำที่นั้นไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไร ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว คนบ้านนั้นไม่ตาย โรงพยาบาลนั้นไม่ต้องมีคนไข้ วัวควายที่นั่นคงเต็มไปหมดไม่รู้จักตาย เพราะกินน้ำในหนองนั้น ส่วนปู ปลา ในหนองนั้นไม่รู้จักตาย เพราะมันอยู่ในนั้น ส่วนเราเพิ่งไปอาบครั้งสองครั้งเท่านั้น จะสู้ได้หรือ” พอพูดออกไป ก็มีจดหมายถึงทีเดียวมาว่า มันกงการอะไรของท่านปัญญา เขาจะหาสตางค์กัน มันเรื่องของเขา แล้วคนที่ไปกันก็เพราะความเชื่อของเขา สตางค์ก็ของเขา มันเรื่องอะไรของท่านที่ไปขัดคอเขา
เลยตอบไปเหมือนกัน ตอบว่า “มันเป็นกงการของท่านปัญญา เพราะท่านปัญญาเป็นลูกพี่ของชาวบ้าน เป็นพระเป็นบริษัทผู้พี่ ถ้าเห็นน้องๆจะตกเหว ก็ต้องไปจับมือดึงขึ้นมาหน่อย ไม่ให้ตกเหว และชีวิตของท่านปัญญาอยู่กับชาวบ้าน กินข้าวชาวบ้าน อยู่กุฏิของชาวบ้าน นุ่งห่มจีวรก็ของชาวบ้าน ถ้าเห็นชาวบ้านทำผิดแล้ว ไม่เตือน ชาวบ้านก็จะเห็นว่าท่านปัญญาเป็นพระไม่ได้ความ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นอะไรผิดก็ต้องเตือน บอกตามสภาพที่เป็นจริง ตามหน้าที่ เขาจะเชื่อจะฟังหรือไม่ มันสุดแล้วแต่เขา แต่ฉันได้ภูมิใจว่า ฉันได้ทำหน้าที่ของฉันแล้ว เตือนพี่น้องทั้งหลายให้เกิดความสำนึกแล้ว จะได้ไม่ถูกหลอกถูกต้มไปมากกว่านี้” ก็พลอยเตือนเขาไปด้วย
เรื่องอันนี้มีบ่อยๆ ในเมืองไทย เดี๋ยวน้ำศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวอะไรศักดิ์สิทธิ์ ราชบุรีก็เคยมี เกิดมีน้ำพุเกิดขึ้นในหนองน้ำ เกิดอยู่ไม่กี่วันก็หายไป มันเป็นลูกไม้ที่จะต้มกัน นี่ก็เพราะว่ามีความเชื่อผิดทาง จึงได้ถูกต้มถูกยำกันอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2018, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในกรุงเทพฯ นี้กลางกรุงเลย ต้มหน้าวัดสุทัศน์เลย คราวนั้น เขาว่าพญายมต้องการคนปีมะ ปีมะนี้มันมีถึง ๔ ปี แน่ะ มะเมีย มะแม มะโรง มะเส็ง คนเกิดปีมะมันหลายคนหน่อย
ถ้าปีอื่น เช่น ปีกุน ได้คนเดียวเท่านั้น มันน้อย ปีจอก็เหมือนกัน สู้ปีมะไม่ได้ บอกว่าพญายมเข้าฝันท่านผู้หนึ่ง โกหกแท้ ปั้นเรื่องขึ้นมา ว่าต้องการคนจำนวนเท่านั้นทีเดียว
ถ้าใครไม่อยากตายให้ไปทำการเซ่นไหว้บูชา ไปซื้อคาถาที่โบสถ์พราหมณ์ เอาดอกไม้ ๗ สี ไปบูชาสักการะ ไปกันจนแน่นหมด จนตำรวจจราจรต้องไปช่วยจัดการใหญ่ จราจรติดขัดไปหมด หน้าวัดสุทัศน์ หน้าเทศบาลคนเต็มไปหมด วันเดียวได้เงิน ๓ แสน ค้าขายใบปลิว คาถา กับ ดอกไม้ ๗ สี ได้เงิน ๓ แสน ไม่ใช่เล็กน้อย
แต่ว่ามีใครไม่รู้ไปสะกิดตำรวจจับเหมือนกัน ว่าพวกนั้นต้มมนุษย์กลางกรุงฟ้องร้องกันไปตามเรื่องตามราว

ที่ถูกต้มอย่างนี้ เพราะอะไร ? เพราะมีความเชื่อไม่เข้าเรื่อง ไปเชื่อว่าสำเร็จโดยท่องคาถานั้น ด้วยการบูชาเทพเจ้าองค์นั้นองค์นี้ นี่แหละพวกมงคลตื่นข่าวแบบนี้อยู่แล้ว ต้องถูกหลอกถูกต้มเรื่อยๆไปไม่รู้จักสิ้น จึงเป็นเรื่องที่เราควรจะแก้ไข อย่าให้คนถูกหลอกถูกต้ม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2018, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกแห่งหนึ่ง เกิดมีคนดีขึ้นในบริเวณพุทธบาท สระบุรี แผ่นดินตรงนั้นไม่รู้ว่ามีอะไร เกิดมีคนดีขึ้นบ่อยๆ บริเวณป่าแถวนั้นแหละ เป็นแหล่งเกิดมนุษย์หลอกลวง คนดีมันมากวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแต่เรื่องหลอกทั้งสิ้น
ถ้าเราไปงานนมัสการพระพุทธบาทไม่ได้เรื่องเลย คนไปกันอย่างสนุกสนานหนวกหูคน ถ้ามีงานละก็บอกใครๆไว้ว่า อย่าไปเลยไม่เห็นพระบาท ไปไหว้เวลาสงบ นั่งดูพินิจพิเคราะห์ หรือนั่งมุมใดมุมหนึ่ง ชะง่อนผาตรงใดตรงหนึ่ง นึกถึงพระพุทธเจ้า มันพอจะได้บุญกุศลบ้าง
แต่เวลามีงานไม่ได้เรื่องเลย แม้แต่พระที่ไปก็ไม่ได้เรื่อง ขนเอาอกุศลกับวัดต่อไป ธุดงค์ปลอมก็เยอะนะ ในงานพระพุทธบาท ธุดงค์บวชเอง พอเสร็จก็สึกเอง เป็นชาวบ้านต่อไป ได้ไข่เค็มเป็นครั้งละกระสอบทีเดียว บริเวณนั้นเป็นแหล่งสกปรก แหล่งคนมีฤทธิ์มีเดชเกิดขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2018, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คราวหนึ่ง มีแม่ชีคนหนึ่งมาที่กุฏิ มาจากแถวนั้นอีกนั่นแหละ

เจ้าคุณอยากฟังเสียงพระพุทธเจ้าไหมล่ะ แหม เอามาจากไหนละโยม มีซิ ดิฉันอัดไว้ ฟังสักหน่อยก็ดี อาตมาตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยได้ยินเลย ลองฟังสักหน่อยก็ดี ฟังหน่อย ฟังไป ฟังไป นี่มันเสียงโยมนี่นา นั่นแหละพระพุทธเจ้า เข้าสิงดิฉันนี่ค่ะ

ถ้าอย่างนั้น โยมปิดได้ๆ ถ้าฉันฟังแล้วจะเหมือนโยมเข้าอีกคนหนึ่ง พอแล้ว แกก็ปิด

เสร็จแล้วก็ถามว่า โยมจะไปไหนอีก จะไปเปิดให้พระสังฆราชวัดโพธิ์ฟังหน่อย ว่าอย่างนั้น
บอกว่า โยมเปลี่ยนใจเสียเถอะ สังฆราชท่านไม่ว่าง งานท่านเยอะ ไม่ได้นัดไม่ได้หมาย อย่าไปเลย แกก็เลยไม่ไป ชักชวนให้กลับวัดเดิม ข้างพระพุทธบาทนั่นแหละ มีอยู่ ๒ คน เขาไปกันแล้ว เที่ยวชมวัดเพลินไป หลง เอ้า นี่มาจากไหน ก็มากับแม่ชีคนเมื่อตะกี้นั่นแหละ
แม่ชีที่อัดเสียงพระพุทธเจ้านั่นน่ะหรือ ?
ใช่ค่ะ แล้วท่านฟังแล้วหรือยังล่ะค่ะ ฟังแล้ว ฉันไม่เชื่อดอก

มนุษย์สมัยนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังดอก เอ้า ว่าเราเสียอีก หาว่าเราไม่เชื่อ ก็มันบ้าออกอย่างนั้น จะไปเชื่อเสียงพระพุทธเจ้าที่ไหน เสียงของแกเอง เสียงแม่ชีไม่ใช่เสียงใคร อย่างนี้เป็นตัวอย่าง
ไปหลอกไปต้มคนที่นั่นที่นี่ เพราะคนเราเชื่อในทางที่ไม่ถูกไม่ตรงนั่นเอง
ถ้าเรามีโอกาสที่จะช่วยคนเหล่านั้นให้เข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไร ถูกต้องขึ้น นับว่าได้ประโยชน์มาก บุญกุศลที่เราทำกับมนุษย์ไม่ได้กุศลเท่ากับทำคนให้ฉลาดดอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2018, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราได้ช่วยคนให้ฉลาดรู้จักเหตุผลแล้ว เป็นยอดกุศล ยอดบุญ เป็นเรื่องที่เราควรจะทำให้มันบ่อยๆ ถึงจะดี นี่เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่อย่างหนึ่ง

แต่ทว่า ยังมีเรื่องน่าคิดอีกข้อหนึ่ง คือ พระเรามักจะไปช่วยเสริมสิ่งที่พูดไปแล้ว นับว่าเป็นบาปเป็นโทษอย่างมหันต์ เพราะไปช่วยส่งเสริมการเชื่อในทางที่ผิดของเขา ทำให้คนหลงใหล เข้าใจผิดไปในเรื่องต่างๆ ทำไมทำอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ทางนั้นมีอยู่สองทาง ทางหนึ่ง ไปสู่ลาภสักการะ ทางหนึ่ง ไปสู่นิพพาน

ทางไปนิพพานนั้น เป็นทางที่แห้งแล้งหน่อย ไม่มีความสนุกสนานเบิกบานใจ ไม่มีเสียงฆ้อง เสียงกลอง ไปอย่างสงบๆ

ส่วนทางไปสู่ลาภสักการะนั้นมันมี Trick ด้วยประการต่างๆ เช่น สมมติว่า คนเราตักข้าวต้ม เอามือใส่เข้าไปในหม้อข้าวต้ม ถ้าตรงๆ อย่างนี้มือเปื้อนเปล่า ไม่ได้ข้าวต้มกินดอก มันต้องคดๆหน่อย มันก็ติดขึ้นมา เหมือนช้อนคนที่มุ่งลาภนี่มันต้องคดๆ หน่อย ไม่ตรงทีเดียว ไม่ อุชุปฏิปันโน มันคดมันเหลี่ยมมีลูกไม้หน่อย

มีพระองค์หนึ่ง เขามีชื่ออยู่เหมือนกัน เขาชื่อว่า ฤๅษีลิงดำ ชื่อดัง เขาไปปักษ์ใต้ จะไปหากินแถวหาดใหญ่ ไปปักษ์ใต้นั่งรถไฟ น้ำน้อย เป็นหมู่บ้านก่อนถึงหาดใหญ่ นั่งหลับอยู่พอลืมตาขึ้น ตรงนี้สำคัญ สำคัญ คนเข้าไปถามว่า ทำไมครับ ?

ในห้วยนี้ มีพระพุทธรูปทอง ๗ องค์ จมอยู่ อยู่ในห้วยนี้ แต่เอาขึ้นไม่ได้ ถ้าเอาขึ้น บ้านเมือง จะล่มจมเลย ฉิบหาย ต้องทิ้งไว้ที่นั้น แต่ต้องช่วยกันสร้างวิหารในบริเวณนี้ เพื่อเอาพระพุทธรูปมาไว้สักองค์หนึ่ง

นี่เป็นเรื่องลูกไม้อย่างหนึ่ง วิธีการนี้ จะหากินกับคนหาดใหญ่ต่อไป ให้ชาวบ้านสร้างวิหาร

แกก็จะหาพระไปไว้ แล้วก็จะมีพิธีการต่างๆ ฉลอง แจกเหรียญ แจกตรา ให้คนมาๆกันต่อไป
คนแถวนั้นยังจมอยู่กันมาก พอรู้ว่าอาจารย์ลิงมาแล้ว ไม่ใช่อาจารย์คน อาจารย์ลิง มาแล้ว เขาก็จัดพิธีการต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร