วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 06:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2018, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงสมัยที่เรียกว่า พระศักดิ์สิทธิ์นี่ คนไม่เข้าถึงธรรมะ

คนกลายเป็นเด็กอ่อนแอไป จิตใจอ่อนแอ ไม่รู้จักช่วยตัวเอง ไม่รู้จักพึ่งตนเอง แต่กลายเป็นเด็กที่วิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าว
เราจะเห็นว่าในเมืองไทยเรานี้ คนไปไหว้หลวงพ่อโสธรมากมาย ปีหนึ่งได้เงินหลายล้านจากคนที่ไปไหว้หลวงพ่อ ไปไหว้บนบานศาลกล่าว แล้วก็นำเอาโขนไปแสดง ละครไปแสดง แสดงนิดหน่อยไม่มากดอก ๔-๕ นาที เสียเงินให้เขาร้อยสองร้อยบาทให้หลวงพ่อดู เข้าใจเขวไป นึกว่าหลวงพ่อชอบ แต่ความจริงไม่ได้เรื่องอะไร อย่างนี้เป็นตัวอย่าง

หรือหลวงพ่อแก้ววัดพระแก้ว คนก็ไปไหว้ไปบูชา หลวงพ่อไปเทศน์บ่อยๆ คนก็ชอบไปไหว้ บนบานศาลกล่าว เอาไข่เค็ม ข้าวเหนียว ปลาร้า ไปไหว้หลวงพ่อแก้ เห็นโยมไปไหว้ทำปากมุบมิบๆ พูดจากับหลวงพ่ออยู่ ก็เลยเข้าไปถามว่า โยมเอาอะไรมากราบหลวงพ่อ ข้าวเหนียวเจ้าค่ะ ไข่เค็ม ปลาร้า แล้วทำไมเอาข้าวเหนียว ไข่เค็ม ปลาร้า มาถวายหลวงพ่อแก้ว

หลวงพ่อท่านเคยอยู่เมืองลาว ท่านชอบข้าวเหนียว นี่แหละเขาเรียกว่า มันไปเอาไกลเหลือเกิน ญาติโยมไปไกลออกไปมาก วิ่งหนีสุดกู่เย ตะโกนให้กลับไม่ได้ยินแล้ว ตะโกนให้โยมกับมาหาพระพุทธเจ้าไม่ได้ยินแล้ว เพราะเข้าใจว่าหลวงพ่อแก้วอยู่เมืองลาว กินข้าวเหนียว เรื่องมันเป็นอย่างนั้น


นี่แหละเขาเรียกว่าไปเอาไกล เพราะมีรูปเคารพขึ้น คนก็ไปติดอยู่ในรูปเหล่านั้น กลายเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ แล้วยิ่งในสมัยนี้ด้วยแล้ว เวลาจะสร้างพระต้องทำพิธีให้เกิดความขลัง เอาพราหมณ์ บ้าง พระ บ้าง มาปลุกเสกกันขึ้น กลายเป็นพิธีการ
เมื่อพิธีการเข้าไปเกี่ยวข้อง คนก็ไปติดอยู่ที่ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ จิตก็ไม่ก้าวหน้า ในการปฏิบัติธรรม คือไม่คิดจะช่วยตัวเอง แต่ว่าไปคิดพึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูป ซึ่งไม่ถูกจุดหมายของพระพุทธเจ้า ไม่ถูกจุดหมายของพระพุทธศาสนา
ทีนี้ เรามีพระพุทธรูปไว้ เรียกว่าเรามีไปตามเรื่องตามเรื่อง ที่โรงเรียนนี้ความจริงก็ไม่มีดอก แต่ว่าคุณพระบำราศนราดูรมาที่นี่ ท่านเห็นว่าไม่มีพระพุทธรูป ท่านตั้งใจจะสร้างอยู่นานแล้ว เลยเอามาถวายเจ้าคุณเถอะ เลยประดิษฐานไว้ตรงนี้ ที่เป็นพระพุทธรูปยืนเป็นเครื่องหมายแห่งความก้าวหน้า เอามาไว้ในที่นี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2018, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธรูปที่เขาสร้างขึ้นนั้น ทำตามประวัติของพระพุทธเจ้า ในรูปต่างๆ เรียกว่า “ปาง” เช่น ปางตรัสรู้ ปางสะดุ้งมาร คือนั่งสมาธิแล้วก็มือหนึ่งตบพระเพลา คือตบขาไว้ เรียกว่า สะดุ้งมาร ตอนมารมาผจญ แล้วก็ ปางปฐมเทศนา ปางอะไรเขาทำไว้ตามเรื่องตามราว ใครไปเห็นก็รู้ว่าเป็นปางไหน มีมาก มากขึ้นทุกวัน ทำไว้เพื่อให้คนกราบไหว้


เรามากราบไหว้พระพุทธรูป เราไหว้เพื่ออะไร ? ต้องเข้าใจ ผู้มีปัญญาไม่ได้ไปไหว้พระพุทธรูปในฐานะเป็นของขลังเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดชอะไร แต่ไปไหว้ในฐานะเป็นวัตถุที่ทำให้เกิดอารมณ์ให้เกิดระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ให้นึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
เรากราบไหว้ก็เหมือนกัน เราไม่ได้กราบไหว้ทองเหลือง ไม่ได้ไหว้ปูนที่เขาปั้นพระ แต่เราไหว้คุณความดีที่ออกมาจากรูปที่เราเห็น
พอเราเห็นพระพุทธรูป เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกไปถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่าน แล้วเราก็ก้มลงกราบ ก็หมายความว่า เรากราบพระคุณของพระพุทธเจ้า

หรือว่าเราไปเห็นต้นโพธิ์ บางคนก็ยกมือไหว้ไม่ใช่ไหว้ต้นไม้ มันก็ผิดไป ที่เราไปไหว้ เพราะต้นโพธิ์มีประวัติเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เป็นที่ที่พระองค์ประทับนั่งภายใต้ต้นโพธิ์ แล้วได้ตรัสรูปเป็นพระพุทธเจ้า เราเห็นต้นโพธิ์ก็ทำให้นึกไปถึงพระพุทธเจ้า พอนึกถึงพระพุทธเจ้า เราก็ยกมือไหว้ ที่เราไหว้นั่นไม่ใช่เราไหว้ต้นไม้ แต่เราไหว้พระคุณของพระพุทธเจ้า ที่เกิดจากต้นโพธิ์นั่น ที่เรามองเห็นจากต้นโพธิ์นั่น แล้วเรากราบไหว้ นั้นเรียกว่าเราไหว้ถูก คือไหว้ให้มันทะลุไปจากวัตถุที่เราเห็น เราอย่าไปยึดถือว่าหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อมงคลบพิตร หลวงพ่อพนัญเชิง ยึดถือว่าอย่างนั้นไม่ใช่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2018, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่ออะไรก็ตาม พระพุทธรูปที่เขาทำเป็นรูปเตือนใจ แล้วเราก็ไหว้ แล้วนึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เมื่อนึกถึงคุณงามความดีแล้ว เราก็น้อมเอามาใส่ไว้ในใจของเรา ทำใจให้มีพระ ให้มีคุณงามความดีแบบที่พระพุทธเจ้ามี อย่างนี้ เราเรียกว่า ไหว้พระถูกพระ พบพระ ไม่ใช่ไปไหว้วัตถุว่าศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดช อย่าไหว้อย่างนั้น ให้เข้าใจอย่างนี้ เหมือนกับพระที่เราห้อยคอก็เหมือนกัน เขาเรียกว่า พระเครื่อง


ทำไมจึงเรียกว่า พระเครื่อง ? พระเครื่องนี่เกิดในสมัยไหน ? ในอินเดียไม่มีพระเครื่อง ในเมืองพม่าก็ไม่มีพระเครื่อง ลังกาก็ไม่มีพระเครื่อง พระเครื่องมีอยู่ในเมืองไทย พระองค์เล็กๆ นี่เราเรียกว่า พระเครื่อง

ทำไมจึงได้เรียกว่า พระเครื่อง ? คือว่ามีของสองอย่าง ที่คนชอบมีไว้กับตัวในฐานะเป็นนักรบ คือพระ หนึ่ง เครื่องราง หนึ่ง อยู่ด้วยกัน

พระกับเครื่องรางคนละเรื่อง เครื่องรางนั้น ได้แก่ วัตถุบางอย่าง ที่เขาเชื่อว่าสามารถจะอยู่ยงคงกระพันป้องกันตัวได้ เป็นต้นว่าเหล็กไหล หัวไพลดำ หรือว่าว่านประเภทต่างๆ อย่างนี้ เขาเรียกว่า เครื่องราง คนเอามาผูกกับเชือกห้อยคอ แล้วเมื่อได้พระพุทธรูปมาก็เอามาผูกรวมกันเข้า เลยตัดเสียให้มันสั้น เข้าสมาสในภาษาไทย เป็นว่า พระเครื่อง
ถ้าเรียกให้เต็มก็ว่า “พระและเครื่องราง” ยาวไป เลยตัดให้มันสั้นว่า “พระเครื่อง” เราใช้คนว่า “เอาพระเครื่องมาให้ซิ” ถ้าพูดให้เต็มว่า “เอาพระและเครื่องรางมาให้ฉันที” มันยาวมันเยิ่นเย้อ คนไทยเราชอบพูดสั้นๆ เลยพูดว่า พระเครื่อง
คนเข้าใจผิดเลยนึกว่า พระพุทธรูป กลายเป็นเครื่องรางไป เป็นของขลังไป เป็นของศักดิ์สิทธิ์ไป

ทีนี้ ก็มีคนโหมโรงให้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยเหมือนกัน ก็ใครอีกเล่า พระสงฆ์องค์เจ้าเรานี่แหละ ไปช่วยโหมโรงประโคมฆ้องกลองให้พระเหล่านั้นกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจคน ซึ่งถ้าคิดกันให้ดีแล้ว เป็นการกีดขวางไม่ให้คนเข้าถึงธรรมะ ไม่ให้คนเข้าไปถึงทางดับทุกข์ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา แต่ไปติดอยู่ในความขลังในความศักดิ์สิทธิ์นั้นเสีย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงเนื้อแท้ พระองค์เล็กๆ เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี พ่อขุนรามคำแหงผู้มีมติให้สร้างพระองค์เล็กๆนี่ ไม่ได้คิดจะให้เป็นเครื่องรางอะไรเลย ไม่ได้มีพิธีปลุกเสกดังที่เราทำกันเดี๋ยวนี้เลย ท่านทำไว้ด้วยโลหะบ้าง ด้วยดินบ้าง เพื่อแจกชาวบ้านที่ไปไหว้พระตามวัดต่างๆ แจกไปแทนหนังสือ

สมัยนั้นไม่มีหนังสือจะแจก การพิมพ์หนังสือไม่มี การเขียนหนังสือไม่มี
พ่อขุนรามคำแหงท่านต้องการให้คนเรานึกถึงพระ เลยก็ทำรูปพระแจกเอาไปไว้เป็นเครื่องเตือนใจ
แล้วพระที่พ่อขุนรามคำแหงทำนั้นเป็นเครื่องเตือนใจ อย่างที่เขาเรียกว่า “พระกำแพงเขย่ง” หรือ “พระพุทธลีลา” อย่างนี้ เราเรียกว่า กำแพงเขย่ง ไม่ใช่แบบสุโขทัยดั่งเดิม แบบสุโขทัยดั่งเดิมรูปสวยอ่อนช้อย

พระกำแพงเขย่ง คือ พระก้าวหน้า เพราะในสมัยพ่อขุนรามคำแหงทำถนนยาวๆ ทำถนนจากสุโขทัยไปกำแพงเพชร ในสมัยนั้น ไม่ใช่ใกล้นะยาวทีเดียว ทำถนนจากสุโขทัยไปสวรรคโลก เมืองเชลียง ไม่ใช่ นั้นมันใกล้
ท่านทำอ่างน้ำใหญ่ เขาเรียกว่า “สลิดพง” เดี๋ยวนี้รกร้างเป็นป่า เพิ่งพบทีหลัง ไปพบเข้าแล้วก็ว่า โอ้ พ่อขุน ฯ นี่ไม่ใช่ย่อย เป็นนักวิทยากรชั้นดี เหมือนกัน
น้ำไหลมาจากภูเขา ท่านกักไว้เป็นแอ่งใหญ่เอามาใช้ในเมืองสุโขทัย

แล้วก็มีการขุดสระใหญ่ๆ ซึ่งเรียกว่า “ตะพัง” ที่มีเรียกว่า “ตะพังศรี” “ตะพังเงิน” “ตะพังทอง” ที่เขียนไว้ในศิลาจากรึกว่า น้ำในตะพังโพยศรีใสจืดสนิทดี เหมือนแม่น้ำโขงเมื่อแล้ง
ท่านคงเคยเสด็จไปแม่น้ำโขง คงเคยดื่มน้ำแม่น้ำโขงว่ามันใสจืดสนิท น้ำในตะพังโพยศรีนั้นก็จืดสนิทเหมือนแม่น้ำโขงเมื่อแล้ง นี่เป็นความก้าวหน้าในดานวิศวกรรม ซึ่งท่านได้สร้างขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในด้านพระศาสนาท่านก็ก้าวหน้า เช่น นิมนต์พระมาจากนครศรีธรรมราช พระลัทธิลังกาวงศ์มาไว้ในเมืองสุโขทัย ให้สั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชน
พระองค์ชอบเสด็จไปหาพระในเวลากลางคืนเพื่อไปสนทนาธรรมะ เมื่อมีความรู้แล้ว รุ่งขึ้นต้องป่าวร้องให้คนมานั่งฟัง
ท่านสอนที่ดงตาล ดงตาลนั้นมีแท่นหิน เขาเรียกว่า “มนังคศิลา” พระแท่นมนังคศิลาที่พระเจ้าอยู่หัวประทับนั่ง พูดศีลธรรมกับประชาชน ประชาชนฟังธรรมของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็ประพฤติดี ประพฤติชอบ แท่นหินนั้น สมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านชะลอมา ใส่แพมา เอามาไว้ที่พระบรมมหาราชวัง เลยก็อยู่ในวังจนบัดนี้

ท่านนั่งบนแท่นหินแล้วก็สอนชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านได้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เลยทำพระกำแพงเขย่ง พระก้าวหน้า เพื่อให้ชาวบ้านได้คิดก้าวหน้า ได้ลุกขึ้นแต่เช้าก้าวไปข้างหน้า ทำงานแข่งกับเวลา พัฒนาครอบครัว ท่านคิดอย่างนั้น


บนภูเขาสูงๆ ท่านทำพระยืน พระอัฏฐารส ยืนตระหง่านอยู่บนภูเขา ท่านไม่สร้างพระนอนเลย กรุงสุโขทัยไม่สร้างพระนอน สร้างแต่พระนั่งกับพระยืน เพราะไม่อยากให้พระนอน มีแต่พระนั่งกับพระยืนให้คนก้าวหน้า เพราะฉะนั้น สร้างไว้บนยอดเขา คนจะได้มองเห็น อยู่ในนาก็เห็น อยู่ในทุ่งก็เห็น อยู่ในบ้านก็เห็น อยู่ในป่าก็ยังเห็น เห็นแล้วจะได้คิดว่า โน่น หลวงพ่อลุกขึ้นแล้ว เราต้องลุกขึ้น หลวงพ่อเดินแล้ว เราต้องเดิน เราต้องทำงาน เราต้องประพฤติธรรม นี่คือจุดหมาย
สุโขทัยเป็นเมืองธรรมะ ไม่มีพราหมณ์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในยุคสุโขทัยนี่พราหมณ์ยังไม่มา มีแต่พุทธศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พราหมณ์เข้ามาคลุกคลีกับราชสำนักเมื่อใด ? สมัยกรุงศรีอยุธยาพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เอาพิธีไสยศาสตร์ของพราหมณ์เข้ามาปน ในราชสำนักของพราหมณ์มากมาย สุโขทัยนี้ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น พระองค์เล็กๆ ที่เขาทำแจกในสมัยนั้นแจกไม่หมด เลยบรรจุไว้ในเจดีย์ มาในสมัยนี้พวกรื้อขุดค้น ก็ไปขุดรื้อเจดีย์ฉิบหายหมดเลย เอาพระมาขาย
พอได้มาสักองค์ก็มาพิมพ์แถมขึ้นอีกร้อยสองร้อย เขาเรียกว่า “พระบวชใหม่” เอามาขายร่ำรวยตามๆกัน
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความเชื่อคนในสมัยนี้เขวนั่นเอง เชื่อเรื่องขลังเกินไป เรื่องศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป ไม่ได้มุ่งเข้าหาธรรมะปฏิบัติ จึงได้เกิดความวุ่นวาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระเครื่องที่เรามีกับเนื้อกับตัว เรามีไว้เพื่ออะไร ? ถ้าเราไปคิดว่าพระศักดิ์สิทธิ์ เรานี่ลำบาก มันไม่แน่ว่าจะมีอันตราย
แต่ถ้าเราคิดว่าเรามีพระไว้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราได้นึกถึงพระ ให้ทำตามคำสอนของพระแล้ว ปลอดภัย แล้วไม่จำเป็นจะต้องแขวนกันตั้งเก้าองค์สิบองค์ เห็นแขวนๆกันพวกเบ้อเริ่ม ล้มแล้วลุกไม่ได้หนักพระ อย่างนี้มันก็เกินพอดีไป
หากว่าผูกพระ ๑ องค์ เรียกว่าฉลลาด ถ้าผูก ๑๐ องค์นี่มันไอ้งั่งไปแล้ว องค์เดียวก็พอ แหมอยากได้ ใครมาวัดชลประทาน ฯ มาแล้วถามหลวงพ่อมีอะไรบ้างไหม มีเหรียญ มีอะไรบ้าง มีพระแจกไหม บอกว่าไม่มีดอก มีแต่ธรรมะเท่านั้นแจก เอ้าก็หายไป
อยากได้ ไอ้ที่คอน่ะเต็มแล้ว ที่แขวนอยู่ในกระเป๋านี่ก็ตุงแล้ว ยังจะอยากได้อีก นี่เขาเรียกว่าไม่รู้จักพระ พระคืออะไร ยังไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย อยากจะมีอยากจะได้เรื่อยไป ไม่รู้จักจบจักสิ้น นี่คือความไม่เข้าใจที่ถูก เราไม่ต้องมีมากดอก สักองค์หนึ่งเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เป็นรูปพระก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องเป็นพระสมเด็จ เป็นพระนางพญา พระขุนแผนดอก พระขุนแผนนี่ชอบนักหนุ่มๆ ชอบ ถามว่าทำไมชอบ ขุนแผน เขาว่าเกี้ยวผู้หญิงดี ว่าอย่างนั้นเถอะหาเรื่องให้หัวแตก เกี้ยวผู้หญิงก็หัวแตกซิ มันเรื่องอะไร มันไม่เข้าท่าอะไร เรียกว่ามันเกินความต้องการไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีพระไว้กับเนื้อกับตัว ไปไหนจะได้เกิดความอุ่นใจ ที่ว่าเรามีพระแล้วอุ่นใจ อุ่นใจในทางใด ? เราไปอย่างลูกศิษย์พระ เช่นว่า เราออกจากบ้านมีพระห้อยคอ สมมติว่าจะไปเที่ยวบาร์ มีพระห้อยคอ ทำให้นึกได้ อื้อนี่มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า เที่ยวกลางคืนมีโทษหลายอย่าง ได้ชื่อว่า ไม่รักษาตัว ชื่อว่า ไม่รักษาครอบครัว ชื่อว่า ไม่รักษาทรัพย์ ไม่รักษาเกียรติยศชื่อเสียง มักถูกใส่ความ มักถูกทำร้ายเสียหาย
เรามีพระห้อยคอ นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ไป นี่แหละพระคุ้มครองเรา รักษาเราไม่ให้เราต้องเที่ยวไนท์คลับ ไม่ไปเที่ยวเหลวไหล
เพื่อนเราชวนกินเหล้า เราเป็นคนมีพระ เราบอกกับเพื่อนว่า แหมเมื่อก่อน ก่อนบวชถ้าเพื่อนชวนละก็ต้องไปละ เดี๋ยวนี้ฉันไม่ไปแล้ว หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้ดื่มเหล้า กินเหล้าไม่ดีเสียหาย ไม่เป็นลูกศิษย์พระ แต่เป็นลูกศิษย์ผี ฉันเป็นคนมีพระอยู่ในใจ ฉันดื่มไม่ได้ บอกเพื่อนว่าไม่ไปแล้ว
อย่างนี้เรียกว่าพระรักษาเรา เพราะเรารักษาพระ คือมีพระอยู่ในใจ พระที่อยู่ในใจ ก็คือความละอายที่จะไปดื่มเหล้า ละอายที่จะไปเที่ยวกลางคืน ละอายที่จะไปเที่ยวซ่อง ละอายที่จะไปหาเรื่องทะเลาะกับใครต่อใครตามที่ต่างๆ เราละอาย.



ตัวละอายนั่นแหละคือตัวพระที่เราสร้างไว้ในใจของเรา แต่ว่าเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องเตือน บางทีเราลืม เราก็มีไว้สักองค์หนึ่ง เป็นที่เตือนใจเราจะได้นึกถึงพระ หรือว่ามีใครมาด่าเรา เราเป็นคนมีพระ พระท่านว่าอย่างไร ท่านสอนให้อดทน อย่าไปด่าตอบกับคนที่มาด่าเรา เพราะคนที่มาด่าเราน่ะมันเลวแล้ว เราอย่าไปเพิ่มความเลวขึ้นในโลก ถ้าเราไปด่าเขา เพิ่มความเลวขึ้นในโลก เพิ่มคนเลวขึ้นอีกคนหนึ่ง เขาเป็นคนเลวอยู่แล้ว เราถือว่าเป็นบทเรียน แล้วบอกตัวเองว่า อย่าเป็นคนเช่นนั้น เราเป็นลูกศิษย์พระ เป็นคนมีพระ ไม่ควรจะไปทำอย่างนั้น เกิดยับยั้งชั่งใจ พอยับยั้งชั่งใจ ก็เรียกว่าอยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้า เพราะเราไม่เข้าไปก้มหัวให้เพื่อนฟัน
แทงไม่เข้า เพราะไม่ไปยืนแอ่นอกให้เพื่อนแทง ยิงก็ไม่เข้าเพราะเราไม่ไปหาเรื่องให้ใครยิง นี่แหละที่เขาเรียกว่าฟันไม่เข้า ยิงไม่เข้า
แต่ถ้าเราไปแอ่นพุงให้เขาแทงมันก็ต้องเข้านั่นแหละ เหล็กกับเนื้อนี่ เนื้อมันอ่อนกว่าเหล็กมันก็ต้องเข้าไปเท่านั้นแหละ
อย่าไปเชื่อว่ามีพระดีแทงไม่เข้า บางทีมันแทงเฉี่ยวจึงไม่เข้าแล้วไปพูดว่าพระดี ไม่ใช่ดอก พระดีอยู่ตรงที่เราไม่ไปหาเรื่อง ให้เขาตีหัวให้เขาแทงให้เขายิง เราเป็นผู้ประพฤติธรรม อยู่ในความดีความงาม เรียกว่า เรามีพระ มีพระดีมันต้องอย่างนี้
แต่ว่าพวกที่ทำพระขายนี่ไม่ได้สอนธรรมะ สอนธรรมะแล้วมันขายไม่ออกขาดทุนนะซี่ พวกพุทธพาณิชย์ทั้งหลายโฆษณา โอ๊ยองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น องค์นี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ นิมนต์อาจารย์มาปลุกเสกอย่างนั้น ปลุกเสกอย่างนี้

ขอโทษเถอะ อาจารย์ทั้งหลายที่ว่าเก่งๆนะ ทำไมไม่มาเสกเมืองไทยให้มันดีขึ้นกว่านี้ เวลานี้ให้คนไทยรักกัน ประนีประนอมกัน อย่าแตกแยกเป็นขวา เป็นซ้าย (ท่านพูดถึงสังคมไทยครั้งอดีตเป็นขวา เป็นซ้าย ยุคเขาค้อ-ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเหลืองเป็นแดง เป็นหลากสี เป็นกอปอปอสอ) พวกเหล่านี้ หลวงพ่อทั้งหลาย มาช่วยกันเสกให้คนรักกัน สามัคคีกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน เออ ค่อยดีหน่อย แต่นี่เปล่า ไม่ได้เรื่องอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธรูปเป็นเครื่องเตือนใจให้เรา ได้ศึกษาธรรม ได้ปฏิบัติธรรม เราอย่าไปถือว่าเป็นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์ นั่นมันสำหรับคนอีกประเภทหนึ่ง เขาเรียกว่าวิญญาณอย่างอ่อน มีจิตใจเป็นเด็กอมมืออยู่
ทีนี้เราจะทำให้เด็กอ่อนมันเป็นคนอ่อนอยู่เสมอไป มันเหมาะหรือ ควรจะยกระดับจิตใจเขาให้สูงขึ้นบ้าง

อธิบายความให้เข้าใจ สิ่งใดที่ส่งเสริมความโง่เขลาของประชาชน ควรจะงดกันเสียบ้าง แต่เรามา ส่งเสริมให้คนฉลาด ให้เขาถึงธรรมแท้ๆ ของพระพุทธเจ้า ให้รู้จักธรรม ให้ได้ปฏิบัติธรรมะ พระศาสนาจะอยู่ได้ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ตรงที่ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เดช มันเคยมีมาแล้ว มีในสมัยหนึ่งเขาเรียกว่าลัทธิ “ตันตระ” ลัทธิตันตระ นั้นมีแต่เรื่องปลุกเสกลงเลขยันต์อะไรต่างๆ ผลที่สุดศาสนาในอินเดียหายไปหมดเลย อยู่ไม่ได้ เพราะลัทธิตันตระนี่เอง
พระสงฆ์องค์เจ้ายุ่งแต่เรื่องปลุกเสกลงเลขลงยันต์ พระพุทธศาสนาเสื่อมหายไปไม่มีเหลืออยู่ในอินเดีย เพิ่งมีขึ้นอีกในยุคนี้สมัยนี้


ในเมืองเรานี้ก็เป็นอย่างนั้น เรากำลังหลงใหลมัวเมากันในเรื่องความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้พูดธรรมะให้คนเข้าใจ ไม่ได้สอนให้คนประพฤติธรรม ซึ่งไม่ถูกหลักของพระพุทธเจ้า เราควรจะเข้าใจเรื่องนี้ไว้

พวกเราเป็นคนหัวใหม่ ก็เข้าใจในเรื่องที่ถูกที่ชอบ เราไปหาพระเราก็กราบไว้ตามหน้าที่เพราะเป็นวัฒนธรรม แต่ในใจแท้ๆ ให้รู้ว่าเราไหว้อะไร เราไหว้พระคุณของพระพุทธเจ้า นึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า นึกถึงคุณงามความดีของพระธรรม นึกถึงคุณงามความดีของพระสงฆ์ เราก็นึกถึงคุณงามความดีของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เมื่อเรากราบเราไหว้ จึงจะเป็นการชอบการควร ถูกตามหลักพระพุทธศาสนา ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะในคำสอนของพระพุทธเจ้านั่น มุ่งให้ประพฤติธรรม ให้เราปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ ปฏิบัติขัดเกลาจิตใจ สร้างรากฐานชีวิตในทางที่ดีที่ชอบ และเป็นเรื่องเหมาะเรื่องควรของพระพุทธศาสนา จึงขอให้เราได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธรูปนี้ไว้.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ พระพุทธรูปที่มีรูปต่างๆอย่างนี้ เช่น ปางห้ามญาติ ห้ามญาติที่ทะเลาะแย่งน้ำกัน แม่น้ำโรหิณี มันสายเดียว ฝั่งโน้นก็จะเอา ฝั่งนี้ก็จะเอา ทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าก็เลยมาบอกว่า คนกับน้ำอันไหนมีค่ามากกว่ากัน พวกนั้นก็ตอบว่า คนมีค่ามากกว่า เอ้า แล้วทำไมทะเลาะกันเรื่องน้ำ
ทีคนมีค่ามากกว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง พี่น้องกันทั้งนั้นนี่ แบ่งกันซิ วันนี้เอาขึ้นฝั่งขวา พรุ่งนี้เอาขึ้นฝั่งซ้าย
พวกนั้นเลยตกลงแบ่งน้ำ
นี่เขาทำพระ เรียกว่า “ปางห้ามสมุทร” คือยกมือสองมืออย่างนี้ ห้ามไม่ให้ทะเลาะกัน

เนรูห์ แกเอาไปไว้บนโต๊ะแกเลย พระพุทธรูปปางห้ามญาตินี่ ทำด้วยหินองค์ขนาดสูงสักศอกหนึ่ง วางไว้บนโต๊ะ ห้ามมุสลิม กับ ฮินดู อย่าตีกันเลย ลูกเอ๋ย เกิดมาบนแผ่นดินเดียวกันกับพระห้ามญาติ

ถ้ายกมือเดียวอย่างนี้ ปางห้ามมาร ห้ามกิเลสไม่ให้เกิดขึ้น

เราไปเห็นพระอะไรก็ตาม ก็ให้รู้ว่า อ้อ พระห้ามมาร ก็อย่าให้มารเกิดขึ้นในใจของเรา

เห็น พระห้ามญาติ เราก็ อย่าทะเลาะกันในหมู่มิตร คิดเห็นอะไรไม่ตรงกัน ก็ยับยั้งชั่งใจ ค่อยพูดค่อยจาทำความเข้าใจกันไป

เห็น พระก้าวหน้า (พระกำแพงเขย่ง) เราก็ต้องคิดก้าวหน้า อย่าอยู่นิ่ง อย่าอยู่เฉย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีพระองค์หนึ่ง เขาเรียกว่า ปิดทวารทั้งเก้า ปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปาก ปิดทวาร พวกชอบนัก พระปิดทวาร ไม่มีทางเข้าแล้ว ปิดหมดแล้ว
ไม่ใช่อย่างนั้น ปิดทวารนี่ หมายความว่า ให้สำรวมให้ระวัง ระวังตา ระวังหู ระวังจมูก ระวังลิ้น ระวังกาย ระวังใจ ระวัง “จักขุนา สังวะโร สาธุ สาธุ โสเตนะ สังวะโร ฯลฯ - สำรวมตาเป็นการดี สำรวมหูเป็นการดี สำรวมจมูก สำรวมลิ้น สำรวมกาย สำรวมใจ เป็นการดี สำรวมแล้ว บาปไม่เกิด”

สำรวมตา เป็นต้น นั้นคือ เมื่อรูปมันเข้ามาทางตา อย่าให้เกิดบาป เสียงเข้ามาทางหู อย่าให้เกิดบาป กลิ่นเข้ามาทางจมูกอย่าให้เกิดบาป รสเข้ามาทางลิ้นอย่าให้เกิดบาป ได้กระทบอะไรทางกายประสาทก็อย่าให้เกิดบาป อย่างนี้ เรียกว่าปิดทวาร ปิดไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น นั่นแหละ จะไม่ถูกยิง

รูปยิงไม่เข้า กลิ่นยิงไม่เข้า สัมผัสยิงไม่เข้า เขาทำไว้เป็นเครื่องเตือนใจ

ปิดทวาร หมายความว่าปิดหู ปิดตา ฯลฯ อย่าไปยินดียินร้าย เวลาได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส จุดหมายอย่างนั้น

แต่เอามาถือเป็นไสยศาสตร์ไปหมด เป็นของขลังไปหมด มันก็ผิดหลักไป

นี่เป็นตัวอย่าง ต้องดูว่าอะไรเป็นอะไร ต้องให้เข้าใจเรื่อง แล้วเราก็จะได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อแท้ๆ พระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อแท้คืออะไร ไว้โอกาสต่อไปค่อยคุยกันใหม่ (หัวข้อสรณาคมน์)


(จบตอน จากหนังสือ http://www.dhammajak.net/board/files/pa ... _1_785.jpg หน้า ๔๙)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มีพระไว้กับเนื้อกับตัว ไปไหนจะได้เกิดความอุ่นใจ ที่ว่าเรามีพระแล้วอุ่นใจ อุ่นใจในทางใด ? เราไปอย่างลูกศิษย์พระ เช่นว่า เราออกจากบ้านมีพระห้อยคอ สมมติว่าจะไปเที่ยวบาร์ มีพระห้อยคอ ทำให้นึกได้ อื้อนี่มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า เที่ยวกลางคืนมีโทษหลายอย่าง ได้ชื่อว่า ไม่รักษาตัว ชื่อว่า ไม่รักษาครอบครัว ชื่อว่า ไม่รักษาทรัพย์ ไม่รักษาเกียรติยศชื่อเสียง มักถูกใส่ความ มักถูกทำร้ายเสียหาย
เรามีพระห้อยคอ นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ไป นี่แหละพระคุ้มครองเรา รักษาเราไม่ให้เราต้องเที่ยวไนท์คลับ ไม่ไปเที่ยวเหลวไหล
เพื่อนเราชวนกินเหล้า เราเป็นคนมีพระ เราบอกกับเพื่อนว่า แหมเมื่อก่อน ก่อนบวชถ้าเพื่อนชวนละก็ต้องไปละ เดี๋ยวนี้ฉันไม่ไปแล้ว หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้ดื่มเหล้า กินเหล้าไม่ดีเสียหาย ไม่เป็นลูกศิษย์พระ แต่เป็นลูกศิษย์ผี ฉันเป็นคนมีพระอยู่ในใจ ฉันดื่มไม่ได้ บอกเพื่อนว่าไม่ไปแล้ว
อย่างนี้เรียกว่าพระรักษาเรา เพราะเรารักษาพระ คือมีพระอยู่ในใจ พระที่อยู่ในใจ ก็คือความละอายที่จะไปดื่มเหล้า ละอายที่จะไปเที่ยวกลางคืน ละอายที่จะไปเที่ยวซ่อง ละอายที่จะไปหาเรื่องทะเลาะกับใครต่อใครตามที่ต่างๆ เราละอาย.



ตัวละอายนั่นแหละคือตัวพระที่เราสร้างไว้ในใจของเรา แต่ว่าเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องเตือน บางทีเราลืม เราก็มีไว้สักองค์หนึ่ง เป็นที่เตือนใจเราจะได้นึกถึงพระ หรือว่ามีใครมาด่าเรา เราเป็นคนมีพระ พระท่านว่าอย่างไร ท่านสอนให้อดทน อย่าไปด่าตอบกับคนที่มาด่าเรา เพราะคนที่มาด่าเราน่ะมันเลวแล้ว เราอย่าไปเพิ่มความเลวขึ้นในโลก ถ้าเราไปด่าเขา เพิ่มความเลวขึ้นในโลก เพิ่มคนเลวขึ้นอีกคนหนึ่ง เขาเป็นคนเลวอยู่แล้ว เราถือว่าเป็นบทเรียน แล้วบอกตัวเองว่า อย่าเป็นคนเช่นนั้น เราเป็นลูกศิษย์พระ เป็นคนมีพระ ไม่ควรจะไปทำอย่างนั้น เกิดยับยั้งชั่งใจ พอยับยั้งชั่งใจ ก็เรียกว่าอยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้า เพราะเราไม่เข้าไปก้มหัวให้เพื่อนฟัน
แทงไม่เข้า เพราะไม่ไปยืนแอ่นอกให้เพื่อนแทง ยิงก็ไม่เข้าเพราะเราไม่ไปหาเรื่องให้ใครยิง นี่แหละที่เขาเรียกว่าฟันไม่เข้า ยิงไม่เข้า

แต่ถ้าเราไปแอ่นพุงให้เขาแทงมันก็ต้องเข้านั่นแหละ เหล็กกับเนื้อนี่ เนื้อมันอ่อนกว่าเหล็กมันก็ต้องเข้าไปเท่านั้นแหละ
อย่าไปเชื่อว่ามีพระดีแทงไม่เข้า บางทีมันแทงเฉี่ยวจึงไม่เข้าแล้วไปพูดว่าพระดี ไม่ใช่ดอก
พระดีอยู่ตรงที่เราไม่ไปหาเรื่อง ให้เขาตีหัวให้เขาแทงให้เขายิง เราเป็นผู้ประพฤติธรรม อยู่ในความดีความงาม เรียกว่า เรามีพระ มีพระดีมันต้องอย่างนี้
แต่ว่าพวกที่ทำพระขายนี่ไม่ได้สอนธรรมะ สอนธรรมะแล้วมันขายไม่ออกขาดทุนนะซี่ พวกพุทธพาณิชย์ทั้งหลายโฆษณา โอ๊ยองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น องค์นี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ นิมนต์อาจารย์มาปลุกเสกอย่างนั้น ปลุกเสกอย่างนี้

ขอโทษเถอะ อาจารย์ทั้งหลายที่ว่าเก่งๆนะ ทำไมไม่มาเสกเมืองไทยให้มันดีขึ้นกว่านี้ เวลานี้ให้คนไทยรักกัน ประนีประนอมกัน อย่าแตกแยกเป็นขวา เป็นซ้าย (ท่านพูดถึงสังคมไทยครั้งอดีตเป็นขวา เป็นซ้าย ยุคเขาค้อ-ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเหลืองเป็นแดง เป็นหลากสี เป็นกอปอปอสอ) พวกเหล่านี้ หลวงพ่อทั้งหลาย มาช่วยกันเสกให้คนรักกัน สามัคคีกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน เออ ค่อยดีหน่อย แต่นี่เปล่า ไม่ได้เรื่องอะไร


หนุ่มอวดอิทธิฤทธิ์หนังเหนียว! ท้าเพื่อนสาวเอามีดแทง โดนทีเดียวตายคาที่

รูปภาพ


https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_975034

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะไม่รู้ว่า พระพุทธองค์ ทรงตรัสอนุญาต อุเทสิกเจดีย์ ไว้

เพราะพระพุทธรูป พระเครื่อง พระบูชา สิ่งที่ควรเคารพ

เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาได้ ด้วยอำนาจ อารัมมณปัจจัย




เพราะคุณกรัชกาย ไม่ได้เรียนปัจจัยในพระอภิธรรม

ไม่ได้ปฎิบัติ

และมักอาศัยเวปลิ้งเหล่านี้ มาบ่อนทำลายพระศาสนาโดยหาลิ้งที่โพสต์ทำลายพระศาสนา
ที่ไม่ถูกต้องตามคำสอนพระศาสดา เพื่อให้คนคล้อยตาม เห็นชอบตาม
โดยใช้วิธีโฆษณาซ้ำๆ โพสต์บ่อยๆๆ เพื่อให้คนหลงคล้อยตาม

ซึ่งข้อความเหล่านี้ ขัดแย้งกับคำสอนพระศาสดา สอบลงไม่ได้ กับพุทธพจน์ กับพระธรรม และอรรถา
คนเหล่านี้ เห็นผิด ๆๆ รู้ผิดๆๆๆ เข้าใจผิดๆๆๆ ไม่ตรงคำสอนพระศาสดาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสริมบทความนี้เข้าด้วย เพราะข้างต้นมีพูดพราหมณ์/ฮินดู


เราเรียกศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่นี้ว่า ศาสนาฮินดู พราหมณ์ กับ ฮินดู จึงเรียกแทนกันได้ เป็นศาสนาเดียวกัน

แต่เรามักจะเรียกศาสนาพราหมณ์ ในความหมายว่าเป็นศาสนาเดิม ส่วนศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่แล้ว เรียกว่าศาสนาฮินดู

เพราะฉะนั้น ศาสนาฮินดูจึงเป็นคำเรียกศาสนาพราหมณ์หลังพุทธกาลแล้ว
ถ้าก่อนพุทธกาลไม่เรียกว่าฮินดู แต่ไม่ถือเป็นเด็ดขาดพูดในแง่หนึ่ง ก็บอกได้ว่า ศาสนาฮินดูเกิดหลังพระพุทธศาสนา คือเป็นศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวขึ้นมาใหม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งหมด

ฮินดูฟื้น พุทธศาสนาฟุบ


นับแต่พุทธกาลที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พราหมณ์ก็เสื่อมอำนาจ เสียอิทธิพล เสียผลประโยชน์ จึงได้ปรับปรุงพัฒนาตนขึ้น
หลังพุทธกาล พวกพราหมณ์ได้เอาคำสอนในพระพุทธศาสนาเข้าไปใช้ในศาสนาฮินดู เช่น เอาหลักในธรรมบทไปบรรจุไว้ในภควัทคีตา และแม้ในมหากาพย์มหาภารตะ เช่น ธรรมบทคาถาที่ ๒๒๓ (อกฺโกเธน ชิเน โกธํ ฯลฯ - พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ฯลฯ) ก็ไปอยู่ในโยคบรรพ ในมหาภาระตะ (แต่เปลี่ยนจากบาลีเป็นสันสกฤต)

ภควัทคีตา เป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาฮินดู ที่เขาถือว่าเป็นสุดยอด เกิดขึ้นภายหลังพุทธกาล ๖๐๐-๗๐๐ ปี และจัดรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งก็เรียบเรียงขึ้นหลังพุทธกาล เช่นกัน (จัดรวมเข้าในบรรพ ๖ คือ ตอนหรือบทที่ ๖)


ถ้าไปตรวจดูจะเห็นว่า มีพุทธพจน์ในพระธรรมบทเข้าไปเป็นต้นความคิดรวมอยู่ในนั้น (เช่น ธรรมบทคาถาที่ ๑๖๐, ๑๖๕,๓๗๙ เป็นที่มาของบางโศลกในภควัทคีตา...)

แสดงว่าเขามาเอาไป คือหลักธรรมอะไรต่างๆที่ดี ก็เลือกเอาไป แต่รักษาหลักการของตนไว้ คือ เรื่องความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า เรื่องวรรณะ เรื่องอาตมัน เรื่องการบูชายัญ เป็นต้น

ฯลฯ ขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องว่า เมื่อพุทธศาสนาเจริญขึ้นมา พราหมณ์ก็เสื่อมอำนาจ จนกระทั่งหลังพุทธกาลพระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก ยิ่งได้พระเจ้าอโศก (พ.ศ.๒๑๘-๒๖๐) อุปถัมภ์ด้วย พระพุทธศาสนาก็แพร่หลายไปทั่ว

แต่พระเจ้าอโศกเป็นชาวพุทธ ไม่เบียดเบียนศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าศาสนาไหนก็ให้ความคุ้มครองทั่วหมด พวกพราหมณ์ก็มาเป็นอำมาตย์อยู่ในราชสำนักด้วย

แม้ว่าพระเจ้าอโศกจะทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนา แต่ข้อสำคัญ พระเจ้าอโศกประกาศห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ และเน้นนักย้ำบ่อยในเรื่องนี้ ดังปรากฏชัดในศิลาจารึกราชโองการ อีกทั้งไม่ให้อภิสิทธิ์แก่พราหมณ์ จึงเป็นการบีบคั้นใจของพราหมณ์เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อพระเจ้าอโศกสวรรคตล่วงไปถึงหลานถึงเหลน พวกพราหมณ์ที่รับราชการอยู่ในวังก็ได้คิดการใหญ่ ได้จับหลานหรือเหลนของพระเจ้าอโศกปลงพระชนม์ แล้วก็ตั้งราชวงศ์ใหม่ เรียกว่าราชวงศ์ศุงคะ ขึ้นครองอำนาจ (นับแบบฝรั่งราว พ.ศ.๓๐๐ นับอย่างเราราว พ.ศ.๓๖๐)

ราชวงศ์ศุงคะของพราหมณ์นี้ ได้ล้างผลาญชาวพุทธ ถึงกับมีคำเล่าในประวัติศาสตร์ว่า ให้กำหนดค่าหัวชาวพุทธ เอากันขนาดนั้นเลย คือ กำจัดชาวพุทธเป็นการใหญ่

แต่ชาวพุทธรอดมาได้ เพราะหลังสมัยพระเจ้าอโศกมาถึงรุ่นหลานเหลนแล้วนี้ ราชวงศ์ศุงคะไม่สามารถจะรักษาอาณาจักรทั้งหมดไว้ได้

อาณาจักรของพระเจ้าอโศกนั้น ยิ่งใหญ่ไพศาล มีอาณาเขตมากว่ายุคปัจจุบันอีก พอสิ้นสมัยพระเจ้าอโศกไปไม่นาน อาณาจักรของพระองค์ก็ค่อยๆแตกสลาย พวกราชวงศ์ศุงคะก็ไม่สามารถจะมีอำนาจไปทั่วดินแดนเก่าของพระเจ้าอโศก อาณาจักรอื่นๆก็ยังรักษาพระพุทธศาสนาไว้อยู่

ตัวอย่างเช่นดินแดนแคว้นโยนก (Bactria) ของกษัตริย์เชื้อสายกรีก ซึ่งสืบมาถึงพระเจ้าเมนานเดอร์ ที่ภาษาบาลีเรียกว่า พระเจ้ามิลินทะ ก็ยังเป็นชาวพุทธอยู่ ต่อมาพวกสืบสายของกรีกนี่แหละที่ได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเป็นพวกแรก

ขอกลับไปพูดเรื่องเก่า เมื่อพราหมณ์มีอำนาจขึ้นมา ก็ใช้อิทธิพลการเมืองด้วย พร้อมกับที่อีกด้านหนึ่งก็เอาคำสอนในพระพุทธศาสนาไปใช้แล้วปรับตัวขึ้นมาใหม่

เราเรียกศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่นี้ว่าศาสนาฮินดู พราหมณ์ กับ ฮินดู จึงเรียกแทนกันได้ เป็นศาสนาเดียวกัน

แต่เรามักจะเรียกศาสนาพราหมณ์ ในความหมายว่าเป็นศาสนาเดิม ส่วนศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่แล้ว เรียกว่าศาสนาฮินดู

เพราะฉะนั้น ศาสนาฮินดูจึงเป็นคำเรียกศาสนาพราหมณ์หลังพุทธกาลแล้ว ถ้าก่อนพุทธกาลไม่เรียกว่าฮินดู แต่ไม่ถือเป็นเด็ดขาดพูดในแง่หนึ่ง ก็บอกได้ว่า ศาสนาฮินดูเกิดหลังพระพุทธศาสนา คือเป็นศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวขึ้นมาใหม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 122 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร