วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 09:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2018, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เม มาให้กำลังใจคุณลุงกรัชกายค่ะ

จะนั่งก็โอย ลุกก็โอย โรคภัยรุมเร้า แยะไปหมด น่าสงสารจุงเบย

ท่องไว้นะคะ อย่าห่อ อย่าเหี่ยว

ทำใจสู้ๆนะคะ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2018, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ทุกอารมณ์ที่จิตรู้มันแยกกันเกิดดับทีละ1ลักษณะมีตัวคนมั๊ยค๊ะอิอิอิ
ฝังเข็มน่ะมีเข็มไหมมีแต่จิตรู้แข็งรู้ตึงรู้ไหวรู้สึกอะไรไม่มีปน
คิดนึกมั่วปนกันไปหมดเพราะไม่รู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ
เลยยึดหมดทุกอย่างทั้งสมมุติทั้งบัญญัติทั้งตัวคน555ไม่รู้อะไรมีจริงๆ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2018, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2018, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อันตรายก็มี ๒ อย่าง คือ อันตรายที่เปิดเผย กับ อันตรายที่ซ่อนเร้น เช่น



"อันตรายมี ๒ อย่าง คือ อันตรายที่เปิดเผย และอันตรายที่ซ่อนอยู่"

"อันตรายที่เปิดเผย เป็นไฉน? ได้แก่ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี เสือดาว หมาป่า ฯลฯ โจร ฯลฯ โรคตา โรคหู โรคจมูก ฯลฯ หนาว ร้อน หิว กระหาย อุจจาระ ปัสสาวะ สัมผัสเหลือบยุง ลมแดด และสัตว์เสือกคลาน เหล่านี้ เรียกว่าอันตรายเปิดเผย"

"อันตรายที่ซ่อนอยู่ เป็นไฉน? ได้แก่ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต กายฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์ ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความยกตัวกดเขาไว้ ความริษยา ความตระหนี่ มารยา ความโอ้อวด ความดื้อกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความมัวเมา ความประมาท ปวงกิเลส ปวงความทุจริต ปวงความกระวนกระวาย ปวงความร่านรน ปวงความเดือดร้อน ปวงความปรุงแต่งที่เป็นอกุศล เหล่านี้ เรียกว่า อันตรายที่ซ่อนอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2018, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


คุณโรสตอนนี้นะ ไปกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานะ-สติ) ก่อนที่จะไม่มีลมหายใจ อิอิ แล้วจะเข้าใจพระธรรม บางทีปัญญาซึ่งเกิดจากภาวนาอาจเกิดได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย



เต็มๆก็เป็นการสนทนากันระหว่างพระสารีบุตร กับ อุบาสกคนหนึ่ง ซึ่งตนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วฟังคำสอนจากพระองค์ออกมาแล้วได้พบกับพระสารีบุตรจึงได้คุยกัน


"ภิกษุทั้งหลาย โรคมีอยู่ ๒ ชนิด ดังนี้ คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ สัตว์ทั้งหลาย ที่ยืนยันได้ว่า ตนไม่มีโรคทางกายเลยตลอดเวลาทั้งปี ก็มีปรากฏอยู่ ผู้ที่ยืนยันได้ว่า ตน ไม่มีโรคทางกายเลยตลอดเวลา ๒ ปี...๓ ปี...๔ ปี...๕ ปี...๑๐ ปี...๒๐ ปี...๓๐ ปี...๔๐ ปี...๕๐ ปี...๑๐๐ ปี ก็มีปรากฏอยู่ แต่สัตว์ ที่ยืนยันได้ว่า ตนไม่มีโรคทางจิตใจเลย แม้ชั่วเวลาเพียงครู่หนึ่งนั้น หาได้ยากในโลก ยกเว้นแต่พระขีณาสพทั้งหลาย" * (องฺ.จตุกฺก.21/157/191)

พระสารีบุตร: แน่ะท่านคฤหบดี อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านก็บริสุทธิ์เปล่งปลั่ง วันนี้ ท่านได้ฟังธรรมีกถา ในที่เฉพาะหน้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหรือ ?

คฤหบดีกุลบิดา : พระคุณเจ้าผู้เจริญ ไฉนจะไม่เป็นเช่นนี้เล่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหลั่งน้ำอมฤตรดข้าพเจ้าแล้ว ด้วยธรรมีกถา


พระสารีบุตร: พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหลั่งน้ำอมฤตรดท่าน ด้วยธรรมีกถาอย่างไร?

คฤหบดี: พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ชราแล้ว เป็นคนแก่เฒ่า ล่วงกาลผ่านวัยมานาน ร่างกายก็มีโรครุมเร้า เจ็บป่วยอยู่เนืองๆ
อนึ่งเล่า ข้าพระองค์มิได้มีโอกาสเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระภิกษุทั้งหลาย ผู้ช่วยให้เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดประทานโอวาทสั่งสอนข้าพระองค์ ในข้อธรรมที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ชั่วกาลนาน

พระพุทธเจ้า: ถูกแล้ว ท่านคฤหบดี เป็นเช่นนั้น อันร่างกายนี้ ย่อมมีโรครุมเร้า ดุจดังว่าฟองไข่ ซึ่งผิวเปลือกห่อหุ้มไว้ ก็ผู้ใด ที่บริหารร่างกายนี้อยู่ จะยืนยันว่าตนไม่มีโรคเลย แม้ชั่วครู่หนึ่ง จะมีอะไรเล่านอกจากความเขลา เพราะเหตุฉะนั้นแล ท่านคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกว่า ถึงแม้กายของเราจะมีโรครุมเร้า แต่ใจของเราจักไม่มีโรครุมเร้าเลย”

พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงหลั่งอมฤตรดข้าพเจ้า ด้วยธรรมีกถา ดังนี้แล.
(สํ.ข.17/2/2)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2018, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


คุณโรสตอนนี้นะ ไปกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานะ-สติ) ก่อนที่จะไม่มีลมหายใจ อิอิ แล้วจะเข้าใจพระธรรม บางทีปัญญาซึ่งเกิดจากภาวนาอาจเกิดได้

:b12:
ยกตัวอย่างนะ
สมมุติว่าไม่รู้จักในหลวงร.9เลยว่าเป็นใคร
มีคนมาถามว่ารู้จักในหลวงร.9ไหมก็ต้องตอบว่าไม่รู้
กลับกันเวลาที่คนตอบคือในหลวงร.9ตอบเองท่านจะตอบได้หมด
ถามชื่ออะไรบ้านอยู่ไหนใช้รถยี่ห้ออะไรตอบได้หมดเพราะรู้ทุกอย่างคริคริคริ
ทีนี้มาเทียบดูนะเวลาพูดคำว่าธัมมะคุณนึกถึงอะไรแต่ตถาคตพูดคำว่าธัมมะรู้ต่างกับคุณไหมล่ะ
ถามต้องถามที่ละคำถามแล้วรอฟังคำตอบสงสัยก็ถามต่อเหมือนเดี๋ยวนี้ไม่ฟังเองมาถามแต่คนอื่นไงคะ
:b13:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2018, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


คุณโรสตอนนี้นะ ไปกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานะ-สติ) ก่อนที่จะไม่มีลมหายใจ อิอิ แล้วจะเข้าใจพระธรรม บางทีปัญญาซึ่งเกิดจากภาวนาอาจเกิดได้

:b12:
ยกตัวอย่างนะ
สมมุติว่าไม่รู้จักในหลวงร.9เลยว่าเป็นใคร
มีคนมาถามว่ารู้จักในหลวงร.9ไหมก็ต้องตอบว่าไม่รู้
กลับกันเวลาที่คนตอบคือในหลวงร.9ตอบเองท่านจะตอบได้หมด
ถามชื่ออะไรบ้านอยู่ไหนใช้รถยี่ห้ออะไรตอบได้หมดเพราะรู้ทุกอย่างคริคริคริ

ทีนี้มาเทียบดูนะเวลาพูดคำว่าธัมมะคุณนึกถึงอะไรแต่ตถาคตพูดคำว่าธัมมะรู้ต่างกับคุณไหมล่ะ

ถามต้องถามที่ละคำ ถามแล้วรอฟังคำตอบสงสัยก็ถามต่อเหมือนเดี๋ยวนี้ไม่ฟังเองมาถามแต่คนอื่นไงคะ


เอาความคิดความเห็นของตนของสำนักไปใส่ปากตถาคตอีกแระ

สมมติบ้าง ถามความหมาย "สติ" คุณโรส ทีละคำๆ ส หมายถึงอะไร ติ หมายถึงอะไร "นิพพาน" นิพ หมายถึงอะไร พาน หมายถึงอะไร นี่ถามทีละคำๆ ตอบสิหมายถึงอะไรกัน :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2018, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระชายสรรพคุณเทียบเท่ากับโสม แต่ราคาถูกกว่า แถมหาซื้อง่ายในบ้านเรา

รูปภาพ

สรรพคุณของกระชาย

ในน้ำกระชาย 1 แก้ว มีคุณค่าสูงกว่านม 1 แก้วหลายๆเท่า มีวิตามิน ซี บี 1 บี 3 บี 5 และแคลเซี่ยม

@ ช่วยให้ เส้นผมแข็งแรง ผมขาวกลับดำ ผมบางกลับหนา มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง กระดูกไม่เปราะบาง

@ ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เต้นสม่ำเสมอ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น

@ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคกระเพาะ ช่วยขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร

@ แก้โรคในช่องปากและคอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ แก้ปวดมวนในท้อง แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร รักษาแผลในปาก กลาก เกลื้อน

@ บำรุงสมอง เพราะช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น ถ้ากินคู่กับใบบัวบก จะบำรุงสมองได้โดยตรง ต้องกินเป็นประจำเพื่อป้องกันความจำเสื่อม

@ ปรับสมดุลของความดันโลหิตให้พอดี ไม่ให้สูงมากหรือต่ำมากเกินไป

@ ช่วยบำรุงตับไตให้แข็งแรง ช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น ดูแลระบบมดลูก รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ ดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง

@ ช่วยฟื้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไธรอยต์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต และตับอ่อน เมื่อต่อมไธรอยต์ปกติดีจะไม่เป็นโรคคอพอก และยังมีส่วนในการช่วยลดกรดยูริค

@ ช่วยบำรุงมดลูก แก้ตกขาว ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนแอสโตรเจน ในเพศหญิง เนื่องจาก ถ้าผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศหญิงในตัวมากเกินไปก็อาจเป็นมะเร็งเต้มนม หรือถ้ามีน้อยไปก็อาจจะเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วยซับน้ำคาวปลา สตรีหลั่งคลอดบุตร ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ในเพศชาย ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต แก้ปัญหาไส้เลื่อน ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง ทำให้กระปรี้กระเปร่า และใช้บำบัดโรคกามตายด้าน ทำให้กระชุ่ม กระชวย มีกำลัง เสริมสมรรถภาพทางเพศอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย


http://www.chit-in.com/2018/08/30/kaew-not-buy-ginseng/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


คุณโรสตอนนี้นะ ไปกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานะ-สติ) ก่อนที่จะไม่มีลมหายใจ อิอิ แล้วจะเข้าใจพระธรรม บางทีปัญญาซึ่งเกิดจากภาวนาอาจเกิดได้

tongue
จะสั่งคนอื่นทำไม...ปัญญาตามคำสอนค่ะไม่ตามใครเลย
เพราะรู้ว่าตถาคตตรัสรู้ความจริงแล้วตรัสไว้ละเอียดมาก
ทรงมีพระมหากรุณาตรัสแสดงทุกคำจริง45ปีทั้ง3ปิฎกนี้
คือปัญญาตถาคตเทียบเท่าใบไม้แค่2-3ใบในกำมือเท่านั้น
แต่ปัญญาตถาคตมีทั้งป่าเลยค่ะปัญญาเข้าใจตามคำสอน
ไม่ใช่ไปเชื่อแล้วไปทำตามคนอื่นต้องฟังก่อนคิดพูดทำนะ
ตามปกติในชีวิตรู้ความจริงที่ตัวเองกำลังมีกำลังเป็นไปอยู่
ใครไม่รู้บ้างว่าปกติคนไม่ตายก็มีกายมีจิตและมีลมหายใจ
ตามปกติคิดถึงลมหายใจไหมพอมีคนสั่งก็มีตัวตนไปจดจ้อง
พ้นตัวตนได้ไหมไปทำตามคนอื่นสั่งให้ยกมือยกแขนยกขา
ก้าวช้าๆโดยไม่ได้คิดตามคำตถาคตเลยเป็นปัญญาอะไรไหม
ถ้าไม่เคยฟังคำสอนไม่เข้าใจคำสอนจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรถูกอะไรผิด
เพราะเชื่อเขาผู้ที่สั่งคุณให้ทำไปแล้วนี่ถึงรับทำตามคำสั่งคนผู้นั้นจริงไหม
จำไม่ได้หรือคะว่าตถาคตสั่งสอนไว้ว่าไม่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร10แต่ให้ฟังคำสัจจะ
ที่มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้คิดไตร่ตรองตามเพื่อเข้าใจถูกสิ่งที่ตนกำลังมีที่กายใจตนเองไม่ใช่ไปฟังเขาสั่งทำ
โดยเฉพาะคนที่เดินทางไปเข้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้นน่ะทำตามเขาอ้างคำตถาคตมาสั่งให้คุณทำมีปัญญาไหม
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


คุณโรสตอนนี้นะ ไปกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานะ-สติ) ก่อนที่จะไม่มีลมหายใจ อิอิ แล้วจะเข้าใจพระธรรม บางทีปัญญาซึ่งเกิดจากภาวนาอาจเกิดได้

tongue


จะสั่งคนอื่นทำไม...ปัญญาตามคำสอนค่ะไม่ตามใครเลย
เพราะรู้ว่าตถาคตตรัสรู้ความจริงแล้วตรัสไว้ละเอียดมาก
ทรงมีพระมหากรุณาตรัสแสดงทุกคำจริง45ปีทั้ง3ปิฎกนี้
คือปัญญาตถาคตเทียบเท่าใบไม้แค่2-3ใบในกำมือเท่านั้น
แต่ปัญญาตถาคตมีทั้งป่าเลยค่ะปัญญาเข้าใจตามคำสอน
ไม่ใช่ไปเชื่อแล้วไปทำตามคนอื่นต้องฟังก่อนคิดพูดทำนะ
ตามปกติในชีวิตรู้ความจริงที่ตัวเองกำลังมีกำลังเป็นไปอยู่
ใครไม่รู้บ้างว่าปกติคนไม่ตายก็มีกายมีจิตและมีลมหายใจ
ตามปกติคิดถึงลมหายใจไหมพอมีคนสั่งก็มีตัวตนไปจดจ้อง
พ้นตัวตนได้ไหมไปทำตามคนอื่นสั่งให้ยกมือยกแขนยกขา
ก้าวช้าๆโดยไม่ได้คิดตามคำตถาคตเลยเป็นปัญญาอะไรไหม
ถ้าไม่เคยฟังคำสอนไม่เข้าใจคำสอนจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรถูกอะไรผิด
เพราะเชื่อเขาผู้ที่สั่งคุณให้ทำไปแล้วนี่ถึงรับทำตามคำสั่งคนผู้นั้นจริงไหม
จำไม่ได้หรือคะว่าตถาคตสั่งสอนไว้ว่าไม่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร10แต่ให้ฟังคำสัจจะ
ที่มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้คิดไตร่ตรองตามเพื่อเข้าใจถูกสิ่งที่ตนกำลังมีที่กายใจตนเองไม่ใช่ไปฟังเขาสั่งทำ
โดยเฉพาะคนที่เดินทางไปเข้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้นน่ะทำตามเขาอ้างคำตถาคตมาสั่งให้คุณทำมีปัญญาไหม


เพ้อเจ้อคนละเรื่องอีก

กรรมฐาน ตถาคตได้พูดเอาไว้ไหม 45 ปี 3 ปิฎก ใบไม้ 2-3 ใบในมือนั่นน่า มีกรรมฐานไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


คุณโรสตอนนี้นะ ไปกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานะ-สติ) ก่อนที่จะไม่มีลมหายใจ อิอิ แล้วจะเข้าใจพระธรรม บางทีปัญญาซึ่งเกิดจากภาวนาอาจเกิดได้

tongue


จะสั่งคนอื่นทำไม...ปัญญาตามคำสอนค่ะไม่ตามใครเลย
เพราะรู้ว่าตถาคตตรัสรู้ความจริงแล้วตรัสไว้ละเอียดมาก
ทรงมีพระมหากรุณาตรัสแสดงทุกคำจริง45ปีทั้ง3ปิฎกนี้
คือปัญญาตถาคตเทียบเท่าใบไม้แค่2-3ใบในกำมือเท่านั้น
แต่ปัญญาตถาคตมีทั้งป่าเลยค่ะปัญญาเข้าใจตามคำสอน
ไม่ใช่ไปเชื่อแล้วไปทำตามคนอื่นต้องฟังก่อนคิดพูดทำนะ
ตามปกติในชีวิตรู้ความจริงที่ตัวเองกำลังมีกำลังเป็นไปอยู่
ใครไม่รู้บ้างว่าปกติคนไม่ตายก็มีกายมีจิตและมีลมหายใจ
ตามปกติคิดถึงลมหายใจไหมพอมีคนสั่งก็มีตัวตนไปจดจ้อง
พ้นตัวตนได้ไหมไปทำตามคนอื่นสั่งให้ยกมือยกแขนยกขา
ก้าวช้าๆโดยไม่ได้คิดตามคำตถาคตเลยเป็นปัญญาอะไรไหม
ถ้าไม่เคยฟังคำสอนไม่เข้าใจคำสอนจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรถูกอะไรผิด
เพราะเชื่อเขาผู้ที่สั่งคุณให้ทำไปแล้วนี่ถึงรับทำตามคำสั่งคนผู้นั้นจริงไหม
จำไม่ได้หรือคะว่าตถาคตสั่งสอนไว้ว่าไม่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร10แต่ให้ฟังคำสัจจะ
ที่มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้คิดไตร่ตรองตามเพื่อเข้าใจถูกสิ่งที่ตนกำลังมีที่กายใจตนเองไม่ใช่ไปฟังเขาสั่งทำ
โดยเฉพาะคนที่เดินทางไปเข้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้นน่ะทำตามเขาอ้างคำตถาคตมาสั่งให้คุณทำมีปัญญาไหม


เพ้อเจ้อคนละเรื่องอีก

กรรมฐาน ตถาคตได้พูดเอาไว้ไหม 45 ปี 3 ปิฎก ใบไม้ 2-3 ใบในมือนั่นน่า มีกรรมฐานไหม

อ้าวทุกอย่างรู้ที่กายใจตนเองว่าตรงตามคำสอนหรือยัง
ที่ถามอยู่เนี่ยมาสงสัยสิ่งที่มีที่กายใจคนอื่นผิดไหมคะ
ยังระลึกไม่ได้อีกเหรอสะกิดแล้วสะกิดอีกฟังก่อนไง
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2018, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนคหบดีผู้เฒ่าผู้แก่คนหนึ่งประมาณว่า

"โรค มี ๒ อย่าง คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ ทางกาย ก็คือว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บออดๆแอดๆ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บออดแอดไปด้วย"

ประมาณว่า กายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บ กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย

:b12:
ใจรู้ตรงสัจจะไม่ห่วงตัวตนแล้วห่วงแต่จะไม่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของตถาคตน๊า
ชีวิตมีค่าเมื่อยังมีลมหายใจได้เข้าใจพระธรรมจนกว่าปัญญาปรากฏตามเป็นจริง
:b16: :b16:


คุณโรสตอนนี้นะ ไปกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานะ-สติ) ก่อนที่จะไม่มีลมหายใจ อิอิ แล้วจะเข้าใจพระธรรม บางทีปัญญาซึ่งเกิดจากภาวนาอาจเกิดได้

tongue


จะสั่งคนอื่นทำไม...ปัญญาตามคำสอนค่ะไม่ตามใครเลย
เพราะรู้ว่าตถาคตตรัสรู้ความจริงแล้วตรัสไว้ละเอียดมาก
ทรงมีพระมหากรุณาตรัสแสดงทุกคำจริง45ปีทั้ง3ปิฎกนี้
คือปัญญาตถาคตเทียบเท่าใบไม้แค่2-3ใบในกำมือเท่านั้น
แต่ปัญญาตถาคตมีทั้งป่าเลยค่ะปัญญาเข้าใจตามคำสอน
ไม่ใช่ไปเชื่อแล้วไปทำตามคนอื่นต้องฟังก่อนคิดพูดทำนะ
ตามปกติในชีวิตรู้ความจริงที่ตัวเองกำลังมีกำลังเป็นไปอยู่
ใครไม่รู้บ้างว่าปกติคนไม่ตายก็มีกายมีจิตและมีลมหายใจ
ตามปกติคิดถึงลมหายใจไหมพอมีคนสั่งก็มีตัวตนไปจดจ้อง
พ้นตัวตนได้ไหมไปทำตามคนอื่นสั่งให้ยกมือยกแขนยกขา
ก้าวช้าๆโดยไม่ได้คิดตามคำตถาคตเลยเป็นปัญญาอะไรไหม
ถ้าไม่เคยฟังคำสอนไม่เข้าใจคำสอนจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรถูกอะไรผิด
เพราะเชื่อเขาผู้ที่สั่งคุณให้ทำไปแล้วนี่ถึงรับทำตามคำสั่งคนผู้นั้นจริงไหม
จำไม่ได้หรือคะว่าตถาคตสั่งสอนไว้ว่าไม่ให้เชื่อตามหลักกาลามสูตร10แต่ให้ฟังคำสัจจะ
ที่มีผู้กล่าวตามคำตถาคตให้คิดไตร่ตรองตามเพื่อเข้าใจถูกสิ่งที่ตนกำลังมีที่กายใจตนเองไม่ใช่ไปฟังเขาสั่งทำ
โดยเฉพาะคนที่เดินทางไปเข้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้นน่ะทำตามเขาอ้างคำตถาคตมาสั่งให้คุณทำมีปัญญาไหม


เพ้อเจ้อคนละเรื่องอีก

กรรมฐาน ตถาคตได้พูดเอาไว้ไหม 45 ปี 3 ปิฎก ใบไม้ 2-3 ใบในมือนั่นน่า มีกรรมฐานไหม

อ้าวทุกอย่างรู้ที่กายใจตนเองว่าตรงตามคำสอนหรือยัง
ที่ถามอยู่เนี่ยมาสงสัยสิ่งที่มีที่กายใจคนอื่นผิดไหมคะ
ยังระลึกไม่ได้อีกเหรอสะกิดแล้วสะกิดอีกฟังก่อนไง
:b32: :b32:



เบื้องต้น พระพุทธเจ้าก็รู้ที่กายใจ,รูปนาม, ขันธ์ ๕ ตนเอง แล้วทำไมถึงรู้ที่คนอื่นด้วยเล่า :b13:

พูดให้พอมองภาพออก พระพุทธเจ้าศึกษาค้นคว้าจากกายและจิตใจตนเองก่อน เมื่อเข้าใจตัวเองถ่องแท้แล้ว ก็เข้าใจผู้คนทั้งโลก โดยเฉพาะด้านจิตใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2018, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อวัยวะเหล่านี้ อยู่ในตัวเองแท้ๆ หากไม่ศึกษาตนของตนยังไม่รู้เลยว่ามันทำหน้าที่อะไร เจ็บป่วยก็ไปหาหมอหาแพทย์ที่เขาศึกษาค้นคว้ามาแล้วรักษาเยียวยาให้ หรือคุณโรสจะเถียง

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron