วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 20:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
เดี๋ยวความตายจะมาถึง
จะเสียใจตามภายหลัง
ความชั่ว อย่าทำเสียเลยดีกว่า
ความดี ทำแล้วดี
ความชั่ว ทำแล้วย่อมเดือดร้อน
ตามภายหลัง
รีบสร้างความดี รีบขัดเกลา
รีบพยายาม อบรมบ่มนิสัย
ให้มันเกิดมันมี ให้มันรู้มันเห็น
มันเป็นมันไป เราไม่ทำแต่เดี๋ยวนี้
จะไปทำเวลาไหน"
-:- หลวงปู่แสง ญาณวโร -:-




"เราอยากให้คนอื่น
ทำดีกับเราอย่างไร
คนอื่นก็อยากให้เรา
ทำดีกับเขาอย่างนั้น
ขอให้พยายามคิดถึง
ความจริงนี้ ให้บ่อยที่สุด
เท่าที่จะมีสตินึกได้
จะเป็นคุณแก่ตนเองอย่างยิ่ง
การคิด พูด ทำทั้งหมด
จะเป็นไปอย่างดีที่สุด
ไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น
ไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น"
-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-




เรื่องของโลกยิ่งเรียนยิ่งกว้าง
เรื่องของธรรมยิ่งรู้ยิ่งแคบ
และรู้แคบเท่าไรก็ยิ่งดี
ถ้ารู้กว้างออกไปมักฟุ้งซ่าน
เป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบ
ผู้ที่ทำจิตให้แคบเข้าละเอียดเข้าก็จะเกิดความวิเวกสงบ
เกิดแสงและวิปัสสนาญาณ
มองเห็น อดีต อนาคต และปัจจุบันได้ทุกอย่าง
#พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)




....ให้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยการบริจาค ฝากทรัพย์ของตนไว้ เช่นให้ทานในฐานะที่ตนพอจะทำได้ แต่การสละนั้น ทางพระท่านแสดงไว้ว่าเป็น อริยทรัพย์ ให้ผลในชาตินี้และชาติหน้า
ถ้าเราไม่เสียสละเช่นนั้น ทรัพย์ในโลกนี้ทั้งหมดก็ให้ผลแค่ชีวิตหนึ่ง ตายแล้วก็สาปสูญ ไม่สามารถจะนำไปใช้สอยในโลกหน้าได้
ผู้มีปัญญานำทรัพย์ไปฝากไว้ในธนาคารชนิดที่เรียกว่า นาบุญ เมื่อตนได้จาคะสละไปแล้ว นั่นแลเรียกว่า อริยทรัพย์ จะได้เกิดผลข้างหน้าไม่ว่าแต่ทรัพย์เลย คนในประเทศหนึ่งจะข้ามแดนไปอีก ประเทศหนึ่งเพียงเท่าภาษาที่พูดก็ใช้ไม่ได้
ฉะนั้น พระองค์จึงทรงสอนภาษาต่างประเทศให้เราอีกชิ้นหนึ่ง ที่เรียกว่า สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญเมตตาภาวนา จะได้มีภาษาไปใช้สอยในโลกหน้า
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร




การทำบุญ
ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองข้าวของตั้งแสนตั้งล้านมาทำ
เราทำด้วยน้ำใจ เรามีมากน้อยทำตามกำลังศรัทธา ความสามารถของเรา เช่น ให้ทาน เรามีอะไร เราก็ทาน
น้ำใจเป็นสำคัญมาก วัตถุเป็นเครื่องประกอบ
ถ้าวัตถุของเราไม่ดีไม่เยี่ยม สมใจที่อยากมี
เอ๊า เรามีอะไรก็ทานอันนั้น ด้วยน้ำใจที่รักบุญรักทาน
ก็ได้บุญมากเช่นเดียวกัน
ข้อสำคัญอยู่ที่น้ำใจ
เอ้า วัตถุดีด้วย น้ำใจดีด้วย ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
และภาวนาพุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ
อย่าละอย่าวาง อยู่ที่ไหนก็นึกพุทโธ ถึงองค์ศาสดาได้
ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็คือความรู้ได้แก่ใจของเรานี้เด่นดวง

ธรรมะ โดย หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๙




คำสอนดีๆ จากหลวงปู่ลี กุสลธโร
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำอย่างนั้นท่านตรัสรู้ได้ก็เพราะ
เจริญอานาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ท่านไม่ให้ออก ให้ดูอยู่นั่น เข้าก็รู้ออกก็รู้อยู่นั่น ศาสนามันเกิดอย่างนั้น ไม่ได้เกิดเพราะความปรุงความแต่งอะไร นี่ไม่ดูตนเอง ดูแต่ผู้อื่น ให้มันถูกใจเข้าของเอง ใครทำอะไรก็ให้ถูกใจเจ้าของเอง นี่แหละเรื่องกิเลสตัณหา ดูเข้าไปมันจะเห็นเองหรอก ธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ภาวนาเอาพุทโธก็จะคิดไปเรื่อยเปื่อย ตามโลกตามสงสาร ถ้าจิตมันเป็นไปแล้วจ้างให้มันไปมันก็ไม่ไปล่ะทีนี้ ภาวนามยปัญญา นานาจิตตัง จิตใจของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน ให้ทำเอานะ ใครจะทำให้กันได้ มีแต่บอกทางเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านมีแต่บอกแนวทางเท่านั้นเอง ความพากความเพียร มีแต่พวกเราเท่านั้นที่ต้องทำเอาเองหมด
หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดป่าภูผาแดง จ.อุดรธานี



หลวงปู่ชา สุภทฺโท สอนสมณะ
....การจับกลุ่มคลุกคลีพูดคุยกัน เป็นสิ่งที่หลวงพ่อห้ามนักห้ามหนา จนถึงกับให้คติเตือนใจเอาไว้ ดังที่เคยกล่าวแล้วว่า
"กินน้อย นอนน้อย พูดน้ย คือนักปฏิบัติ
กินมาก นอนมาก พูดมาก คือคนโง่"
และในข้อกติกาสงฆ์ ท่านก็ได้วางบัญญัติเอาไว้ว่า
"เมื่อฉันบิณฑบาต เก็บบาตร กวาดวัด ตักน้ำ สรงน้ำ จัดโรงฉัน ย้อมผ้า ฟังเทศน์ เหล่านี้ห้ามคุยกัน พึงตั้งใจทำกิจนั้นจริงๆ"
"ห้ามคุยกันเป็นกลุ่มก้อนทั้งกลางวันและกลางคืนในที่ทั่วไปหรือในกุฏิ เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ถึงกระนั้นก็อย่าให้เป็นผุ้คลุกคลีหรือเอิกเกริกเฮฮา ให้ทำตนเป็นผู้มักน้อยในการพูด กิน นอน ร่าเริง จงเป็นผู้ตื่นอยู่ด้วยความเพียร"



ปุพฺเพ สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน วา
เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปลํว ยโถทเก
บุพเพนิวาสชาติปางก่อน
เป็นสิ่งที่สนิทสนมกลมกลืนกันมา ไม่มีใครแยกได้เลย
พอพบกันปั๊บมันเป็นของมันเอง นี่คือความเคยชิน เป็นมาอย่างนี้
จากนั้นมาอยู่ด้วยกันก็บำรุงกันในปัจจุบัน
ด้วยความเห็นอกเห็นใจความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน
ยิ่งมีความแน่นหนา มีความอบอุ่นมากขึ้น ๆ
ท่านจึงเทียบเหมือนกับว่าดอกบัว กอบัวที่ได้รับเปือกตมเปือกโคลน
ที่หล่อเลี้ยงแล้วมันก็มีความชื่นบานขึ้นไปโดยลำดับ
อันนี้การมาอยู่ด้วยกันได้รับความซื่อสัตย์สุจริต
ความฝากเป็นฝากตายต่อกัน
ก็ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องบำรุงน้ำใจซึ่งกันและกัน
สนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป แปลในธรรมนี่ละที่ว่า
ดอกบัวที่เกิดในโคลนตมโคลนตมแลหล่อเลี้ยงดอกบัวให้ชุ่มเย็น
ใครที่มาเกิดด้วยกันในวงวัฏวนนี้ก็เหมือนเกิดในเปือกตม
แล้วต่างคนต่างทำความดี ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน
แล้วก็เป็นอันเดียวกันไปเลย สุดท้ายก็ยกกันขึ้น
อย่างพระนางพิมพา พระพุทธเจ้าเห็นไหมล่ะ
..................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
“ข้อคิดจากพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช”





"ผิดกันเฉพาะหัวใจ"
.
ธรรมเป็นของมีอยู่แล้วดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์กาลไหนๆ จนคำนวณไม่ได้เลยว่านานเท่าไร แต่ไม่มีผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหามาเป็นประโยชน์ หรือเป็นสิริมงคลมหามงคลแก่ตน ธรรมก็เหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ ฝังจมอยู่ในแผ่นดิน เหยียบไปย่ำมาอยู่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ผู้มีความฉลาดคุ้ยเขี่ยขุดค้นเอาแร่ธาตุต่างๆ มาก็มาเป็นประโยชน์มากมาย นี่แร่ธรรม ธรรมธาตุก็อย่างนั้นเหมือนกัน มีอยู่อย่างนั้นเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่ไร้ค่าไร้ราคา อันนี้มีค่ามีราคามีอยู่เช่นเดียวกัน แต่ผู้โง่ผู้ฉลาดมีสองประเภท ผู้โง่ก็หาเอาตั้งแต่มูตรแต่คูถ ผู้ฉลาดก็หาเอาตั้งแต่สมบัติเงินทองที่ดีๆ อรรถธรรมนั่นละ
.
สมบัติเงินทองแปรได้สองสภาพ แยกไปทางดีก็ได้ พาให้เจ้าของล่มจมก็ได้ ถ้าเจ้าของประมาทเสียอย่างเดียว ถ้าเจ้าของฉลาดสิ่งนี้หนุนให้ขึ้นถึงนิพพานได้นะไม่ใช่ธรรมดา แปรได้ทั้งนั้น ของต่ำให้เป็นของสูงได้ ของสูงกลับมาเป็นของต่ำ กดเจ้าของจมลงในนรกก็มี อันนี้ไม่แยกออกละ ให้ไปแปลเอา
.............................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๗




ความสว่างอย่างอื่นเป็นแต่แสงสว่างภายนอก
จะส่องไปให้เห็นกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เช่นนี้เป็นต้น ก็ส่องไปไม่ถึง
แต่ปัญญาย่อมสว่างไปได้โดยประการทั้งปวง
ไม่มีอะไรส่องถึง เท่าปัญญาได้
.
หลวงปู่มี ญาณมุนี




ความไม่ประมาท คือมีสติอยู่ทุกเมื่อ
ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
นั่นทางแห่งความไม่ตาย ที่มีสติ
สติรู้ตัวอยู่ทุกเมื่อทุกขณะนั่นแหละ
เรียกว่าผู้ไม่ตาย
.
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี




การข้ามโลกสงสารไม่ข้ามที่ไหน
โลกก็คือดวงใจที่เป็นอวิชชานี้ทั้งดวง
สังสาระความท่องเที่ยวก็หมายถึงจิตดวงนี้
วัฏจักร...ตัวหมุนก็คือความรู้ที่เต็มไปด้วยเรื่องนี้เอง
เป็นเหตุให้วกเวียนไปมา กรรมทั้งหลายจึงสืบต่อกันไปโดยลำดับ
เพราะธรรมชาติซึ่งเป็นตัวจักรใหญ่พาหมุนอยู่ตลอดเวลา
เมื่อตัวจักรใหญ่ได้ทำลายลงแล้ว
ตัวจักรเล็กก็พลอยถูกทำลายไปตาม ๆ กัน
ผลสุดท้ายไม่มีอะไรเหลืออยู่ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ถูกถอนขึ้นหมดทั้งราก
แม้กิ่งก้านสาขาจะมีมากมายก็จะต้องตายฉิบหายไปตาม ๆ กันหมด
เรื่องอวิชชาดับไปก็เช่นเดียวกัน
กิเลสตัณหาประเภทใด ๆ ดับไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ
..........................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดจากหนังสือ ชีวิตแลกธรรม





อภินิหารของพระ ก็เป็นผู้ปราบปรามกิเลสให้อยู่หมัดล่ะซิ
ไม่มีตัวกิเลสตัวใดที่จะแทรกขึ้นมาภายในจิตใจได้
กิเลสทุกประเภทหมดไม่มีเหลือภายในจิตใจเลย
เหลือแต่ขันธ์ล้วนๆ นั้นแลคือผู้ขลัง เป็นผู้มีอำนาจ
เป็นผู้แผ่อำนาจภายในตัวเอง
ปราบกิเลสให้อยู่หมัดไม่มีเหลือ
นี่แหละอำนาจอยู่ตรงนี้ ความขลังอยู่ตรงนี้
..........................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
คัดจากหนังสือ ชีวิตแลกธรรม





#เป็นตามนิสัยวาสนา
.
วัดภูสังโฆก็ดี วัดผาแดงก็ดี นี่เป็นวัดทองคำ เพชรน้ำหนึ่ง ทั้งสองวัดนะ เป็นแต่เพียงนิสัยวาสนาที่มาใช้ในแดนสมมุตินี้ต่างกันเท่านั้น ส่วนวิมุตตินั้นเหมือนกัน ลูกศิษย์ของเราทั้งสองเลยนะ ธรรมลี จะไม่พูดเต็มปากได้ยังไง ท่านวันชัยก็มาพูดต่อปากต่อคำ เรื่องการภาวนาเป็นยังไงๆ ขัดข้องตรงไหนเราเป็นผู้แก้ไขให้ทั้งนั้นๆ จนกระทั่งทะลุ นี่อันหนึ่ง แล้วธรรมลีก็ตั้งแต่วันบวชแล้ว บวชวันถวายเพลิงหลวงปู่มั่น บวชวันนั้นที่วัดป่าสุทธาวาส ตั้งแต่บวชแล้วติดสอยห้อยตามเราตลอดเหมือนเด็กนะ ธรรมลีนี้เหมือนเด็ก ไม่มีธรรมวินัยอะไรเลย เอาพ่อแม่กับลูกเข้าเลย เป็นใหญ่กว่า เราจะไปไหนติดตาม คือไม่ต้องขออนุญาตนะ เห็นไหมไปกรุงเทพด้วย ด้อมตาม ถ้าไปขออนุญาตท่านจะไม่ให้ไป ต้องขโมยไปแบบนี้แหละ เห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น
.
ไปทีไร อยากไปไปเลยนะ ปั๊บ ขโมยไปเลย เป็นอย่างนั้น นี่เป็นนิสัยอันหนึ่ง เราก็ทราบ นี่ก็ตั้งแต่ต้นมา เราสอนตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยมา ท่านวันชัยนี้ก็มาอยู่กับเราหลายปี เวลาท่านอยู่ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่นที่ฝั่งธนฯ พอดีเราไปนวดเส้น ก็ไปเจอท่านวันชัยที่นั่น ถามเหตุถามผล จะไปไหนมาไหนหลักเกณฑ์ไม่ค่อยมี เราก็ไม่เคยได้บอกใครให้มาอยู่กับเรา นี่ได้บอกเลย พอได้ความว่า เหมือนว่าหลักลอย ว่างั้นเถอะน่ะ จะไปไหนมาไหน พูดยากๆ ตอบยากๆ ลำบากการตอบ นี่แสดงให้เห็นว่าหลักลอย เราก็บอกว่า ถ้างั้นให้ไปอยู่วัดป่าบ้านตาดกับผมที่วัด พอเรามาท่านก็ตามมา มาอยู่ที่นี่แล้วเข้าๆ ออกๆ จากนี้ก็ไปตั้งที่วัดนั้น เราก็ให้ไปอยู่ที่วัดภูสังโฆเรื่อยมา สักเท่าไรปีแล้ว มาอยู่กับเราตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ มันก็ ๒๓ ปีแล้วตั้งแต่เกี่ยวข้องกันมา ใกล้ชิดติดพันจริงๆ ๒๓ ปี
.
นี่เราก็สอนมาตั้งแต่ต้นเหมือนกันกับท่านลี ต่อปากต่อคำเราเอง เราเป็นคนสอนเอง เล่าเรื่องอะไรมาให้เราฟังเอง ๆ เพราะฉะนั้นเราถึงพูดได้เต็มปาก นี่เราฟังแล้ว ว่าทั้งสองนี้เป็นเพชรน้ำหนึ่งด้วยกัน ต่างกันแต่นิสัยวาสนาที่ใช้ในแดนสมมุตินี้เท่านั้น ส่วนวิมุตตินั้นเหมือนกันหมด กรุณาทราบเอาไว้
..............................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖



สนิมเหล็กมันเกิดจากที่ไหน มันก็เกิดจากเหล็กนั่นแล
เหล็กกับสนิมมันอยู่ด้วยกัน ไม่แยกออกเหล็กก็กลายเป็นผุยผง
ไม่มีชื่อเหล็กเหลืออยู่เลย ความร้อนรุ่มในหัวใจของท่านมันไม่ได้มาจากไหน
มันก็มาจากใจท่านนั่นแล ถ้าท่านไม่แยกกิเลสออกจากใจ
ตัวท่านจะไปเหลืออะไร มีแต่จะกลายเป็นผุยผงไปแบบไม่มีชิ้นดี
ทำใจให้เป็นเหล็กดี เหล็กกล้าซิ เห็นมั้ยเหล็กบางชนิดสนิมกินไม่ได้นะ
...............................................................................
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
คัดจากหนังสือ “ธรรมลี เศรษฐีธรรม” หลวงปู่ลี กุสลธโร
พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเศรษฐีธรรม โดยพระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร




#ธรรมะโอวาทของหลวงพ่อกัณหา
หลวงพ่อกัณหา
โยมชาวจีน "ลาสิกขาออกมาเพราะคิดว่าคนจีนไม่ค่อยนับถือนักบวช"
คนเราถ้าไปทิ้งศีลก็ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ คนไปทิ้งศีลไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีศีลก็ไม่มีสมาธิ ก็ตามใจไปเรื่อย ถ้าไม่มีศีลก็เหมือนเราเดินทางไปเรื่อย ก็เหมือนไม่ได้ปฏิบัติ เพราะคนที่เป็นปุถุชนเค้าคิดแบบนี้ มหายานศีลเค้าอ่อน อ่อนมากหน่ะ ฉันข้าววันหนึ่งก็หลายครั้ง ทำอะไรก็เหมือนโยมเค้าใด จะดีกว่าเค้าก็คือไม่มีเมีย แต่บางคนก็มีเมีย ประชาชนเค้าเลยไม่นับถือหน่ะ ถ้าเราเสียสละอะไรเป็นตัวอย่างของคนอื่น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมคนอื่นเค้าก็นับถือ ประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์มาหลายร้อยปี คนเลยเปลี่ยนไปไม่เข้าหาศีลหาธรรม มันต้องมาฟื้นฟูใหม่ ปฏิบัติใหม่ ให้มาปฏิบัติจะได้กลับไปช่วยคนจีน
พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีสิบทัศน์ สิบอย่าง อย่างกลางก็สิบ อย่างละเอียดก็20 การสร้างบารมีคือไม่ตามใจอารมณ์ตัวเอง ตามใจตัวเอง คนตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเองเค้าเรียกว่าคนไม่ดี เค้าเรียกว่าคนบาปนะ ความสุขของเรามันถึงอยู่ที่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือไม่ทำตามกิเลสหน่ะ มีความสุขกับการที่เรามีศีล ศีลคือความสุขนะ คนที่ไม่เห็นประโยชน์ของการรักษาศีลคือคนที่ไม่เห็นความทุกข์ที่จะเกิดกับเราข้างหน้า คนไม่มีศีลก็เหมือนคนไม่มีแผนที่ที่จะเดินทาง ก็เหมือนคนไม่มีอาชีพ ไม่มีอาชีพก็เหมือนคนไม่มีอาหาร คำสอนในศาสนาพุทธก็เลยไม่ปฏิบัติกัน ศาสนาทุกศาสนาก็ใช้ธรรมะอันเดียวกันทั้งหมด




สำคัญว่า เราคนเดียวเกิดในโลก
เจ็บคนเดียว แก่คนเดียว ตายคนเดียว เป็นจิตเปลี่ยว
เมื่อเปลี่ยวแล้ว น้อมเอาพระคุณของพระพุทธเจ้าขึ้นในดวงจิต
พุทโธให้มาก พุทโธนี้ละเอียด จิตจะสงบ
สงบแล้ววางพุทโธเสีย
เอาสติรักษาความสงบให้มั่น จะเกิดสิ่งอัศจรรย์
สิ่งไม่รู้ก็รู้ขึ้นมาในดวงจิต
หลวงปู่หลุย จันทสาโร




“สิ่งไม่ดี อย่าทำ”
..ทุกคนก็รู้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี ให้พิจารณาดู
ในเรื่องการกระทำของใครของมัน
ถ้าสิ่งไหนไม่ดี เราอย่าไปทำ..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร




#ปัญญาวโรวาท #ของดี #ของมงคล
โยม : ปู่บ่มีของดีอิหยังมาแจกลูกหลานบ่ครับ
ปู่ใหญ่ : บ่มี...บ่ได่เอาหยังติดตัวลงมาเลย
โยม : ถ้าบ่มีอิหยังแจก ปู่เมตตาเป่ากระหม่อมให้แน้ครับผม
ปู่ใหญ่ : ฮุ้ย...เป่าไปหยัง ?
โยม : ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวครับ เผื่อมีโชคมีลาภกับเพิ่นเค้าครับ
ปู่ใหญ่ : #เอาพุทโธนั้นแล้วให้.....เป็นของดี เป็นแผนที่ เป็นเข็มทิศได่พร้อม มันจังสิบ่หลงทาง หลงทางไปอบาย
โยม : ครับ.....แต่มื้อนี้ขอโอกาสหลวงปู่เมตตาให้ลูกหลานก่อนครับผม
ปู่ใหญ่ : แม่นยุบ่...เป่าให้ไปแล้วกะไปกินแต่เหล้าเมายา มันสิเป็นมงคลจังได่ มงคลมันกะอยู่นำเจ้าของนั้นล่ะ บ่ต้องแลน(วิ่ง)ไปหาขอกับไผ ถ้าเฮ็ดให้ใจเจ้าของเป็นมงคล อยู่ไส่กะเป็นมงคลนั้นล่ะ
ยืน นั่ง นอน เดิน กะเป็นมงคล เรื่องโชคลาภกะคือกัน มันเป็นของเก่าของไผของมัน ที่เค้าเคยสร้างมานั้นล่ะ...
โยม: ครับผม
ปู่ใหญ่ : ไผเฮ็ดหลายกะไดหลาย ไผเฮ็ดน้อยกะได่น้อย แค่ไปเห็นเค้ามีโชคลาภใหญ่ๆ กะไปอยากมีนำเค้า ทั้งๆที่เจ้าของกะบ่เคยไปฮู้ไปเห็นกับเค้าเลยว่าเค้าสร้างบุญมาหลายปานได่ จังสิได่ปานนั้น ยามบอกให้เฮ็ดทาน รักษาศีล ภานวา กะพากันขี้คร้าน อ้างโน้นอ้างนี้ แต่ยามอยากได่กะอยากได่นำเค้าอยู่
จำไว้เด้อไผเฮ็ดหยังไว้ ผุนั้นกะได่อันนั้นล่ะ...!
#พิจารณาเอาเบิ่งแน้ #บ่แมนเอาแต่เดินสายขออยู่นั้น #แต่บ่เฮ็ดจริงๆจังๆจักเทื่อมันกะบ่ได่ของจริงจักเทื่อแล้ว
โอวาทคำสอนหลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร วัดป่าวิเวกพัฒนาราม อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ




...ถ้าอยากได้ผล..."ทางธรรม"
ก็ต้อง..ตัดทางโลกให้น้อยลงไป
จะเอาทั้งสองอย่าง
ก็ได้อย่างละนิดอย่างละหน่อย
ถ้าเอาอย่างใดอย่างหนึ่งจะได้มาก
จับปลาสองมือ...โบราณเรียก
ดีไม่ดีไม่ได้เลยสักตัว
ดิ้นหลุดไปหมด
“ต้องจับทั้งสองมือจะจับได้มั่น"
........................................
.
พระอาจารย์ สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามจังหวัดชลบุรี
ธรรมะบนเขา (วันพระ)
วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๗




"บาทเดียวก็เอาไปไม่ได้"
ถ้าผู้ใดเจริญจนถึงมรณกรรมฐานแล้ว
อะไรๆเลิกได้หมด ละได้หมด
เพราะว่าความตายนั้นเมื่อมาถึงบุคคลใด
บุคคลผู้นั้นจะละทิ้งสิ่งทั้งหลายหมด
เอาอะไรไปไม่ได้
ไม่ว่าพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
ถ้าหากว่า นึกมรณภัยกรรมฐานนี้ได้
จิตมันจะถอนได้หมด
ถ้าเอาความตายมาตัดแล้วตัดได้หมด
เพราะว่า คนผู้ที่เขาตายไปเขาไม่ได้อะไร
แม้แต่สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้
บางคนเขายังทดลองดูว่า
มันจะเอาไปได้ถึงเมืองผีได้ไหม
เอาเงินบาท เงินเหรียญยัดใส่ปากให้
พอไปถึงป่าช้าเผาไฟแล้ว
ก็ไปเห็นกองอยู่ที่กองฟอนกองไฟนั้นแหละ
บาทเดียวก็เอาไปไม่ได้
"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"
วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
จาก หนังสือสุข สงบ เยือกเย็น
สิงหาคม, ๒๕๕๖. หน้า ๓๗




"ให้รู้จักใจให้ได้"
เอา "ความรู้สึก" ให้นิ่ง อยู่ใน "จุดเดียว"อยู่ใน"จุดนั้น" เท่านั้น, ให้ "รู้" อยู่ "ตรงนั้น" อะไรจะเกิด, อะไรจะมา มีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ "รู้"
"ทำใจ" ให้เป็น "กลาง" "รู้อยู่" อะไรเกิด เราก็ไม่ได้ห้าม อะไรมันเกิดขึ้น ก็ให้มันเกิดอยู่ เรามี "สติรู้" อยู่ใน "จุดนั้น"
"ทุกข์" เกิดขึ้นมาก็รู้ "อาการสังขาร" ก็รู้ มีหน้าที่ "รู้" แต่ไม่ได้ไป "ส่งเสริม" ไม่ได้ไป "ตามอาการ" นั้นๆที่มันเกิดขึ้น
ดู "อาการ" ดู "อารมณ์" ดู "สิ่งที่มันมีในใจ" "อะไรเกิด" ขึ้นมาก็รู้ ให้ "ใจมันนิ่ง" ให้รู้อยู่ใน "จุดเดียว" เท่านั้น
พยายาม "แยกแยะ" อยู่ใน "จุดเดียว" อย่าหนีไปจุดอื่น, เพราะมันมีอยู่ที่นั่นแล้ว กำหนดรู้ขึ้นมา อันไหนที่เรียกว่า "ใจ"
อย่าไป "รู้อย่างอื่น" ว่าเป็น "ใจ" นะ. "เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" ว่าเป็น "ใจ" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
ให้รู้จัก "ใจ" ให้ได้ "กำหนดรู้ให้ได้" ประคองเข้าไป ประครองเข้าหา "จุดนั้น" ให้ได้
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)




"ความเจริญทางโลก"
สมัยนี้ทางโลกเฃาพัฒนาไปรวดเร็ว ทุกอย่างสะดวกรวดเร็ว จะพัฒนาไปอย่างไรก็ไม่สามารถมาทำให้ใจเราเย็นได้ มีแต่จะทำให้ใจเราร้อนขึ้นไปเรื่อยๆ จึงขอให้เราระวังกับการเจริญทางโลก มันจะทำให้ใจเราร้อนขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งสะดวกรวดเร็วก็ยิ่งอยากให้มันสะดวกรวดเร็วขึ้นไป ใจจะร้อนขึ้นไปไม่ได้เย็น ใจจะมีความทุกข์มากขึ้น
ฉะนั้นอย่าไปหลงกับความเจริญทางโลกมากจนเกินไป เอาความเจริญทางโลกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ คือเราต้องรู้จักประมาณ อย่าไปหลงใหลกับสิ่งต่างๆ ที่เขาผลิตขึ้นมาหลอกเรา ให้เราอยากได้อยากมีอยากเป็นกัน เพราะต่อให้เราได้มาเท่าไหร่ มันก็ไม่อิ่มไม่พอ แต่จะทำให้เราหิวทำให้เราอยากได้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็จะหลอกให้เราดิ้นรนไปหากัน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการแสวงหา สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นที่เราได้พบ ได้มาแล้วก็ไม่พอ มีแต่อยากจะได้เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ นี่คือผลกระทบต่อจิตใจของพวกเรา กับความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ.
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


" ศีลมีอยู่ในโลก
ไม่ว่าแต่ศีล สมาธิภาวนาก็มีอยู่ในโลก
การบริจาคทานก็มีอยู่ในโลกนี้ว่าในส่วนภาคปฏิบัติ
โลกก็คือใจของมนุษย์ที่ยังไม่พ้นจากกิเลส
ถ้าใจใดไม่รักใคร่ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้แล้ว
ใจนั้นโลกนั้นก็ทวีคูณในสรรพทุกข์ใจไปหนักหน้าแล ฯ "
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต




“คำถามสนทนาธรรมบนเขา”
ถาม : กราบขอโอกาสเรียนถามพระอาจารย์ครับ การภาวนา คือ การเจริญสติ สมาธิ ปัญญา รู้ตามสภาวะความเป็นจริง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไหมครับ และขอความเมตตาพระอาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติมครับ
พระอาจารย์ : อ๋อ ก็ถูกต้องครึ่งเดียว คือ รู้ว่าทุกอย่างเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องอย่าไปอยากกับมัน ต้องหยุดความอยากถึงจะถูกต้อง ที่ให้รู้สิ่งต่างๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้เพื่อเราจะได้ไม่ไปอยากมัน ให้รู้ว่าร่างกายเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เราอย่าไปอยากให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ถ้ายังอยากอยู่ มีความรู้เหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีความรู้เหล่านี้เพื่อให้เรามาหยุดความอยาก หยุดกิเลสตัณหาความโลภความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ในใจของเรา.
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




ให้ "กลั้นลมหายใจ" มันจะ "จุก" อยู่ประมาณ "กลางทรวงอก" ให้ "จดจ่อ" ความรู้สึกไว้ที่ "จุดรู้" เอา "จุดรู้" เป็นที่ตั้งของใจ
ประคองความรู้สึกไว้ที่ "จุดรู้" ให้มันอยู่ ให้มันติดตรง "จุดรู้" นั้นให้ได้. ทำ "ใจ" ให้สงบให้รู้อยู่ใน "จุดรู้" อยู่อย่างเดียว ประคองเข้าสู่ "จุดรู้" รักษา "ความรู้สึก" ไว้ใน "จุดเดียว" ถือเอา "ความรู้สึกนั้น" ให้ "ไปรวม" อยู่ในที่ "จุดเดียว"
เมื่อได้ "ที่ตั้ง" แล้ว ให้ "จำตรง" นั้น ประคองความรู้สึกไว้ที่ตรงนั้น ให้มันอยู่ ให้มัน "ติดตรงจุดนั้น" ให้ได้
เมื่อตั้งจนชำนิชำนาญ จิตมันจะติดตรงนั้น
เมื่อใจมันติดตรงจุดนั้นได้ มันก็วางข้างนอก มันไม่ไปต่อข้างนอก มันจะ "ต่อจุดนั้นอย่างเดียว" เมื่อมันแน่วอยู่ในจุดเดียวแล้ว. "รักษาจิต" ให้อยู่ใน "จุดนั้น" มากขึ้นเท่าใด ใจก็จะ "มั่นคง" มากขึ้นเท่านั้น. เป็น "เอกัคตาจิต"
"ผู้รู้" อยู่นั้นแหละเป็น "ใจ"
ไม่ต้องไป "ละเวทนา" มันหรอก เข้าไปสู่จุด "ดวงรู้" ประคองใจให้มัน "รู้" อยู่เพียง "จุดเดียว" เท่านั้น.
"ใจ" คือ "รู้" เท่านั้น.
หลวงพ่อชา สุภัทโท



ครั้งแรกให้ "รวมลง" เสียก่อน รวมไว้ใน "จุดเดียว" ทั้ง "เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" รวมไว้ใน "จุดเดียว"
"ใจ" น้อมเข้ามาหา "ใจ"
"กำหนดลมหาย" ใจเข้าออก "รักษาใจ" ไว้ที่ "ลมหายใจ" เข้าออก จนใจมันสงบลงไป เข้า "รวมจุด" เป็น "จุดรู้" หรือ "ดวงรู้"
จึง "วางลม" "ลมดับไป" จึงมารู้จัก "ตัวเอง" มารู้จัก "ใจ"
"เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ" เป็นเครื่อง"ประกอบ" ไว้ที่ "ใจ" แต่ ไม่ใช่ใจ ไม่ใช่ตัวเอง เป็นเครื่องห่อหุ้ม "ดวงรู้" นั้นเท่านั้น
อยู่ใน "จุดดวงรู้" อย่างเดียวก็ได้
เมื่อมันเป็น "ตัวเองเฉพาะ" แล้ว ท่านให้เอา "ดวงรู้" เป็นตัว "กำหนดรู้" (วิปัสสนาปัญญา)
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร