วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 04:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2018, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่าวลึก-แหลมสัก
พักอยู่นั้นตามสมควร ๗ วันแล้วก็ลาเขาไปพักบ่อแสน ลงเรือแจวไป ๒ ชั่วโมง สุดเขตจังหวัดพังงาเพียงนั้น เป็นพรมแดนต่อ จ.กระบี่ พักอยู่หาดทราย มีกระหนำเล็ก ๆ
ถามเขาว่า “บ่อแสนนี้หมายความว่าอย่างไร”
เขาตอบมาจัง ๆ ว่า “คือแสนทุกข์แสนยากนะพ่อท่าน”
ให้คะแนนเขาว่า “ดีแล้ว ตอบไม่หนีจากหลักธรรมะ”
พักอยู่นั้น ๓ คืนแล้วลาเขาไป อ.อ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ตี ๑ ตอนกลางคืนเขามารับเอาบริการไปลงเรือแจว ขณะนั้นน้ำทะเลกำลังขึ้น เขาแจวเรือโต้น้ำขึ้น เสียงปลากระโดดตูมตาม ๆ ตามป่าไม้ริมทะเลใน เรือไปจอดท่าอำเภออ่าวลึกแล้ว พวกชาวเรือประมาณ ๗ คนนั้น เขาหาบแตงโมงเข้าไปขาย อ.อ่าวลึก ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๔ โดยคาดคะเน พอเขาหาบแตงโมไปแล้วสักครู่ฝนตกลงมาอย่างหนักแต่ลมไม่จัด ก็ยืนสะพายบาตรอยู่ที่ท่าน้ำ กั้นกลดอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง มืดแปดด้านไม่แลเห็นอะไร นึกในใจแล้วก็คล้ายกับว่าอาจารย์ฝนลองดี ให้ยืนกั้นกลดภาวนาเป็นเรื่องขัน ๆ อยู่บ้าง
สว่างเป็นวันใหม่ก็เตรียมเข้าไปบิณฑบาตใน อ.อ่าวลึก จากท่าเรือไปในตัวอำเภอประมาณ ๓๐ กว่าเส้น ใกล้จะเข้าบ้าน มีโยมคนหนึ่งมาช่วยถือกาน้ำและกลด
เขาเล่าว่า “พระธุดงคภูเก็ต โคกกลอย พังงา มาพักวิเวกอยู่ชานอำเภอ ที่ป่ามะพร้าวนี้ได้หลายวันแล้ว กระผมจะตามพ่อท่านบิณฑบาตไป แล้วจะพาพ่อท่านไปฉันกับพระธุดงค์พวกนั้น”
แล้วบิณฑบาตพอได้ข้าวพออิ่มแล้วก็ไปหาท่านเหล่านั้น กำลังแต่งบาตรจะเตรียมฉัน ต่างก็มองดูกันแล้วหัวเราะ เพราะเป็นพวกเดียวกัน แต่จำพรรษาคนละสำนักเฉย ๆ เมื่อฉันเสร็จแล้วล้างบาตรเก็บบริขารแล้วก็ทักทายปราศรัยกันจนจบเรื่อง
แต่พอเที่ยงวัน มีชาวตำบลแหลมสัก อำเภออ่าวลึก เขาเอาเรือบรรจุคนมาประมาณ ๒๐๐ คน เขาได้ทราบว่าพระธุดงค์มาพักอยู่ สวนมะพร้าว อ.อ่าวลึกหลายวันแล้ว และเขาจะมาซื้อของในอำเภออ่าวลึกด้วย และจะมาขอพระไปไว้พักวิเวกบ้านเขาด้วย ขณะนั้นมีพระอยู่ด้วยกันนับทั้งเจ้าตัวผู้ไปใหม่ในวันนั้น ๕ รูป คือ ท่านอาจารย์อาจ ท่านอาจารย์พรหมา คุณสุบิน คุณเจริญ แล้วเขานิมนต์ต่อหน้าสงฆ์ว่า
“ขอให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายแบ่งพระให้พวกกระผมบ้าง จะให้กี่องค์ก็เอา จะให้องค์ไหนก็เอา”
ตกลงก็เลยได้ข้าพเจ้า เขาก็เลยรับเอาบริขาร กราบลาครูบาอาจารย์และหมู่เพื่อนแล้วก็ไปและเจ้าตัวก็พอใจด้วย
เดินไปประมาณ ๒ กิโลก็ถึงที่ท่าตำบลแหลมสัก แล้วลงเรือตอนเย็นไปประมาณ ๑ ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงบ้านแหลมสัก มืดประมาณ ๑ ทุ่ม ตอนหัวค่ำ น้ำทะเลกำลังขึ้น เขาเอาไปพักไว้กระต๊อบฟากโรงเรียน มี* มีงูเห่างูกะปะมาก
พักอยู่ที่นั้นเกือบจะเข้าเดือน วิเวกพอควร ญาติโยมก็เป็นที่สบายพอควร มีนายมนูญ แม่นุ้ย แม่โฉมาให้ความสะดวก ไปบิณฑบาตก็สะดวก ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก สงัดวิเวก โยมพังงาที่สำนักจำพรรษา เขาทราบว่าอยู่ที่นั้น เขาก็นิมนต์ให้กลับด้วยการเขียนจดหมายมาหา ก็เลยเขียนจดหมายตอบไปหาคณะสงฆ์หนึ่งฉบับ เนื้อความในจดหมายว่า
...............................................................
ที่พักชั่วคราวริมทะเล บ้านแหลมสัก ตำบลแหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่
วันที่...เดือน....พ.ศ.๒๔๙๖
กราบเรียน พระเถรานุเถระและคณะสงฆ์ทุกถ้วนหน้าที่เคารพอย่างสูง
กระผมเที่ยววิเวกไป ก็ไกลไปไกลไป คงจะไม่ได้กลับเสียแล้ว โทษของเกล้าอันใดมี ขอได้กรุณาโปรดเกล้าอยู่ทุกเมื่อเทอญกราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูง
หล้า เขมปตฺโต
...............................................................
แล้วจ่าหน้าซองว่า
กราบเรียนพระเถรานุเถระทุกถ้วนหน้า วัดป่าโคกกลอย ตำบลนากลาง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เมื่อได้ทราบแล้ว อ่านแล้ว กรุณาถวายต่อทางวัดป่าเขาโต๊ะแซะ ภูเก็ต ด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่งอย่างสูง
ส่วนจดหมายไปหาโยมพังงานั้น ลงที่พักอยู่ วันที่...เดือน...พ.ศ.... แล้วกล่าวใน จ.ม.ว่า
...............................................................
เจริญธรรมคณะญาติโยมชาวพังงาที่ร่วมสุขทุกข์กับวัดป่าทุก ๆ ท่านที่นับถือ
อาตมาไปเที่ยววิเวกคงจะไม่ได้กลับเสียแล้ว เมื่อต่างฝ่ายต่างมีพุทธ ธรรม สงฆ์ ประจำใจอยู่ ได้ชื่อว่าอยู่ใกล้กันโดยธรรมแล
ส่งข่าวมาด้วยความนับถือไว้ในพระพุทธศาสนาตลอดกาลนานแล
หล้า เขมปตฺโต
...............................................................
นี้แหละเรื่องสังขารของการวิโยคมันเป็นอย่างนี้ละ
คัดลอกจากหนังสืออัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร






"พระหลวงตาเตือนลูกหลาน"
....เราอย่าเห็นความสุขที่แฝงอยู่ในอิริยาบถของกายอันเป็นก้อนทุกข์ว่า จะให้ความสุขแก่เราตลอดกาลและเป็นความสุขควรนอนใจไม่แสวงหาทางออก จะกลายเป็นฝูงแร้ง ฝูงกาที่เกาะกินซากอสุภะ ซึ่งลอยอยู่ในมหาสมุทรทะเลด้วยความประมาทโดยไม่คำนึงว่า ซากอสุภะจะนับวันออกห่างจาฝั่ง และแปรสภาพจมลงในทะเลหลวง มัวเพลินกินซากอสุภะโดยไม่คิดหาทางออก สุดท้ายซากอสุภะก็จมลง ฝูงสัตว์ตัวประมาทเห็นท่าไม่ดี ก็บินหาทางพ้น แต่สายไปเสียแล้ว บินเข้าสู่ฝั่งไม่ไหว ต้องจมน้ำตายในทะเล กลายเป็นอสุภะอันดับสอง จมอยู่ในทะเล
ซากอสุภะในที่นี้ คือ กาย และสิ่งอาศัยเล็กน้อย ฝูงแร้ง ฝูงกา คือ เราผู้ประมาท อาศัยความสุขเล็กๆ น้อยๆ คอยวันคอยคืน เพื่อความสุข ความเจริญโดยผิดทางร่างกาย และสิ่งอาศัยเล็กน้อย นับวันแต่จะแปรปรวนไปโดยเจ้าตัวไม่รู้ ผลสุดท้ายก็แตกทำลาย กว่าจะรู้ตัวและหาทางออก เวลาก็สายไปเสียแล้ว จึงเป็นทำนองฝูงแร้ง กาย ตัวประมาทจมอยู่ในทะเลหลวงฉะนั้น.
"พระหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน"




"อย่าตั้งใจไว้ผิด"
....นอกจากหลวงปู่จะนำปรัชญาธรรมที่ออกจากจิตของท่านมาสอนแล้ว โดยที่ท่านเคยอ่านพระไตรปิฎกจบมาแล้ว ตรงไหนที่ท่านเห็นว่าสำคัญและเป็นการเตือนใจในทางปฏิบัติให้ตรงและลัดที่สุดท่านก็จะยกมากล่าวเตือนอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า....
"ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ มิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและสรรเสริญ มิใช่อานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิหรือแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ฯ ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสังวระ ความสำรวม เพื่อปหานะ ความละ เพื่อวิราคะ ความหายกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ ความดับทุกข์ ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้ นอกจากแนวทางนี้แล้ว * ผิดทั้งหมด"
"หลวงปู่ดูลย์ อตุโร"




หลวงปู่ทอง จนฺทสิริ สอนว่า .... "ดูในระหว่างกายกับจิตของเรา ที่นั่งภาวนาอยู่เดี๋ยวนี้
กายของเรานั่นแหละ มันเป็นที่ปรากฏการณ์แห่งความสุขและความทุกข์ ความสุขมันเป็นสิ่งที่เราปรารถนา แม้ความสุขจากกายนั้นมันก็ยังเจือไปด้วยยาพิษ คือยังประกอบไปด้วยความทุกข์"
* (๑๕ มีนาคม ๖๑ ครบรอบ ๒ ปีแห่งการละสังขารขององค์หลวงปู่ทอง จนฺทสิริ




"บทธรรมแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ"
....การปฏิบัตินี้อย่าสงสัยเลย อย่าประมาทนะ ทำไว้ได้น้อยหนึ่งก็ให้เอาเถิด พอใจเถิด เพราะเป็นจริงเฉพาะตน เป็นที่พึ่งเฉพาะตน ให้นึกถึงตัวเอง ใครเป็นผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย รูปนาม ชีวิตเป็นอยู่ มันมิใช่ของเรา อย่าเอาตัวเองไปสกปรกอยู่กับทุกข์.




"คนที่มีแต่กิเลส ไม่มีใครอยากเข้าใกล้"
....คนที่แช่ดองอยู่ในกิเลสก็เปรียบเหมือนกับปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำเค็ม ปลาน้ำเค็มนั้นท่านว่ามันคาวจัด และมีกลิ่นเหม็นด้วย ข้อนี้ก็คงจะเป็นความจริง
เพราะเมื่ออาตมายังอยู่ที่จันทบุรี และได้พักวัดหนองบัว วันหนึ่งมีพวกแม้ค้าเขาหาบปลาทะเลสดผ่านวัดไปราว ๒ เส้น รู้สึกว่ากลิ่นคาวปลานั้น มันส่งเข้ามากระทบจมูกทันที และเหม็นแรงมาก ส่วนปลาน้ำจืดนั้น ก็คาวเหมือนกัน แต่ไม่เห็น
ฉะนั้น คนมีกิเลสจึงเป็นคนเหม็น ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ จะเข้าไหนเขาก็รังเกียจ.
"ท่านพ่อลี ธมฺมธโร"




หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท สอนว่า..."ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว เราเป็นผู้เสวย
ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละจะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที"




หลวงปู่ทอง จนฺทสิริ ได้สอนลูกศิษย์ว่า...
.......ทุกข์มันก็มีอยู่ ๒ อย่าง คือ ทุกข์กาย และทุกข์ใจ
ทุกข์กายก็หมายถึงนี่แหละ นั่งนานก็ทุกข์ ยืนนานก็ทุกข์ เดินนานก็ทุกข์ นอนนานก็เป็นทุกข์ มันเกินเวลาของมัน
แต่กายจริงๆ นะ มันไม่ทุกข์อะไรหรอก ดินมันก็ไม่รู้ทุกข์รู้สุข น้ำก็ไม่รู้ทุกข์รู้สุข ลมก็ไม่รู้ ไฟก็ไม่รู้
ส่วนที่รู้มันไม่ใช่ มันคือ ใจนี่แหละ
ใจมันเข้าไปรู้ ไปยุ่ง ไปเกี่ยว เราก็เอาสติสัมปชัญญะของเรานี่แหละไปแก้ ก็บริกรรมพุทโธๆๆ ไม่ได้คำนึงถึงว่าความเจ็บความปวด มันจะแสบเจ็บแค่ไหนก็ช่าง กัดฟันบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ อย่างเดียว นี่แหละคือวิธี.
* (๑๕ มีนาคม ๖๑ ครบรอบ ๒ ปีแห่งการละสังขารขององค์หลวงปู่ทอง จนฺทสิริ)





ถ้าพิจารณาดีๆ ก็จะรู้ว่าอันนั้นเกิดมาแล้วก็ดับไป
อันนี้เกิดมาแล้วก็ดับไป มีแต่สัญญาเท่านั้น
เอาเรื่องใหม่มาพิจารณาเป็นลูกโซ่ เอาคืนเป็นคืน วันเป็นวัน
อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ เรื่องการละวางมันวางไปหมดนะ
เพราะมันได้แยกแล้ว แยกกิเลสกับธรรมแล้ว
แต่พวกเรานี่ มีแต่พากันตะครุบเงา หลงเงาตัวเอง
นั่งเข้าๆ เวทนามากก็นอนเลย กรนครอกๆ กิเลสมันไชโยนะ
เพราะมันชนะ เดินจงกรมเหมือนกัน ส่งจิตออก
แล้วก็ยังจะมาอวด ว่าตัวเองทำความเพียร
ครูบาอาจารย์ท่านทำจริงนะ มาทำเล่นๆ ไม่ได้
ถ้าจะเอาตัวเองก็ต้องทำขนาดนั้นเลย
แต่ไม่เห็นครูบาอาจารย์ท่านตายนะ
โอวาทธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เทศน์อบรมพระเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗




วินาทีนาทีและชั่วโมงถูกตั้งขึ้นมา ก็เพราะมีวันและคืน การที่มีวันและคืน ก็เพราะว่ามีชีวิตคือความเกิด เมื่อมีความเกิดและชีวิตก็ต้องมีความสุขความทุกข์หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง แล้วก็เพลิดเพลินอยู่อย่างมัวเมา ขณะที่เพลิดเพลินอยู่อย่างมัวเมา ความแก่ ความเจ็บและความตายก็คลืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครได้รู้ตัว ความแก่ความเจ็บและความตาย มีขึ้นมา
ก็เพราะมีความเกิดอันนี้ จึงมีกาลเวลาคือวันคืน มากัดกินชีวิตนี้ให้ย่อยยับ อับปางลงอย่างไม่เหลือซาก
สรุปแล้วชีวิตนี้ มีมาเพื่อให้กาลเวลาคือวันและคืน ได้ดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
แล้วพวกเราๆละ มีชีวิตอยู่ ก็แค่เพื่อให้เป็นอาหารอันโอชะของวันและคืนแค่นี้ละหรือ....?
ทำไมอายุมาก ชีวิตจึงเหลือน้อย...?
พระอาจารย์คำสิงห์ 27/02/61
พระอาจารย์คำสิงห์ โฆรตโป วัดป่าบ้านหนองสระ ต.โนนขวาง อ.บ้านด่าน บุรีรัมย์ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่แบน





“เอาห่อศีลธรรมให้ก็ไม่เอา เอาห่อมรรคผลนิพพานให้ก็ไม่เอา เอาแต่ห่อขี้ ขี้เกียจขี้คร้าน ขี้โกรธ ขี้โลภ ขี้หลง มันจะไปดีได้อย่างไร”
หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต




"จงคิดเสมอว่า
เรามีเวลาเหลืออยู่แค่วันนี้
หรือชั่วโมงนี้ จะได้รีบกระทำ
ในสิ่งที่เป็นประโยชน์
มิใช่มานั่งโกรธ เกลียด
นั่งคิดริษยากัน ให้เสียเวลา
โดยเปล่าประโยชน์"
-:- หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม -:-




"หากไม่มีความทุกข์ เป็นแรงผลัก
ก็ไม่อยากเข้าวัด หรือปฏิบัติธรรม
เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สนุก หรือดึงดูดใจ
ขณะเดียวกัน เวลามีความสุข
ก็ไม่เห็นประโยชน์ว่า จะเข้าวัดไปทำไม
ในเมื่อฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
แต่เขาลืมไปว่า แม้วันนี้ มีความสุข
แต่ไม่ได้หมายความว่า พรุ่งนี้จะยังสุขอยู่"
-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-




ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เรารู้
น้อมเข้ามาสอนเราได้ทั้งสิ้น
คิดว่าส่วนดี เราทำตาม
ส่วนชั่ว เรางดเว้นเสีย.
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)




รักใคร่กัน ดีกว่าเกลียดชังกัน
พร้อมเพรียงกัน ดีกว่าแตกต่างกัน
ทำความดีใส่ตัว ดีกว่าทำความชั่วใส่ตัว.
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 86 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร