วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 18:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2018, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"อย่าเอาโรคของกาย
มาเป็นโรคของใจ"
-:- ท่านพุทธทาสภิกขุ -:-



"มิตรที่ดีที่สุด
กับศัตรูที่น่ากลัวที่สุด
ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย
อยู่ที่กลางใจเรานั่นเอง"
-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-




แข็งแรงและอ่อนน้อมเป็น “ มิ่งขวัญ ”
แต่แข็งกระด้างและอ่อนแอเป็น “ เสนียด ”
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)



"...ลักคิด แปลว่าไม่ตั้งใจคิดเผลอคิด เหมือนขโมยที่แอบเข้ามาในใจของเรา แต่พอเรามีสติ เรารู้ทันเราเห็นมัน มันก็หนีไป ตัวรู้นี้สำคัญมากมันมีอานุภาพมาก เพียงแค่รู้ ขโมยที่แอบเข้ามาก็ยอมแพ้หนีไปทันที
ฉะนั้น เราควรหมั่นฝึกสร้างตัวรู้เอาไว้ ตัวรู้นี้เป็นฝาแฝดของสติ สติจริงๆ หมายถึงความระลึกได้ ระลึกว่ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ความรู้ตัวก็เกิดขึ้นตามมา..."
โอวาทธรรมคำสอน..
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล




"...มนุษย์นี้เกิดขึ้นมากินแล้วก็พากันนอน ตื่นมาก็ไปทำมาหากิน ได้มาแล้วก็พากันกินแล้วก็นอน เป็นอย่างนี้เรื่อยไป
ไม่ได้นึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ได้นึกถึงทางหนีออกจากวัฏสงสารเลย..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป



หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
คนที่ตั้งหน้าทำแต่ความดี
ทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคน?
"หลวงพ่อครับ คนที่ตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่ความดี ทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคนเล่าครับ"
"ถ้าคุณเริ่มปลูกต้นมะม่วงในวันนี้ คุณจะเก็บมะม่วงกินได้สักเมื่อใด?" หลวงพ่อย้อนถาม
"เอ ผมก็ไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่องของมะม่วง แต่ที่บ้านผมปลูกไว้ไม่ต่ำกว่า ๕ ปี จึงจะออกผลครับ" ข้าพเจ้าตอบ ชักลังเลไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่า หรือฟังคำถามของข้าพเจ้าหรือเปล่า
"เอ้อ ตอนปลูกคุณเหนื่อยไหม?" หลวงพ่อถามเรื่อยๆ
"เหนื่อยสิครับ เพราะดินที่บ้านผมเป็นดินเปรี้ยว ต้องขุดหลุมกว้างถึง ๑ เมตร ยาว ๑ เมตร ลึก ๑ เมตร แล้วหาดินใหม่มาใส่แทน อีกทั้งต้องให้ปุ๋ยและเอาปูนขาวลงไว้รอบๆ หลุมอีกด้วยครับ" ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง
"ปลูกต้นมะม่วงเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ได้กินผลในทันที แล้วตอนนี้คุณต้องคอยดูแลต้นมะม่วงของคุณอีกหรือไม่?" หลวงพ่อยังถามเรื่อยๆ
"ไม่แล้วครับ ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ หากเกิดขยันเมื่อไร ผมจึงรดน้ำให้บ้าง แต่ก็นานๆทีครับ" ข้าพเจ้าตอบ
"แล้วมันออกลูกให้คุณกินทุกปีไหม?" หลวงพ่อถามยิ้มๆ
"ทุกปีแหละครับ มากบ้างน้อยบ้าง สุดแล้วแต่ว่าเพลี้ยจะลงหรือไม่ครับ" ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง
"คุณคิดบ้างไหมว่า ในขณะนี้คนอื่นๆที่เขาเพิ่งเริ่มปลูกมะม่วงน่ะ เขาอิจฉาคุณนะ เพราะเขาคิดว่าเขาต้องลงทุนลงแรงเหน็ดเหนื่อย ถางหญ้า ขุดหลุม รดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ฉีดยาฆ่าแมลง เพื่อทำนุบำรุงต้นมะม่วงของเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน มิหนำซ้ำมะม่วงก็หาได้ออกผลมาให้เขาได้ชื่นชมเก็บมากินได้บ้างเลย ผิดกับคุณซึ่งนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ มะม่วงของคุณ ก็ออกผลมาให้คุณกินอยู่ทุกปี มิได้ขาด" หลวงพ่อพูดเรื่อยๆ
"อ้าว เขาจะมาคิดอิจฉาผมอย่างนั้นก็ไม่ถูกซิครับ เขาน่าจะคิดว่าย้อนกลับไปเมื่อ ๕-๖ ปีที่แล้วซิว่า ในขณะที่เขามัวแต่เที่ยวเตร่หาความสุขอยู่นั้นน่ะ ผมต้องลงทุนลงแรง อาบเหงื่อต่างน้ำมากับเจ้าต้นมะม่วงของผม มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลยนะครับ หนอยแน่ พอเริ่มลงมือปลูก ก็จะกินผลเลยเป็นไปได้ยังไงกัน ก็ต้องเหนื่อยไปก่อนซิครับ อีก ๕-๖ ปีโน่นจึงค่อยคิดจะกินมะม่วงที่ปลูก ผมเองก็ต้องรอมาก่อนเหมือนกันนะครับ" ข้าพเจ้าตอบด้วยเหตุด้วยผล
"นี่คุณกำลังตอบคำถามของคุณเอง แทนฉันไปหมดสิ้นแล้วนะ" หลวงพ่อพูดยิ้มๆ และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังนั่งงงอยู่ ก็อธิบายว่า
"คนที่เขาร่ำรวยมั่งมีศรีสุข หรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนั้น ก็เพราะเขาได้สร้างสมกรรมดีมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง ดังนั้น เมื่อเขาเกิดมาในชาตินี้ บุญที่เขาได้สร้างสมมา จึงมาตอบสนองให้เขามีชีวิตอย่างสุขสบาย
แต่ถ้าเขามัวแต่นั่งกินบุญเก่าอยู่ โดยไม่สร้างบุญใหม่เพิ่มเติมในชาตินี้ มิหนำซ้ำกลับสร้างแต่กรรมชั่ว ดังที่คุณได้เล่ามาแล้ว ก็นับว่าเขาเหล่านั้นตกอยู่ในความประมาทอย่างมาก และเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะถ้าเมื่อใดบุญเก่าหมด กรรมชั่วจะตามมาตอบสนองเขาทันที อาจจะได้รับผลกรรมทันตาเห็นในชาติปัจจุบันก็ได้นะ แต่ถ้าบุญกุศลที่เขาสร้างสมมาแต่อดีตชาติมีมาก ผลของกรรมชั่วแม้จะตามมาตอบสนองไม่ทันในชาตินี้ เขาก็จะต้องไปรับกรรมชั่วในชาติหน้า ภพหน้าอยู่ดี หนีไม่พ้นหรอกนะ"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง
จากหนังสือ "สู่แสงธรรม" โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมพูทีป





(ประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ ที่ได้รับผลในปัจจุบันนี้)
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ ผมก็คิดเรื่องการเรื่องงานเป็นประจำเลยครับ ทีนี้อยากถามว่ากรรมฐานบทไหนที่ทำให้ค้าขายดีครับ…?”
หลวงพ่อ :- “อ๋อ…ก็บทค้าขายราคาถูกซิ เขาขาย ๑ บาท เราขายห้าสิบสตางค์ รับรองพรึบเดียวหมด บทนี้ดีมาก เพราะเมตตาบารมีไงล่ะ”
ผู้ถาม :- “โอ้โฮ…ตรงเปี๊ยบเลยหลวงพ่อ…”
หลวงพ่อ :- “ยังมีอีกนะ ถ้าบทที่สองดีกว่านี้อีก จาคานุสสติ แจกดะเลย”
ผู้ถาม :- “โอ…บทนี้น่ากลัวจนแย่เลย”
หลวงพ่อ :- “ไอ้เรื่องค้าขายดีมีคาถาตกอยู่บทหนึ่ง”
ผู้ถาม :- “เดี๋ยวผมขอจดก่อนครับ”
หลวงพ่อ :- “ไม่ต้องจดหรอก คาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่สมัยนั้นบวชด้วยกัน มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงมาขาย หาบไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่าย มันก็ไม่หมด
วันหนึ่งมหาโต๊ะยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่าง แกก็บอก “ท่านมหา มีคาถาอะไรดีๆ ทำน้ำมนต์ให้ทีเถอะ จะได้หมดเร็วๆ”
มหาโต๊ะแกไม่ใช่นักคาถาอาคมกะเขานี่ ก็นึกไม่ออก แต่ไอ้นี่น่าจะดีว่ะ “อนัตตา” แกนึกในใจนะ แกไม่ได้บอก แกก็เอาน้ำล้างหน้าพรมๆ ยายนั่นแกก็กลับไป พอสายๆ แกก็กลับ ปรากฏว่าหมด”
ผู้ถาม :- “อะไรหมดครับ…?”
หลวงพ่อ :- “ของหมด ข้าวแกงหมด แต่หม้อยังอยู่ หาบยังอยู่ และคนหาบยังอยู่ แหม…นี่ต้องให้อธิบายให้ละเอียดเลยนะ”
ผู้ถาม :- (หัวเราะ)”คือสงสัยครับ”
หลวงพ่อ :- “ก็เป็นอันว่าวันต่อมา โยมคนนั้นแกก็มาหาเรื่อยๆ แกก็สังเกตมหาโต๊ะ ในที่สุดมหาโต๊ะต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้เอาไว้ที่บูชา แกก็ไปขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกัน เพราะจิตตรงใช่ไหม…อนัตตา นี่เขาแปลว่าสลายตัวไงล่ะ”
ผู้ถาม :- “ลูกหลานเอาไปใช้ได้ไหมครับหลวงพ่อ…?”
หลวงพ่อ :- “ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้”
ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “แล้ว คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใช้ได้ไหมครับ…?”
หลวงพ่อ :- “ความจริง คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ของเขาดี เขาขายของ แล้วก็พรมตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้าน ก็พรมหน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนล้างหน้านั่นแหละ ทำตอนนั้น เอาน้ำล้างเสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสกแล้วพอล้างหน้าเสร็จก็พรม ตอนพรมก็ว่าไปด้วยนะ”
ผู้ถาม :- “บางคนก็ว่า ถ้าว่าคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ ก็จะมีลาภมาก…?”
หลวงพ่อ :- “มหาปุญโญ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมดำ นั่งเสกด้วยคาถานี้ ๓ ปี ฉะนั้นวัดนี้จึงมีลาภมาก แล้วต่อมาสมเด็จหรือใครก็ไม่ทราบ ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ท่านก็บอกว่า เสกด้วยคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วท่านก็บอก ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
มีอยู่รายหนึ่งชื่อ นายแจ่ม เปาเล้ง บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้สินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น (นี่พูดถึงสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไหร่ก็คิดกันดู)
ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วันๆ ไม่ได้ทำอะไร นอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา
“คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้” ลูกเมียแกว่างั้น ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหละ
ทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริงๆ ตาแจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะงามสะพรั่ง มีพริกเยอะแยะ มองดูหนาทึบไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุกๆ หงิกๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่งๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์
อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบางๆ ยอดหงุกหงิกๆ นั่นแหละ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น
มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้งๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทรายใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนัก เลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่านั้น หาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น
พริกของคนอื่นเขาเก็บกัน ๒-๓ ครั้ง ก็หมดแล้ว ครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สามเก็บได้อีกเพียงเล็กน้อย เป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้ง แล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงหมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่าๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิกๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว
ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่าพริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า “เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง” ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น”
(นี่เห็นไหม ถ้าหากว่าท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ)
ต่อมามีผู้นำคาถา อนัตตา ไปปฏิบัติ หลังจากที่หลวงพ่อแนะนำ เขาผู้นั้นได้เข้ามารายงานกับหลวงพ่อว่า
“หลวงพ่อครับ อนัตตา แจ๋วเลยครับ อัศจรรย์มาก ตอนบ่ายวันนี้ฟลุ๊คมาก ของที่ผมขายฝรั่งคนเดียว ๑,๖๐๐ บาท ไม่เคยมีปรากฏเลยครับ”
หลวงพ่อ :- “อาจารย์ทำยังไงล่ะ…อาจารย์ใช้แบบไหน จึงมีผลตามลำดับ…จะได้แจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง”
อาจารย์ :- “อันดับแรกตักน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปไว้หน้าพระพุทธรูปโต๊ะหมู่บูชา แล้วชุมนุมเทวดา ไหว้พระ บูชาพระ ตามหลวงพ่อกล่าวนำ มีมนต์อะไรก็สวดไป ของผมสวดยาวหน่อย เมื่อสวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็อาราธนาบารมีพระสัมมาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็มาหลวงปู่ปาน แล้วมาหลวงพ่อ
เสร็จแล้วเช้าตื่นมา ก็กราบแก้วน้ำ ๕ ครั้ง แล้วก็เอามาที่ห้องน้ำ แบ่งครึ่งใส่ขันสำหรับล้างหน้า ก่อนจะแบ่งก็ตั้งจิตให้ดี ว่า นะโม ๓ จบ แล้วก็ว่าคาถานี้อีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ใช้ก็ใช้คาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วก็มาว่า คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อว่าเสร็จแล้ว ก็บอก อนัตตา ขายเกลี้ยง
อีกครึ่งหนึ่งเราแบ่งมา แล้วก็ว่า คาถาวิระทะโย ไป แล้วก็พรมตู้ต่างๆ แล้วก็ลงท้าย อนัตตาขายเกลี้ยงๆๆ แม้แต่หน้าร้าน เราก็พรมออกไปเลย ถ้าใครเดินมาถูกน้ำมนต์ปุ๊บ อยูไม่ได้ ต้องมาซื้อ อันนี้ได้ผลดีครับ”
หลวงพ่อ :- “อ้าว…จำได้ไหมล่ะ อันนี้มีประโยชน์ดีนะ ควรจะนำไปใช้ทุกๆ คนนะ ฉันบอกให้อาจารย์เขาไปทำ ท่านทำแล้วผลมันเกิดขึ้นทุกวัน”
อาจารย์ :- “แล้วถ้าฟลุ๊คอะไรเป็นพิเศษละก็ เวลาจุดธูปเทียน หรือพรมน้ำมนต์ มันจะขนลุกซู่ซ่า ถ้าซู่มากละมาแน่”
หลวงพ่อ :- “อ้อ…กำลังปีติสูง ใช่ เพราะซู่ซ่านี่ เจ้าของมาแสดงให้ปรากฏ ถ้านึกถึงท่านจริง ท่านเข้ามาช่วยจริง ก็ถือว่าเป็นอาการของปีติ เมื่อสัมผัสแล้วทางจิตใจก็เกิดปีติความอิ่มใจเกิดขึ้น ขนลุกซู่ซ่ามาก
การแสดงออกตามอาจารย์พูดน่ะถูก ถ้าหากว่าสัมผัสน้อยก็มีผลน้อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าปกติ สัมผัสมากก็มีผลมากหน่อย ปัจจุบันทันด่วน อันนี้ถูกต้อง ถ้าทำขึ้น หนักจริงๆ นะ
ถ้าขายของเป็นน้ำหนัก น้ำหนักจะสูงขึ้น แล้วก็ไม่สูงแต่ของเรา เอาไปขายคนอื่นต่อก็สูง นี่เขาทำมาแล้วนะ คนที่ไทรย้อยแกขายข้าว ไปซื้อข้าวมาวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาไปขึ้นโรงสี แกก็พรมน้ำมนต์ก่อน พอถึงบ้านก็พรมน้ำมนต์หน่อย พอขึ้นโรงสีปรากฏว่าน้ำหนักสูง
ถ้าหากว่าของที่เก็บไว้ในปี๊บในถุงในอะไรก็ตาม จะมีปริมาณสูง เมื่อก่อนหลวงพ่อปานท่านบอก เอาข้าวใส่ยุ้งฉางให้เรียบร้อย ตวงให้ดี แล้วนับให้ดี ทำมาจนกว่าจะถึงฤดู ออกมาใช้มาขายแล้วตวง มันจะมากทุกคราว
จำเอาไว้นะ ถ้าปฏิบัติทุกคนจะไม่จน ฉันอยากให้ทุกคนรวย ฉันจะได้รวยด้วย พระแช่งให้ชาวบ้านจนก็ซวย พระไม่มีกินน่ะซิ”
คาถาเงินล้าน
(ตั้ง นะโม ๓ จบ )
สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ
(บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ หน้า ๗๐-๗๙ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร