วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 13:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2018, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"เหมือนดวงอาทิตย์
มันจะหมุนเวียน มืดแล้วมืดอีก-สว่างแล้วสว่างอีก
เราก็เพียงแต่รู้เท่านั้น
มันก็ไม่มีทุกข์อะไร ...
สังขารที่มันปรุงเหมือนกัน
ไม่ว่าอดีต อนาคต ปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นของจริงคือไม่เที่ยง เราเพียงแต่รู้เท่านั้น ก็ไม่เดือดร้อน ถ้าหากเรารอบรู้ในกองสังขาร ก็จะถึงจุดพอดี ไม่หวั่นไหว ในสิ่งทั้งหลายที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นธรรมดา "
___________
#สุวโจวาท
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ




"ในจิตใจของเราแต่ละคน
มันมีจุด หรือช่องที่จะทำ(ภาวนา)ให้จิตใจเราสงบได้อยู่ ถ้าเราทำถูกกับจริตนิสัย เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติ ต้องเป็นนักสังเกต ว่าเราทำแต่ละครั้ง มีผลต่างๆกัน บางครั้งจิตไม่สงบ บางครั้งจิตสงบ ก็เอาหลักอันนั้น เป็นหลักวิชา เป็นอุบายมาอบรมจิตของเราในกาลต่อไป"
_____________
#สุวโจวาท
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ




"ความสงบ หรือไม่สงบ
ล้วนเป็นครูของเรา
ตามหลักอริยสัจแล้ว ท่านก็ยกย่องเสมอกัน มีประโยชน์ทั้งสองอย่าง ฝ่ายความไม่สงบ ก็ได้แก่ทุกข์ สมุทัย ฝ่ายความสงบ ก็เป็นนิโรธกับมรรค นับเป็นอริยสัจ มันก็เป็นคู่กันอย่างนี้ เป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
จะสงบหรือม่สงบก็ตาม ข้อสำคัญขอให้เรารู้ ขอให้มีสติ..."
__________
#สุวโจวาท
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ




"ธรรมะ ไม่เคยหลอกลวงใครเลย เป็นไปตามสูตรของธรรมะ ให้ปรากฏรู้ได้ ถ้าเราเข้าใจถูกต้อง การเรียนธรรมะง่ายกว่าวิชาทางโลก เพราะทางโลกต้องใช้อุบาย เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ บิดเบือน ส่วนธรรมะนี้ ตรงไปตรงมา
เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทธเจ้าว่า ทุกฺขํ อริยสฺจจํ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา ทุกข์เป็นของจริงอย่างประเสริฐ หรือเป็นของจริงที่พระอริยเจ้าได้ค้นพบแล้ว ท่านเชื่อมั่น มีอะไร คือ มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ในข้อนี้ เป็นสิ่งที่เปิดเผยอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นสิ่งปกปิด แม้แต่ ความเกิดมาแล้ว เจ็บตายอย่างไร ในอดีตมีอย่างไร จนถึงปัจจุบันนี้ มีอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งใดที่ก่อกวนทำให้คนทุกข์ เพราะการกระทำอย่างนั้นให้มีทุกข์ เกิดขึ้นอย่างนั้น ตั้งแต่อดีตจนถึงสมัยปัจจุบัน เมื่อใครกระทำแล้ว ประกอบแล้ว ย่อมได้รับผล คือ ความทุกข์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย "
_____________
#สุวโจวาท
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ




คนตายตายไปแล้ว เราอยู่ก็ตาย มันจะกลัวตายไปทำไม
ความตายมาถึงละหวั่นไหว พระพุทธเจ้าบอกไม่ให้หวั่นไหว
ได้ความสรรเสริญก็ดีใจ แต่มันไม่เที่ยง
ความนินทาติเตียนก็มีในโลกนี้มีแต่มันไม่เที่ยง
ลาภเกิดขึ้นก็มีในโลก แต่มันก็เสื่อมไป
ความสรรเสริญเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป
ความสุขเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป ความนินทาเกิดขึ้นก็เสื่อมไป
สิ่งไหนล่ะจะเอามาเป็นสาระแก่นสาร เราจะไปยึดไปถือทำไม
ปล่อยวางให้หมด ทำจิตให้เป็นอารมณ์เดียว ให้เป็นพุทโธ ๆ
พุทโธคือผู้รู้ ให้ใจเราเบิกบาน อย่าให้ใจเราเศร้าหมอง
ครั้นใจเราเศร้าหมอง ต้องชำระสะสางให้ใจเราเบิกบานอย่าให้ขุ่นมัว
ให้ดูใจของตนนี่ เราจะได้บุญที่สุดก็เพราะจิตสงบวิเวก
.
หลวงปู่ขาว อนาลโย




“ทำศีล ๕ ให้เป็นของบริสุทธิ์”
..ร่างกายของเรานี้ เป็นที่รองรับธรรมะ เริ่มตั้งแต่ขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง ตลอดจนถึงขั้นละเอียด ขั้นบริสุทธิ์ ถ้าร่างกายไม่ละเอียด ยังไม่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว จะขยับขึ้นไปสู่ขั้นเทวดา หรือเป็นกัลยาณชน ที่เป็นคนที่สวยที่งาม งามทั้งการประพฤติปฏิบัติ อันนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีพื้นฐานเสียก่อน ฉะนั้น ธรรมะขั้นสูง หรือยิ่งไปไกล การฝึกหัดสมาธิ ภาวนา ก็ยิ่งอยู่ไกลหละ เพราะร่างกายศีล ๕ เรายังไม่บริสุทธิ์ ศีล ๕ นั้นไม่บริสุทธิ์แค่ขั้นธรรมดามนุษย์หรอกนะ ศีล ๕ ที่เป็นของบริสุทธิ์เต็มที่ ต้องถึงขั้นอนาคามี นั้นรักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต ใครจะไปฆ่า ก็ยอมให้ฆ่า แต่ทีนี้ศีล ๕ ยังถอยหน้าถอยหลังอยู่..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ธรรมะเป็นของยอดเยี่ยม





“สิ่งที่เป็นคุณ”
การปฏิบัติธรรมนี้ ขอให้เราใจเย็นๆ มีคำพูดอยู่ว่า กรุงโรมไม่ได้สร้างขึ้นมาภายในวันเดียว ฉันใด พระนิพพานก็ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว เกิดขึ้นจากการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเข้าสมาธิได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว ทุกเวลาที่ต้องการจะเข้า
แล้วพอออกจากสมาธิมาก็ให้ใช้ปัญญาสังเกตดู แยกแยะดูว่า อะไรผิดอะไรถูก อะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ ทั้งหมดนี้มันมีอยู่ภายในใจของเรา ถ้ามองด้วยปัญญาก็จะเห็น พอเห็นแล้วก็จะสามารถแยกแยะ และกำจัดสิ่งที่เป็นโทษได้ ก็จะมีเหลือแต่สิ่งที่เป็นคุณเพียงอย่างเดียวอยู่ภายในใจ.
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




ความเกิดมีแล้ว ความแก่ ความตายมันก็มีอยู่ ไม่มีใครพ้นตาย เกิดก็เกิดเต็มแผ่นดิน ตายก็ตายเต็มแผ่นดิน อยู่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่นี้แหละ ความตายเต็มแผ่นดินอยู่ เป็นเป็ด ไก่ หมู หมา เขาก็ตาย มนุษย์ชายหญิงก็ตาย ใครล่ะ เกิดมาแล้วไม่ตาย
.
ถ้าเกิดมาขวางโลกเขา เกิดมาแล้วไม่ตาย ไม่เฒ่า ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ขวางบ้าน ขวางแผ่นดิน ขวางโลก เขาอยู่ได้อย่างไร ให้ภาวนา มรณานุสสติอยู่อย่างนี้แหละ
.
เป็นเป็ดเป็นไก่มันก็ตาย เป็น วัว ควาย ช้าง ม้า หมู หมา เขาก็ตาย คนแก่ก็ตาย คนหนุ่มก็ตาย ถ้ากลัวตายมีใครพ้นตายไหม ทุกคนทุกสิ่งสรุปลงสู่ความตายทั้งหมด
.
เป็ด ไก่ วัว ควาย หมู ปลา ถ้ามันไม่ตายเอง เขาก็ฆ่าเอาให้มันตาย อยู่ในสภาพไหนล่ะมันจะพ้นจากความตาย ถึงจะมีอายุผ่านพ้นไปร้อยปีพันปี มันก็ต้องตายอยู่นั่นแหละ สัจจธรรมข้อนี้ใครๆ ก็พ้นไปไม่ได้ นั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย กินอยู่ก็ตาย ไม่กินก็ตาย เจ็บป่วยอยู่ก็ตาย ไม่เจ็บไม่ป่วยมันก็ตาย ความตายมันมีอยู่ทุกฐานะทุกสถานที่
.
ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันครอบงำเราอยู่ทุกเมื่อ พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงเสีย แม้อบายโลก เขาก็ฆ่ากันกินกันอยู่ ความตายจึงไม่มีที่จะหลีกเร้นซ่อนหนี
.
ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มีนอกจาก พุทฺธํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องหาที่พึ่งอันประเสริฐไว้เสียแต่บัดนี้ แต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้ ถ้าร่างกาย จิตใจมันไม่อำนวยแล้วจะไปคิดถึงอะไรจะไปยึดไปถือเอาอะไรเป็นที่พึ่งมันยาก
.
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






ธรรมะ พระอาจารย์ บัณฑิต สุปณฺฑิโต #บทธรรมพระหมอ135 #บทธรรม135 #รอยธรรม135 #พระหมอ #รอยธรรม
---------------------------------------------------
“ความป่วยไข้ และการดูแลผู้ป่วย”
---------------------------------------------------
การที่เราไม่สบาย ก็เพราะธาตุ ๔ ไม่สมดุล แต่บางครั้งเมื่อใจไม่ไปยุ่งกับกาย กายมันก็ปรับสมดุลของมันเอง ถ้ามันไม่หาย มันก็ทุเลาไปเอง บางครั้งเอาอะไรๆไปใส่มันมาก มันก็ปรับยาก นักปฏิบัติควรเอาเยี่ยงอย่างนักปราชญ์ท่าน อย่าเอาทางโลกมาก ป่วยแล้ว ก็หาสามี หาลูก หานู้น หานี้ ให้ดูตัวอย่างหลวงปู่มั่น ตอนที่อยู่ถ้ำสาริกา ที่ว่าใครไปอยู่ก็ต้องหามลงมา แล้วหลวงปู่มั่นจะเป็นอีกองค์หนึ่งหรืออย่างไร สุดท้ายเมื่อท่านป่วย ท่านใช้เพียงธรรมโอสถรักษา นักปฏิบัติต้องเอาตายเข้าแลก มันจึงจะได้
เวลาที่เราทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยนั้น ผู้ดูแลมักไม่รู้ว่าจะเอาทางไหนดี คนป่วยอยู่ก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ได้ มันไม่แน่ใจ ไม่ชัด ในเมื่อเรายังไม่ชัดในตัวเอง ยังลังเลสงสัย จึงไม่รู้ ถ้าเราชัดในตัวเราแล้ว คนอื่นชัดตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ให้เร่งรีบภาวนาเสียให้ชัด ตายก่อนตาย อย่าประมาท ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือ ใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็หมดปัญญา ท่านจึงให้เตรียมตัวเสียแต่เดี๋ยวนี้ เพราะไม่มีใครหนีพ้นความตาย เราทุกคนในที่นี้เท่ากันหมด ไม่มีใครเก่งกว่าใครในเรื่องนี้
หมอคืออาชีพที่พยายามจะเอาชนะความเจ็บป่วย ความตาย ที่จริงแล้วก็คือการทำไปเพื่อที่จะแพ้ เพราะการเอาชนะความเจ็บป่วย ความตายนั้น ทำได้แค่เป็นการชั่วคราว ในที่สุดแล้วก็ต้องแพ้ วิชาแพทย์แก้ได้เท่านี้ ต้องเดินมาที่ต้นตอ ทำทางธรรม
เวลาเจ็บป่วย เราต้องดูแลให้เวทนาน้อยลง ใครๆ ก็มักขอให้คนที่ป่วยหนักให้ไปที่ชอบที่ชอบ เรารู้กันหรือเปล่าว่าที่จะให้ไปนั่นน่ะ เป็นที่ชอบจริงหรือ สบายกว่าจริงหรือ รู้หรือไม่ว่าก่อนร่างกายจะแตกดับ เวทนาจะกล้าขนาดไหน แล้วจะไปที่ชอบได้อย่างไร ให้ลองคิดดู วาระสุดท้ายแล้ว เวทนาจะรุนแรงมาก ขณะนั้นจิตจะสับสน จะออกจากเวทนาได้ยากมาก การดูแลคนป่วยที่เวทนากล้า จึงให้ใช้การบรรเทาอาการ โดยทางการแพทย์ เพื่อให้เวทนาลดลงชั่วคราว ให้จิตมีความสงบเข้าถึงธรรม
พระอาจารย์บัณฑิต สุปณฺฑิโต





" มหานิกายก็บวชกรรมฐาน
ธรรมยุติก็บวชกรรมฐานทั้งนั้น
ใครๆ ก็บวชกรรมฐานทั้งหมดนั่นแหล่ะ
เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นขา โลมา นี่เน้อกรรมฐานให้พิจารณาโดยย่อ
พอเหมาะกับการบวช จึงเรียนต่อไปอีก
ก็บวชกรรมฐานทั้งนั้น
ที่จะปฏิบัติเอาหรือไม่ปฏิบัติเอามันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทีนี้ใครๆ ก็บวชกรรมฐานทั้งนั้น
แม้โยมไม่บวชก็เป็นกรรมฐาน
นี่เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ ของโยมก็มีอยู่นั่น.
แก่ เจ็บ ตาย ของพวกญาติโยมก็มีอยู่
ก็เป็นกรรมฐานทั้งหมดไตรโลกธาตุนี่
แต่ว่าจะปฏิบัติเอาหรือไม่เอาเท่านั้น."
- โอวาทธรรมคําสอนหลวงปู่หล้า เขมปัตโต –






“อย่าตะครุบเงา อย่าหลงลมปากคน ปากอมกิเลสมันสกปรกเชื่อไม่ค่อยได้หรือเชื่อไม่ได้ ปากที่อมอรรถอมธรรมพอเชื่อถือได้หรือเชื่อถือได้ ลมปากนี้สำคัญมากนะ เคยเป่าคนให้ล่มจมมามากต่อมากแล้ว เราเป็นพระลูกศิษย์พระตถาคต มีสวากขาตธรรมเป็นหลักใจ หลักปฏิบัติทั้งภายในภายนอก อย่าเผลอตัวเชื่อลมปากที่อมกิเลสตัวสกปรกมาเป่ามาพ่น เพราะสมัยปัจจุบันมักมีแต่ลมประเภทนี้ออกร้าน จึงต้องระวังกันอย่างมาก ถ้าไม่อยากจมไปอย่างน่าเสียดาย
กิเลสเขามันแหลม เขี้ยวคมยิ่งกว่าเขาวัวเขาควายและเขี้ยวสัตว์เป็นไหนๆ อยากเห็นกิเลสเขี้ยวแหลมเขาคมให้ต่อสู้กันก็รู้เอง เราสู้มันด้วยธรรมเป็นอาวุธ มีสติปัญญาธรรมเป็นต้น สู้จนกระทั่งธรรมแหลมคมนั่นแหละ เมื่อสู้กันจริงๆ ก็เลยรู้ทั้งสองอย่าง กิเลสแหลมคมก็รู้ ธรรมแหลมคมก็รู้ ธรรมแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสก็รู้ ถ้าไม่แหลมคมยิ่งกว่ากิเลสก็สู้กิเลสไม่ได้ พุงเราก็ทะลุ ถ้าสู้กิเลสได้พุงกิเลสก็ทะลุ และตายไม่มีวันฟื้นตลอดไป เราก็ได้ชัยชนะขั้นประเสริฐเลิศเลอไม่มีวันกลับแพ้ตลอดไป”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔




“ท่านอาจารย์มั่นท่านทำหน้าที่ของท่านอยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นเรื่องพิธีรีตองจึงไม่ค่อยมีเวลา มีลูกศิษย์ลูกหาไปลาท่านออกไปเที่ยว บางองค์ท่านบอกว่า “ไปทำเถอะทำอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอให้ปฏิบัติตัวเองให้ดี นั่นแลคือเป็นผู้ปฏิบัติพระพุทธเจ้า ระลึกถึงท่านด้วยการระมัดระวังตัวให้ดี นั่นแลคือการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ พระสงฆ์ท่านปฏิบัติดีอย่างไร เราปฏิบัติดีอย่างนั้น นั่นแลคือการบูชาพระสงฆ์”
“อยู่ที่ไหน ให้ถือความสำคัญในความเพียรอยู่เสมอ อย่าให้เสียเวล่ำเวลา อย่าให้เป็น “โมฆภิกษุ” ท่านว่า”
“การขาด “สติ” เพียงอย่างเดียว เป็นเหตุให้ขาดหลายๆ อย่าง ถ้ามี “สติ” และ “ปัญญา” อยู่ในตัว อยู่ไหนก็เป็นความเพียร”
คำว่า “สติ กับ ปัญญา” ในที่นี้ ท่านหมายถึง สติปัญญา เพื่อระงับดับกิเลสล้วนๆ ท่านไม่ได้หมายออกไปทางโลก ท่านจึงพูดอย่างนั้น บรรดาท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็เข้าใจกันทันทีโดยไม่ต้องอธิบาย"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙





หวังมากเวลาผิดหวังก็มาก ดีใจกับมันมากๆ เดี๋ยวก็เสียใจมากๆ เท่ากันไอ้สิ่งเหล่านี้ ของมันคู่กัน ความหวังมากเท่าไหร่ความผิดหวังมากเท่านั้น ดีใจกับสิ่งนั้นมากเท่าไหร่เดี๋ยวก็เสียใจกับสิ่งนั้นมากเท่านั้นแหละ ก็สิ่งนั้นมันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนของมันไปเรื่อยไม่มีวันคงที่เลย เปลี่ยนไปตามธรรมด๊าธรรมดา ของเขา ไอ้นี่ดันไม่รู้จัก ให้ความหวัง ให้ความหมายอะไรสารพัด ให้ความหมายไปที่ไหนได้ความหมายผิดจากความเป็นจริงเมื่อไหร่ตัวเองเจ็บทุกที ฝากความหวังไว้กับสิ่งอื่นเมื่อไหร่ เดี๋ยวตัวเองเจ็บอีกแล้วผิดหวังอีกแล้ว ฝากความหวังไว้กับอนิจจัง ฝากความหวังไว้กับกองทุกข์...
พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต 10 กุมภาพันธ์ 2561 (เช้า)





“มาหาทรัพย์แท้”
ทางโลกเขาก็พัฒนากันไปไกล ทุกอย่างสะดวกไปหมดเลย แต่ความทุกข์ภายในใจ มันไม่ได้หดหายไปตามความเจริญของทางโลกกัน แต่กลับมีความทุกข์มากขึ้นไป เพราะว่าต้องไปยึดติดกับสิ่งต่างๆ มากขึ้น แทนที่จะยึดน้อยลงติดน้อยลง กลับติดมากขึ้น พอไปติดกับสิ่งที่มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากขึ้นมันก็เลยเกิดทุกขังมากขึ้นไป ถ้าอยู่แบบเรียบง่ายอยู่แบบสมถะมักน้อยสันโดษมันก็จะไม่ต้องทุกข์มากนัก เช่นอยู่แบบพระ มีแค่อัฐบริขาร มีเพียงปัจจัย ๔ ความทุกข์ก็จะมีไม่มากเหมือนกับคนที่มีเครื่องไม้เครื่องมือเครื่องใช้ไม้สอยอำนวยความสุขอำนวยความสะดวก เพราะว่ามันเป็นเหรียญสองด้าน มันให้ความสะดวกให้ความสุขกับเรา มันก็ให้ความทุกข์ให้ภาระกับเรา เพราะเราก็ต้องดูแลรักษา เราก็ต้องดิ้นรนหาเงินหาทองมาดูแลมันมาจ่ายมัน ของส่วนใหญ่เราก็ซื้อแบบเงินผ่อนกัน ยิ่งซื้อมากก็ยิ่งต้องผ่อนมาก ก็ต้องหาเงินกันมากหาเงินกันตัวเป็นเกลียว เงินเดือนยังไม่ทันออกเลยหมดแล้ว เป็นหนี้ใหม่แล้ว
นี่แหละคือความทุกข์ที่มันมาในคราบของความสุข ในคราบที่ว่าโอ๊ยได้เครื่องใช้ใหม่ๆ รุ่นใหม่ออกมามีอะไรออกมาซื้อมันแหลกเลย แต่เวลามาผ่อนนี้มันไม่แหลกกับมัน เราแหลกมันไม่แหลก เราทุกข์เราเหนื่อยเราลำบาก ดังนั้นหัดอยู่แบบเรียบง่ายดีกว่า จะสุขจะสบายกว่า จะได้ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินหาทองจนตัวเป็นเกลียว จะได้มีเวลามาหาทรัพย์แท้ถ้าเราไม่มีทรัพย์ภายนอก ถ้าเราไม่มีเงินที่จะมาทำทานก็ตัดมันไปได้เลยผ่านมันไปเลย ถือว่าเราผ่านข้อสอบข้อนี้ไปแล้ว คือเราไม่มีทำเราก็ไม่ต้องทำ เราก็มารักษาศีลมาบวชได้เลย เมื่อไม่มีทรัพย์แล้วก็ไม่มีอะไรต้องหวงต้องห่วงแล้ว.
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




#คืนอำลา
.
นี่เวลาธาตุขันธ์จะจากเราไปมันจะเขย่าเราขนาดไหน เราจะทนต่อการเขย่าได้ด้วยอะไร ? ถ้าไม่ด้วยสติกับปัญญา เมื่อทนไม่ได้ก็แน่นอนว่าต้องเสียหลัก ฉะนั้นเราต้องสู้ให้เต็มสติปัญญากำลังความสามารถทุกด้าน ไม่ต้องคิดว่าเราจะล่มจม เพราะการสู้ การพิจารณาขันธ์ให้เห็นตามความเป็นจริงเพื่อปลดเปลื้องไม่ใช่ทางให้ล่มจม ! นี่คือการช่วยตัวเองโดยเฉพาะอย่างเต็มความสามารถในเวลาคับขัน! และเป็นการถูกต้องตามทางดำเนินของปราชญ์ท่านด้วย
.
เมื่อถึงคราวจำเป็นเข้ามาจริงๆ จะมีแต่ทุกขเวทนาเท่านั้นแสดงอย่างเด่นชัดทีเดียว ภายในกายทุกชิ้นทุกส่วนจะเป็นเหมือนกองไฟหมดทั้งตัว ภายในกายของเราจะกลายเป็นไฟทั้งกองไปเลย แดงโร่ไปหมดด้วยความรุ่มร้อน แล้วเราจะทำอย่างไร ? ต้องนำสติปัญญาหยั่งลงไปให้เห็นความทุกข์ความร้อนนั้น ประจักษ์ด้วยปัญญา แล้วย้อนดูใจเรามันแดงโร่อย่างนั้นด้วยไหม? มันร้อนอย่างนั้นด้วยไหม? หรือมันร้อนแต่ธาตุแต่ขันธ์ ?
.
ถ้าเป็นผู้มีสติปัญญา เคยพิจารณาทางด้านปัญญาอยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว ใจจะไม่ร้อน ! ใจจะเย็นสบายอยู่ในท่ามกลางกองเพลิง คือธาตุขันธ์ที่กำลังลุกโพลงๆ อยู่ด้วยความทุกข์นั้นแล นี่ผู้ปฏิบัติต้องให้เป็นอย่างนี้ ! นี่ชื่อว่าเราช่วยตัวเราเองให้พิจารณาอย่างนี้ ไม่ต้องไปหวังพึ่งใครในขณะนั้น เรียกว่า “ขึ้นเวทีแล้ว” เมื่อตั้งหน้าต่อสู้กันแล้วสู้ให้ถึงเหตุถึงผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอ้า! เป็นก็เป็น ตายก็ตาย!ใครจะหามลงเวทีหรือไม่ไม่สำคัญ สู้จนเต็มกำลังความสามารถขาดดิ้นด้วยปัญญานั้นแล อย่าสู้เอาเฉยๆ แบบทนทื่อเอาเฉยๆ ก็ไม่ใช่ ! เช่น ขึ้นไปให้เขาชกต่อย เขาต่อยเอา ๆ โดยที่เราไม่มีปัดมีป้องไม่ชกต่อยสู้เขาเลย นี่ใช้ไม่ได้! เราต้องสู้เต็มกำลังเพื่อความชนะกัน เอาความตายเป็นเดิมพัน แม้จะตายก็ยอมตายแต่ไม่ยอมถอย ! ต้องต่อสู้ทางสติปัญญาอันเป็นอาวุธทันสมัย!
.
การต่อสู้กับเวทนาก็คือพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงของมัน อย่าไปบังคับให้มันหาย ถ้าบังคับให้หายย่อมฝืนคติธรรมดา นอกจากการพิจารณาให้รู้ตามความเป็นจริงและหายเอง! ถ้าไม่หายก็รู้เท่าทันเวทนา ไม่หลงยึดถือ
.
รูปก็เป็นรูป อย่าไปเอาอะไรมาขัดมาแย้งมาแทรกแซงให้เป็นอย่างอื่น รูปเป็นรูป กายเป็นกาย สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่ารูป, เวทนาสักแต่ว่าเวทนา, จะสุขก็ตาม จะทุกข์ก็ตาม เฉยๆ ก็ตาม มันเป็นเรื่องเวทนาอันหนึ่ง ๆ เท่านั้น
.
ผู้ที่รู้ว่ากาย รู้ว่าเวทนา ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ คือใคร? ถ้าไม่ใช่ใจ! ใจไม่ใช่ธรรมชาตินั้นๆ ให้แยกกันออกให้เห็นกันด้วยปัญญาอย่างชัดเจน ชื่อว่าเป็นผู้พิจารณาสัจธรรมโดยถูกต้อง แล้วจะไม่หวั่นไหว ถึงร่างกายจะทนไม่ไหว เอ้า! ตั้งท่าสู้
...................................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙




บุญ-บาปอยู่ที่ใจ
"บุญกุศลอยู่ที่ใจของเรา บาปก็อยู่ที่ใจของเรานี่ ใจของเราสบาย ใจของเราวุ่นวาย ใจของเราหงุดหงิด บาปอยู่ที่ใจ ละบาปก็ละความวุ่นวายนั้นเสีย ละความหงุดหงิดนั้นเสีย เมื่อใจของเราไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความหงุดหงิด ใจนั่นแหละเป็นบุญเป็นกุศล..."
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร



"ฟังครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาแล้ว แต่ละองค์แต่ละท่าน เทศน์ของท่านมีแต่เน้นหนักลงไปในกองเกิดกองตาย เน้นหนักลงไปในกองธาตุกองขันธ์ เน้นหนักลงไปในกองผมกองขนกองเล็บกองฟันกองหนัง กองเกิดกองตายอันนี้ทั้งนั้น ถ้าหากว่าไม่เน้นหนักลงไปในจุดอันนี้แล้ว จะไปแก้ตรงที่เจ้าของหลงได้ตรงไหน..."
โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร


“เรื่องปกติของโลก”
ถาม : ทำไมถูกเบียดเบียนเอาเปรียบ ทางแก้คือ คิดทำทานหรือเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ : คือเราอยู่ในโลกนี้ มันก็มีทั้งคนดีคนไม่ดี คนที่เบียดเบียน กับคนที่ทำทาน บางทีมันก็เป็นความซวยของเรา ที่ต้องไปเจอคนที่ชอบเบียดเบียน บางทีก็โชคของเรา ที่ต้องไปเจอกับคนที่ชอบทำบุญช่วยเหลือกัน
ฉะนั้น ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติของโลก มีทั้งคนดี มีทั้งคนไม่ดีปะปนกันไป แต่เราสามารถทำใจของเรา ให้เฉยๆ กับเหตุการณ์เหล่านี้ได้ โดยให้คิดว่าเป็นเหมือนฝนฟ้าอากาศก็แล้วกัน ฝนตกแดดออก ก็เหมือนคนดีคนชั่ว นี่เราไปกำหนดไม่ได้ เราไปห้ามมันไม่ได้ แต่เราห้ามใจของเราได้ ว่าอยู่ในโลกนี้ ก็ต้องเจอคนดีบ้างคนไม่ดีบ้าง แต่เราอย่าไปทำตัวของเราก็แล้วกัน อย่าไปทำตัวเราไม่ดีก็แล้วกัน เอาตัวอย่างของคนไม่ดีมาสอนเราว่า ทำแบบนี้ไม่ดีเพราะทำให้คนอื่นเดือดร้อน และทำให้คนอื่นเขาโกรธเกลียดเราได้ ถ้าเราเอาตัวอย่างของคนดีทำแล้ว ทำให้คนอื่นรักเราชอบเรา ทำแล้วมีความสุขนะ.
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 145 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร