วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 06:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ไม่ว่าอะไรจะเกิด
อย่างแรกที่ควรทำ
คือ ยอมรับมัน
เลิกบ่น เลิกก่นด่า
เลิกโทษใครทั้งสิ้น
ยิ่งทำเช่นนั้น ก็ยิ่งซ้ำเติม
ความทุกข์ให้ตัวเรา
-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-


"ร่างกายนี่ มันไม่เที่ยง
เราจะบำรุงอย่างไร
อย่างไรมัน ก็ต้องทรุดโทรม
อยู่นั่นแหละ
ส่วนจิตใจนี่ เราบำรุงด้วย
บุญด้วยกุศล ด้วยคุณธรรม
อันดีอันงาม ย่อมมีความสุข
ความสงบ เบิกบานทั้งกลางวัน
และกลางคืน"
-:- หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -:-



“วิธีแก้เวลาเกิดความไม่สบายใจ “
ถาม : คนที่ไม่มีระเบียบวินัย สร้างความเดือดเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความเกรงอกเกรงใจใคร ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนอยู่เสมอ และนิสัยแบบนี้เพิ่มหนักขึ้นทุกวันๆ พระอาจารย์สอนว่าให้มีสติ มีเมตตา และอุเบกขา ลูกก็ทำได้เพียงครั้งคราว แต่ว่าพอเจอเหตุการณ์แบบนี้ทุกวันๆ ใจของลูกรู้สึกโกรธและเกลียดเขา ลูกควรแก้ไขใจของลูกอย่างไรเจ้าคะ และคนพวกนั้นจะได้รับผลกรรมของเขาบ้างไหม เพราะว่าลูกต้องอยู่สถานที่นั้นค่ะ
พระอาจารย์ : คือเราต้องยอมรับว่าเขาเป็นสิ่งที่เราไปควบคุมบังคับไม่ได้ ไปสั่งเขาไม่ได้ ไปห้ามเขาไม่ได้ เป็นเหมือนลมพัดอย่างงี้ ลมมันจะพัดเราจะไปบอกให้มันไม่พัดก็ไม่ได้ คนจะไม่ดีเราจะไปบอกให้เขาดีก็ไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องหัดทำใจเหมือนกับเราอยู่กับธรรมชาติ ทำใจเวลาฝนตกเราก็ทำใจ เวลาลมพัดเราก็ทำใจ ถ้าเราทำใจได้เราก็จะไม่เครียดไม่เดือดร้อนกับการกระทำของผู้อื่น มองเขาว่าเป็นเหมือนธรรมชาติ เป็นเหมือนฝนเป็นเหมือนลมที่เราไปสั่งไปห้ามเขาไม่ได้ แต่เราถ้าหลบได้เราก็หลบ เช่นฝนตกมีที่ไหนหลบเราก็หลบ ไม่มีหลบเราก็หาร่มกาง ไม่มีร่มกางก็ยอมเปียก คิดว่าเวลาอาบน้ำมันก็เปียกเหมือนกัน ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร เปียกก็เปียก ก็เหมือนกัน เวลาอยู่กับใครเขาทำอะไรไม่ดีเมื่อยังต้องอยู่กับเขาก็ปล่อยให้เขาทำไป เราไม่ได้เป็นคนทำไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน คนทำนั่นแหละจะต้องรับความเสียหาย เดี๋ยวก็ถูกเขาไล่ออกจากงานน่ะถ้าไปทำอะไรไม่ดีในบริษัทจนคนเขาทนไม่ไหว เดี๋ยวเขาก็จะไล่ออกไปเอง ฉะนั้นขอให้เราหัดทำใจเท่านั้นเอง แล้วเราก็จะอยู่อย่างสบาย อย่าไปอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความไม่สบายใจของเราเกิดจากความอยากของเรา พอไม่ได้ดั่งใจอยากเราก็เลยไม่สบายใจ วิธีที่จะแก้เวลาเกิดความไม่สบายใจ ก็พุทโธพุทโธไป อย่าไปคิดถึงเขา อย่าไปมองเขา อย่าไปรับรู้เรื่องของเขา ให้อยู่กับพุทโธพุทโธไป แล้วเขาทำอะไรเราก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อนใจ แต่ถ้าเราคอยไปจ้องไปเฝ้า ไปอยากให้เขาทำอย่างนู้นทำอย่างนี้ยิ่งเดือดร้อนใจขึ้นมาใหญ่ เวลาเดือดร้อนใจนี้อย่าไปคิดอย่าไปมอง หลับตาพุทโธพุทโธของเราไป ถ้าทำงานก็ตั้งใจทำงานของเราไป มองเขาเป็นเหมือนฝนเหมือนลมไป ปล่อยมันเป็นไป แล้วเราจะสบายใจเราอยู่กับเราจะอยู่กับเขาได้.
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




...มีเวลาว่างเมื่อไร
ควรเข้าหาธรรมเมื่อนั้น
อย่างน้อยก็ขอให้ได้ฟังธรรม
ก็ยังดี.
...................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา25/1/2558
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




จิตที่ใกล้จะแต่ดับนั้นปกติเป็นจิตที่อ่อนมาก ไม่มีกำลังที่จะต้านทานใด ๆ ทั้งนั้น คุ้นเคยกับความรู้สึกใดเกี่ยวกับเรื่องใด ความรู้สึกนั้นเกี่ยวกับเรื่องนั้นก็จะเข้าครอบงำจิต มีอำนาจเหนือจิต ทำให้จิตเมื่อใกล้ดับผูกพันอยู่กับความรู้สึกนั้นเกี่ยวกับเรื่องนั้น เมื่อจิตดับคือจากร่าง ก็จากไปพร้อมกับความรู้สึกนั้นเกี่ยวกับเรื่องนั้น นำไปก่อเกิดกายที่ควรแก่สภาพจิตทุกประการ
.
ผู้ที่หวงสมบัติ กลัวจะมีผู้มานำไป ก่อนจะดับจิต มีใจผูกเฝ้าสมบัติอย่างหวงแหน เมื่อดับจิตไปก็เคยมีไปเกิดเป็นงู เฝ้าอยู่ที่สมบัตินั้น ผู้ใดเข้าไปใกล้ก็จะแสดงตัวให้เป็นเป็นงูใหญ่
.
เช่นที่เล่ากันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ ว่าข้าราชการผู้หนึ่งมีพระพุทธรูปที่หวงมากอยู่องค์หนึ่ง เมื่อละโลกนี้ไป สหายไปเยี่ยมศพได้ขอดูพระองค์นั้น ขณะกำลังดูอยู่ ก็มีงูตัวหนึ่งมาจากไหนไม่ปรากฏ มาแผ่แม่เบี้ยอยู่ใกล้ ๆ
.
ผู้มาขอดูไหวทันเข้าใจทันทีว่าเจ้าของได้เฝ้าพระอยู่ด้วยความหวงแหน จึงพูดกับงูดัง ๆ ว่าไม่ได้คิดจะนำพระไปไหน เพียงมาขอดูเท่านั้น อย่าเป็นห่วง เพียงเท่านั้นงูก็เลื้อยห่างหายไป
.
นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่นานมานี้ ที่เชื่อกันว่าผู้ที่หวงสมบัติมาก ๆ ตายไปขณะที่จิตผูกพันเช่นนั้น ต้องไปเกิดเป็นงู ต้องเฝ้าสมบัติ ไม่ได้ไปเสวยผลของกรรมดีใด ๆ ที่ได้กระทำไว้ จนกว่าใจจะปล่อยวาง ละความยึดถือความหวงแหนสมบัตินั้น ๆ
.
ด้วยผู้ใหญ่ผู้มีสัมมาทิฐิสัมมาปัญญาแต่ไหนแต่ไรมา ท่านเชื่อในเรื่องอำนาจความยึดมั่นของจิต ท่านจึงสอนลูกหลานไว้ว่าก่อนจะหลับไปให้ภาวนาพุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้า และให้ตั้งใจปรารถนาว่า
.
เมื่อจากโลกนี้ไปเมื่อใดก็ตาม ขอให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที ให้ได้พบพระพุทธศาสนา ท่านสอนกันให้ตั้งใจเช่นนี้ก่อนจะหลับไป และท่านสอนว่า ถ้าการหลับครั้งนั้นจะไม่ได้กลับมาตื่นอีก ก็จะได้ไปดี เป็นไปดังแรงปรารถนา การได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานั้นเป็นมงคลสูงสุดของชีวิต ผู้มีสัมมาทิฐิจึงตั้งจิตปรารถนาอย่างจริงจัง
.
ผู้อธิษฐานจิตปรารถนากลับมาเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานั้น คือผู้รับรองความ สำคัญของชีวิตนี้ แม้จะน้อยนัก ว่าชีวิตนี้เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสวัสดีมีสุขได้อย่างแท้จริง
.
เพราะชีวิตนี้เท่านั้นที่พร้อมสำหรับบำเพ็ญบุญกุศลทุกประการ จะทำดีเพียงไรก็ทำได้ในชีวิตนี้ ทำดีสูงสุดจนเกิดผลสูงสูง คือการปฏิบัติได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน พ้นทุกข์สิ้นเชิง ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ก็ทำได้ในชีวิตนี้
.
หรือทำดีเพียงเพื่อได้ถึงสวรรค์พ้นนรก ก็ทำได้ในชีวิตนี้ การตั้งจิตอธิษฐานไม่ให้หลงไปภพภูมิอื่นหลังละโลกนี้ไปแล้ว แต่ให้กลับมาสู่ภพภูมิของมนุษย์โดยเร็ว ได้พบพระพุทธศาสนา จึงเป็นความถูกต้อง พึงทำอย่างยิ่ง
.
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช




“การที่จะภาวนาให้จิตสงบนี้เป็นของที่ทำได้ยาก คนเราจึงไม่ทำกัน ไม่มีใครที่จะดูจิตของตัวที่มันคิดมันปรุงอยู่ทั้งวันทั้งคืน มีแต่วิ่งตามมันเท่านั้น วิ่งตามความคิดความปรุง ที่จะระงับความคิดความปรุงมาเข้าสู่ความสงบนี้ไม่ค่อยมี มีก็เล็กน้อย นักภาวนาเท่านั้นละที่จะเห็นความคิดปรุงของตัวเอง ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
จิตไม่มีธรรมก็คือจิตไม่มีเจ้าของ ระเหเร่ร่อน จิตมีเจ้าของต้องมีสติสตังระงับจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น ใจก็สบาย ถ้าใจสบายแล้วสบายหมดนะ สำคัญอยู่ที่ใจ ความทุกข์ความสุขรวมแล้วมาอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด ไม่อยู่ที่อื่น อยู่ที่ใจ ถ้าใจของเราสงบแล้วก็สบาย ถ้าใจไม่สงบแล้วอะไรจะมีมากน้อยมันไม่มีความหมาย มันไปมีความหมายอยู่กับความสงบของใจ ให้พากันภาวนาให้จิตใจสงบบ้างนะ นี่ไม่มีใครมาว่าจิตใจสงบ ไม่มี มีแต่ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา หาความสุขไม่ได้...”
พระธรรมเทศนา
เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) จ.อุดรธานี
(พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๕๕๔)




โยมถาม : หลวงปู่พระวัดบ้านกับพระวัดป่าต่างกันเนาะครับ เห็นยุบ้านผมบวชจนเฒ่าแล้วยังมาหาเล่นบั้งไฟยุเลย
หลวงปู่ : บวชหลายพรรษาบ่ปฏิบัติบวชเล่นๆๆ สิได้อิยัง
... คือจั่งหลวงปู่คำผา วัดป่าคำนกถัว สกลนคร บรรลุธรรมแต่พรรษา 3 เห็นบ่เพิลมั่นเพียรภาวนา บวชเล่นๆๆสิได้ยังบวชจนตายกะบ่ได้ยัง
โยมถาม : แล้วเฮาสิรู้ได้จั่งได๋ครับว่าพระองค์ได๋บรรลุบ่บรรลุธรรม
หลวงปู่ : สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง นั้นพ่อแม่สอนมาแบบนั้น มีพ่อแม่มีไผคุยโอ้อวดบ่ว่าจะของบรรลุ บ่มีดอก แต่คนทั้งหลายพึ่งทราบได้ทั่วกันว่าท่านบรรลุด้วยการที่ปฏิบัติจริงเฮ็ดจริง
หลวงปู่ศิลา จิตตสุโภ
วัดถ้ำพระนอน เทือกเขาดงมูล อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์




...ความคิดนี้ เป็นตัวเชื่อม
ร่างกายกับกายทิพย์ให้อยู่ด้วยกัน
.
ถ้าเราหยุดความคิดได้
ตัวร่างกายกับกายทิพย์
ก็จะแยกออกจากกัน
.
การที่เราจะหยุดความคิดได้
เราก็ต้อง"มีสติ" ถ้าเราไม่มีสติ
เราก็ต้องสร้างสติขึ้นมา
.
ถ้าเราหยุดความคิดไม่ได้
สั่งให้หยุดคิดแล้วมันก็ยังคิดอยู่
"เราก็ต้องสร้างสติขึ้นมา"
เพื่อ..จะหยุดความคิด.
....................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 28/1/2561
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี



" โลภ โกรธ หลง มันก็เกิดขึ้นที่ใจ จะดับมันก็ดับลงที่ใจ
ศีล สมาธ ิปัญญาจะทำให้เกิดให้มี ก็ทำให้เกิดให้มีขึ้นที่ใจ
เมื่อชนะก็ชนะอยู่ที่ใจ เมื่อแพ้ก็แพ้อยู่ที่ใจ อยู่แห่งเดียวกัน
ความสกปรกก็อยู่ที่ผ้า เมื่อซักให้สะอาดแล้วก็อยู่ที่ผ้า
สนิมก็อยู่ที่เหล็ก เมื่อขัดออกก็ขัดออกจากเหล็ก เมื่อสะอาดก็สะอาดอยู่ที่เหล็ก."
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต



“ปฏิบัติให้เหนือกิเลส”
..ยกตัวอย่างว่า จะทำจิตใจ ให้เกิดความสงบ จะทำให้เป็นสมาธิ กำหนดจดจ่ออยู่ในอารมณ์อันไหนก็ได้ ทำขนาดนี้ ประมาณชั่วโมง สองชั่วโมง ขนาดปีหนึ่ง สองปี ไม่ได้เรื่อง ทำหนักเข้าไปอีก เราชอบอยู่ในอิริยาบถไหนก็ทำไป ทำหนักเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ผลสุดท้ายมันก็สู้เราไม่ได้หรอก เพราะว่าทำหนักขึ้นไปตามลำดับ ทำเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ไม่ใช่จะทำอยู่แค่เท่าเดิม หรือทำพอเป็นพิธีอยู่แค่นั้น ทำแบบไม่ได้แก้ไขดัดแปลง เคยอยู่อย่างไหน ก็อยู่ไปอย่างนั้น ถ้านั่งสมาธิ พอนั่งไปหน่อย ง่วงนอนก็นอนเลย ถ้าว่าเหนื่อย ว่าล้า ว่าขี้คร้าน ก็ไปเลย ไปตามมันเลย ถ้าแบบนี้ ผลมันไม่เกิดขึ้นนะ ของที่มาทดสอบจิตใจของเรา ท่านว่าเป็นพวกอำนาจฝ่ายต่ำ เราก็ต้องต่อสู้ ใช้ความอดทน ขันติธรรม หนักเข้า มันก็สู้เราไม่ได้เหมือนกัน ใครก็คงจะเป็นทำนองเดียวกัน..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง วันออกพรรษา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 100 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร