วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 05:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2018, 23:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนบไฟล์:
อุดรูรั่วของเรือ ภาพเล็ก-540x360.jpg
อุดรูรั่วของเรือ ภาพเล็ก-540x360.jpg [ 38.78 KiB | เปิดดู 3051 ครั้ง ]


:b48: นักปฏิบัติธรรมที่เดินเพื่อละ ให้ถึงพระนิพพาน

ไม่ต่างกับเรือที่มีรูรั่วไปทั้งลำเรือ การล่องเรือในมหาสมุทร

เพื่อข้ามไปให้ถึงอีกฝั่งนั้น อย่างแรกเลย ที่เป็นหลักสำคัญ คือ

เราต้องอุดรูรั่วของเรือก่อน เพื่อเรือจะได้เดินทางได้

โดยไม่จบลงระหว่างทาง การอุดรูรั่วของเรือมีสองแบบ

คือ การอุดรูรั่วเรือด้วยปัญญา และการอุดรูรั่วเรือด้วย

สัญญา :b53: :b53:


:b48: การอุดรูรั่วเรือปัญญานั้น จะอุดรูรั่วของเรือได้ด้วยวิธีเดียว

คือการภาวนาเท่านั้น(ศีล สมาธิ ปัญญา) ถึงจะอุดรูรั่วของเรื่องนั้นได้

การมองหาแต่รูรั่วของเรือเพื่ออุดรูรั่วนั้น เปรียบได้กับ

การมองหาแต่ข้อพร่องของตนเองเพื่อแก้ไข เมื่อเรามองหาแต่รูรั่ว

ของเรือ แล้วอุดมันไปเรื่อยๆ เรือก็สามารถลอยไปได้ไกล

โดยไม่จมไปกับกระแสคลื่นลมของกิเลสที่โหมเข้ามา

การเรียนทฤษฏีแล้ว ต้องลงมือทำจริงเท่านั้น

ผลถึงเกิดขึ้นมาได้ เทียบเข้าได้กับ เรือของเราได้แก้ไขแล้ว

ไม่มีรูรั่วแล้ว และสมบูรณ์แล้ว :b53: :b53:


:b48: ส่วนการอุดรูรั่วเรือด้วยสัญญา การอุดรูรั่วของเรือด้วยสัญญา

ด้วยปริยัติที่เรียนมามันไม่ต่างกับการสร้างวิมานในอากาศ

แล้วหลอกตัวเองว่า เราได้อุดรูรั่วนั้นแล้วกลบรูรั่วนั้นด้วยสี

เคลือบด้วยความงาม ด้วยสัญญาที่เราเรียนรุ้ ท่องจำอ่านมา

เพื่อปิดบังรูรั่วไว้ ไม่นานกระแสคลื่นลมของกิเลสที่พัด

เข้ามาตามความเป็นจริง ก็ทำให้เรืองล่มลงระหว่างทางได้

โดยทำให้เราไม่ถึงอีกฝั่ง ดั่งที่เราตั้งใจให้ไปถึง :b53: :b53:


:b48: การอดรูรั่วของเรือด้วยปัญญากับการอุดรูรั่วของเรือด้วยสัญญา

จึงต่างกัน การอุดรูรั่วด้วยปัญญา ต้องใช้ ศีลสมาธิที่รวมเรียกว่า

ภาวนาเท่านั้น ปัญญาถึงจะเกิดขึ้นมาได้ เหมือนดั่ง ปริยัติ ปฏิบัติ

และปฏิเวธที่เราทำให้มันสอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียว

บุคคลใดที่ได้ปฏิเวธ นั้นแปลว่า บุคคลนั้นเรียนปริยัติได้ตรง

และนำมาปฏิบัติได้ตรง ผลจึงเกิดเป็นปฏิเวธขึ้นมาได้

เมื่อปฏิเวธเกิด นั้นแปลว่าเรือของเราอุดรูรั่วได้สำเร็จแล้ว
:b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 06:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่เข้าใจ..ว่า..ทำไม..ถึงมีอคติกับสัญญา..กันนักนะ?..
s006 s006

ตอนลงมือปฏิบัติ..ก็ต้องใช้สัญญา..กันทั้งนั้น..

มีใครปฏิบัติโดย..ไม่ฟัง...ไม่อ่าน...ไม่จดไม่จำ...บ้างละครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมไม่เข้าใจ..ว่า..ทำไม..ถึงมีอคติกับสัญญา..กันนักนะ?..
s006 s006

ตอนลงมือปฏิบัติ..ก็ต้องใช้สัญญา..กันทั้งนั้น..

มีใครปฏิบัติโดย..ไม่ฟัง...ไม่อ่าน...ไม่จดไม่จำ...บ้างละครับ..


ครับเห็นด้วยกับคุณกบ
คนที่ไม่รู้ปริยัติมักจะคิดว่า สัญญานัันเป็นเพียงแค่ความจำ
ถ้าหากขาดความจำเสียแล้วนั่นหมายถึงว่าความเลอะเลือน(หลง)
ปกติพวกมนุษย์และเทวดาพรหม ก็ต้องมีขันธ์ ๕ ด้วยกันทั้งนั้น
(ยกเว้นอรูปพรหมและอสัญญสัตตพรหม) คำว่าสัญญา เป็นขันธ์ ๑
ในจำนวนขันธ์ ๕ และในสัญญาขันธ์นั้นก็เป็นสถาพที่รู้เหมือนกัน
รู้ปัจจุบันก็ได้ รู้อดีตก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้อนาคต

คนที่ไม่ได้ศึกธรรมมาอย่างดีจะคิดว่าสัญญาคือความจำ
คือ รู้จำอย่างเดียว คือไปแยกออกโดดๆโดยเป็นเอกเทศ ไม่เข้าใจว่า
การทำงานของ จิต เจตสิก รูป จะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทั้งหมด
จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ต้องเป็นไปพร้อมกัน เช่น รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้

อธิบายแค่นี้แหละคงอาจจะพอได้เห็นและพอเข้าใจกันได้บ้าง
จะได้ไม่เข้าใจอะไรที่ผิดๆ ยึดติดกันจนข้ามถพข้ามชาติ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


จากข้อความตั้งต้นนัีนเป็นการอุปมาทั้งสิ้น ถ้าติดตามอ่าน
ดูคล้ายว่าจะดี และง่ายต่อการเข้าใจ แท้จริงคงไม่ใช่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะทั้งหลายเป็นนามธรรม ที่เห็นได้อยาก ต้องใช้เวลาเพื่อการศึกษาให้มากๆ
ทุกอย่างจึงจะเป็นไปได้ดังคำอุปมา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 09:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยนะครับที่ว่า..ดูคล้ายจะดี ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 11:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมไม่เข้าใจ..ว่า..ทำไม..ถึงมีอคติกับสัญญา..กันนักนะ?..
s006 s006

ตอนลงมือปฏิบัติ..ก็ต้องใช้สัญญา..กันทั้งนั้น..

มีใครปฏิบัติโดย..ไม่ฟัง...ไม่อ่าน...ไม่จดไม่จำ...บ้างละครับ..


:b8: ขอบคุณในความเห็นต่างนะคะ :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 11:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ผมไม่เข้าใจ..ว่า..ทำไม..ถึงมีอคติกับสัญญา..กันนักนะ?..
s006 s006

ตอนลงมือปฏิบัติ..ก็ต้องใช้สัญญา..กันทั้งนั้น..

มีใครปฏิบัติโดย..ไม่ฟัง...ไม่อ่าน...ไม่จดไม่จำ...บ้างละครับ..


ครับเห็นด้วยกับคุณกบ
คนที่ไม่รู้ปริยัติมักจะคิดว่า สัญญานัันเป็นเพียงแค่ความจำ
ถ้าหากขาดความจำเสียแล้วนั่นหมายถึงว่าความเลอะเลือน(หลง)
ปกติพวกมนุษย์และเทวดาพรหม ก็ต้องมีขันธ์ ๕ ด้วยกันทั้งนั้น
(ยกเว้นอรูปพรหมและอสัญญสัตตพรหม) คำว่าสัญญา เป็นขันธ์ ๑
ในจำนวนขันธ์ ๕ และในสัญญาขันธ์นั้นก็เป็นสถาพที่รู้เหมือนกัน
รู้ปัจจุบันก็ได้ รู้อดีตก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้อนาคต

คนที่ไม่ได้ศึกธรรมมาอย่างดีจะคิดว่าสัญญาคือความจำ
คือ รู้จำอย่างเดียว คือไปแยกออกโดดๆโดยเป็นเอกเทศ ไม่เข้าใจว่า
การทำงานของ จิต เจตสิก รูป จะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทั้งหมด
จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ต้องเป็นไปพร้อมกัน เช่น รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้

อธิบายแค่นี้แหละคงอาจจะพอได้เห็นและพอเข้าใจกันได้บ้าง
จะได้ไม่เข้าใจอะไรที่ผิดๆ ยึดติดกันจนข้ามถพข้ามชาติ


:b8: ขอบคุณ สำหรับความคิดเห็นคะ รับฟังความเห็นนะคะ..จะนำไปตรองและพิจารณาอีกทีคะ :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 11:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เห็นด้วยนะครับที่ว่า..ดูคล้ายจะดี ..


ไม่มีสิ่งใด โดยสมบูรณ์แบบคะ คุณกบ :b8: ไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ถูกใจในทุกๆคนได้เสียหมด..เพียงแต่เราแสดงออกในสิ่งที่คิดว่าเห็นควร เท่านั้น..แต่การเลือกหยิบ ก็แล้วแต่บุคคลที่จะหยิบไปใช้ให้ตรงกับจริตของแต่ละบุคคลก็เท่ากันเองคะ

ของคุณสำหรับความคิดเห็น..พร้อมนำไปพิจารณา ถ้าเห็นควรกับจริตของตน ก็จะนับกลับไปแก้ไขคะ :b8:

คำชี้แนะ คำติเพื่อก่อ ขอบคุณมากนะคะ เพราะมันจะทำให้เรา สามารถปรับตัวเองเพื่อให้ตัวเองเติบโตไปได้ อย่างค่อยเป็นค่อยไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 11:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น้อมรับคำชี้แนะ คำติของ ทุกๆท่านนะคะ..เพราะทุกคำชี้แนะและคำติ..จะทำให้ตัวของเราเติบโตขึ้นและสมบูรณ์พร้อมยิ่งๆขึ้นไป :b8: :b53: :b53:

ติเพื่อก่อ..ชอบมากคะ :b12: :b53: :b53:


ส่วนเรื่องแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คิดว่าตนยังไม่พร้อมที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรออกไปในตอนนี้คะ...รอให้พร้อมก่อน...จะมาออกความเห็นที่เป็นของตนเองนะคะ :b8: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัญญา กับปัญญา

"สัญญา" ความจำได้ หมายรู้ ความจำหรือสัญญานี้ก็มีคุณมีประโยชน์ เช่น จำสิ่งที่ทำให้เกิดปัญญาหรือสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดปัญญา เช่น จำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอันเป็นเหตุแห่งปัญญาไว้ได้ "แต่สัญญา ความจำนี้เป็นอนัตตา" ให้จำกลับลืม ให้ลืมกลับจำ "สัญญาจึงต้องประกอบด้วยสติ ความระลึกได้"

"สัญญา" มีทั้งคุณและโทษเพราะไม่ประกอบด้วยเหตุผลความรู้ถูกผิด "โทษของสัญญา คือความวุ่นวายความไม่สงบของจิต"

"ปัญญา"
ต้องการสัญญาความจำได้หมายรู้ ต้องการสติ ความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดของตนและของคนอื่น "เพื่อนำมาพิจารณาวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา ความรอบรู้ รู้แจ้ง รู้จริงของสรรพสิ่ง"

"สติและปัญญานี้ มีแต่คุณไม่มีโทษ" ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
สัญญา กับปัญญา

"สัญญา" ความจำได้ หมายรู้ ความจำหรือสัญญานี้ก็มีคุณมีประโยชน์ เช่น จำสิ่งที่ทำให้เกิดปัญญาหรือสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดปัญญา เช่น จำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอันเป็นเหตุแห่งปัญญาไว้ได้ "แต่สัญญา ความจำนี้เป็นอนัตตา" ให้จำกลับลืม ให้ลืมกลับจำ "สัญญาจึงต้องประกอบด้วยสติ ความระลึกได้"

"สัญญา" มีทั้งคุณและโทษเพราะไม่ประกอบด้วยเหตุผลความรู้ถูกผิด "โทษของสัญญา คือความวุ่นวายความไม่สงบของจิต"

"ปัญญา"
ต้องการสัญญาความจำได้หมายรู้ ต้องการสติ ความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดของตนและของคนอื่น "เพื่อนำมาพิจารณาวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา ความรอบรู้ รู้แจ้ง รู้จริงของสรรพสิ่ง"

"สติและปัญญานี้ มีแต่คุณไม่มีโทษ" ..


:b1:


เหตุที่ยึดหลักปัญญามาก เพราะส่วนใหญ่นักปฎิบัติทั้งหลาย มีภุมิบัญญัติกันมากมายอยุ่แล้วคะ..การปฎิบัตินั้น ปฎิบัติเพื่อ ลด ละ จางคลาย กิเลส ตัณหาและอุปาทานในจิตเปนสำคัญ บทความนี้จึงเน้นไปทางนั้น..ทางนักปฎิบัติที่มีความปราถนา ในการลด ละ จางคลายกิเลสออกจากจิต...ไม่ได้มุ่งเข้าหาคนหมู่มาก..แต่มุ่งเฉพาะกลุ่มเท่านั้นนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 20:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ผมไม่เข้าใจ..ว่า..ทำไม..ถึงมีอคติกับสัญญา..กันนักนะ?..
s006 s006

ตอนลงมือปฏิบัติ..ก็ต้องใช้สัญญา..กันทั้งนั้น..

มีใครปฏิบัติโดย..ไม่ฟัง...ไม่อ่าน...ไม่จดไม่จำ...บ้างละครับ..


:b8: ขอบคุณในความเห็นต่างนะคะ :b53: :b53:


แสดงว่ายังไม่เข้าใจที่ผมพูด...เพราะ...ไม่ใช่ความเห็นต่าง...

น่าจะบอกว่า...เติมส่วนที่ขาด....มากกว่า..นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ผมไม่เข้าใจ..ว่า..ทำไม..ถึงมีอคติกับสัญญา..กันนักนะ?..
s006 s006

ตอนลงมือปฏิบัติ..ก็ต้องใช้สัญญา..กันทั้งนั้น..

มีใครปฏิบัติโดย..ไม่ฟัง...ไม่อ่าน...ไม่จดไม่จำ...บ้างละครับ..


:b8: ขอบคุณในความเห็นต่างนะคะ :b53: :b53:


แสดงว่ายังไม่เข้าใจที่ผมพูด...เพราะ...ไม่ใช่ความเห็นต่าง...

น่าจะบอกว่า...เติมส่วนที่ขาด....มากกว่า..นะครับ


รับฟังคะ...เมื่อใจพร้อม...มันจะเติมเต็มได้เอง..ตอนนี้รับสัญญา ไว้ก่อนคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ช่วงนี้ ป่วย สมองยังทำงานไม่ได้เต็มที่คะ...การรับสารที่ส่งมา จะรับได้ไม่ชัดเจนนัก...แต่ถ้าพุดตรงๆ จะเข้าใจได้ง่ายกว่าคะ...จึงควรพุดตรงๆ ชัดๆ ในคำติเพื่อก่อ..จะได้ไม่ต้องแปลไทยเปนไทยอีกครั้งนะคะ :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2018, 22:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีใครปฏิเสธ..หรอกนะครับว่า..ภาวนามยปัญญา...เท่านั้น..ที่จะตัดกิเลสเป็นสมุเฉทประหาร..ได้

แต่ปัญหา..คือ...อาการรู้แบบภาวนามยปัญญา..นั้น..เริ่มต้นพวกเราเรายังไม่เคยลิ้มชิมรสมาก่อน...เราคุ้นชินแต่เฉพาะการเรียนรู้จดจำ...จึงมักหลงตนเสมอเสมอ...

ภาวนาก็มีลำดับของการพัฒนา..คือ..สุตมยปัญญา..จินตมยปัญญา...จนมาสุดที่..ภาวนามยปัญญา..รวมเรียกว่าปัญญา 3...

ภาวนา..ก็มีฐาน...คือ..
ศีล...นี้ต้องศึกษา..ศึกษาว่ามีอะไรบ้าง...แล้วปฏิบัติให้ได้...แรกแรกก็ปฏิบัติไปแบบท่องจำกดข่ม..จนกว่า...จะมีปัญญารู้ในศีล...รักษาศีลเป็นธรรมชาติของใจไม่ต้องกดข่ม...จะเห็นว่า..ก่อนจะถึงความเป็นอธิศีล...ก็ต้องมีการศึกษาเป็นองคประกอบแรกแรกเลย...นี้ก็อาศัย..สุตตะ..จินตะ...

สมาธิ...นี้ก็ต้องศึกษา...แล้วจึงจะลงมือปฏิบัติได้...ปฏิบัติจนใจตั้งมั่นได้ง่ายไม่ลำบาก...การภาวนาจึงจะทำได้ผล

เมื่อรวมกับการภาวนา...เรียกกันว่า..สิกขา 3..หรือ..ไตรสิกขา..

จะเห็นได้ว่า..สัญญา..(ในความหมายของความจดความจำ)...มีความสำคัญเกี่ยวข้องไปทุกส่วน...เพียงแต่ผู้ศึกษาปฏิบัติต้องแยกให้ออก...อย่างไหนเป็นปัญญาของความจดความจำ..อันไหนอาการไหนเป็นปัญญาในกระบวนการภาวนามยปัญญา...

นี้หากพูดถึงสัญญา..ในรูปของขันธ์ 5..แล้วละก้อ..เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถึงภาวนามยปัญญาโดยไม่ใช้การทำงานของสัญญาขันธ์..

อย่าง...ตัวอย่างที่ยกมา..เรื่องการอุดรูรั่ว...เมื่อเริ่มจะลงมืออุดรูรั่ว..นี้ก็เริ่มใช้ปัญญาระดับสัญญา...กันแล้วละครับ..คือ..สุตตมยปัญญา..จินตมยปัญญา...งัยละครับ.

ดังนั้น...อย่าไปจงเกลียดจงชังสัญญา..เลยครับ...เพียงแต่อย่าหลงตนว่าตนรู้แล้ว...ก็แล้วกัน.....

จากทั้งหมดที่ผมกล่าวมา...จะเห็นได้ว่า...ผมไม่ได้เห็นต่าง...แต่เติมส่วนที่ขาดไป..เท่านั้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 96 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร