วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2018, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าถามว่า “อนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ ?”

เรื่องนี้ ถามเพราะอะไร เรื่องพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธเจ้าเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ พระญาติออกบวชหลายคน อานนท์ นันทะ ซึ่งเป็นน้องชายก็ออกบวชด้วย ซึ่งเป็นความหวังของพระเจ้าสุทโธทนะ ว่านันทะนี่แหละที่จะได้เป็นพระราชาต่อไป เพราะเจ้าชายสิทธัตถะไปบวชเสีย นันทะจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็เอาไปบวชเสียอีก แล้วเอาไปบวชด้วยความฝืนใจเสียด้วยนะ
วันนั้น วันแต่งงาน วันนั้นก็นิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉัน พอฉันเสร็จ พระพุทธเจ้าก็เรียกนันทะเข้ามาเอาบาตรไปหน่อย นันทะก็ถือบาตรอุ้มบาตรตามหลังไป นึกว่า ออกไปถึงประตูวังก็คงจะรับคืน แต่ถึงแล้วก็ยังไม่รับ ไปถึงกำแพงเมืองก็คงจะรับกระมัง ก็ยังไม่รับอีก เลยต้องอุ้มไปถึงวัด เดินไปก็มองข้างหลังเรื่อย เจ้าสาวกวักมือเรียกอยู่ที่หน้าต่าง ไปด้วยความเป็นทุกข์
พอถึงวัด พระพุทธเจ้าก็ถามว่า นันทะจะบวชไหม นันทะใจไม่อยากบวชดอก แต่ด้วยความเคารพในพระเจ้าพี่ ก็เลยบอกว่าบวชก็ได้ ไม่ได้เต็มใจดอก พระองค์ก็เลยเอาไปบวชเสียเลย พระเจ้าสุทโธทนะ ก็นึกในใจว่าไม่เป็นไร มีราหุลอยู่ หลานเราจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป


ต่อมาพระนางพิมพา เวลาพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตก็บอกราหุลว่า นั่นแหละพ่อของเจ้าเดินนำหน้าเพื่อน เจ้าไปของราชสมบัติ
พระราหุลก็เดินเข้าไปหา อายุยังน้อยนะแค่ ๖-๗ ขวบเท่านั้น เดินตามหลังพระพุทธเจ้าไปถึงวัด เข้าไปจะขอราชสมบัติ
พระองค์ก็นึกในพระทัยว่า ให้ราชสมบัติที่เป็นวัตถุเงินทอง ก็จะเป็นทุกข์แก่บุตร อย่ากระนั้นเลย เราจะให้อริยทรัพย์ดีกว่า เลยบอดพระสารีบุตรว่า เอาราหุลไปบวชหน่อย บวชสะอีกแล้ว บวชเป็นสามเณร นี่แหละ สามเณรองค์แรกคือราหุล นี่เอง


พระเจ้าสุทโธทนะก็ร้อนอกร้อนใจ ไม่ได้ความแล้ว พระพุทธเจ้าทำยุ่งแล้ว เอาลูกเขาไปบวชหมด ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขอพร พระองค์ก็ถามว่า ขอพรอะไร

ต่อไปนี้นะจะบวชลูกใครหลานใคร ให้พ่อแม่เขาอนุญาตเสียก่อน

พระองค์ก็บอกว่าอนุญาต เลยบัญญัติว่า ผู้จะบวชต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ก่อน ผู้ใดมาบวชจึงต้องถูกถามว่า อนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ ถ้าไม่อนุญาต บวชไม่ได้ ถามเป็นข้อๆ ไปตามเรื่อง ตามที่ถามมาถ้าตอบถูกน่ะ ก็บอกว่าบวชได้


นี่การบวชครบ ๓ อย่างมีอย่างนี้นะ แบบ ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา นี่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน การบวชแบบอื่นเลยเลิกหมด เอหิภิกขุ ฯ ก็เลิก ติสรณคมนูปสัมปทา ก็เลิก อย่างแรกๆเลิกใช้ ให้สงฆ์เป็นใหญ่ ไม่ให้บุคคลเป็นใหญ่ในวงการศาสนา แต่ให้สงฆ์เป็นผู้พิจารณา อันนี้ ก็เป็นการก้าวหน้าอันหนึ่ง ในขบวนการของพระพุทธเจ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2018, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ ผู้ที่เขามาบวชแล้ว พระพุทธเจ้าก็ต้องมอบเครื่องมือไว้ สำหรับให้ผู้บวชใช้เครื่องมือก็คือ พระกัมมัฏฐาน คือตอนที่เราบวชท่านให้ว่าตาม ว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ อย่าเพียงแต่ท่องเฉยๆ เอาไปใช้ด้วย ใช้เป็นอาวุธประหัตประหารกิเลส

กิเลสที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ตัวใหญ่ก็คือ ราคะ นั่นเอง ราคะตัณหา อยากในกาม ถ้าจิตมันคึกคักในกามารมณ์ขึ้นมา พระพุทธเจ้าให้เครื่องมือแล้ว คือกัมมัฏฐาน ๕ พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้เห็นว่าเป็นของไม่สะอาดอย่างไร มองในแง่ไม่สะอาดมันมองง่าย ไม่ยากอะไร มองผมว่ามันเหม็นสาบ ฟันมันสกปรก มองผิวหนังแล้วก็ได้สิ่งที่มันออกมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางปาก ทางขุมขน อุจจาระ ปัสสาวะ ไม่ได้ความทั้งนั้น เรานึกถึงเรื่องอย่างนี้มันก็หยุดแล้ว เขาเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนอารมณ์


จิตมนุษย์นึกได้ทีละเรื่อง ถ้าคิดเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งก็ไม่มี เมื่อคิดถึงกามารมณ์ คิดถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เอร็ดอร่อย จิตมันก็ไปเรื่อย พอเรารู้สึกตัวขึ้น ก็รู้ว่าชักจะเขวแล้ว พรหมจรรย์มันชักจะไม่ดีเสียแล้ว เราก็มาคิดถึงเรื่องขน เรื่องผม ว่ามันไม่สะอาด แล้วมันจะเกิดความเบื่อ อันนี้จำไว้เถอะ เวลาไปอยู่บ้านก็เอาไปใช้ได้ ใช้ได้แล้วไม่ต้องไปเที่ยวกลางคืน บางคนมักอ้างว่าธรรมชาติต้องการแล้วไปทุกทีน่ะ มันไม่ได้เรื่องแล้วละ มันจะไม่เป็นผู้เป็นคนแล้วละ เพราะว่าคนเรามันต้องกักกันธรรมชาติไว้บ้าง ป้องกันสัญชาตญาณไว้บ้าง ไม่ใช่เที่ยวได้ปล่อยตามความต้องการ

มนุษย์ที่ว่าประเสริฐนั้น ประเสริฐตรงไหน ? ตรงที่รู้จักหักห้ามความต้องการทางธรรมชาติไว้ได้ แต่ถ้าต้องการตามธรรมชาติแล้วทำ มันจะเป็นหมาขี้เรื้อน ถึงเวลามันต้องการมันดูเมื่อไหร่ว่า คนมากคนน้อยแค่ไหน ไม่ใช่มันดูนะ พระกำลังฉันอยู่ มันก็จะเอาแล้ว ไม่รู้จักหักห้ามเลย ไอ้พวกนั้นแหละเป็นเดรัจฉานนี่


มนุษย์ต้องรู้จักหักห้ามความต้องการของธรรมชาติ ยิ่งควบคุมได้มากก็ยิ่งเรียกว่า เป็นผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องใช้เครื่องมือ คือ กัมมัฏฐาน เป็นเครื่องพิจารณา

รบกวนบ้างหรือเปล่าล่ะพวกเราที่มาบวชนี่ อยู่ๆมันก็คิดไปถึงบ้านหรือเปล่า แล้วต่อไปคิดถึงอะไรต่อมิอะไร เคยเที่ยวเคยเล่นกับเพื่อนฝูง บางทีตื่นขึ้นมาตอนดึก นึกอะไรต่อมิอะไร นั่นแหละเขาเรียกว่า พญามารรบกวนแล้วละ นางตัณหา นางราคะ นางอรดี เขาเรียกว่า ธิดามาร ที่มารบกวนพระพุทธเจ้าน่ะ
นางตัณหา ก็คือ ความอยาก นางราคะ ก็คือความกำหนัด นางอรดี ก็คือความเพลิดเพลินในกาม ไอ้ ๓ ตัวนั่นแหละมันทำอารมณ์ให้นั่งคิดนั่งฝันไป พอคิดฝันอย่างนั้นก็ต้องเขกกบาล ฮื่อ ไม่ได้เรื่อง แล้วคิดว่า สกปรก เหม็น เน่า บูด ของไม่ดีทั้งนั้น ความรู้สึกไม่ดีในตัวเราก็วูบลงไป เหมือนกับมีห้ามล้อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2018, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้เวลาบวชแล้ว เคยถามบางคนเกี่ยวกับที่บอกอนุศาสน์ ๘ ข้อที่ว่า เสพเถนุน บวชเสร็จแล้ว มาถามว่า ที่ว่าเสพเมถุนน่ะรู้ไหม ? เขาตอบว่าผมไม่รู้ คือไม่เข้าใจนั่นเอง
องค์หนึ่งถามว่า บวชแล้วฉันนมได้ไหม? เป็นการเสพเมถุนไหม ? คือถามอย่างไม่รู้นั่นเองว่าเมถุนคืออะไร
กิจที่ควรทำมี ๔ อย่าง บวชแล้วมีอะไร บิณฑบาต อยู่โคนไม้ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า อันนี้ทำได้เป็นเครื่องอาศัยของนักบวชสมัยก่อน

สมัยก่อนทีเดียว พระพุทธเจ้าและพระสาวกเริ่มแรกน่ะ ไม่ไปฉันในบ้านเลย ฉันเฉพาะอาหารที่ได้จากบิณฑบาต แล้วบิณฑบาตน่ะ ไม่ใช่ไปถึงแล้วได้นะ เหมือนดังที่เรารับอยู่ทุกวันนี้ ไปยืนบ้านนี้ ๓ - ๔ นาที เจ้าของบ้านมองไม่เห็นก็เดินต่อไป ยืนบ้านนั้น ยืนบ้านโน้น ยืนตั้ง ๗ - ๘ บ้าน ถึงจะได้สักบ้านหนึ่ง แต่เขาก็ให้พอฉันทีเดียว ไม่ต้องเดือดร้อน ได้มาก็เอาไปฉันตามสบาย ไปฉันริมน้ำ ชายป่า ที่ไหนก็ได้ สะดวกสบาย ไม่เดือดร้อน อันนี้ เป็นกิจวัตรของพระ เรียกว่า บิณฑบาต ต้องทำ


นุ่งห่มผ้าบังสุกุล เช่นอย่างนี้ เริ่มแรก แรกทีเดียว พระไปรับจีวรจากชาวบ้านไม่ได้ ไม่ทรงอนุญาต ต้องไปเก็บผ้าตามกองขยะที่เขาห่อศพ ผ้าที่เขาทิ้ง เอามาเย็บมาย้อมเป็นจีวร สมัยก่อนจีวรไม่ใหญ่อย่างนี้ดอก พอห่มได้ สบงก็ไม่ใหญ่ เดี๋ยวนี้ผ้ามันสมบูรณ์ เรามีขอบใหญ่ พระทุกรูปเย็บจีวรเป็น โดยไปเที่ยวเก็บมาอย่างนี้

ชาวบ้านอยากให้ผ้าแก่พระเพื่อเอาไปทำจีวร ให้ไม่ได้ จะทำอย่างไรเล่า เลยเอาไปทิ้งไว้ รู้ว่าพระจะเดินมาทางนี้ก็เอาไปทิ้งไว้ตามกองขยะ เอาไปพาดไว้ตามต้นไม้ เอาไปทิ้งไว้ตามซากศพ
พระมาเจอแล้วชักเป็นผ้าบังสุกุล ผ้านี้เป็นผ้าเปื้อนขี้ฝุ่น ไม่มีเจ้าของ เราถือเอาในฐานบังสุกุล แล้วชักเอาไปบังสุกุลทำจีวร ทำกันอย่างนี้ จึงได้มีประเพณีทอดผ้าป่า

ทอดผ้าป่าที่เราทอดกันอยู่เดี๋ยวนี้นั้น เกิดจากเรื่องอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ทอดกันเป็นธรรมเนียม สมัยก่อนเขาทอดเพื่อให้พระมีผ้าใช้

ต่อมามีการอนุญาตให้พระรับผ้าจากชาวบ้านได้ ใครเป็นผู้ก่อเหตุเรื่องนี้ หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นแพทย์ประจำองค์พระเจ้าพิมพิสาร รักษาพระสงฆ์องค์เจ้า แม้พระพุทธเจ้าก็เคยรักษา หมอคนนี้เป็นผู้มีความรู้เชียวชาญทางการแพทย์แผนโบราณ เป็นเด็กกำพร้าแต่ไปเรียนวิชาแพทย์จากตักศิลา เวลาเรียนจบแล้วอาจารย์ให้เดินทางไปทางทิศตะวันออกโยชน์หนึ่ง แล้วเก็บใบไม้ที่ทำยาไม่ได้มาให้ชนิดหนึ่ง ปรากฏว่าแกไม่เจอ ทั้งทิศเหนือ-ใต้-ออก-ตก อาจารย์บอกว่าใช้ได้แล้ว เพราะเห็นอะไรเป็นยาหมด ไปรักษาคนได้

ต่อมาพระเจ้าจัณฑปัชโชติ กรุงอุชเชนี ป่วยรักษาไม่หาย พวกข้าราชการบอกว่า ควรเชิญหมอชีวกโกมารภัจจ์มารักษา หมอตรวจอาการเสร็จรักษาได้ แต่ว่า พระเจ้าจัณฑปัชโชติเกลียดนมแพะ ไม่ดื่มนมแพะเลย ยาที่จะให้กินมันก็ต้องเข้านมแพเสียด้วย
หมอแกเก่งมีลูกไม้ แกเลยขอพรบอกว่า ในการรักษานี่ต้องขอบัตรพิเศษออกประตูไหนก็ได้ ทุกเวลา แล้วก็ต้องขอช้างที่เดินเร็วที่สุดพร้อมด้วยควาญ จะได้เอาไว้ไปเก็บยาสดๆมาถวายพระองค์ พระเจ้าแผ่นดินอนุญาต ก็ผสมยากับนมแพะ เอายาอื่นกลบกลิ่นไม่ให้รู้ว่านมแพะ พอเสวยเข้าไป หมอก็ขึ้นช้างหนีไปเลย

ให้หลังสักไม่กี่ชั่วโมง พระเจ้าแผ่นดินก็เรอออกมามีกลิ่นนมแพะออกมาด้วย พระเจ้าแผ่นดินก็โกรธ ไอ้หมอหลอกกูแล้ว ให้กูกินนมแพะ สั่งคนใช้ที่ชื่อว่านายกากะ ซึ่งเดินเร็วมากตามไปจนทัน ในตอนเช้ามืด พบหมอกำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ ก็เข้าไปบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินก็ให้มาเชิญท่านไปพบ หมอบอกว่า เดินมาเหนื่อยๆ ชวนให้กินมะขามป้อม ลูกมันใหญ่ หมอใช้มีดผ่ามะขามป้อม ใบมีดที่จะผ่าซีกหนึ่งแกทายาไว้ ให้นายกากะกิน พอตกไปถึงท้องก็ถ่ายโกร๊กเลย นอนขี้รั่วอยู่ตรงนั้น เหมือนกับกินสลอดยังงั้นเลย
หมอบอกว่าไปต้องเป็นทุกข์ดอก ยานี่ถ่ายโรคออกมาหมด แล้วท่านจะอ้วนท้วน เป็นนำเป็นนวลสบายดี เราจะไปละนะ ก็ขึ้นช้างหนีไป

ต่อมาพระเจ้าจัณฑปัชโชติ หายป่วยดีก็นึกถึงหมอ เลยส่งผ้าสามสิบพับไปประทานหมอ หมอเห็นแล้วก็นึกว่า มันมากเหลือเกิน กูนุ่งจนตายก็ไม่หมด จะทำยังไงดีล่ะ ถวายพระดีกว่า ก็นึกขึ้นมาได้ว่าถวายไม่ได้ พระไม่รับ ก็ไปหาพระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องการจะขอพรสักข้อ พระพุทธเจ้าถามว่า พรอะไร แกก็เล่าเรื่องให้ฟังหมด

พระพุทธเจ้าอนุญาตว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้พระรับผ้าจากชาวบ้านได้ หมอก็เลยถวายผ้าใหม่ ๓๐ พับ พระเลยแจกกันทำจีวร ไม่ต้องไปเก็บผ้าบังสุกุลต่อไป
แต่มีบางองค์ยังเคร่ง พระมหากัสสปะท่านไม่ยอม ต้องไปเก็บผ้าบังสุกุลมาใช้ จนกระทั่งหมดชีวิตของท่าน นี้เป็นเรื่องผ้าบังสุกุล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2018, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การอยู่โคนไม้ บวชแล้วก็ไปนอนตามโคนไม้ ไม่ใช่มีกลดมีมุ้งนะ นอนตามโคนไม้จริงๆ แต่ไม้สมัยก่อนต้นใหญ่ๆ ในอินเดียไม้ใหญ่ๆ แยะ ป่าเขามาก พระก็อยู่ตามโคนไม้ อยู่กลางแจ้งอยู่โคนไม้ ไมมีการสะสม ไม่มีที่ลับ มันเปิดเผย ทำให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เสนาสนะจะมีอยู่เมื่อฝนมากในฤดูฝน ฝนในอินเดียไม่พร่ำเพรื่อเหมือนบ้านเรา หน้าฝนมันจึงจะตก หน้าแล้งไม่มีเลย ๓ - ๔ เดือน ๕ เดือนไม่มีฝนสักหยดเลย พอหน้าฝนก็ตก พ้นหน้าฝนก็หนาว หนาวแล้วก็ร้อน มี ๓ ฤดู เพราะฉะนั้น เมื่อถึงหน้าฝนจึงจะมีที่พักเป็นกระท่อม เรียกว่า กุฎิ แปลว่ากระท่อม ที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Hut ไม่ใช่หรูหรา กระท่อมน้อยๆสำหรับพระอยู่มุงด้วยใบไม้ เรียกว่า ปัณณกุฎิ ทำด้วยใบไม้ทั้งนั้น ใช้เฉพาะหน้าฝน พอพ้นฤดูฝนก็เลิกใช้ พระท่านก็จาริกไป นี่เสนาสนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2018, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉัน (กิน) ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า. มีคนบางกลุ่มเข้าใจผิดดื่มเยี่ยวกัน ขั้นตอนทำก็คือใช้ปัสสาวะที่ไม่มีโรคติดต่อ (ของตนเอง) ฉี่ใส่ตุ่มเล็กๆทุกๆเช้า (เทียบวิธีหมักน้ำปลาจะเห็นชัด) กลางวันเปิดฝาตุ่มให้แดดส่อง กลางคืนปิด ฝาปิดก็ใช้กระจกใสๆ เมื่อหมักจนสุกเพราะแสงแดด คือ หมดกลิ่นเหม็นแล้ว ให้เอาผลสมอหรือมะขามป้อม ที่ทุบๆพอแตกแล้วนำไปตากแดดพอหมาดๆแล้วนำไปแช่ในตุ่มน้ำมูตรนั้น แล้วกิน ผลสมอหรือมะขามป้อมนั้น สรรพคุณเป็นยาระบาย ไม่ใช่กินเยี่ยวนะ ไม่ใช่ เขากินขามป้อมหรือผลสมอที่ดองในนั้น ดังนี้

(ทำความเข้าใจสำนวนภาษา, กิน -ยา (=ผลสมอ) ที่ดอง ด้วยน้ำมูตรเน่า-เทียบวิธีทำน้ำปลา ผลสมอหรือผลมะขามป้อมนั้นกินสดก็ได้สรรพคุณของมันเป็นยาระบายถ่ายท้องอยู่ ที่ท่านให้ดองไว้ก็เพื่อจะได้เก็บไว้ได้นานๆ)

อนึ่ง ในน้ำมูตรที่ตกตะกอนอยู่ก้นตุ่มจะมีสีขาวๆคล้ายๆพิมเสน ท่านว่าใช้ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้

(ปัจจุบันมียาสามัญประจำบ้านแล้วข้อนี้ก็ไม่จำเป็น)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2018, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่เรียกว่าเรื่องการบวบเป็นอย่างนี้ ที่มาบวชในพระศาสนา ก็เพื่อศึกษา เพื่อปฏิบัติ เพื่อสร้างรากฐานจิตใจให้มั่นคงด้วยคุณงามความดี เพราะฉะนั้น ต้องตั้งใจ ๓ เดือนนี่เอาจริงๆ อย่าอ่อนแอ อย่าเหลวไหล ตั้งใจบวช ตั้งใจขูดเกลา สร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา การบวชนั้นจึงจะได้มีอานิสงส์ ที่เรียกว่าอานิสงส์นั้น เรียกว่าได้บุญ ได้กุศล ได้บุญนั้นเรียกว่าได้ ความดี ได้กุศลก็หมายถึง ได้ความรู้ บุญคือความดี ได้ความดีเพิ่มขึ้นในใจ กุศลได้ความรู้ความฉลาดเพิ่มขึ้นกับตัวเรา เรียกว่าได้บุญ ได้กุศล อานิสงส์มันอยู่ตรงนี้

(จบตอนจากหนังสือนี้ หน้า ๑)

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/395 ... s=614x1024

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2018, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาศรม ที่อยู่ของนักพรต, ตามลัทธิของพราหมณ์ ในยุคที่กลายเป็นฮินดูแล้วได้วางระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของชาวฮินดูวรรณะสูง โดยเฉพาะวรรณะพราหมณ์ โดยแบ่งเป็นขั้นหรือช่วงระยะ ๔ ขั้น หรือ ๔ ช่วง เรียกว่า อาศรม ๔ กำหนดว่าชาวฮินดูวรรณะพราหมณ์ทุกคนจะต้องครองชีวิตให้ครบทั้ง ๔ อาศรม ตามลำดับ (แต่ในทางปฏิบัติ น้อยคนนักได้ปฏิบัติเช่นนั้น โดยเฉพาะปัจจุบันไม่ได้ถือกันแล้ว)
คือ
๑. พรหมจารี เป็นนักเรียนศึกษาพระเวท ถือพรหมจรรย์

๒. คฤหัสถ์ เป็นผู้ครองเรือน มีภรรยาและมีบุตร

๓. วานปรัสถ์ ออกอยู่ป่าเมื่อเห็นบุตรของบุตร

๔. สันยาสี (เขียนเต็มเป็น สันนยาสี) เป็นผู้สละโลก มีผ้านุ่งผืนเดียว ถือภาชนะขออาหารและหม้อน้ำเป็นสมบัติ จาริกภิกขาจารเรื่อยไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาวโลก (ปราชญ์บางท่านว่า พราหมณ์ได้ความคิดจากพระพุทธศาสนาไปปรับปรุงจัดวางระบบของตนขึ้น เช่น สันยาสี ตรงกับภิกษุ แต่หาเหมือนกันจริงไม่)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 111 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron