ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความคิดอย่างหนึ่ง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=55092
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  รสมน [ 03 ม.ค. 2018, 04:45 ]
หัวข้อกระทู้:  ความคิดอย่างหนึ่ง

“ความคิดอย่างหนึ่ง
ที่สมควรฝึกให้เกิดเป็นประจำ
คือ ความคิดว่าพอ คิดให้รู้จักพอ
ผู้รู้จักพอ จะเป็นผู้ที่มีความสบายใจ
ส่วนผู้ไม่รู้จักพอ จะเป็นผู้เร่าร้อน
แสวงหาไม่หยุดยั้ง
ความไม่รู้จักพอ มีอยู่ได้
แม้ในผู้เป็นใหญ่เป็นโต มั่งมีมหาศาล
และความรู้จักพอ ก็มีได้
แม้ในผู้ยากจนต่ำต้อย"
-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-



"อย่าอ่อนแอท้อแท้ ในสิ่งที่ดี
อย่าเข้มแข็ง ในสิ่งที่ชั่ว
ให้พยายามดัดแปลงตัวเอง
คนเรา ถ้าไม่มีการดัดแปลงเลย
เป็นคนดีไม่ได้นะ"
-:- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -:-




"ทุกคน ก็จะไปสู่จุดหมายเดียวกัน
คือ ความตาย
เมื่อเราพิจารณาความตาย มรณสติ
อยู่สม่ำเสมอ จิตใจเรา จะไม่เพลิดเพลิน
ไม่มัวเมา ในสิ่งของภายนอก
จิตใจจะสงบ จิตใจจะเยือกเย็น
จิตใจจะเบื่อหน่าย ในภพชาติ"
-:- หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร -:-




คำว่าพระอรหันต์มีต่างกันอยู่บ้างนะ สำหรับพระพุทธเจ้านี้แบบเดียวกันเลย จ้าไปหมดเลย สำหรับพระอรหันต์ท่านก็เป็นไปตามนิสัยวาสนา ถึงจิตใจจะบริสุทธิ์พุทโธแล้วก็ตาม แต่นิสัยวาสนาที่ได้สร้างมามากน้อยต่างกันนั้นต่างกัน นิสัยผู้ที่มีวาสนามาก ได้สร้างมามากก็เช่นอย่างพระสีวลี พระสีวลีนี้ตั้งแต่ท่านเป็นฆราวาสท่านเป็นนักเสียสละ ไม่มีคำว่าตีบตันอั้นตู้ เปิดโล่งๆ ไปเลย มีการมีงานที่ไหนประชาชนเขาต้องไปเชื้อเชิญท่านมาเป็นประธานในงานนั้นๆ อยู่ตลอดเลย เพราะท่านเป็นนักเสียสละ เป็นนักใจบุญ พระสีวลีตั้งแต่เป็นฆราวาสท่านก็เบิกกว้างอยู่ด้วยการทำบุญให้ทาน ไม่มีคำว่าตระหนี่ถี่เหนียว เปิดๆ
ทีนี้สรุปลงมาถึงขั้นท่านเป็นพระอรหันต์ ทีนี้บารมีมารวมหมดแล้วละทีนี้ คือการการทำบุญให้ทานมามากน้อยมาประกาศในชาติสุดท้ายของท่าน เพราะพระอรหันต์นี้เมื่อเป็นอรหันต์แล้วก็เรียกว่านั้นเป็นชาติสุดท้ายและ อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราตถาคต หรือชาติสุดท้ายของท่านผู้ปฏิบัติธรรมถึงสนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดแล้ว นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปนี้จะไม่มาเกิดตายกองกันอีกต่อไป ไม่ว่าภพชาติใดๆ
สุดท้ายนี้ พระสีวลีเคลื่อนไปไหนประชาชนญาติโยม-จตุปัจจัยไทยทานหลั่งไหลมา อย่าว่าแต่มนุษย์ แม้เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ก็แปลงเพศแปลงกายเนรมิตตัวมาทำบุญให้ทานกับประชาชน เป็นอย่างนั้น เพราะอำนาจแห่งทานของท่าน มาสนองให้วาระสุดท้ายตอนท่านพระเป็นอรหันต์ ชาตินั้นท่านจะไม่กลับมาอีกแล้ว บารมีของท่านที่สร้างมามากน้อยก็มารวมกันเหมือนน้ำรวมลงในมหาสมุทรนั้นแหละ บารมีทั้งหลายก็มารวมลงมาในมหาวิมุตติมหานิพพานของท่าน
ไปที่ไหนจตุปัจจัยไทยทานเกลื่อนกล่นไปหมด ถึงขนาดพระพุทธเจ้าท่านทรงยกยอ ถ้าพูดถึงเรื่องอติเรกลาภใครจะเกินพระพุทธเจ้า แต่เวลานั้นท่านไม่ยกท่าน ท่านรับสั่งให้พระ ทราบว่าวันนี้ท่านจะไปเยี่ยมพระเรวัตตะ พระเรวัตตะนี้ก็เป็นพระอรหันต์ท่านชอบอยู่ในป่าเป็นประจำนิสัยท่าน แล้วอยู่ในป่าลึกๆเสียด้วย แล้วบรรดาพระทั้งหลายมีพระอานนท์เป็นต้น ก็จะไปได้อย่างไร ไปมีตั้งแต่ป่ารกรุงรัง หมู่บ้านผู้คน ก็ไม่มี เวลาพระองค์เสด็จไปพระก็จะตามเสด็จมีจำนวนไม่น้อย แล้วจะอยู่จะกินได้อย่างไร โอ๊ย จะไปยากอะไร เอาพระสีวลีเราไปด้วยซิ คือเอาพระสีวลีไปด้วย
พระองค์ปัดออกเพื่อจะยกสาวกของท่านขึ้น ยกบารมีของสาวกท่านขึ้นในวาระสุดท้าย แล้วเอาพระสีวลีไปด้วย องค์ศาสดายกไว้เป็นเอกแล้ว แต่พระองค์ปัดออก ยกสาวกขึ้นแทน ไปก็เกลื่อนกล่นอย่างว่าละ เพราะบารมีของพระพุทธเจ้า บารมีของพระ สีวลีเกลื่อนกล่นไปหมด ท่านไปเยี่ยมพระเรวัตตะ พระเรวัตตะท่านก็มีฤทธิ์เดชอีกทางหนึ่งของท่าน ประชาชนทั้งหลายตลอดพระเจ้าพระสงฆ์ผิดสังเกตุ งงกันไปหมด เวลาเข้าไปเยี่ยมพระเรวัตตะนั้นเหมือนว่าวัดนี้เป็นวัดก่อสร้างใหญ่โตรโหฐาน ทั้งๆ ที่ทราบทั่วหน้ากันว่าพระเรวัตตะนี้ท่านไม่ก่อไม่สร้าง ท่านอยู่ในป่าในเขาโดยหลักธรรมชาติสะดวกสบายตามอัธยาศัยของท่านเรื่อยมา
แต่เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปนั้นพระองค์ทรงเนรมิตขึ้น หรูหราฟู่ฟ่าให้สมพระเกียรติพระพุทธเจ้า พอเข้าไปพระที่ยกโทษท่าน พระเรวัตตะนี้ได้ทราบทั่งถึงกันหมดว่าท่านไม่เคยก่อเคยสร้างอะไร แต่เวลาเข้ามานี้เขาสร้างเมืองสู้ท่านสร้างวัดไม่ได้ เขาสร้างเมืองยังไม่ใหญ่โตยิ่งกว่าท่านสร้างวัด ไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนนี้ ยกโทษพระเรวัตตะ หลวงตาองค์หนึ่ง เวลาต้อนรับขับสู่กันเรียบร้อยแล้วพระองค์เสด็จออกมา ทีนี้ธรรมของพระเรวัตตะนั้นแหละมันก็มาดลบันดาลเอง เพราะท่านแสดงฤทธิ์ขึ้นมาต้อนรับในเวลาเช่นนั้นต่างหาก ไม่ใช่เป็นอยู่ดั้งเดิมของการก่อสร้างทั้งหลาย
ทีนี้พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกมานั้น แล้วก็มาดลบันดาลให้พระองค์นั้นลืมธมกรกกรองน้ำ ที่อยู่ที่กรองน้ำนั้น กรองน้ำแล้วก็ไปวางธมกรกนั้นเสีย กลับมานี้เป็นป่าเป็นดงไปหมด อ้าว อันนี้ก็เป็นดงผีอีกแหละ เอาอีกแหละนะ ทีแรกว่าเขาสร้างบ้านสร้างเมืองยังสู้พระเรวัตตะสร้างวัดสร้างวาไม่ได้ นี่ยกโทษไปแบบหนึ่ง นี่ตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาสร้างตั้งแต่วัตถุเครื่องก่อสร้างต่างๆ เขาสร้างบ้านสร้างเมืองยังสู้พระเรวัตตะสร้างวัดไม่ได้ นี่ยกโทษแล้ว
พอกลับออกมาก็มาดลบันดาลทีนี้นะ พอพระพุทธเจ้าเสด็จออกมาพระเรวัตตะก็คลายฤทธิ์แหละทีนี้ พอคลายฤทธิ์แล้วก็เป็นดงหลักธรรมชาติ พระหลวงตาองค์นั้นกลับคืนไปลืมธมกรกกรองน้ำ ไปที่ไหนก็ไม่ทราบว่าที่กรองน้ำอยู่ที่ไหนๆ เป็นป่าเป็นรกไปหมด ต้องไปถามพระ ที่กรองน้ำอยู่ที่ไหนๆ นู้นอยู่ที่นู่น มันมีแต่ป่าแล้วมาลืมธมกรกกรองน้ำไว้นี้อยู่ที่ไหน มองแขวนอยู่ต้นไม้นู่นอยู่ในป่า ทีนี้พอออกมาถึงบ้านนางวิสาขา พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยมนางวิสาขา แล้วเป็นอย่างไร พระองค์เสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะ โอ๊ยดี พระองค์ท่านเป็นอย่างนั้นแหละ ศาสดาของโลกไม่เอนไม่เอียง สม่ำเสมอ ทั้งพร้อมกับการรู้ด้วยญาณทุกอย่างแล้ว
พระเรวัตตะท่านทำอย่างไร ฤทธิ์เดชของท่านเป็นอย่างไร พระองค์ทรงทราบ แต่หลวงตาองค์นั้นไม่ทราบซิ เวลาแสดงฤทธิ์ต้อนรับพระพุทธเจ้าหรูหราฟู่ฟ่า เขาสร้างเมืองยังสู้ไม่ได้ เวลาออกมาแล้วป่าดงในโลกอันนี้สู้ป่าดงของพระเรวัตตะอยู่ไม่ได้อีกแหละ ทีนี้ลืมธมกรก กลับไปแขวนอยู่บนต้นไม้ ไปหาที่กรองน้ำก็ไม่เห็น มีแต่ป่า ไปถามเขาบอกว่าอยู่นู้น แขวนอยู่ได้มาแล้วพระพุทธเจ้าพาเสด็จไปบ้านนางวิสาขา นางวิสาขาก็ทูลถามถึงเรื่องความเป็นอยู่ของพระเรวัตตะ โอ้ดี ท่านก็ว่าอย่างนั้นแหละ เรียบร้อยทุกสิ่งทุกอย่าง
พระองค์นี้คงจะอัดอั้นตันใจจะตาย ถ้าเป็นเราก็เหมือนลูกเถียงพ่อ พระองค์นั้นก็เลยเถียงพระพุทธเจ้า โอ้ยดีตายอย่างไร ไปเหมือนดงผี ไปทีแรกเหมือนเมืองเทวดา ครั้นกลับออกมาลืมธมกรกกรองน้ำ เข้าไปเอาธรมกรกเลยทีนี้เป็นเหมือนเมืองผีไปแล้ว นั่นเป็นอย่างนั้นละคนยกโทษ ไปที่ไหนคอยแต่ยกโทษเขา ความดิบความดีมีเท่าไรไม่สนใจ นิสัยยกโทษคนอื่น ไปที่ไหนไม่ดีทั้งนั้น ในโลกนี้ไม่มีใครดี ดีแต่เราคนเดียว ถ้าเลวก็เลวแต่เราคนเดียว เห็นไหมล่ะ ผู้ที่ว่าตัวดีๆ นั่นแหละคือตัวเลว มันเลวคนเดียว นี่พูดถึงเรื่องอะไรเราลืมแล้วแหละ เรื่องฤทธาศักดานุภาพวาสนาบารมีไม่เหมือนกัน ทีนี้ก็ยุติละเอาแค่นั้น ยังมีมากต่อไป ไม่พูดให้ยืดยาวไปละ
พระเรวัตตะนี้ท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นน้องชายของพระสารีบุตร ดูว่าลูกของนางสารีหรืออะไร มีลูกชายดูว่าเป็นพระอรหันต์ตั้งสองสามองค์ พระสารีบุตร-พระเรวัตตะ แล้วองค์ไหนอีกนะ มีถึงสามองค์ได้เป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตรนี้กระเทือนโลกด้วยความเฉลียวฉลาดรอบคอบ การเทศนาว่าการต่างๆ ยกทางด้านเอตทัคคะเลิศให้ในทางปัญญา พระพุทธเจ้าทรงตั้งเอตทัคคะให้เลิศในทางปัญญา พระโมคคัลลาน์ให้เลิศในทางฤทธิ์ทางเดช เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินวนได้เหมือนนก ว่าอย่างนั้นเถอะน่ะ
พระสารีบุตรนี่เฉลียวฉลาดฝนตกเจ็ดวันสามารถนับเม็ดฝนได้หมดทุกเม็ด คือฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่ใช่ปัญญาเราเขาเรียกปัญญาคอมพิวเตอร์หรืออะไรไม่รู้แหละ ทุกวันเขาเรียกคอมพิวเตอร์พิวแต้อะไร นี่ละปัญญาญาณนับได้หมดเลย นอกจากนั้นยังได้ถูกตำหนิพระพุทธเจ้าอีก ว่าโอ้ยไอ้ปัญญาของเธอฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืนเรานับได้หมดทุกเม็ด อย่ามาพูดมันขี้ปะติ๋ว เราตถาคตให้มันตกตั้งกัปตั้งกัลป์เรานับพรึบเดียวรู้หมดทุกเม็ดทุกหยดทุกหยาดเลย นั่น นี่ละพระญาณหยั่งทราบ เรียกว่าพุทธวิสัย พระวิสัยของพระพุทธเจ้ากับสาวกนั้นต่างกัน แม้จะบริสุทธิ์เหมือนกันก็ตาม นิสัยวาสนามีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นบรรดาสาวกทั้งหลายที่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว จึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าตั้งเป็นเอตทัคคะว่าเลิศคนละทิศละทาง ๘๐ องค์ที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งให้เป็นเอตทัคคะคือเลิศคนละทิศละทาง เริ่มตั้งแต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ พระอานนท์ไปเรื่อยๆ พระสารีบุตรเลิศทางความเฉลียวฉลาด เลิศทางปัญญา พระโมคคัลลาน์เลิศทางฤทธาศักดานุภาพ ส่วนพระอานนท์นี้เลิศถึงห้าสถาน เป็นพุทธอุปัฏฐาก เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมามากต่อมากพระอานนท์ จากนั้นก็มี ๘๐ องค์
#ธรรมของพระเรวัตตะมาดลบันดาล"
เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

เจ้าของ:  อุบาสกน้อย [ 04 ม.ค. 2018, 14:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความคิดอย่างหนึ่ง

ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/