วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 16:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"คิดดีก็ใจเย็น
คิดไม่เป็น
จะเย็นสบาย"
-:- หลวงพ่อเกษม เขมโก -:-




"เมื่อเกิดอารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจ
เราชอบระบายความรู้สึกออกไป
โดยการดุ หรือพูดอะไร ให้คนอื่นเจ็บใจ
แต่ถ้าเรารู้สึกตัว แล้วไม่พูดอย่างนั้น
เราก็จะได้ธรรมะหลายข้อ
ความรู้สึกตัวว่า กำลังหงุดหงิดคือ ตัวสติ
และการที่ไม่ทำตามความรู้สึกนั้น คือ ความอดทน
เมื่อความเศร้าหมองในใจเราหาย
เกิดสำนึกในความไม่เที่ยงของอารมณ์
ความไม่เป็นตัวตนของอารมณ์นั่นคือ ตัวปัญญา
การปฏิบัติในชีวิตประจำวันเป็นอย่างนี้"
-:- พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ -:-




..พระพุทธเจ้าต้องการให้เราไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ ไปสู่มรรคผลนิพพาน มรรค๔ ผล๔ นิพพาน๑ เพื่อให้เราไปเป็นพระอริยบุคคลกัน เป้าหมายคือการไปเป็นพระอริยบุคคล ไปเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์.. นี่คือสิ่งสำคัญจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นมาตรฐานเปรียบเทียบกับคำสอนจากครูบาอาจารย์ต่างๆ ว่าท่านสอนให้เราไปไหนกัน..
..เวลาไปศึกษาจากครูบาอาจารย์รูปอื่น ถ้าท่านสอนแล้วไม่มี มรรค๘ ก็เริ่มสงสัยได้แล้วว่า ท่านกำลังสอนให้เราไปไหนกันแน่.. ถ้าท่านไม่ได้สอน มรรคม๘ ก็แสดงว่าท่านไม่ได้สอนให้เราไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ได้สอนให้เราไปสู่การบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ แล้วเราจะได้ไม่ถูกหลอก บางทีท่านเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอก ท่านก็สอนไปเพราะท่านถูกหลอกมาก่อน โดยที่ท่านไม่รู้สึกตัวว่าท่านถูกหลอก ท่านก็คิดว่าท่านสอนอย่างถูกต้อง แต่ถ้าไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็ไม่ถือว่าเป็นการสอนที่ถูกต้อง
เช่น ครูบาอาจารย์บางรูปสอนว่า ไม่ต้องมีสัมมาสมาธิ ไม่ต้องมีสมาธิ ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ อันนี้เป็นการสอนที่ไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าต้องมีสัมมาสมาธิ ต้องมีสัมมาสมาธิเป็นส่วนของ มรรค๘ ถึงจะสามารถหลุดพ้นได้ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิก็มีแค่ มรรค๗ มรรค๗ ก็เหมือนกับรถยนต์ที่มี ๓ล้อ แทนที่จะมี ๔ล้อ ยางแตกไป๑ล้อ รถที่ยางแตก๑ล้อจะวิ่งไปไหนมาไหนได้หรือเปล่า จะวิ่งไปไหนเหมือนรถที่มียางครบ ๔ล้อได้หรือเปล่า นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีเพียง มรรค๗ มันก็ไม่ใช่ มรรค๘ ถ้าไม่ใช่ มรรค๘ ก็ไม่ไปสู่วิมุตติการหลุดพ้นจากความทุกข์ได้..
นี่คือการศึกษา เราควรจะศึกษาที่เป็นต้นกำเนิดของความรู้ทั้งหลาย คือ พระธรรมคำสอนจากพระพุทธเจ้า ควรอ่านพระสูตรเหล่านี้กันบ้าง เพราะเราเป็นชาวพุทธ มีพระสูตร ๔-๕พระสูตรนี่เอง ที่เราควรได้ศึกษากัน แล้วเราจะได้รู้ว่า ทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร นี่เรียกว่า ปริยัติ การศึกษา ถ้าไม่ศึกษาก็เป็นเหมือนคนตาบอดคลำทาง ถ้าศึกษาก็เป็นเหมือนคนตาดี คนตาดีกับคนตาบอดนี้ เวลาไปไหนมาไหนนี้ ใครจะสะดวกสบายกว่ากัน ใครจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ใครจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง
ฉันใด คนที่ไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จากคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แสดงใว้ ก็ถือว่าเป็นเหมือนคนตาบอด แล้วไปศึกษากับคนที่ไม่ได้ศึกษาแล้วมาสั่งมาสอน ก็เป็นเหมือนกับการไปศึกษากับคนตาบอด คนตาบอดสอนคนตาบอด คนตาบอดนำคนตาบอด จะนำไปไหนกัน คนตาบอดมองไม่เห็นทาง ตัวเองมองไม่เห็นทาง แล้วจะพาคนที่ไม่เห็นทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการจะไปได้อย่างไร
นี่คือปัญหาของการศึกษาในปัจจุบัน เราไปศึกษาจากผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ผู้ไม่ได้รู้จริงเห็นจริง เพราะว่าการที่เราจะมาสั่งสอนผู้อื่นได้นั้น นอกจากการศึกษาแล้วยังต้องไปปฏิบัติก่อน ไปปฏิบัติเพื่อจะได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้ศึกษามานี้ถูกต้องหรือไม่ สามารถทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้จริงหรือไม่ ต้องไปพิสูจน์ก่อน ศึกษาแล้วต้องนำเอาสิ่งที่ศึกษานี้คือ มรรค๘นี้ไปพิสูจน์ก่อน ไปสร้าง มรรค๘ ขึ้นมา แล้วดูว่า มรรค๘นี้ สามารถกำจัดความทุกข์ต่างๆที่มีอยู่ภายในใจให้หมดสิ้นไปได้หรือเปล่าก่อน ถ้ายังไม่ได้ไปพิสูจน์ ได้แต่เพียงศึกษา แล้วมาสั่งมาสอนผู้อื่น ก็จะไม่สามารถสอนผู้อื่นได้ถูกต้องแม่นยำ
เพราะไม่รู้ว่า มรรค๘ ที่ตนเองได้ศึกษานี้ สามารถกำจัดความทุกข์ได้จริงหรือไม่ เพราะตนเองยังไม่ได้ไปพิสูจน์ ก็เลยสอนแบบไม่มั่นใจ สอนแบบงูๆปลาๆ สอนแบบไม่ครบ สมัยนี้มีการสอนแบบตัดสัมมาสมาธิออกไป ก็เพราะผู้สอนนี้ไม่มีสัมมาสมาธิ เลยไม่เห็นความสำคัญของสมาธิ แล้ววิมุตติที่ตนได้รับก็ไม่เป็นวิมุตติที่แท้จริง ตือการดับทุกข์ก็ไม่ได้เป็นการดับทุกข์ที่แท้จริง ดับได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว ดับเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่ดับไม่ได้อย่างถาวร
พวกสอนแบบไม่ต้องนั่งสมาธิ สอนให้ ดูจิต แล้วบอกว่าจะดับความทุกข์ได้ มันดับได้เฉพาะประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็ดับได้เฉพาะความทุกข์บางชนิด ทุกข์ตัวเล็กๆนี้อาจจะดับได้ แต่ไปเจอทุกข์ตัวใหญ่ๆนี้ยังจะดับไม่ได้ ทุกข์ตัวเล็กๆที่ดับแล้วมันก็ไม่ตาย ดับปั๊บ เดี๋ยวมันก็กลับโผล่ขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่มีสมาธิแล้วรับประกันได้ว่า ทุกข์ทั้งหลายจะไม่ดับสิ้นไปอย่างถาวร ดับไปแบบแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง
หลังจากที่ได้ศึกษาแล้วต้องนำไปปฏิบัติ ไปสร้าง มรรค๘ขึ้นมา การปฏิบัติก็คือการสร้างมรรค๘ขึ้นมา เหมือนกับเป็นการสร้างทาง เวลาที่เราจะทำทางนี้เราก็ต้องมีอุปกรณ์ มีวัสดุก่อสร้างต่างๆ มีหินมีทรายมีอะไรต่างๆ เพื่อมาทำเป็นถนน ทำเป็นทาง ถ้าไม่มีวัสดุมันก็ไม่เป็นทางขึ้นมา ถ้าไม่มีมรรค๘ ไม่มีองค์ประกอบ ๘ประการนี้ มรรค๘ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีองค์ประกอบทั้ง๘ประการ มรรคก็ไม่เป็นมรรค๘ ผู้ปฏิบัติจะต้องสร้างสัมมาทิฏฐิขึ้นมาให้ได้ก่อน สัมมาทิฏฐิคือความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นที่ถูกต้องคือความเห็นในอริยสัจ๔..
..การดำเนินไปสู่การดับทุกข์ ขั้นตอนของการนำไปสู่รสแห่งธรรมที่ชนะรสทั้งปวง ธรรมที่เลิศที่วิเศษ ธรรมที่ดีกว่าสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ ต้องเกิดจากการได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ และได้ปฏิเวท คือได้บรรลุผลของการปฏิบัติ ถึงจะได้ธรรมแท้ ถ้าเพียงแต่ศึกษาอย่างเดียว ธรรมที่ได้ศึกษานี้ยังไม่ได้เป็นธรรมแท้ เพราะอะไร เพราะว่าธรรมที่ได้ศึกษานี้ยังไม่สามารถมาดับความทุกข์ที่มีอยู่ในจิตใจได้ ตอนนี้พวกเราก็ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ากันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าเรายังไม่ได้นำเอาไปปฏิบัติ เรายังไม่สามารถดับความทุกข์ต่างๆที่มีอยู่ภายในใจของพวกเราได้ ต่อให้ฟังไปจนวันตาย จำพระไตรปิฎกได้ทั้งพระไตรปิฎก ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะธรรมที่ศึกษานี้ไม่มีกำลังที่จะมาทำลายความทุกข์ต่างๆที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไปได้ สิ่งที่จะมาทำลายความทุกข์ต่างๆที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไปได้ก็คือ การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ศึกษาแล้วก็จะได้นำไปปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ ถ้าไม่ศึกษาแล้วไปปฏิบัติ ก็จะไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะปฏิบัติแบบผิดๆถูกๆ ผลที่ควรจะได้รับก็จะไม่ได้รับ ถ้าเป็นการปฏิบัติแบบผิดๆถูกๆ ปฏิบัติแบบไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เช่น ปฏิบัติแบบไม่มีสัมมาสมาธิเป็นต้น จะไม่มีวันที่จะบรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้ จะต้องปฏิบัติ มรรค๘ให้ครบทั้ง ๘องค์ด้วยกัน ถึงจะได้วิมุตติหลุดพ้น ถึงจะได้มรรคผลนิพพาน
นี่คือเรื่องของการเข้าหาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นสิ่งที่เลิศที่วิเศษกว่าสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ จำเป็นที่จะเข้าถึงด้วยการศึกษาคือ ปริยัติ แล้วต่อด้วยการ ปฏิบัติ จากการปฏิบัติก็จะได้รับ ปฏิเวธ คือ การบรรลุผลของการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติแล้วยังไม่ได้บรรลุผล คือ ความทุกข์ยังไม่ได้ดับไปจากใจ ก็ยังไม่เรียกว่า ปฏิเวธ ปฏิเวธเกิดผลขึ้นมาต่อเมื่อการดับของความทุกข์ในระดับต่างๆ ดับความทุกข์ระดับแรกก็คือระดับของพระโสดาบัน ดับความทุกข์ระดับที่สองก็ระดับของพระสกิทาคามี ดับความทุกข์ระดับที่สามก็ได้ระดับของพระอนาคามี และระดับความทุกข์ในระดับที่สี่ระดับสุดท้ายก็ได้ระดับของพระอรหันต์
ผู้ปฏิบัตินี้จะรู้เองเห็นเองว่าตนเองนั้นได้บรรลุแล้วหรือไม่ ดูที่การดับของความทุกข์ที่มีอยู่ในใจนี้ว่า ดับได้หรือยัง ถ้ายังดับไม่ได้ ก็แสดงว่ายังไม่ได้บรรลุ การจะรู้ว่าดับได้หรือไม่ได้ ก็ต้องดูเวลาทุกข์มันเกิด แล้วดูว่ามันดับได้หรือไม่ได้ ถ้าดับมันได้แล้วทุกข์ไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป ก็จะรู้ว่าดับได้จริง
มันไม่ใช่บรรลุโดยการมานั่งคิดเฉยๆว่า รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นการบรรลุ เพราะยังไม่มีทุกข์ปรากฏขึ้นมาให้ดับ เพียงแต่รู้เฉยๆ รู้จากการร่ำเรียน รู้จากการได้ยินได้ฟัง รู้ว่าร่างกายเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่กลัวจริงหรือไม่ เมื่อมันยังไม่เกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย ขึ้นมา จะไปรู้ได้อย่างไร ถ้าอยากจะรู้ก็ต้องไปหาความแก่ ความเจ็บ ความตายดู ดูว่าร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว ใจทุกข์หรือไม่ทุกข์ ดูว่าเวลาจะตาย ใจจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ ถึงจะรู้ว่าดับทุกข์ได้จริงหรือไม่ ถ้ามีความทุกข์เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ดับความทุกข์นั้นได้ ไม่มีความทุกข์เกี่ยวกับความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นอีกต่อไป อย่างนั้นแหละถึงจะรู้ว่าดับได้จริง เวลาเจอความตาย แล้วดับความกลัวตาย ดับความทุกข์ที่เกิดจากความกลัวตายได้ หายกลัว ไม่กลัวตายอีกต่อไป อย่างนี้ถึงจะรู้ว่าดับความทุกข์ได้
ไม่ใช่ดับแบบเพียงแต่มานั่งคิดไปเฉยๆ ทั้งๆที่ใจยังไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นมา เป็นเพียงแค่ใจคิดไปเท่านั้นเอง ยังไม่ได้เป็นการบรรลุจริง การบรรลุจริงนี้ต้องไปพิสูจน์ ต้องไปเจอของจริง เวลาเจ็บปวดทางร่างกาย ทุกข์หรือไม่ เวลาจะตายแล้วทุกข์หรือไม่ เวลาทุกข์แล้วดับมันได้ คนเราทุกคนต้องทุกข์ เวลาเจอความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทุกข์กันทั้งนั้นแหละ เจอความตายก็ทุกข์กัน
เวลาทุกข์แล้วดับด้วยมรรค๘ได้หรือเปล่า ถ้าดับด้วยมรรค๘ ได้ รับรองได้ว่าความทุกข์นั้นจะไม่กลับมาโผล่ขึ้นอีกต่อไป จะไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตายอีกต่อไป นี่ถึงเรียกว่า บรรลุจริง บรรลุด้วยการดับความทุกข์ที่ปรากฏขึ้นมาในใจ และรู้ว่าความทุกข์นั้นจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป ถึงจะเรียกว่าเป็นการบรรลุธรรม เรียกว่า วิมุตติ วิมุตติก็มี ๔ขั้น ขั้นโสดาบัน ขั้นสกิทาคามี ขั้นอนาคามี ขั้นอรหันต์ ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเท่านั้นถึงจะรู้ว่าได้บรรลุจริงหรือไม่ได้บรรลุจริง ถ้าบรรลุแค่การศึกษาด้วยการจินตนาการคิดไปเองนี้ ไม่ถือว่าเป็นการบรรลุจริง นี่ก็เรื่องของปฏิเวธ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติ จะต้องปฏิบัติแล้วถึงจะปฏิเวธขึ้นมา..
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
คัดธรรมะบางช่วงบางตอนของเทศนาธรรม วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๐


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2018, 08:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร