วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 10:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงพระผู้เป็นเจ้าเนื้อแท้ก็คือธรรมะ นั่นเอง แต่ทีนี้ พระผู้เป็นเจ้าถูกยึดถือเป็นตัวบุคคล ไม่ยอมเปลี่ยน เขาเรียกว่าตัวบุคคลสมมติ ไม่ยอมเปลี่ยนให้เป็นไม่ใช่บุคคล เขาเรียกว่า เพอซันนอลก๊อด (Personal God) เป็นตัวเป็นตนทีเดียว

ถ้าทีนี้เขาเปลี่ยนให้เป็น อิมเพอซันนอล (Personal) เสีย ก็สบายเท่านั้น มันเป็นธรรมะ มันเข้ากันได้ แต่ความยึดมั่นถือมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง มันก็ยุ่งเหมือนกัน ผู้มีปัญญาเขาก็เปลี่ยนได้ เพราะเขาถือว่า พระผู้เป็นเจ้าก็คือธรรมะ อันนี้มันเข้ากันได้ ศาสนาก็เข้ากันได้ไม่ต้องยกพวกตีกัน เหมือนกับในเลบานอน ตีกันจนตายหมดเมืองแล้ว ระหว่างคริสต์เตียน กับ พวกอิสลาม ความจริงก็พระผู้เป็นเจ้าก็องค์เดียวกัน จะไปตีกันทำไม เขาคิดไม่ได้

มนุษย์นี่มันลืมศาสนา ลืมพระผู้เป็นเจ้าในเวลานั้น จึงได้รบราฆ่าฟันกัน เรื่องมันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่า ความเป็นมาของศาสนาเป็นอย่างไร แล้วรู้ว่าพุทธศาสนาของเรานั้น มีอะไรเป็นพื้นฐาน ถือให้ถูก อย่าไปเที่ยวไหว้กราบในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เราไหว้แต่เรื่องของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องอื่นนั้นไม่ใช่เรื่อง แล้วก็ถือว่า ธรรมะเป็นข้อปฏิบัติที่เราควรจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เราจะพ้นทุกข์ พ้นร้อนก็ต้องอาศัยการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่อาศัยอำนาจอะไรๆ มาช่วยดอก ไม่ใช่อย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวานนี้ เมื่อพูดจบแล้วพระรูปหนึ่งถามว่า ที่บ้านมีพระพุทธรูป เขาถือว่าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ จะได้คุ้มครองรักษา เมื่อฟังหลวงพ่อแล้วไม่ตรงกัน ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีหรือ ?
อยากจะตอบให้เข้าใจว่า ความศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่ในใจ เรานึกเราคิดขึ้นเอง ไม่ใช่เกี่ยวเนื่องด้วยวัตถุ แต่เกี่ยวเนื่องด้วยจิตใจ เราสร้างขึ้น นึกขึ้น ว่าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนั้น เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราสร้างมันขึ้นในใจของเรา

ความจริงนั้น ที่เขาว่ามีพระอยู่ในบ้านจะได้คุ้มครองนั้น เขาพูดภาษาคนธรรมดา ไม่ใช่พูดภาษาธรรมะ

ถ้าพูดตามภาษาธรรมะ ก็ต้องพูดว่า พระที่จะคุ้มครองเรานั้น ไม่ใช่องค์วัตถุที่เรามี แต่หมายถึงธรรมะที่เราเอามาปฏิบัติ
ถ้าเราปฏิบัติธรรม ก็เรียกได้ว่าเรามีธรรมะคุ้มครอง พ่อบ้านปฏิบัติธรรม แม่บ้านปฏิบัติธรรม ลูกบ้านปฏิบัติธรรม เรียกว่า บ้านนั้น อยู่กับพระ

ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรมะ เราก็ไม่ได้อยู่กับพระ ไม่ว่า เราจะมีพระพุทธรูปเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง ที่เขาเรียกว่าพระสามองค์นี้ ที่อยู่บ้านไหนแล้วดีนักหนา เพราะฉะนั้น ตามบ้านต้องหาพระเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง สามองค์มาเรียงไว้ ซึ่งเขาว่าดี ดังนี้ ก็ตาม

ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ดีตรงมีพระเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง แต่ดีตรงที่ว่าเรามีพระอยู่ในใจของเรา เราเป็นผู้ประพฤติธรรมะ เราอยู่ในระเบียบวินัย เคารพศีลธรรมในทางศาสนา เคารพกฎหมายของบ้านเมือง เคารพประเพณีอันดีงาม นั่นแหละองค์พระแท้ องค์พระแท้ก็คือองค์ธรรมะที่เราเอามาปฏิบัตินั่นเอง

แต่ที่เรามีพระไว้ก็เป็นเครื่องเตือนใจ เราเป็นคนขี้หลงขี้ลืม คือมีอะไรไว้เตือนๆหน่อย มองๆเห็นหลวงพ่อก็คิดว่า อื้อ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างไร เราเวลานี้ เป็นอย่างไร ต้องปฏิบัติตนตามคำสอนของพระองค์ท่านจึงจะปลอดภัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การคุ้มครองของพระอยู่ที่เราคุ้มครองตนเองด้วยธรรมะ พูดง่ายๆว่า พระจะรักษาเรา เมื่อเรารักษาพระ ถ้าเราไม่รักษาพระ พระจะรักษาเราได้อย่างไร “รักษาพระ” หมายความว่า รักษาคุณงามความดีไว้ในใจ มีธรรมะประจำใจ ถ้าเรามีธรรมะก็เรียกว่า เรามีพระ ขาดธรรมะ ก็ไม่มีพระ

ใจของเราถ้าไม่มีพระ ก็มีผีแหละ อยู่เฉยๆไม่ได้ดอก พอมีผีแล้วมันก็ยุ่ง เพราะฉะนั้นให้มีพระไว้ สร้างพระในใจ สร้างพระไว้ข้างใน มีพระข้างในได้อานิสงส์มาก

พระข้างนอก เวลานี้เต็มบ้านเต็มเมือง คนขโมยลักกันเหลือเกินแล้ว นี่เมื่อเช้ายังอ่านหนังสือพิมพ์ มีหลวงพ่อองค์หนึ่ง ขโมยเข้าไปรัดคอตาย แล้วไม่ใช่ตายเฉยๆ แทงเอาอีก เลือดทะลัก แล้วก็นอนอยู่ไม่มีใครรู้ ตื่นเช้าพระเข้าไปในวิหาร จึงได้เห็น พระพุทธรูปสามองค์มีค่าหายไปด้วย เป็นเวรเป็นกรรมที่ไปนั่งเฝ้าพระพุทธรูปอยู่ เอาไปเลย เพราะคนมันนิยมในวัตถุ เขาเอาวัตถุไปขาย ไม่ใช่เอาพระไปขาย

แล้วก็ที่วัดมงกุฎ ฯ มีท่านมหาอยู่องค์หนึ่ง มีพระมากราคาหลายล้าน อวดแขกบ่อย แขกมาก็เอามาอวดว่าสมัยโน้นสมัยนี้ นี่เชียงแสน นั่นสุโขทัย โน่นอู่ทอง คุยใหญ่ ฤกษ์งามยามดีพ่อเข้ามาฆ่าเสียเลย ขนไปหมดกุฏิแถมฆ่าเสียด้วย

อย่างนี้ไม่ใช่ถูกฆ่าเพราะมีพระ แต่ถูกฆ่าเพราะคนมันละโมบในวัตถุเกี่ยวเนื่องกับพระนั่นเอง เลยมันเอาไป เพราะฉะนั้น พระดีๆ อย่าเอาไว้ในวัดเลย มันยุ่ง

ที่วัดเรามีองค์หนึ่ง ความจริงไม่ดีอะไรนักดอก แต่ว่าเป็นทองเหลือง ไว้ในศาลา พระยืนแบบนี้ แต่เล็กกว่านี้ ขโมยเอาไปเสียเลย เขามาบอกผมว่า เขามาลักพระไปเสียแล้ว ผมก็บอกว่าก็ดีเหมือนกันแหละ ไม่ต้องไปวิตกต่อไป เพราะถ้ายังมีเราก็ต้องรักษา ขโมยเอาไปแล้วก็ดีเราไม่ต้องรักษา แล้วก็ไม่หาองค์ใหม่มาวางต่อไปแล้ว เอาไปแล้วก็แล้วไป นี่เขาจะเอามาวางใหม่ก็ไม่ต้อง มันยุ่งเปล่าๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรามีพระข้างในขโมยเอาไม่ได้ อยู่ในใจเรา อยู่มั่นคงในใจเของเรา พระองค์ในดีกว่าพระองค์นอก

แต่ว่าตามวัดตามวาก็ต้องมีบ้าง ตามวัดตามโบสถ์ในศาลาไม่มี คนก็ว้าเหว่เหมือนกับที่หอประชุมนี้ เดิมทีผมจะไม่มีอะไรเลย ไม่มีโต๊ะบูชา ไม่มีพระพุทธรูป

ญาติโยมบอกว่าไม่เหมือนศาลาโน้น ที่ศาลาโน้นมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เวลาไหว้พระก็เห็น มาที่นี่ไหว้พระก็เฉยๆ ไม่เห็นอะไร เลยบอกว่าก็โยมสร้างเองแล้วกัน ก็เลยสร้างของเขาเองทั้งโต๊ะทั้งพระเอามาวางไว้พอเหมาะพอดี องค์น้อยๆขโมยก็ไม่เอาดอกอย่างนั้น เล็กๆ ถ้าของมีค่าไม่ได้ ขโมยชอบ ฝรั่งก็ชอบซื้อไปไว้ดู

ท่านอธิบดีกรมศิลปากร ไปเจอฝรั่งคนหนึ่ง เขาบอกว่า ผมสบาย นอนกับพระพุทธเจ้าทุกคืน แกก็ถามว่า นอนอย่างไร ไปดูหน่อย ก็ไปเห็นที่เตียงนอนมีพระพุทธรูปวางเต็มหมด ปลายเตียงก็มี เวลานอนก็เตะพระพุทธรูปทุกคืน

แกก็บอกว่านอนแบบนี้ ไม่ใช่นอนกับพระพุทธเจ้านี่นา ไปเตะพระพุทธเจ้าทุกคืน อัปรีย์จัญไรฉิบหาย

ก็ถามว่าแล้วทำอย่างไร เลยออกแบบให้เขาทำหิ้งซ้อนไว้ในห้องนอนนั่นแหละ ฝรั่งไม่ประสีประสาอะไรดอก เขาไม่มีที่สูงที่ต่ำดอก ไปที่เมืองอังกฤษไปเที่ยวบ้างเช็คสเปียร์ที่เมืองสแตรทฟอร์ด

เตียงนอนเช็คสเปียร์ปลายเตียงเขามีรู สำหรับใส่คัมภีร์ใบเบิ้ล คัมภีร์ใบเบิ้ลเอาไปไว้ปลายตีน

เมืองไทยเราไม่ได้ อินเดียก็ไม่ได้นะ คัมภีร์ต้องเอาไว้ที่สูง

ฝรั่งไม่ถือ เพราะฉะนั้น ลูกชายลูกสาวคลำหัวพ่อได้ไม่เป็นไร

คนไทยคลำหัวอย่างนั้นก็ถูกเตะเท่านั้นเอง มันผิดกันในเรื่องนี้ เรื่องสูงเรื่องต่ำนี้ผิดกัน เขาไม่ถือนี่ เพราะฉะนั้น ที่เขาบอกว่านอนกับพระพุทธเจ้าสบายใจ แต่เขาทำแบบที่ว่ามานั้น มันไม่เขาท่าเลย ฝรั่งมันเป็นอย่างนั้น.

(จบตอน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนในทางพุทธศาสนานี้ มี ๒ ชั้น คือธรรมะหรือพระธรรมมี ๒ ชั้น: ธรรมะที่เป็นศีลธรรมอย่างหนึ่ง กับ ที่เป็นสัจธรรมอีกอย่างหนึ่ง


ศีลธรรม นั้น เป็นคำสอนชั้นธรรมดา ที่มีคล้ายกันทุกศาสนา ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู พุทธ มีคำสอนในด้านศีลธรรมคล้ายกัน ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

เรื่องของศีลธรรมเกิดขึ้นอย่างไร เราควรรู้ เพราะศีลธรรมเป็นเครื่องแก้ปัญหาของสังคม

สัจธรรม เป็นเครื่องแก้ปัญหาเฉพาะคน

ถ้าพูดเป็นศัพท์แสงหน่อย ก็เรียกว่า สัจธรรมเป็นเรื่อง “ปัจเจกชน”

ศีลธรรมเป็นเรื่อง “สังคม”


รูปภาพ

ศีลธรรม กับ ศาสนา


ศาสนา นี่ ไม่ใช่คำสั่งสอนเฉยๆ ให้เราเข้าใจว่า ศาสนา นี่ คือคำสอนด้วยเหตุผล หรือข้อปฏิบัติที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติตาม ได้พ้นจากความทุกข์ หรือความเดือดร้อน นี่แหละคือตัวศาสนา

ข้อปฏิบัติ ที่จะทำคนให้พ้นจากความทุกข์ หรือความเดือดร้อน นี่แหละคือตัวศาสนา


ถ้าปฏิบัติแล้ว ไม่พ้นจากทุกข์ ไม่ใช่ตัวศาสนา ศาสนาต้องทำคนให้พ้นทุกข์ มันหมายถึงอย่างนั้น เนื้อแท้หมายถึงอย่างนั้น


ดูเต็มๆที่หัวข้อ ธรรม,พระธรรม คืออะไร ?

viewtopic.php?f=1&t=55033

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 19:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พระพุทธเจ้า ท่านกลัวอะไร ? ท่านกลัว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย กลัวการเวียนว่ายอยู่ในวงจรของกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ อะไรต่างๆ นี้เรียกว่า วงจรกิเลส เป็นห้วงน้ำ เป็นมหาสมุทรใหญ่ เขาเรียกว่า “โอฆะ” เป็นห้วงน้ำที่เราเวียนว่ายอยู่ตลอดเวลา วนเวียนอยู่ในกิเลสอันนี้ แล้วพระองค์กลัว การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงจรของกิเลส อยากหนีให้พ้น ไม่อยากให้มันเกิดอีกต่อไป ไม่ให้มีความทุกข์ต่อไป

ความกลัวอย่างนี้ เกิดขึ้นในใจของเจ้าสิทธัตถะ แล้วก็หนีออกไปบวช ตามธรรมเนียมของชาวอินเดีย ซึ่งมีอยู่แล้วในสมัยนั้น หนีออกไปบวชไปศึกษาค้นคว้าในสำนักต่างๆก่อน เพราะเป็นผู้ออกใหม่

แต่เมื่อเรียนไป ศึกษาไป ปฏิบัติไป แล้วก็พบว่าไม่ใช่ทางที่จะให้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลได้ ก็เลยเลิกปฏิบัติแนวทางนั้นๆ

มาทดสอบด้วยตนเองต่อไป คลำไปคลำมาก็รู้สึกว่า เจอะทางเข้า เลยหลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พระองค์ก็นิพพาน คือดับกิเลสได้

คำว่า นิพนิพาน หมายความว่า ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง ไม่มีความทุกข์ต่อไป อยู่ในโลกด้วยไม่มีความทุกข์ ไม่เหมือนเราคนธรรมดาอยู่ด้วยความทุกข์ ด้วยความเดือดร้อน

ความกลัวก็เช่นกัน เป็นเหตุให้เกิดศาสนาขึ้น คือพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นก็เหมือนกัน เรียกว่า มูลฐานก็คือความกลัว แต่ว่าความกลัวนั้น อาศัยพื้นฐานทางปัญญาขนาดไหน ถ้าความกลัวที่มีปัญญามากก็ค้นคว้าสิ่งลึกซึ้งเพื่อแก้ไขต่อไป ศาสนาเกิดในรูปอย่างนี้

(ยังมีต่อ)


บทความเหล่านี้..เขียนเอง...รึ...คนอื่นเขียน?...

ขอถามคนเขียน..นะ..ไปเอามาจากไหน..ว่าพระพุทธเจ้ากลัว..อะไรอะไรที่พรรณามานั้นนะ..



กบในกะโลกกะลาเอ้ย ไปหมดแล้วสมงสมอง ไปฝึกอ่านหนังสือใหม่ไป

เขาก็บอกอยู่โท่นโท่แล้วว่ากลัวอะไร ก่อนออกบวช


บทความนี้..กักกายเขียนเองรึ?...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 19:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พระพุทธเจ้า ท่านกลัวอะไร ? ท่านกลัว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย กลัวการเวียนว่ายอยู่ในวงจรของกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ อะไรต่างๆ นี้เรียกว่า วงจรกิเลส เป็นห้วงน้ำ เป็นมหาสมุทรใหญ่ เขาเรียกว่า “โอฆะ” เป็นห้วงน้ำที่เราเวียนว่ายอยู่ตลอดเวลา วนเวียนอยู่ในกิเลสอันนี้ แล้วพระองค์กลัว การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงจรของกิเลส อยากหนีให้พ้น ไม่อยากให้มันเกิดอีกต่อไป ไม่ให้มีความทุกข์ต่อไป

ความกลัวอย่างนี้ เกิดขึ้นในใจของเจ้าสิทธัตถะ แล้วก็หนีออกไปบวช ตามธรรมเนียมของชาวอินเดีย ซึ่งมีอยู่แล้วในสมัยนั้น หนีออกไปบวชไปศึกษาค้นคว้าในสำนักต่างๆก่อน เพราะเป็นผู้ออกใหม่

แต่เมื่อเรียนไป ศึกษาไป ปฏิบัติไป แล้วก็พบว่าไม่ใช่ทางที่จะให้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลได้ ก็เลยเลิกปฏิบัติแนวทางนั้นๆ

มาทดสอบด้วยตนเองต่อไป คลำไปคลำมาก็รู้สึกว่า เจอะทางเข้า เลยหลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พระองค์ก็นิพพาน คือดับกิเลสได้

คำว่า นิพนิพาน หมายความว่า ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง ไม่มีความทุกข์ต่อไป อยู่ในโลกด้วยไม่มีความทุกข์ ไม่เหมือนเราคนธรรมดาอยู่ด้วยความทุกข์ ด้วยความเดือดร้อน

ความกลัวก็เช่นกัน เป็นเหตุให้เกิดศาสนาขึ้น คือพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นก็เหมือนกัน เรียกว่า มูลฐานก็คือความกลัว แต่ว่าความกลัวนั้น อาศัยพื้นฐานทางปัญญาขนาดไหน ถ้าความกลัวที่มีปัญญามากก็ค้นคว้าสิ่งลึกซึ้งเพื่อแก้ไขต่อไป ศาสนาเกิดในรูปอย่างนี้

(ยังมีต่อ)


บทความเหล่านี้..เขียนเอง...รึ...คนอื่นเขียน?...

ขอถามคนเขียน..นะ..ไปเอามาจากไหน..ว่าพระพุทธเจ้ากลัว..อะไรอะไรที่พรรณามานั้นนะ..



กบในกะโลกกะลาเอ้ย ไปหมดแล้วสมงสมอง ไปฝึกอ่านหนังสือใหม่ไป

เขาก็บอกอยู่โท่นโท่แล้วว่ากลัวอะไร ก่อนออกบวช


บทความนี้..กักกายเขียนเองรึ?...


นี่แสดงว่าสมงสมองไปแล้วจริงๆ ขนาดอ้างอิงหนังสือแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ยังถามอีก อิอิ ที่ผ่านมากบเสียเวลาเปล่า พูดหลายครั้งแล้ว

แล้วก็ยังพูดต่ออีกว่า ให้รีเซ็ตความคิดสมงสมองตัวเองด้วย คือ เอาของเก่าออกให้หมด แล้วเริ่มต้นที่ 0 ใหม่ คือว่าเอาตั้งแต่ตักบาตรพระตอนเช้าที่หน้าบ้าน แล้วตามพระไปที่วัดช่วยจัดสำรับกับข้าวให้พระเณรแล้ว ล้างถ้วยล้างจานด้วย เสร็จแล้ว กบก็กลับบ้านไปสวดอิติปิโส พาหุง มหากา เท่าจำนวนอายุ เกินอายุไปจบหนึ่ง เช่นกบอายุ 40 ปี ก็สวดไปเลย 41 จบ :b1: เสร็จแล้วมีงานอะไรก็ไปทำนะ นี่ในชีวิตประจำวัน

ครัั้นถึงเทศกาลวัดวามีงานประจำปีก็ไปวัดปิดทองพระประจำวันเกิด ถวายสังฆทาน ฯลฯ ปล่อยปลา นกไปตามเรื่องก่อน :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 24 ธ.ค. 2017, 20:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:



กบเอ้ย คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 20:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พระพุทธเจ้า ท่านกลัวอะไร ? ท่านกลัว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย กลัวการเวียนว่ายอยู่ในวงจรของกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ อะไรต่างๆ นี้เรียกว่า วงจรกิเลส เป็นห้วงน้ำ เป็นมหาสมุทรใหญ่ เขาเรียกว่า “โอฆะ” เป็นห้วงน้ำที่เราเวียนว่ายอยู่ตลอดเวลา วนเวียนอยู่ในกิเลสอันนี้ แล้วพระองค์กลัว การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงจรของกิเลส อยากหนีให้พ้น ไม่อยากให้มันเกิดอีกต่อไป ไม่ให้มีความทุกข์ต่อไป

ความกลัวอย่างนี้ เกิดขึ้นในใจของเจ้าสิทธัตถะ แล้วก็หนีออกไปบวช ตามธรรมเนียมของชาวอินเดีย ซึ่งมีอยู่แล้วในสมัยนั้น หนีออกไปบวชไปศึกษาค้นคว้าในสำนักต่างๆก่อน เพราะเป็นผู้ออกใหม่

แต่เมื่อเรียนไป ศึกษาไป ปฏิบัติไป แล้วก็พบว่าไม่ใช่ทางที่จะให้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลได้ ก็เลยเลิกปฏิบัติแนวทางนั้นๆ

มาทดสอบด้วยตนเองต่อไป คลำไปคลำมาก็รู้สึกว่า เจอะทางเข้า เลยหลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พระองค์ก็นิพพาน คือดับกิเลสได้

คำว่า นิพนิพาน หมายความว่า ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้สิ้นเชิง ไม่มีความทุกข์ต่อไป อยู่ในโลกด้วยไม่มีความทุกข์ ไม่เหมือนเราคนธรรมดาอยู่ด้วยความทุกข์ ด้วยความเดือดร้อน

ความกลัวก็เช่นกัน เป็นเหตุให้เกิดศาสนาขึ้น คือพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นก็เหมือนกัน เรียกว่า มูลฐานก็คือความกลัว แต่ว่าความกลัวนั้น อาศัยพื้นฐานทางปัญญาขนาดไหน ถ้าความกลัวที่มีปัญญามากก็ค้นคว้าสิ่งลึกซึ้งเพื่อแก้ไขต่อไป ศาสนาเกิดในรูปอย่างนี้

(ยังมีต่อ)


บทความเหล่านี้..เขียนเอง...รึ...คนอื่นเขียน?...

ขอถามคนเขียน..นะ..ไปเอามาจากไหน..ว่าพระพุทธเจ้ากลัว..อะไรอะไรที่พรรณามานั้นนะ..



กบในกะโลกกะลาเอ้ย ไปหมดแล้วสมงสมอง ไปฝึกอ่านหนังสือใหม่ไป

เขาก็บอกอยู่โท่นโท่แล้วว่ากลัวอะไร ก่อนออกบวช


บทความนี้..กักกายเขียนเองรึ?...


นี่แสดงว่าสมงสมองไปแล้วจริงๆ ขนาดอ้างอิงหนังสือแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ยังถามอีก อิอิ ที่ผ่านมากบเสียเวลาเปล่า พูดหลายครั้งแล้ว


sorry...sorry...
รับทราบ...รับทราบ...

แต่ผมก็ยังยืนยัน..ว่า...ไปเอามาจากไหน..ว่า..พระโพธิสัตว์..กลัว..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสฐียรพงษ์ วรรณปก : บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ (18) สถานภาพของเจ้าชายสิทธัตถะ

ฯลฯ

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือ สถานภาพของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนเสด็จออกผนวช ที่มีในตำราเรียนวิชาพระพุทธ
ศาสนาระดับมัธยม


ผมอ่านดูแล้ว เห็นว่าสถานภาพเหล่านี้ มิได้เป็นเงื่อนไขเอื้อให้เจ้าชายเสด็จออกผนวชเร็วขึ้นเท่านั้น บางอย่างยังเป็นเงื่อนไขเอื้อให้ประกาศพระพุทธศาสนาของพระองค์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วอีก และยังมีสถานภาพอีกด้านหนึ่งที่มักลืมพูดถึงก็คือ การที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภิเษกสมรสและมีพระโอรสก่อนออกผนวช

อ้าว นี่แหละเป็นประเด็นสำคัญที่สุดล่ะ เพราะฉะนั้น ในบทความสั้นๆ นี้ จะตั้งเป็นประเด็นว่า การที่เจ้าชายสิทธัตถะเกิดในตระกูลกษัตริย์ 1 การที่พระองค์ทรงมีพระโอรส 1 เอื้ออำนวยให้พระองค์ได้รับการยอมรับจากสังคม

และได้ประกาศศาสนาแพร่หลายเร็วขึ้น

เหตุผลก็คือ สังคมอินเดียยุคพุทธกาลเป็นสังคมที่คนยึดมั่นในวรรณะมาก

เขาถือว่าคนเกิดในวรรณะสูงคือ พราหมณ์ กษัตริย์ เท่านั้นที่เป็นคนดีในสังคม วรรณะต่ำ โดยเฉพาะศูทรเกิดจากเท้าพระพรหม เป็นคนชั่วคนเลว

พวกคนชั้นสูงคือพราหมณ์ ไม่ยินดีเสวนาด้วยหากไม่จำเป็น ถ้าสมมุติว่า (สมมุติ ไม่ใช่เรื่องจริง) พระพุทธองค์ทรงประสูติในวรรณะศูทร พระองค์ประกาศว่าพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ จะเทศน์ให้ประชาชนทราบแนวทางดำเนินชีวิตอันประเสริฐ ถามว่าจะได้รับการยอมรับไหม

อย่าว่าแต่ยอมรับเลย พูดเขาก็ไม่พูดด้วย เมื่อเขาไม่พูดด้วยโอกาสที่จะเสนอแนวทางใหม่ให้เขาทราบก็ไม่มี ข้อนี้จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงที่เดียว แม่นบ่ครับ

อีกข้อหนึ่ง คนอินเดียยุคพุทธกาล มีความเชื่อฝังหัวว่าคนที่ไม่สามารถมีบุตรชายไว้สืบสกุล เป็นคนชั่วคนบาป เพราะสกุลวงศ์จะขาดสูญ ไม่มีใครส่งวิญญาณของเขาขึ้นสวรรค์ ความบกพร่องในเรื่องนี้ กลายเป็นเคราะห์ร้ายตกแก่ผู้หญิงอย่างช่วยไม่ได้ คือหญิงที่ออกเรือนไป ไม่สามารถมีบุตรชายให้สกุลสามี จะถูกรังเกียจ หาว่าเป็นกาลกิณีแก่วงศ์ตระกูล

บางรายอาจถูกส่งกลับและบางรายเมื่อกลับแล้วพ่อแม่ไม่รับคืน เฉดหัวส่งซ้ำก็มี

ใครที่ไม่มีบุตรชายสืบสกุล ย่อมจะตกนรกขุมที่ชื่อว่า ปุตตะ ตกจริงหรือตกนรกทางใจก็สุดจะทราบได้

ถ้าคนที่ไม่มีบุตรไว้สืบสกุลไปบวชเป็นนักพรต เขาจะถือว่าเป็นคน ล้มเหลวในชีวิต ต่อมาถึงจะประกาศตนว่าบรรลุโมกษะ ได้รู้แจ้งเห็นจริง อะไรทำนองนั้น ผู้คนเขาก็จะไม่เชื่อ และไม่ยอมรับ คนที่ปากคอเราะร้ายก็อาจจะกล่าวว่า

“โถ เป็นคฤหัสถ์ยังล้มเหลวในชีวิต ยังมีหน้ามาบอกว่าตรัสรู้ ใครมันจะเชื่อ พิโธ่พิถัง”

เห็นไหมครับว่าเรื่องราวมันจะเลวร้ายขนาดไหน

พระพุทธองค์ทรงมีภูมิหลังที่ไม่มีใครตำหนิได้ ทรงเป็นเจ้าชาย อุภโตสุชาติ จากศากยวงศ์ สูงส่งไม่แพ้วรรณะพราหมณ์ (หรือว่าตามจริง สูงกว่าด้วยซ้ำ ดังคำเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า “ในบรรดาผู้ที่รังเกียจกันด้วยโคตร กษัตริย์นับว่าสูงสุดในหมู่มนุษย์” ไปไหนพวกพราหมณ์ให้การต้อนรับ เพราะถือว่าเป็นวรรณะเสมอกับพวกตน พระพุทธองค์ย่อมจะมีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสอดแทรกแนวทางใหม่ที่พระองค์ทรงต้องการสั่งสอนพวกเขา

ยิ่งเมื่อพวกเขาทราบว่า สมณะที่กำลังสนทนาด้วยนั้น มิได้มีความ ล้มเหลวในชีวิตครอบครัว มาก่อน ทรงมีโอรสสืบสกุล

พูดง่ายๆ ว่าเป็น ชายแท้ ที่ออกบวชเพราะทรงแสวงหาทางพ้นทุกข์อันประเสริฐกว่า และเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ ด้วยพระมหากรุณา ก็ยิ่งศิโรราบกราบกรานด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ดังปรากฏมีจำนวนมากในพุทธกาล


https://www.matichonweekly.com/column/article_72491

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 75 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร