วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2017, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
ชีวิตเปลี่ยน เพราะหลวงพ่อจรัญ


สมัยที่ปฏิบัติกับอจ.ที่เป็นฆราวาส
ผู้ปฏิบัติในกลุ่มเขาคุยกันเรื่องหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
ประมาณว่า ท่านรู้หนอ เห็นหนอ ได้ยินแล้ว อยากไปเจอ
ทีนี้ทำงาน วันหยุดแทบไม่มี(ทำล่วงเวลา) ไม่ได้ไปสักที

เป็นคนชอบอ่านหนังสือ มักแวะตามแผงหนังสือ
เจอหนังสือกฏแห่งกรรม ปกอ่อน ราคาไม่กี่บาท
มีกี่เล่ม ซื้อหมด

อ่านแล้ว สนใจเรื่องกฏแห่งกรรม จึงเกิดการตามหา
ไปหาหลวงพ่อ ที่วัดอัมพวัน ความที่ไม่เคยไป
พี่แนะนำว่า ให้ขึ้นรถนครสวรรค์ แล้วบอกกระเป๋า
รถจะจอดหน้าวัด "ขอบคุณพี่แดงมาก"

ไปวัดครั้งแรก เข้าปฏิบัติ เดินจงกรมก็ไม่เป็น
จนท. ต้องก้มลง ช่วยจับขา ให้เคลื่อนไหว
คนที่เห็น เขาก็ขำเรา เดินเหมือนนกกระยาง

ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ไปไม่เป็นไลย
จะโทษคนสอนก็ไม่ได้ ก็ของมันไม่เคย
โดยเฉพาะ การกำหนดต้นจิต กำหนดรู้ที่เท้า

ไอ้เรามันประเภท ทำตามจริตตน ก็ปรับเอา
ขวา เขาให้กำหนดที่เท้าขวา
เราก็กำหนดขวาเหมือนกัน แต่ยกส้นเท้าเตรียมไว้

ต่อมา กำหนดย่างหนอ เวลาเคลื่อนเท้าไปข้างหน้า
มันก็สบาย หัวไม่ทิ่ม ขืนไม่ยกส้นเท้าเตรียมไว้
ตอนยืน ยืนตรง พอย่างหนอ เคลื่อนเท้าไปด้านหน้า
หัวทิ่มสิคะ เพราะเหตุนี้แหละ จนท. ถึงมาจับขาให้เราทำตาม
ต่อมาหนอ คือ วางเท้าลงกับพื้น ท่าจะค้างอยู่ในอิริยาบทก้าว



แรกๆก็ทำตามจริตนะ ปรับเปลี่ยนเอาเอง
พอเริ่มคุ้นเคยกับจังหวะทุกย่างก้าว
มันจะรู้ขึ้นมาในจิต ทุกการเคลื่อนไหวของเท้า
ก็ทำตามต้นแบบได้ คือ

อยู่ในท่ายืน พอกำหนดขวา รู้ลงที่ขาขวา
พอกำหนดย่าง ส้นเท้าจะยกขึ้นก่อนเล็กน้อย
แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า

พอกำหนดว่า หนอ เท้าจะลงแนบกับพื้นพอดี
จะรู้สึกชัดขึ้นมาในใจ

หากสติ สัมปชัญญะดี ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
จะรู้ชัดทุกย่างก้าวที่เดิน ทุกการเคลื่อนไหว
ปรากฏชัดขึ้นมาในใจ โดยไม่ต้องกำหนด
ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ แต่อย่างใด

จะเกิดความรู้ชัดช่วงรอยต่อ ระหว่าง การเคลื่อนเท้า
ขวา ย่าง รู้ชัดถึงการขาดออกจากกัน ระหว่าง ขวา-ย่าง
หนอ รู้ชัดถึงการขาดออกจากกัน ระหว่าง ย่าง-หนอ

รู้สึกฝ่าเท้ามีชีวิต เสียวที่ฝ่าเท้ามาก
ใหม่ๆ ต้องใช้กำหนดรู้หนอช่วย




เป็นหนึ่งในสภาวะที่เคยหลง

"สันตติขาด ฆนบัญญัติแตก"

แตกจริงๆ ใจแตกระเจิงด้วยความหลง
ความที่ว่า ไม่อยากทุกข์ จึงถือมั่นในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในตำรา
ทั้งๆที่ ในตำราจะเขียนไว้แค่ว่า




"เมื่อโยคีบุคคลได้กำหนดพิจรณาในสังขตธรรมรูป,นาม
ที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าตามสภาวะที่เกิดเหตุปัจจัยอยู่

สันตติบัญญัติ และฆนบัญญัติที่กำบังปกปิด
การเกิดดับของสังขตธรรมรูป,นาม ก็ขาดแตกไป
เป็นความเห็นบริสุทธิ์เกิดขึ้นเวลาใด เวลานั้น
วิปัสสนาญาณของโยคี ก็เข้าถึงความเป็นอนัตตานุปัสสนาเป็นต้นได้

อธิบายว่า ผู้ที่ไม่มีการกำหนดในสังขตธรรมรูป,นามที่ปรากฏเฉพาะหน้า
ทุกๆระยะของจิตและรูปนั้น อย่าว่าแต่ความเกิดดับของสังขตธรรมรูป,นามเลย

แม้แต่รูป,นาม ที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าก็ไม่รู้ไม่เห็นเสียแล้ว
คงเห็นแต่บัญญัติ เช่น เมื่อตาเห็นสี ก็คงรู้คงเข้าใจไปในแต่เรื่องราวต่างๆ
ว่านี้เป็น หญิง,ชาย,เด็ก,ผู้ใหญ่,สัตว์,ต้นไม้ฯลฯ"





ยาวนะ ขอตัดตรงช่วงท้าย ใจความที่สำคัญ
ที่อาจทำให้เกิดความสำคัญผิดได้ มีเยอะที่ติดกับดักตรงนี้กัน
กิเลสเนียนจริงๆ ลงตัณหาได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่รู้ทันตัณหา
ย่อมถูกโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำทันที



"ฝ่ายผู้ที่มีการกำหนดในสังขตธรรมรูป,นามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้า
โดยมีสติรู้อยู่ติดต่อกันไม่ขาดสายนั้น

ย่อมรู้เห็นแทงทะลุปรุโปร่งสันตติบัญญัติ,ฆนบัญญัติ
ที่กำลังปกปิดการเกิดดับของสังขตธรรมรูป,นามเสียได้
โดยการกำหนดรู้เห็นวิถีจิตที่เกิดก่อน
และวิถีจิตที่เกิดทีหลัง ในระยะเวลาที่
ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสฯลฯ
เหล่านี้ขาดลงเป็นตอนๆ ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และไม่มีแก่นสารปราศจากเรา,เขาที่จะบังคับบัญชา
ให้เป็นไปตามต้องการ


ในด้านรูปนั้นก็คงกำหนดรู้เห็นรูปที่เกิดขึ้นก่อนและรูปที่เกิดทีหลัง
ในระยะเวลาที่พองขึ้น ยุบลง นั่ง ถูก ยกมือ ยกขา ก้าวไปข้างหน้าฯลฯ
เหล่านี้ก็ขาดเป็นท่อนๆ ไม่ใช่อันหนึ่งอันเดียวกัน
การรู้เห็นในวิถีจิตและอารมณ์ขาดเป็นตอนๆนี่แหละ
เรียกว่า สันตติบัญญัติ,ฆนบัญญัติแตก

อนัตตลักขณะ คือ ความไม่มีแก่นสารปราศจากเรา,เขา
ที่จะบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการทั้งปวงก็ปรากฏขึ้น
เป็นอันว่า วิปัสสนาญาณของผู้นั้น เข้าถึงความเป็นอนัตตานุปัสสนาที่แท้จริง"




ทั้งหมดนี้ มีสองคำเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น
๑. การเกิดดับของสังขตธรรมรูป,นาม
หมายถึง เห็นจิตเกิดดับ

๒. เข้าถึงความเป็นอนัตตานุปัสสนาที่แท้จริง





ตอนที่หลุดจากอุปกิเลสแล้ว จึงรู้ชัดในลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น
ซึ่งมารู้ที่หลังด้วยตนเองว่า

เมื่อใดที่อินทรีย์ ๕ เสมอกัน ไม่เหลื่อมล้ำไปกว่ากัน
เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความรู้ชัดทุกการเคลื่อนไหว
ขาดออกจากกัน แจ่มแจ้งเข้ามาในจิต เป็นความปกติของสภาวะ

เป็นตัวบ่งบอกถึง ผู้ที่ทำความเพียรต่อเนื่อง
และมีการกำหนดรู้ต้นจิตก่อนทำกิจนั้นๆ

เมื่อจิตตั่งมั่นเป็นสมาธิ จึงทำให้เกิดความรู้ชัด
ในลักษณะที่นำมากล่าวแล้วในข้างต้น
เป็นสภาวะปกติที่ทุกคนจะต้องเจอเหมือนๆกัน
ในกรณีที่มีการกำหนดต้นจิตอย่างต่อเนื่อง


ในกรณีที่กำลังเดินจงกรม เดินจนครบเวลาที่ตั้งไว้
ผลคือเมื่อกำหนดนั่งลง จิตเข้าสู่สมาธิทันที
คือ รู้ชัดอยู่ภายในกาย เวทนา จิต ธรรม

สมถะ ที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ที่เป็นสัมมาสมาธิ ที่วลัยพรพูดถึงบ่อยๆ
เกิดจากการเดินก่อนนั่งนี่แหละ

บางคนไม่ชอบเดิน ไม่ชอบทำอะไรเดิมๆซ้ำๆ
สามารถเปลี่ยนระยะการเกิดได้ จะได้ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อ



ฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า ต้องเห็นจิตเกิดดับ
และการเห็นจิตเกิดดับ หมายถึงได้อะไรเป็นอะไร
ล้วนเกิดจากกับดักหลุมพรางกิเลสที่มีเกิดขึ้นในใจ
ถึงบอกเสมอๆว่า กิเลสมันเนียนและละเอียดจริงๆ
ต้องหลงก่อนที่จะรู้



ต้องเจอสภาวะตรงนี้ และผ่านให้ได้ก่อน
อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ
จึงจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แบบแจ่มแจ้ง



ที่สำคัญ การกระทำกรรมในแต่ละขณะๆๆๆ
ล้วนส่งผลกระทบต่อสภาวะขณะทำความเพียร
วุ่นวายนอกตัวมาก นิวรณ์ย่อมมาก
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ยาก

หรือไม่ก็ หากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ไม่สามารถรู้ชัดในผัสสะ ที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

มีอีกประเภท คือ ตั้งความปรารถนาในพุทธภูมิไว้
ลองทบทวนให้ดีๆ มีความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า

ถ้าในปัจจุบันไม่มี อาจมีในอดีตที่ระลึกไม่ได้
ให้ตั้งจิตถอนคำอธิษฐานนั้นๆเสีย แล้วสภาวะจะดำเนินไปตามเหตุปัจจัย
อย่าลืม กรรมปัจจุบัน สำคัญมาก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2017, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุปัจจัยให้เกิดความรู้ชัดในเรื่อง
สันตติขาด ฆนบัญญัติแตก


กราบของพระคุณหลวงพ่อพระครูภาวนานุกูล และพระอาจารย์ปรีชา
วัดนาค บางปะหัน อยุทธยา



หลวงพ่อพระครูภาวนานุกูล สอนเรื่องการกำหนดรู้ตามความเป็นจริง
จนกระทั่งแจ่มแจ้งในโยนิโสมนสิการด้วยตนเอง


พระอาจารย์ปรีชาสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับรูป,นาม
จนกระทั่งแจ่มแจ้งในสติ สัมปชัญญะ
และความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ด้วยตนเอง










22 ม.ค. ’51

วันนี้เดินจงกรม มันแปลกมากๆ ปกติแล้ว เราเคยเดินแค่ระยะที่ 5
ระยะที่ 6 ไม่เคยเดิน เพราะฐานสติยังไม่แน่นพอ มันจะเซ

วันนี้ที่ว่าแปลกมากๆก็คือ มันเดินได้เอง
คือเราเก็บรายละเอียดทุกย่างก้าวที่เดิน
ตั้งแต่ ยก ย่าง วาง ถูก เหยียบ กด
เรากำหนดดูตามทุกอริยาบทที่เท้าก้าวไป

เราเห็นว่าอาการมันเกิดคล้ายๆกับในสมาธิ
เห็นการเกิดดับ ขาดออกเป็นตอนๆของทุกย่างก้าวที่เดิน
มันชัดเจนมากๆ



แม้แต่เวลายืน ปกติจะต้องกำหนดยืนหนอ
คราวนี้ไม่ต้องกำหนดเลย มันรู้ขึ้นมาเองขณะที่ยืน
ตั้งแต่กระหม่อมถึงปลายเท้า ปลายเท้าถึงกระหม่อม
มันรู้ตัวต่อเนื่องไม่ขาดสาย เห็นตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2017, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะที่มีเกิดขึ้น ก่อนเกิดความรู้ชัด


22 ธค.
เริ่มต้นทำใหม่นะ ทำแบบหลวงพ่อเคยพูด แล้วก็ตามหนังสือหลวงพ่อลีเขียนไว้
ให้ปฏิบัติบ่อยๆแล้วอารมณ์กรรมฐานตรงนั้นจะเกิดขึ้นเอง

ต้องฝืนใจ แต่เราไม่ได้พยายามทำเลย
ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องช่วยตัวเอง





27 ธค.
เดิน 1ชม. นั่ง 1 ชม. ทรมาณน่าดู เรายังกำหนดไม่ค่อยได้ ปวดตรงกระเบนเหน็บมากๆ
เกือบจะลืมตาดูนาฬิกา แต่พยามอดทน ปวดก็ทนเอา จนนาฬิกาดัง

ช่วงนั่งปวดมากๆ ยกก้นไป 1 ครั้ง นอกนั้นค่อยๆขยับขาตลอดเวลา
จะว่าไปแล้ว ขาไม่ค่อยปสดเท่าไหร่ แต่ตรงกระเบนเหน็บนี่ปวดมาก








4 มกราคม 2550

วันนี้เดิน1ช.ม. นั่ง1ช.ม. วันนี้เมื่อขณะที่เกิดเวทนา
เรามีสติชัดเจนมากๆ กำหนดได้อย่างต่อเนื่อง
แล้วจู่ๆก็เห็นจิตมันแยกออกจากาย แยกออกมาเป็นคนละส่วนกัน

ขณะที่เกิดเวทนา เห็นตั้งแต่เกิดว่าเกิดตรงไหน ไปที่ตรงไหน
ปวดอย่างไรบ้าง แต่เราไม่ไปรู้สึกกับอาการปวด







13 สิงหาคม
เริ่มเพิ่มการเดินเป็นระยะ3 มีสติดีมากๆ สติต่อเนื่อง เดินช้าๆ
ยังมีการกำหนดตลอด ตัวไม่เบา ไม่หนัก ต้องกำหนดต้นจิต
กับหยุดหนอด้วย เดินแล้วกำหนดนั่ง เวทนาเยอะมากๆ กำหนดไม่ได้





21 สิงหาคม
วันนี้สติดีมาก เห็นเวทนาได้ตลอด โดยไม่ไปรู้สึกกับอาการปวด
เราลองขยับขา ขยับกาย เพราะอยากรู้ว่าเมื่อขยับจะปวดไหม
ไม่มีอาการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น






23 สิงหาคม
เห็นเวทนา เกิด-ดับ อย่างต่อเนื่อง เป็นสมาธิตลอด สติดี
เดินกำหนดได้ดี ยืนกำหนดได้ดี ฟุ้งซ่านมีบ้าง กำหนดทัน





3 กันยายน
การเดินจงกรม ละเอียดชัดเจนมากขึ้นขณะที่เดิน มีอะไรมากระทบอายตนะ
กำหนดได้ตลอด ไม่ฟุ้งซ่าน จับลมหายใจพร้อมกับอาการท้องพองยุบ ขณะที่เดินได้อย่างชัดเจน

เมื่อเดิน สังเกตุได้ ลมหายใจจะรวมเป็นหนึ่งขณะที่เดิน
มันจะไปพร้อมกันหมดทั้งตัว รู้พร้อมหมด สติดีตลอด
เมื่อมานั่งต่อ สมาธิเกิดอย่างต่อเนื่อง สมาธิตั้งอยู่ได้นานขึ้น

เป็นสมาธิเร็วขึ้น พอกำหนดนั่ง ปรับลมหายใจแค่ 5 ครั้ง เข้าสู่สมาธิได้เลย
เพิ่มเวลาในการปฏิบัติ เป็นวันละ 4ชม.บ้าง 5 ช.ม.บ้าง 6 ช.ม.บ้าง
บางวัน 1ช.ม.ก็มีไม่แน่นอน แล้วแต่สะดวก สูงสุด 8 ช.ม.

เดินจงกรม เดินระยะ 1- 4 ละเอียดมากขึ้น ชัดเจนขณะที่ก้าวเดิน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2017, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


22 ม.ค. ’51

วันนี้เดินจงกรม มันแปลกมากๆ ปกติแล้ว เราเคยเดินแค่ระยะที่ 5
ระยะที่ 6 ไม่เคยเดิน เพราะฐานสติยังไม่แน่นพอ มันจะเซ

วันนี้ที่ว่าแปลกมากๆก็คือ มันเดินได้เอง
คือเราเก็บรายละเอียดทุกย่างก้าวที่เดิน
ตั้งแต่ ยก ย่าง วาง ถูก เหยียบ กด
เรากำหนดดูตามทุกอริยาบทที่เท้าก้าวไป

เราเห็นว่าอาการมันเกิดคล้ายๆกับในสมาธิ
เห็นการเกิดดับ ขาดออกเป็นตอนๆของทุกย่างก้าวที่เดิน
มันชัดเจนมากๆ



แม้แต่เวลายืน ปกติจะต้องกำหนดยืนหนอ
คราวนี้ไม่ต้องกำหนดเลย มันรู้ขึ้นมาเองขณะที่ยืน
ตั้งแต่กระหม่อมถึงปลายเท้า ปลายเท้าถึงกระหม่อม
มันรู้ตัวต่อเนื่องไม่ขาดสาย เห็นตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ










15ก.พ.’51
(หลวงพ่อ พระครูภาวนานุกูล วัดนาค บางปะหัน อยุธยา)



วันนี้เดินจงกรม มีอาการแปลกๆอีกแล้ว
เราไม่ได้กำหนดอะไร เดินแล้วก็รู้ตัวลงไปทุกย่างก้าวที่เดิน

ที่ว่าแปลกก็คือ ยิ่งเดิน ยิ่งละเอียด
ยิ่งแยกข้อปลีย่อยออกมาให้เห็นเด่นชัด
กายส่วนกาย ลมหายใจส่วนลมหายใจ
มันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนที่เราเดิน

เมื่อก่อนมันจะรู้พร้อมไปทั้งตัว เราถึงว่ามันแปลกๆ
มันรู้สึกวาบๆขึ้นมาเหมือนเป็นภาพที่มองเห็นทุกขณะที่ก้าวเดิน
มันผุดขึ้นมาในใจ อธิบายไม่ถูก

เราก็เลยโทรฯหาหลวงพ่อพระครูภาวนา
ถามท่านว่า ทำไมมันเป็นแบบนี้ มันรู้สึกเสียววาบๆทุกขณะที่ย่างก้าว
ขนหัวลุก ขนลุกไปทั้งตัว ภาพมันจะผุดขึ้นมาในใจ เห็นภาพชัดเลย

หลวงพ่อถามว่า ที่เห็นน่ะ เห็นที่ตาหรือเห็นที่ข้างใน
เราบอกว่า เห็นข้างใน ตาไม่ได้มองที่ปลายเท้า แต่มองไปข้างหน้า ขณะที่เดิน

ถามท่านว่า ควรทำอย่างไร ในเมื่อรู้สึกก็เลยหยุดเดิน
แล้วกำหนด รู้หนอๆๆๆ ก็ยังไม่หาย

อาการเสียวแบบนั้น มันเสียวๆอยู่อย่างนั้น อธิบายไม่ถูก
โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้านี่ชัดเจนมาก มันเสียวๆวาบๆบอกไม่ถูก

หลวงพ่อบอกว่า ไม่มีอะไร มันมีสติ สัมปชัญญะเกิดขึ้น




เกือบจะถามหลวพ่อแล้วว่า คราวก่อนที่รู้ตัวทั่วพร้อมกับอาการเดิน
ท่านก็บอกว่า นั่นแหละเรียกว่า สติ สัมปชัญญะ

แต่พอนึกขึ้นได้ว่า หลวงพ่อปรีชา ท่านบอกไว้ว่า มันจะมี 3 ระยะ
ก็เลยไม่ถามหลวงพ่อปรีชา ว่าทำไมมันถึงแตกต่างจากคราวแรก

หลวงพ่อบอกว่า ภาษา พระปฏิบัติ การดูลงไปในอาการที่เกิดก็คือการกำหนด
แต่เป็นการกำหนดโดยกริยา ไม่ใช้บัญญัติ

ท่านบอกว่า ให้ดูไปตามความเป็นจริงที่เกิด ไม่ให้ใช้รู้หนอที่เป็นสมมุติบัญญัติ
ดูลงไปจนอาการนั้นหายไปในที่สุด แล้วค่อยเดินต่อ




19 ก.พ.’51
เดินจงกรม ตั้งแต่เริ่มเดินมันจะเสียวๆที่ฝ่าเท้ายังไม่หาย
แล้วเดี๋ยวนี้มันแปลกๆ เหมือนฝ่าเท้าเรามีชีวิต
เรารู้สึกไปกับมันทุกระบบที่กระทบ มันเสียวๆอยู่อย่างนั้น
เราก็ทำแบบที่หลวงพ่อบอก เดินมันไป เอาสติ จิตจดจ่ออยู่กับการเดิน
พอเดินถึงช่วงยืน อยู่ๆมันก็เกิดเป็นสมาธิขึ้นมา
แต่เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นักเรื่องสมาธิ
เพราะเดี๋ยวนี้สมาธิเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราบ่อยมากๆ





20 ก.พ.’51
วันนี้เป็นสมาธิเกือบทั้งวัน
ทั้งๆที่บางทีแค่นั่งคิดอะไรบางอย่าง
จู่ๆมันก็สว่างพรึ่บขึ้นมา

เป็นเกือบทั้งวันเลยวันนี้
สว่างมากๆ ทั้งๆที่โอภาสแบบนี้
เราแทบจะไม่ค่อยเกิดให้เห็นด้วยซ้ำ





21 ก.พ.’51
เดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นระยะๆ
เบื่อมากๆเลย ไม่รู้ว่าเบื่ออะไร นั่งก็เบื่อ เดินก็เบื่อ





22 ก.พ.’51
เดินบ้าง นั่งบ้าง กำหนดดูอริยาบทย่อย
ก็เกิดสมาธิอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่สนใจละ
มันออกจะรำคาญไปด้วยซ้ำ

แต่พยายามทำจิตไม่ให้ชอบ ไม่ให้ชัง
เพราะหลวงพ่อพระครูภาวนานุกูลสอนไว้ว่า
อย่าไปเบื่อ อย่าไปเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ
มันเป็นสภาวะของมัน

ให้พิจรณาดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างเดียว
ไม่ต้องไปใส่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ทำไป เดี๋ยวมันจะแจ้งขึ้นมาเอง




25 ก.พ.’51
ความรู้สึกที่ฝ่าเท้า นับวันมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดใส่รองเท้าเดินแท้ ไม่ใช่เท้าเปล่าเลยนะ
มันก็ยังรู้สึกกระทบทุกย่างก้าวที่เดิน เหมือนมันรู้สึกเข้าไปถึงในจิตของเรา มันชัดมากๆ

แม้แต่นั่งบนเก้าอี้ เท้าวางอยู่บนพื้นเฉยๆ
มันจะชัดมากๆตรงที่เท้ากระทบถูกพื้น


โทรฯหาหลวงพ่อ ถามท่านตั้งแต่ เรื่องฝ่าเท้าที่เป็นอยู่
ท่านบอกว่า ให้ดูลงไปอย่างเดียว ไม่ต้องไปทำอะไร

และเรื่องที่เป็นสมาธิบ่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เกิดสมาธิตลอดเวลา
ท่านบอกว่า ให้เดินจงกรมเพิ่ม อย่างน้อย 2 ช.ม.เพื่อเจริญสติให้มากขึ้น
อย่านั่งมาก ถึงไม่ใช่นั่งขณะที่ทำสมาธิก็ตาม ไม่ให้นั่งมาก ให้เน้นเดิน





04 มี.ค. 2008
ตั้งแต่เพิ่มเวลาเดินจงกรม บางวันเดิน 2 ช.ม. บางวันเดิน 3 ช.ม.
แต่ละรอบจะเดินอย่างนี้ตลอด ทำไปเรื่อยๆแล้วแต่สะดวก
สมาธิที่เกิดถี่ๆเริ่มลดน้อยลง ไปเกิดขณะที่ยืนเป็นพักๆไม่มากเท่าเมื่อก่อน
แต่การเข้าออกสมาธิยังคล่องเหมือนเดิม

คือแค่ดูท้องพองยุบ 2หรือ 3 ครั้งก็เข้าสู่สมาธิได้เลย
อาการเสียวๆที่ฝ่าเท้ายังมีอยู่แต่น้อยลง

แต่ความรู้สึกในการที่ฝ่าเท้าหรืออาการที่เคลื่อนย้ายอริยาบทที่เท้านี้ชัดมากๆ
มันจะรู้ขึ้นมาในจิตแบบอธิบายไม่ถูก แต่ก็ไม่ถามหลวงพ่อ
เพราะเชื่อว่า ปฏิบัติไป เดี๋ยวก็จะรู้เอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron