วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 21:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2017, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ขาดน้ำนั้นดอก ถึงสิ้นชีวิต
ขาดคู่คิด ชีวิตก็ยังอยู่ได้"
-:- หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม -:-





"เรื่องการกำจัดกิเลสนั้น
จะได้ผล ก็ต่อเมื่อ
เป็นการกำจัดกิเลสตนเอง
คือ กิเลสของผู้ใด ผู้นั้นต้องกำจัด
จะได้ผลยากมาก หรือไม่ได้ผลเลย
ถ้ามุ่งไปกำจัดกิเลสผู้อื่น
เรื่องนี้สำคัญ ควรรำลึกไว้
และปฏิบัติให้ถูก กำจัดความโลภ
ความโกรธ ความหลงที่ใจตน
จึงจะเกิดผล กำจัดความโลภ
ความโกรธ ความหลง ของผู้อื่นได้ผลยาก
และอาจไม่ได้ผลเลย
ผู้มีปัญญา จึงมุ่งดูกิเลสของตน
และกำจัดกิเลส ของตนเท่านั้น
ผู้ใดมุ่งกำจัดกิเลสของตนได้
เพียงไหน จักมีความสุขเพียงนั้น
นี้เป็นความจริงแท้"
-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-





"พระนั้น จะแต่งตั้งไปชั้นไหนๆ
ก็ยังเป็นพระอยู่เหมือนเดิม
ทางพระพุทธศาสนา
ท่านไม่นิยมถามว่า จะเป็นอะไร?
แต่สำคัญที่ว่า จะทำอะไร?
ให้เรื่องเป็น มาเกื้อหนุน เรื่องทำให้ได้
ท่านจึงว่า ให้เป็นนั่น เป็นนี่
เพื่อจะได้ทำนั่น ทำนี่ให้สะดวกขึ้น"
-:- สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) -:-




"ฝ่ายหนึ่งเขาชั่ว เขาเสีย
ก็อภัยให้เขาไปตามเรื่องของเขา
เขาชั่ว เราอย่าไปชั่วกับเขา
เราเฉย เราไม่ตอบถ้อย ตอบคำของเขา
คำพูดของคนนั้น ก็นับวันจะเบาไป หมดไป
เพราะเราไม่สนใจ ไม่ทำชั่ว
เราสนใจในความดี"
-:- หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร -:-




เวลาภาวนาอย่าทิ้งกาย พิจารณาดูกายของเรานั่นล่ะ พิจารณาอสุภะอสุภัง มรรคผลนิพพานอยู่กับกายนั่นล่ะ ไม่ได้อยู่กับป่าไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ดู "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ให้มันเห็น มันอยู่กับตัวเรา ไม่ได้อยู่กับใคร ไม่ได้คาดหน้า ไม่ได้คาดหลังนะ แต่อยู่กับปัจจุบันของเรา ทุกข์สุขก็อยู่กับใจ ความดีความชั่วก็อยู่กับใจ ความไม่ดีไม่ชั่วก็อยู่กับใจ
.
ทุกข์ก็ใจของเราเป็นผู้คิด สุขก็ใจของเราเป็นผู้คิด มรรคผลนิพพานก็อยู่กับใจ ภาวนามันพาให้ใจเย็น ใจสบาย ความว่างความเย็นก็เป็นพระนิพพาน มรรคคือความสงบ ผลก็คือความสุข ถ้าตัดเข้ามา ถ้าพูดแบบปริยัติก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ มรรค แต่ตัดเข้ามรรคก็คือ "สงบ" ผลก็คือ "สุข"
.
ดูพระพุทธเจ้ากับสาวกท่านได้ดีกันก็เพราะ "ภาวนา" ก็ไม่ได้ดูที่ไหน ดูกายกับใจตัวเอง ให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความเกิดดับ บวชกันเข้ามาแล้วหาภาวนามันจะได้ไม่ทุกข์ อย่าพากันอยู่เฉยๆ ภาวนานั่นแหละมันดี มันพาให้สงบ เอาล่ะ!
.
หลวงปู่เพียร วิริโย





ถ้าเรารู้จักทำใจให้เฉย เราจะไม่เหนื่อยอกเหนื่อยใจกัน ที่เหนื่อยกันก็เพราะไม่ทำใจให้เฉย ชอบไปวุ่นกับเหตุการณ์ต่างๆ ก็เลยเหนื่อย แต่ถ้าทำใจให้เฉยเหมือนดูละคร ก็จะไม่เหนื่อย ถ้าดูละครแต่ไม่ทำใจให้เฉยก็เหนื่อยได้เหมือนกัน ปัญหาของพวกเราอยู่ที่ใจไม่นิ่งกัน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




"..ข้าวของพัสดุภายนอก เวลาเจ็บ เราไข้
ไม่เป็นประโยชน์เลย จะช่วยเราไม่ได้แม้แต่น้อยนี้
บ้านจะงามก็นอนไม่มีความสุข..
ข้าวของมากมายเท่าไหร่ ก็ช่วยบรรเทาความร้อนรน
อันเกิดจากทุกข์เวทนา..ให้มันน้อย..ไม่ได้
เวลาเราจะตายจริงๆ ใจของเราไม่ได้สนใจ..
กับข้าวของสมบัติที่เรามีอยู่ มาสนใจกับทุกข์เวทนา
คือความเจ็บความปวดแต่อย่างเดียวนี้.."
หลวงปู่แบน ธนากโร




การบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้หมดไปให้สิ้นไปแล้ว
ก็ไม่มีทางพ้นไปจากทุกข์ พ้นไปจากโลกนี้ได้
ถ้าเราบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา
มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาอย่างเดียว
ให้หมดให้สิ้นไปคือที่ว่าพ้นไปจากโลก
เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันที่ดับทุกข์โดยแท้
.
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ





"จิตวิ่งไปตามสัญญา ทีแรกก็เพียงสังขารปรุงไปต่างๆ ในที่สุดก็เป็นสัญญา ทำให้เพลิดเพลินเดี๋ยวไปเที่ยวนรกสวรรค์ ทำให้เจ้าของเสียสมาธิ เสียสติ เสียคุณธรรมในด้านภายใน แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่า ตัวเองได้คุณธรรมชั้นสูง แล้วก็ตื่นเงาตัวเอง"
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ
วัดราษฎรสงเคราะห์ จ.อุดรธานี





"ให้พิจารณาว่า กาย เวทนา จิต และ ธรรมนี้ ก็สักว่า เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนของ เรา เขาเป็นของไม่จีรังยั่งยืน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน เป็นของว่างเปล่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
พิจารณา กำหนดไปๆ นานต่อนาน จนกว่าจิตใจ จะหลุดพ้น จากความเกาะเกี่ยวเหนียวแน่นจากกิเลส ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริบูรณ์ ด้วยวิปัสสนาภาวนา เป็นอันดี ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนี้เรียกว่า เป็นแก่นสาร ปิดประตูอบายภูมิทั้ง 4 มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เที่ยงแท้แน่นอน"
ครูบาพรหมา พรหมจักโก
วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน




"เมื่อจิตเรามีกำลังจะกำหนดเพ่ง ภูตผี ปีศาจ เพ่งให้ตายก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านห้ามทำลายพวกภูติผี ปีศาจ หรือเปรต ท่านปรับอาบัติ เป็นถุลลัจจัย ท่านไม่ให้ไปทำลายเขา อำนาจของจิตนี้มันแข็ง ถ้าเราฝึกหัดจริงๆ อย่างท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านเคยพูดให้ฟัง เวลาไปที่ใด ผีมันเข็ดมันขวาง เดินผ่านไป ใจก็สัมผัสรู้ได้"
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
วัดประชาคมวนาราม จ.ร้อยเอ็ด





"ตูดไม่ใช่มีไว้นั่งหรือขี้อย่างเดียว ตูดเอาไว้นั่งสมาธิภาวนาด้วย คนบางคนเกิดมาทั้งชาติ ก็ไม่เคยนั่งสมาธิภาวนา"
พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต จ.อุดรธานี





บัวใต้น้ำดีเด่น
..ไปเถอะไปถือศีลภาวนา มันเป็นเรื่องดี คนบางคนอยู่วัดนาน เข้าวัดนาน จนยึดว่าวัดเป็นของเขา ของวัดเป็นของเขา พระในวัดก็เป็นพระของเขา อยู่จนชิน ชินบาปชินกรรม ไปวัดแทนที่จะไปเอาบุญไปเอาความดี กลับไปจับผิดจับชั่วคนอื่น พระท่านเทศน์ท่านสอนก็ไม่ฟังซะแล้ว หูมันสูงกว่าธรรมะ สูงกว่าพระเทศน์ บางคนมีตำแหน่งหน้าที่ในวัด บางคนมีหน้าที่ทางสังคม เป็นครูเป็นอาจารย์ เลยเป็นกะลาคว่ำ ฝนตกไม่เข้าในกะลา คนแบบนี้หลวงปู่เรียก "พวกบัวใต้น้ำดีเด่น"
ปทปรมะ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนโง่นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไม่เข้าวัดนะ บางคนฉลาดเกินธรรม ฉลาดเกินกรรม ฉลาดมากๆ ก็ไม่เห็นธรรมนะ ฉลาดในทางโลก ในทางถือตัวถือตนคิดว่าตนสูงกว่าคนอื่น จนลืมว่าดอกบัวของตัวเองกำลังหันลงสู่โคลน มีแต่นับวันจะจมลงเรื่อยๆ บัวชนิดนี้ บางดอกเป็นดอกเตอร์ บางดอกเป็นอาจารย์ บางดอกเป็นพลโท พลเอก บางดอกเป็นมรรคทายกก็มี นั้นหล่ะหลวงปู่จึงเรียก "บัวใต้น้ำดีเด่น"...
หลวงปู่หา สุภโร (หลวงปู่ไดโนเสาร์)
วัดสักกะวัน จ.กาฬสินธุ์





ถ้าพิจารณาดีๆ ก็จะรู้ว่าอันนั้นเกิดมาแล้วก็ดับไป
อันนี้เกิดมาแล้วก็ดับไป มีแต่สัญญาเท่านั้น
เอาเรื่องใหม่มาพิจารณาเป็นลูกโซ่ เอาคืนเป็นคืน วันเป็นวัน
อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ เรื่องการละวางมันวางไปหมดนะ
เพราะมันได้แยกแล้ว แยกกิเลสกับธรรมแล้ว
แต่พวกเรานี่ มีแต่พากันตะครุบเงา หลงเงาตัวเอง
นั่งเข้าๆ เวทนามากก็นอนเลย กรนครอกๆ กิเลสมันไชโยนะ
เพราะมันชนะ เดินจงกรมเหมือนกัน ส่งจิตออก
แล้วก็ยังจะมาอวด ว่าตัวเองทำความเพียร
ครูบาอาจารย์ท่านทำจริงนะ มาทำเล่นๆ ไม่ได้
ถ้าจะเอาตัวเองก็ต้องทำขนาดนั้นเลย
แต่ไม่เห็นครูบาอาจารย์ท่านตายนะ
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เทศน์อบรมพระเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗




ยุคมิคสัญญี
.ยุคนี้เป็นยุคมืด มันจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ คนดีจะน้อยลงไปเรื่อยๆ สังเกตดูเมื่อ ๕๐ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ มันต่างกันเยอะ คนเมื่อสมัย ๕๐ปีที่แล้วเข้าวัดทำบุญปฏิบัติธรรมกันเยอะ มาบวชกันเยอะ บวชทีก็อยู่กันครบพรรษา แต่เดี่ยวนี้บวชเช้าสึกเย็น คนมาทำบุญก็น้อย รักษาศีลกันก็น้อย บ่อนบาร์อาบอบนวดก็เยอะ มันอยู่ในยุคเสื่อม คนดีจะน้อยลงไปเรื่อยๆ..
..คนไม่ดีอยู่ด้วยกัน มันจะฆ่ากัน เรียกว่ายุคมิคสัญญี เพราะมันจะแก่งแย่งกัน ต่อไปมันจะพกอาวุธกันเต็มบ้านเต็มเมือง เจอกันที่ไหนก็ยิงกันเมื่อนั้น เป็นแก็งค์ เป็นเหล่า เป็นก๊กไป ในที่สุดก็จะฆ่ากัน..
ธรรมะชาวบ้าน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐





"..กาย คือสนามรบ
ยุทธภูมิของปัญญา
เพื่อใช้ขุดค้นให้พ้นจาก
กองทุกข์ทั้งปวง
ถ้าส่งจิตออกไปภายนอกร่างกาย
แล้วเป็นอันผิดมรรคภาวนา
เพราะบรรดาพระธรรมคำสอน
ของพระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอน
ประกาศพระศาสนาอยู่ตลอด
พระชนม์ชีพขอพระองค์นั้น
แนวทางการปฏิบัติไม่พ้นจากกาย
ดังนั้นกายจึงเป็นสนามรบ
กายจึงเป็นยุทธภูมิที่ปัญญา
จะต้องค้นเพื่อทำลายกิเลส
และกองทุกข์
ซึ่งจิตของเราทำเป็นธนาคาร
เก็บสะสม (กิเลสและกองทุกข์)
ไว้ภายใน หอบไว้ หาบไว้ หวงไว้
จนนับภพนับชาติไม่ได้
สัตว์ทั้งหลาย..
ไม่ว่าชนิดใดในสังสารวัฏนี้
ล้วนแต่ติดอยู่กับกายนี้ทั้งสิ้น.."
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร