วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 18:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 510 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 19, 20, 21, 22, 23, 24, 25 ... 34  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2019, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ

:b32:
เฮอๆๆๆไม่ดูแสงสีกันเลย
ยึดเห็นผิดเป็นใหญ่กันยู่
ตถาคตบอกจิตเห็นสีค่ะ
ตถาคตไม่ได้บอกว่าจิตเห็นตัวอักษร
และทรงย้ำอีกว่าไม่ให้เชื่อเพราะตำรา
ตัวอักษรใช่ตำราไหมยึดเห็นผิดยังคิดตามเห็นผิดกันยุ่อีก...บอกให้เริ่มฟัง
:b32: :b32: :b32:

ความว่างเปล่าจากสัตว์บุคคลตัวตน
รู้ตอนกำลังฟังคำสอนเข้าใจถูกตามได้
ตอนไม่ฟังก็มีตัวตนท่องจำบัญญัติคิดเอาไปทำ
แต่สังขารขันธ์ปรุงแต่งจิตถูกตามตอนกำลังฟังจะให้ว่าไงดี
ตอนไม่ฟัง...อาสาวะในจิตที่นอนก้นก็กระเพื่อมไปตามที่ส่งจิตออกไปตามเห็นผิดของตัวเอง
https://youtu.be/IcvYzJKu6fU
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2019, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เพียรบอกมากเลยค่ะ
อดทนในการบอก
ขอให้ฟังไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ให้เชื่อ
แต่ให้เวลาพิสูจน์
ว่าฟังเข้าใจรึเปล่า
แล้ววันหนึ่งจะกลับไป
กราบพระธรรม
กราบแล้วกราบอีก
ที่ยังมีบุญได้ยินได้ฟัง
:b16:
ขอร้องล่ะ
ฟังบ้างนะ
จะได้ไม่เสีย
ชาติที่ได้เกิดเป็นคนแล้ว
:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2019, 22:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2019, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง

:b32:
นิพพานคือนิโรธ1เดียวนะคะ
ต้องถึงมรรคก่อน ก่อนจะถึงผล และถ้าไม่ถึงอรหัตตผลก่อนก็ยังไม่รู้นิพพานคือนิโรธ1ค่ะ
นิพพานหวังไม่ได้ไม่ต้องถามหาเพราะยังไม่รู้ว่าทำมรรคแรกทำยังไงยังไม่หมดอยากรู้ถึงทำไงคะบอกให้ฟัง

รู้ทุกข์
ไม่รู้ว่าทุกข์เพราะมีตัวตน

ละสมุทัย
ไม่ละตัวตนเพราะไม่รู้ว่าทุกข์เพราะยึดตัวตนเป็นใหญ่คิดเองทำเองไม่คิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงมรรคถึงผลถึงนิพพาน
มันถึงได้ตามลำดับปัญญาจากมรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิคือความคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามคำสอนได้ก่อนไปทำ
ถ้าคิดเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ถูกตามคำสอนอยู่ก็แปลว่าคิดตามเห็นผิดเพราะกำลังเห็นและไม่รู้ว่าเห็นคือจิต
:b12:
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 06 พ.ค. 2019, 04:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2019, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง

:b32:
นิพพานคือนิโรธ1เดียวนะคะ
ต้องถึงมรรคก่อน ก่อนจะถึงผล และถ้าไม่ถึงอรหัตตผลก่อนก็ยังไม่รู้นิพพานคือนิโรธ1ค่ะ
นิพพานหวังไม่ได้ไม่ต้องถามหาเพราะยังไม่รู้ว่าทำมรรคแรกทำยังไงยังไม่หมดอยากรู้ถึงทำไงคะบอกให้ฟัง

รู้ทุกข์
ไม่รู้ว่าทุกข์เพราะมีตัวตน

ละสมุทัย
ไม่ละตัวตนเพราะไม่รู้ว่าทุกข์เพราะยึดตัวตนเป็นใหญ่คิดเองทำเองไม่คิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงมรรคถึงผลถึงนิพพาน
มันถึงได้ตามลำดับปัญญาจากมรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิคือความคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามคำสอนได้ก่อนไปทำ
ถ้าคิดเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ถูกตามคำสอนอยู่ก็แปลว่าคิดตามเห็นผิดเพราะกำลังเห็นและไม่รู้ว่าเห็นคือจิต
:b12:
:b32: :b32:

อยากรู้เมื่อไหร่ปิดกั้นนิพพานทันที
เพราะนิพพานถึงได้โดยหมดอยากรู้
นิโรธพ้นโลกแล้วไม่ใช่อรหัตตมรรคด้วย
คือเลือกทำไม่ได้ต้องฟังให้เข้าใจเอาปัญญาก่อน
ตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วได้เท่านั้นค่ะ
เพราะทุกขณะจิตมีครบ5ขันธ์
https://youtu.be/_QkTn_-AmM8
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2019, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
รู้จักพระเตมีย์ใบ้ไหมคะ...สละสมบัติจักรพรรดิจริงๆ
จะบรรพชาสละหลอกๆอย่าบวชเลยเสียชาติเกิดเปล่าๆ
ฟังสัก1รอบไม่เข้าใจก็ฟังใหม่จนกว่าจะรู้ว่าไม่สมควรบวชเลย
เพราะสละไม่ได้เลยแม้แต่สมมุติชื่อในบัตรประชาชนติดใจไปหมดเอาทุกชื่อเงินในบัญชีก็จะเอาอยู่บวชไม่ได้
:b32: :b32:
https://youtu.be/gxmwiu-1YdA


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2019, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ใจอยากไปทำเพราะอยากรู้
แต่อยากรู้ยังไงก็รู้ไม่ได้ค่ะ
เพราะปัญญามียังไม่พอ
ต่อความต้องการค่ะ
เพราะอยากถึง
คิดติดข้องต้องการเพิ่ม
คือนันทิ/โลภะ/ราคะ/ตัณหา/อวิชชา/อยากได้/อยากมี/อยากเป็น/อยากเห็น/เอาเพิ่ม/ทำเพิ่มเพราะไม่รู้
แต่นิพพานถึงได้โดยหมดอยากถึงคือละอวิชชาละตัณหาละอุปาทานขันธ์5ว่ามีตัวตนคือละไม่รู้ได้ก่อนไปทำ
:b12:
:b16: :b16:


อ้างคำพูด:
ใจอยากไปทำเพราะอยากรู้

แต่อยากรู้ยังไงก็รู้ไม่ได้ค่ะ

เพราะปัญญามียังไม่พอ


ต่อความต้องการค่ะ


พ่ะน่ะ อยากรู้ยังงี้ล่ะ ตัวอย่างง่ายๆ อยากรู้ว่า ตำน้ำพริกเขาใส่อะไรบ้าง เราก็ไปเรียน ก็จึงรู้ว่า อ้อ เขาใส่พริก กะปิ กะเทียม ลงในครกตำๆโคลกๆ บีบมะนาวใส่ลงไป ก็จึงกลายเป็นน้ำพริก มีปลาทูทอดกรอบๆ มีผัก มีข้าวสวยร้อนๆ สวรรค์เลยทีนี้ น้ำลายหยดสามแหมะ :b32:

https://scm-assets.constant.co/scm/unil ... 067578.jpg

พอไหม คิกๆๆๆ

พุทธในเมืองไทยไปไม่รอด

cool
ตัวตนคนก็เหมือนน้ำพริกที่สำเร็จแล้วแหลกละเอียดจนไม่เหลือซากตัวตน/ตัวอยู่ไหนคะมีตัวไหมคะ
ถ้ายังมีตัวแปลว่ายังมีกิเลสแปลว่าอวิชชาไหลแล้วเพราะไม่รู้ว่าก่อนจะเป็นตัวมีอะไรเอามาคลุกรวมกันบ้าง
https://youtu.be/pNUhjkteKt8


อ่ะน่ะ นี่ไงตัวตน "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ แปลว่า ตนแลเป็นที่แห่งตน" :b32:

รูปภาพ

ซึ่งก็เหมือนน้ำพริกปลาทูเห็นๆอยู่นั่นแล. :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2019, 06:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง

:b32:
นิพพานคือนิโรธ1เดียวนะคะ
ต้องถึงมรรคก่อน ก่อนจะถึงผล และถ้าไม่ถึงอรหัตตผลก่อนก็ยังไม่รู้นิพพานคือนิโรธ1ค่ะ
นิพพานหวังไม่ได้ไม่ต้องถามหาเพราะยังไม่รู้ว่าทำมรรคแรกทำยังไงยังไม่หมดอยากรู้ถึงทำไงคะบอกให้ฟัง

รู้ทุกข์
ไม่รู้ว่าทุกข์เพราะมีตัวตน

ละสมุทัย
ไม่ละตัวตนเพราะไม่รู้ว่าทุกข์เพราะยึดตัวตนเป็นใหญ่คิดเองทำเองไม่คิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงมรรคถึงผลถึงนิพพาน
มันถึงได้ตามลำดับปัญญาจากมรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิคือความคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามคำสอนได้ก่อนไปทำ
ถ้าคิดเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ถูกตามคำสอนอยู่ก็แปลว่าคิดตามเห็นผิดเพราะกำลังเห็นและไม่รู้ว่าเห็นคือจิต
:b12:
:b32: :b32:


ไปถามท่านอาจารย์สุจินด์ดูสิครับ พระโสดาบันถึงนิพพานมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2019, 20:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง


หลังจากคุณเลิฟตอบกลับมานี้..มีประเด็น..ที่คิดจะพูดเยอะ.

เด้วเอาแค่..คำว่า.." นิโรธไม่แจ้ง". ก่อนนะครับ..

คำนี้...หมายความว่าอย่างไร..คุณเลิฟพอจะอธิบายเพิ่มเติมได้มั้ยครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2019, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง


หลังจากคุณเลิฟตอบกลับมานี้..มีประเด็น..ที่คิดจะพูดเยอะ.

เด้วเอาแค่..คำว่า.." นิโรธไม่แจ้ง". ก่อนนะครับ..

คำนี้...หมายความว่าอย่างไร..คุณเลิฟพอจะอธิบายเพิ่มเติมได้มั้ยครับ?


ครับลุงกบ

วันก่อนผมไม่ได้ทบทวนให้ดีนักจะบอกว่า .... เพียงแต่ '' นิโรธยังไม่แจ้ง ''
ที่ว่านิโรธยังไม่แจ้งคือ ราคะ โทสะ โมหะ ยังเหลืออยู่ กิจที่ต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ยังมีอยู่

พูดแบบบ้าน ๆ คือ พระโสดาบันได้รู้รสชาติพระนิพพานครั้งแรกครู่หนึ่ง ออกจากสภาวะนั้นท่านก็คิด
ใคร่ครวญถึงธรรมนั้นว่าเป็นธรรมอันสงบ ความเดือดร้อนไม่มีในนิพพาน ท่านใคร่รู้ใคร่เห็นธรรมนั้นอีก
มรรคก็เจริญ ไม่ว่าท่านจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2019, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง

:b32:
นิพพานคือนิโรธ1เดียวนะคะ
ต้องถึงมรรคก่อน ก่อนจะถึงผล และถ้าไม่ถึงอรหัตตผลก่อนก็ยังไม่รู้นิพพานคือนิโรธ1ค่ะ
นิพพานหวังไม่ได้ไม่ต้องถามหาเพราะยังไม่รู้ว่าทำมรรคแรกทำยังไงยังไม่หมดอยากรู้ถึงทำไงคะบอกให้ฟัง

รู้ทุกข์
ไม่รู้ว่าทุกข์เพราะมีตัวตน

ละสมุทัย
ไม่ละตัวตนเพราะไม่รู้ว่าทุกข์เพราะยึดตัวตนเป็นใหญ่คิดเองทำเองไม่คิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงมรรคถึงผลถึงนิพพาน
มันถึงได้ตามลำดับปัญญาจากมรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิคือความคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามคำสอนได้ก่อนไปทำ
ถ้าคิดเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ถูกตามคำสอนอยู่ก็แปลว่าคิดตามเห็นผิดเพราะกำลังเห็นและไม่รู้ว่าเห็นคือจิต
:b12:
:b32: :b32:


ไปถามท่านอาจารย์สุจินด์ดูสิครับ พระโสดาบันถึงนิพพานมั้ย

ใครสงสัยก็ถามสิคะ
มีแต่คนไม่รู้ค่ะที่จะถาม
เพราะคนที่เข้าใจจะไม่ถาม
เพราะไม่ได้ลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
แค่นี้ก็ไม่คิด :b32: นิพพานเที่ยงไม่เกิดคืออเสขะบุคคล
ส่วนจะอริยะระดับไหนก็ตามถ้ายังไม่ถึงอรหัตตผลก็ยังไม่หลุดพ้นยังเกิดอยู่แค่นี้ยังคิดไม่ได้
ก่อนถึงนิพพานยังไง๊ยังไงก็ไม่หลุดพ้นยังกลับมาเวียนไหว้ตายเกิดอยู่ค่ะจำแม่นๆนิพพานเท่านั้นไม่เกิดค่ะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2019, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ส่วนที่ไปนั่งมโนเดาสภาวะธรรมที่รู้สึกมืดมิด
โดยขาดการฟังคำสอนไม่ไตร่ตรองตามก่อนไปทำ
จะมีปัญญาเพิ่มได้ที่ไหนเพราะปัญญาเพิ่มได้ทีละ1ขณะ
ตอนกำลังปรุงแต่งจิตถูกตรงตามทีละคำได้ตรงสัจจะที่กายมีลืมตาตื่นรู้ความจริงไม่เดาค่ะ
คิดตามไปติดๆทีละคำแล้วก็ที่ไม่ฟังแต่ไปนั่งหลับตาคิดแล้วเดาความรู้สึกแบบมืดๆจะไปแบบมืดต่อไปหรือคะ
https://youtu.be/QsvzeRFJ4Ew
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2019, 00:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ความจริงพิสูจน์ได้ตอนฟัง
ก็การฟังคำสอนจนเข้าใจนั้น
เปิดเผยความจริงเหมือนตาเห็น
ดูกิเลสของบรรพชิตแก้ผ้าโทงเทงเลยค่ะ
:b32: :b32:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2019, 00:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
Rosarin เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Love J. เขียน:
ความสุขในโลกมีอยู่ แต่ความสุขในโลกนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะเหตุที่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความสุขในโลกจึงเป็นทุกข์
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )


คำว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

หมายถึง..ความ.ไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา ??

หรือครับ?


หมายถึง วิราคะ วิมุติ วิมุติญาณทัศณะ ครับ


แล้วจะวงเล็บ.."เป็นอนัตตา"...ทำไมละคับ?

Love J. เขียน:
คือ จะบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา .. เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน

ว่างเปล่าจากตัวตนบุคคลสักหนนึงก่อน หรือ ต้องบรรลุโสดาปัตติผลก่อนประมาณนี้
อ่าครับ .. อันนี้เป็นเพียงความเข้าใจของผมตามที่เห็นนะครับ


ยิ่งอธิบาย..ก็ยิ่งพันกัน..สับสนในตัว..นะครับ..

" เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาได้
เราต้องเข้าถึงความดับทุกข์ นิโรธ หรือ นิพพาน ธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาอุปาทาน
"

นี้..คุณเลิฟกำลังจะบอกว่า...จะเห็นอนัตตาหลังนิโรธ...อยู่นะครับ
รู้ตัวรึเปล่า?

อนัตตา...นั้น..เห็นตั้งกะ..ตอนเป็นโสดาบันแล้วครับ..ยังไม่นิโรธเลยนะครับนั้น
โสดาบันยังทุกข์อยู่...

ไปไล่ดูลำดับวิปัสสนาญาณ..ก็ได้ครับ...

้ต้นเหตุ..ของคำคำนี้..."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ผมคิดว่า...เนื่องมาจาก..การตีความในอนัตตลักขณสูตร..ผิดผิด..ตามตามกันมา

อ้างคำพูด:
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.


มักเข้าใจ..ว่า..

ไม่เที่ยง...คือ..อนิจจลักษณะ
เป็นทุกข์..คือ..ทุกขลักษณะ
ไม่ควรเห็นสิ่งนั้นนั้น..เป็นตน..คือ..อนัตตลักษณะ

อาจเป็นเพราะ...พอเห็นชื่อพระสูตร...ก็เลยคิดว่ามีแค่..ไตรลักษณะ..เท่านั้น
ก็เลยเป็นที่มา..คำของเลิฟ...ที่ว่า.."ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ( เป็นอนัตตา )"

ทั้งๆที่ในพระสูตร..พระองค์ท่าน..สอนว่าโลกทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์...เป็นทุกข์เพราะยึด..ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์..คือ..บอกทั้งไตรลักษณ์..บอกทั้งเหตุของทุกข์..และทางพ้นทุกข์..อันเป็นอริยะสัจ 4..ครบจบ

พอจะเห็น..เหตุที่ทำให้แปลกๆ..ในคำของตน..ยังคับ
:b12: :b12: :b12:


ขอโทษทีครับลุงกบ พอดีผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงมาอธิบายช้า ผมขออธิบายสั้น ๆ นะครับ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ... เราจะเห็นธรรมทั้งปวงเมื่อเรา
ถึง อสังขาร หรือ อสังขตธรรม ถ้ายังไม่ถึงก็เป็นเพียงอนุโลมให้เกิดญาณ ไม่รู้ใช้คำถูกรึเปล่านะคัรบ

จะอุปมาเหมือนเราจะบอกว่าเห็นพีระมิดโดยไม่มีส่วนเหลือ ... เราก็ต้องไปถึงจุดยอดสุดของพีระมิต
ถ้ายังไม่ถึงแล้วจะเห็นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส

พระโสดาบันก็เห็นนิโรธแล้วครับ ท่านจึงว่ารู้อริยสัจ ๔ เพียงแต่นิโรธไม่แจ้ง

:b32:
นิพพานคือนิโรธ1เดียวนะคะ
ต้องถึงมรรคก่อน ก่อนจะถึงผล และถ้าไม่ถึงอรหัตตผลก่อนก็ยังไม่รู้นิพพานคือนิโรธ1ค่ะ
นิพพานหวังไม่ได้ไม่ต้องถามหาเพราะยังไม่รู้ว่าทำมรรคแรกทำยังไงยังไม่หมดอยากรู้ถึงทำไงคะบอกให้ฟัง

รู้ทุกข์
ไม่รู้ว่าทุกข์เพราะมีตัวตน

ละสมุทัย
ไม่ละตัวตนเพราะไม่รู้ว่าทุกข์เพราะยึดตัวตนเป็นใหญ่คิดเองทำเองไม่คิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงมรรคถึงผลถึงนิพพาน
มันถึงได้ตามลำดับปัญญาจากมรรคแรกคือสัมมาทิฏฐิคือความคิดเห็นถูกเข้าใจถูกตามคำสอนได้ก่อนไปทำ
ถ้าคิดเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ถูกตามคำสอนอยู่ก็แปลว่าคิดตามเห็นผิดเพราะกำลังเห็นและไม่รู้ว่าเห็นคือจิต
:b12:
:b32: :b32:


ไปถามท่านอาจารย์สุจินด์ดูสิครับ พระโสดาบันถึงนิพพานมั้ย

ใครสงสัยก็ถามสิคะ
มีแต่คนไม่รู้ค่ะที่จะถาม
เพราะคนที่เข้าใจจะไม่ถาม
เพราะไม่ได้ลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
แค่นี้ก็ไม่คิด :b32: นิพพานเที่ยงไม่เกิดคืออเสขะบุคคล
ส่วนจะอริยะระดับไหนก็ตามถ้ายังไม่ถึงอรหัตตผลก็ยังไม่หลุดพ้นยังเกิดอยู่แค่นี้ยังคิดไม่ได้
ก่อนถึงนิพพานยังไง๊ยังไงก็ไม่หลุดพ้นยังกลับมาเวียนไหว้ตายเกิดอยู่ค่ะจำแม่นๆนิพพานเท่านั้นไม่เกิดค่ะ
:b12:
:b32: :b32:


อย่างนี้เค้าเรียกไม่ลังเลสงสัยในทิฏฐิตนเอง พูดไปเรื่อยเปื่อยจะอิงอรรถอิงธรรมเสียหน่อยไม่มี :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2019, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
การไปนั่งดูลมหายใจสั้นยาวนั้นน่ะมีสะดุดตอนดับไหมคะ
ดับน่ะมันคือขณิกมรณะไม่มีลมหายใจทุกขณะจิต
มันดับเกินแสนโกฏิขณะเป็นล้านล้านขณะ
แล้วไปนั่งมโนจนกายหายหมดได้นั้น
จะรู้จักขณิกมรณะไหมคะเพราะนั่งหลับตาจนกายหายรู้แค่ว่าใจไม่ตาย
เพราะมีการสืบต่อด้วยภวังคจิตยาวๆเป็นอากาศที่ไม่รู้คิดตามคำสอนเป็นคำๆเป็นขณะๆ
สมาธิตรงปัจจุบันขณะต่อเนื่องบ่อยๆเกิดกุศลประกอบความรู้ถูกเข้าใจถูกตามคำสอนตอนฟังตลอดเวลาค่ะ
:b12:
:b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 08 พ.ค. 2019, 00:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 510 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 19, 20, 21, 22, 23, 24, 25 ... 34  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร