วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 14:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 510 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 34  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:



อ้อ คนจนคนไม่มีจะกิน คือ ขาดศีลธรรมนำชีวิต :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:



อ้อ คนจนคนไม่มีจะกิน คือ ขาดศีลธรรมนำชีวิต :b1:

:b8:

ทั้งสองฝ่ายแหละครับ คนจนนี้ก็เคยทำกรรมไม่ดีมา
ในชาติปางก่อน มาชาตินี้ก็เลยต้องรับผลของกรรม เรา
มิอาจรู้ได้ว่าอดีตเราได้ทำอะไรไว้บ้าง

คนที่มีศีล มีธรรมและยิ่งปฏิบัติด้วยแล้วจะไม่ร้อนรน
ขนาดนี้นะผมว่า

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:



อ้อ คนจนคนไม่มีจะกิน คือ ขาดศีลธรรมนำชีวิต :b1:

:b8:

ทั้งสองฝ่ายแหละครับ คนจนนี้ก็เคยทำกรรมไม่ดีมา
ในชาติปางก่อน มาชาตินี้ก็เลยต้องรับผลของกรรม เรา
มิอาจรู้ได้ว่าอดีตเราได้ทำอะไรไว้บ้าง

คนที่มีศีล มีธรรมและยิ่งปฏิบัติด้วยแล้วจะไม่ร้อนรน
ขนาดนี้นะผมว่า

:b8:


อ้อ คนจนคือคนที่ทำกรรมไม่ดีมาแต่ปางก่อน เมื่อชาติที่แล้วจน มาเกิดเป็นคนในชาตินี้เลยต้องจนกันต่อไป

ออกแนวๆ การจัดแบ่งวรรณะของพราหมณ์ในอินเดียเลยนะนี่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:



อ้อ คนจนคนไม่มีจะกิน คือ ขาดศีลธรรมนำชีวิต :b1:

:b8:

ทั้งสองฝ่ายแหละครับ คนจนนี้ก็เคยทำกรรมไม่ดีมา
ในชาติปางก่อน มาชาตินี้ก็เลยต้องรับผลของกรรม เรา
มิอาจรู้ได้ว่าอดีตเราได้ทำอะไรไว้บ้าง

คนที่มีศีล มีธรรมและยิ่งปฏิบัติด้วยแล้วจะไม่ร้อนรน
ขนาดนี้นะผมว่า

:b8:


อ้อ คนจนคือคนที่ทำกรรมไม่ดีมาแต่ปางก่อน เมื่อชาติที่แล้วจน มาเกิดเป็นคนในชาตินี้เลยต้องจนกันต่อไป

ออกแนวๆ การจัดแบ่งวรรณะของพราหมณ์ในอินเดียเลยนะนี่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:



อ้อ คนจนคนไม่มีจะกิน คือ ขาดศีลธรรมนำชีวิต :b1:

:b8:

ทั้งสองฝ่ายแหละครับ คนจนนี้ก็เคยทำกรรมไม่ดีมา
ในชาติปางก่อน มาชาตินี้ก็เลยต้องรับผลของกรรม เรา
มิอาจรู้ได้ว่าอดีตเราได้ทำอะไรไว้บ้าง

คนที่มีศีล มีธรรมและยิ่งปฏิบัติด้วยแล้วจะไม่ร้อนรน
ขนาดนี้นะผมว่า

:b8:


อ้อ คนจนคือคนที่ทำกรรมไม่ดีมาแต่ปางก่อน เมื่อชาติที่แล้วจน มาเกิดเป็นคนในชาตินี้เลยต้องจนกันต่อไป

ออกแนวๆ การจัดแบ่งวรรณะของพราหมณ์ในอินเดียเลยนะนี่ :b1:

:b8:

พี่ลองพิจารนาดูสิครับ พระองค์ทรงตรัสไว้
ทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ย่อมมี เมื่อสิ่งนี้ดับสิ่งนี้ย่อมดับ

เมื่อเราทำดีในปัจจุบัน ผลคืออนาคตเราก็ย่อมจะดี

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


รูปภาพ

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:



อ้อ คนจนคนไม่มีจะกิน คือ ขาดศีลธรรมนำชีวิต :b1:

:b8:

ทั้งสองฝ่ายแหละครับ คนจนนี้ก็เคยทำกรรมไม่ดีมา
ในชาติปางก่อน มาชาตินี้
ก็เลยต้องรับผลของกรรม เรา
มิอาจรู้ได้ว่าอดีตเราได้ทำอะไรไว้บ้าง

คนที่มีศีล มีธรรมและยิ่งปฏิบัติด้วยแล้วจะไม่ร้อนรน
ขนาดนี้นะผมว่า

:b8:


อ้อ คนจนคือคนที่ทำกรรมไม่ดีมาแต่ปางก่อน เมื่อชาติที่แล้วจน มาเกิดเป็นคนในชาตินี้เลยต้องจนกันต่อไป

ออกแนวๆ การจัดแบ่งวรรณะของพราหมณ์ในอินเดียเลยนะนี่ :b1:

:b8:

พี่ลองพิจารนาดูสิครับ พระองค์ทรงตรัสไว้
ทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ย่อมมี เมื่อสิ่งนี้ดับสิ่งนี้ย่อมดับ

เมื่อเราทำดีในปัจจุบัน ผลคืออนาคตเราก็ย่อมจะดี

:b8:


คุณนิยาม"ความดี" ยังไงอ่ะ "ความจน" ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิวัติส่งผลมาถึงตรงนี้ด้วย

รูปภาพ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

ตรรกะถนนลูกรังหมดประเทศ โดดจากโน่นมานี่ เสร็จจากนี่ น่าจะไป สว.อีกมั้ย :b1: รอดู

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ชาวลำปาง ยื่นค้าน พรบ.อุทยานฯ กระทบวิถีชุมชน ชี้คนร่างกฎหมายอยู่ในห้องแอร์ ไม่เข้าใจชาวบ้าน

สมชาติ ยังมองว่า ชาวบ้านที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าควรได้รับความเป็นธรรม แต่กลับไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับภาคประชาชนเป็นร่างคู่ขนานแล้ว กลับไม่ได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรี

“ถามว่าชาวบ้านที่รักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมเขาถึงไม่ได้มีส่วนร่วม ผมรักษาป่าทุกวันนี้ หน้าที่มีไฟป่าเราก็ทำแนวกันไฟกันแทบตาย อยู่ๆ อุทยานฯ บอกว่า พื้นที่นี้เป็นของอุทยานฯ ห้ามใช้ของป่า ห้ามขายหน่อ ห้ามเก็บของป่า แล้วถามว่าเขารักษาป่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน”


https://www.khaosod.co.th/wp-content/up ... 96x403.jpg

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2154832

:b8:

อยากมากก็ทุกข์มาก มีมากก็ทุกข์มาก(เพราะหวง ห่วง ระหวาดระแวง
กลัวเขาจะลักจะขโมย จะโกง จะสูญเสียไป รู้จักนำเมตตาจิตมาใช้ก็จะ
อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่แล้ว พระพุทธองค์
ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

:b8:



คิกๆๆ

อย่าไปคิดว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่ปัญหามันมีว่า ยังไม่ตายไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีที่อาศัย

:b8:

ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณตน และไร้เมตตาความวุ้นวาย
ก็เลยเกิดขึ้นมากไงครับ

ขาดศีลขาดธรรม นำชีวิตให้ตกต่ำ

:b8:



อ้อ คนจนคนไม่มีจะกิน คือ ขาดศีลธรรมนำชีวิต :b1:

:b8:

ทั้งสองฝ่ายแหละครับ คนจนนี้ก็เคยทำกรรมไม่ดีมา
ในชาติปางก่อน มาชาตินี้ก็เลยต้องรับผลของกรรม
เรา
มิอาจรู้ได้ว่าอดีตเราได้ทำอะไรไว้บ้าง

คนที่มีศีล มีธรรมและยิ่งปฏิบัติด้วยแล้วจะไม่ร้อนรน
ขนาดนี้นะผมว่า

:b8:


อ้อ คนจนคือคนที่ทำกรรมไม่ดีมาแต่ปางก่อน เมื่อชาติที่แล้วจน มาเกิดเป็นคนในชาตินี้เลยต้องจนกันต่อไป

ออกแนวๆ การจัดแบ่งวรรณะของพราหมณ์ในอินเดียเลยนะนี่ :b1:



ข้อหนึ่งเป็นลัทธิเป็นความเชื่อของนิครนถ์


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสนกับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะกรรมเก่า (past-action) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท


๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ (theistic determinism) เรียกสั้นๆว่า อิศวรกรณวาท หรืออิศวรนิรมิตวาท


๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย (indeterminism หรือ accidentalism) หรือเรียกสั้นๆว่า อเหตุวาท

ทั้งนี้ตามพุทธพจน์ที่ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิเดียรถีย์ ๓ ระบบเหล่านี้ ถูกบัณฑิตไต่ถาม ซักไซ้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างการถือสืบๆกันมา

ยืนกรานอยู่ในหลักอกิริยา (การไม่กระทำ) คือ

๑. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน (ปุพฺเพกตเหตุ)


๒. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า (อิสฺสรนิมฺมานเหตุ)


๓. สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนหาเหตุหาปัจจัยมิได้ (อเหตุอปจฺจย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ อ่านทำความเข้าใจหลายๆรอบโดยเฉพาะพวกที่หนึ่ง (พวกแรกเนื้อความเต็ม สองพวกหลังตัดข้อความที่ซ้ำๆกันออก)



“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๓ พวกนั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๑) แล้ว ถามว่า “ทราบว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?” ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่าจริง
เราก็กล่าวกะเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ
จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ
จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์....เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มี มิจฉาทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”


“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ ย่อมไม่มี
เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และสิ่งไม่ที่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้
นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ ผู้มีวาทะ มีทิฐิ อย่างนี้”


“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๒ ) กล่าวกะเขาว่า ท่านจักเป็นผู้ทำปาณาติบาต ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุ
จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน...
ประพฤติอพรหมจรรย์...
กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุน่ะสิ”


“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี ฯลฯ

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๓ ) กล่าวกะเขาว่า “ท่านก็จักเป็นผู้ทำปาณาติบาต โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน....
ประพฤติอพรหมจรรย์....
กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยน่ะสิ”

“ภิกษุ ทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาความไม่มีเหตุไม่มีเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่ มี ฯลฯ”

โดยเฉพาะลัทธิที่ ๑ คือ ปุพเพกตวาทนั้น เป็นลัทธิของนิครนถ์ ดังพุทธพจน์ว่า

"ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า “สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใด ที่บุคคลได้เสวย ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ตัวทำไว้ในปางก่อน โดยนัยนี้ เพราะกรรมเก่าหมดสิ้นไปด้วยตบะ ไม่ทำกรรมใหม่ ก็จะไม่ถูกบังคับต่อ ไป เพราะไม่ถูกบังคับต่อไป ก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา ก็จักเป็นอันสลัด ทุกข์ให้หมดสิ้น ภิกษุทั้งหลาย พวกนิครนถ์มีวาทะอย่างนี้” (ม.อุ.14/2/1)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2019, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดี ว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี
เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และสิ่งไม่ที่ควรทำ โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้...



เมื่อคิดเสียอย่างนั้นแล้ว ใจถอดใจสารภาพ ยอม แก้ไขอะไรไม่ได้ ลงนอนเลย ขาดเพียรพยายาม เพราะฉะนั้น ก็จึงเกิดมีทั้งโหร ทั้งหมอดู เสนอว่า ถ้าจะแก้กรรม ต้องให้เขาปี้ ว่า :b32: ตัวอย่างมีมาแล้ววิธีแก้กรรมแบบบ้านเรา เพราะความเข้าใจกรรมหลักพระพุทธศาสนาผิดไปไกลเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นแนวคิดเกี่ยวกับทรัพย์ของพระพุทธศาสนาชัดขึ้นกว้างขึ้น จึงตัดตอนท้ายๆหมวดศีลมาดูกัน

คำแถมท้าย

พูดถึงคฤหัสถ์ เห็นควรสรุปเรื่องนี้ ด้วยการกล่าวถึงข้อปฏิบัติบางอย่างที่ควรเน้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับโภคทรัพย์ ดังนี้

ก. ในแง่บุคคล ควรดำเนินตามพุทธปฏิปทาที่นิยมยกย่องคนมั่งมีทรัพย์ เฉพาะแต่ผู้ที่ร่ำรวยขึ้นมาด้วยความขยันหมั่นเพียรโดยทางสุจริตชอบธรรม และใช้ทรัพย์นั้นทำสิ่งดีงาม บำเพ็ญประโยชน์ คือ ยกย่องความเป็นคนดีมีประโยชน์ เหนือความมีทรัพย์

โดยเฉพาะ จะต้องฝึกสอนอบรมอนุชน (คนรุ่นใหม่) ให้มีค่านิยมที่จะเห็นเป็นความดีงามความสามารถอันน่าภาคภูมิใจ ต่อเมื่อได้สร้างโภคทรัพย์นั้น ด้วยความเพียรโดยสุจริต และมีความตั้งใจมุ่งหมายที่จะให้ทรัพย์นั้นทำสิ่งที่ดีงาม บำเพ็ญประโยชน์

การนิยมยกย่องคนเพียงเมื่อเห็นเขาเป็นคนมั่งมี โดยคิดว่า เขาเป็นคนมีบุญ ได้ทำกรรมดีไว้ในปางก่อน (ชาติก่อน) ไม่มองดูการสร้างเหตุแห่งความมั่งมีของเขาในชาติปัจจุบัน นับว่าเป็นการปฏิบัติผิดจากแนวทางของพระพุทธศาสนาทั้ง ๒ ด้าน คือ ทั้งเป็นการไม่ดำเนินตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้าดังที่กล่าวข้างต้น และทั้งเป็นการไม่ใช้ปัญญาสืบสาวเหตุปัจจัยให้ตลอดสาย

โดยเฉพาะเหตุปัจจัยในชาติปัจจุบัน เป็นส่วนที่สัมพันธ์โดยตรงใกล้ชิดกว่า จึงต้องพิจารณา และให้ความสำคัญมากกว่า ส่วนกรรมปางก่อน จะช่วยได้ ก็เพียงเป็นพื้นฐานเดิมที่สนับสนุน เช่น ร่างกาย ความถนัด เชาวน์ไวไหวพริบ และจริตนิสัยบางอย่างที่เกื้อกูลแก่การนั้น

หากจะมองกรรมปางก่อนเป็นเหตุสำคัญ ก็จะได้เฉพาะคนที่เกิดมาในครอบครัวที่มั่งมีอยู่แล้ว และแม้ในกรณีเช่นนี้ พระพุทธเจ้าก็หาได้ทรงยกเป็นข้อสำหรับที่จะยกย่องสรรเสริญไม่ เพราะหลักทั่วไปของพระพุทธศาสนา ไม่ถือความประเสริฐเพียงเพราะชาติตระกูลอยู่แล้ว

จุดที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญสำหรับบุคคลเช่นนั้น คือ กรรมดีงามที่เป็นเหตุให้เขามาได้รับผลอันน่าปรารถนานี้ต่างหาก ส่วนการที่เขาเกิดมาในความมั่งมีพรั่งพร้อมอยู่แล้วนั้น ก็เป็นอันว่าเขาได้รับผลดีของเขาอยู่แล้ว ไม่จำต้องยกเอามาสรรเสริญอีก ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า นั่นเป็นทุนเดิม หรือพื้นฐานดี ซึ่งทำให้เขามีโอกาสดี หรือพร้อมดีกว่าผู้อื่น หรือจะพูดว่าได้เปรียบคนอื่น ในการที่จะก้าวต่อไปในชาตินี้

เป็นอันว่า ผลของเรื่องเก่าได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถึงจุดเริ่มต้นใหม่ จุดที่พระพุทธเจ้าจะทรงติเตียนหรือสรรเสริญสำหรับคนเช่นนี้ ก็อยู่ที่ว่า เขาจะปฏิบัติต่อทุนเดิมหรือพื้นฐานดีที่เขามีอยู่แล้วนั้นอย่างไร

ส่วนสำหรับกรณีทั่วไป ก็ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น คือ จะทรงยกย่องสรรเสริญ หรือติเตียน ก็อยู่ที่ว่ากรรมอันเป็นวิธีที่เขากระทำเพื่อให้เกิดทรัพย์นั้น สุจริตชอบธรรมหรือไม่ และเขาปฏิบัติต่อโภคทรัพย์นั้นอย่างไร

พูดอีกอย่างหนึ่ง ให้ตรงจุดว่า มิใช่ความมั่งมี หรือคนมั่งมีดอก ที่พระพุทธเจ้าทรงติเตียนหรือสรรเสริญ พระพุทธเจ้าทรงติเตียนหรือสรรเสริญ ที่การกระทำของคนมั่งมีต่างหาก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข. ในแง่สังคม ตามหลักพระพุทธศาสนา ทรัพย์เป็นอุปกรณ์ หรือเป็นปัจจัยอุดหนุนชีวิต ไม่ใช่จุดหมายของชีวิต ทรัพย์จึงควรเป็นเครื่องช่วยให้มนุษย์มีความสะดวกมากขึ้น และพร้อมมากขึ้น ในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม และทำกิจที่ดีงาม เพื่อเข้าถึงสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นไป

ทรัพย์เกิดขึ้นที่ไหน แก่บุคคลใด ก็ควรเกิดขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่มนุษย์ เป็นปัจจัยอุดหนุนให้มนุษย์ทั้งหลายสามารถดำเนินชีวิตที่ดีงาม พร้อมที่จะทำสิ่งที่ดีงามได้มากยิ่งขึ้น

ตามหลักการนี้ เมื่อทรัพย์เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้หนึ่ง ก็คือทรัพย์เกิดขึ้นแก่มนุษย์ หรือมีทรัพย์เกิดขึ้นแล้วในสังคม เมื่อบุคคลผู้หนึ่งมั่งมีขึ้น สังคมก็พลอยยิ่งเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้น ทรัพย์เกิดขึ้นแก่คนดีหนึ่ง ก็เท่ากับเกิดขึ้นแก่สังคมด้วย บุคคลดีที่มั่งมีขึ้นนั้น เป็นเหมือนเนื้อนาที่ข้าวงอกงามขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งปวง* (* พึงอ้างพุทธพจน์ว่า สัตบุรุษเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งปวง (องฺ.อฏฺฐก.23/128/249) และพุทธพจน์ที่ว่า ทรัพย์มีแก่คนดี เหมือนมีสระน้ำในที่ใกล้บ้าน ทุกคนได้กินใช้สุขสดชื่น แต่ทรัพย์มีแก่คนร้าย เหมือนสระน้ำอยู่ในถิ่นอมนุษย์ ถึงจะใสดีรื่นรมย์ ก็ไร้ประโยชน์ (สํ.ส.15/387-9/130-1)



คนมั่งมีตามหลักการนี้ พึงยินดีเอิบอิ่มใจ ที่ได้มีความสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทน เป็นเจ้าการ หรือมีเกียรติ เหมือนได้รับความไว้วางใจจากสังคม ในการจัดหาทรัพย์มาช่วยอุดหนุนหล่อเลี้ยงเพื่อนมนุษย์ในสังคมของตน ให้อยู่สุขสบาย และมีโอกาสทำกิจทีดีงาม * (* เทียบกับคติการเกิดขึ้นแห่งอำนาจ และผู้ปกครองตามคติพุทธศาสนา เช่น ในอัคคัญญสูตร (ที.ปา.11/62/101) เศรษฐีชาวพุทธ เช่น อนาถบิณฑิก ดำเนินตามปฏิปทานี้ จึงสละทรัพย์เพื่อสงฆ์และคนยากไร้ตลอดเวลายาวนาน จนหมดตัวก็ไม่เสียดาย)


แต่ในทางตรงข้าม ถ้าบุคคลผู้หนึ่ง ยิ่งร่ำรวยขึ้น สังคมยิ่งซูบโทรมลง เพื่อนมนุษย์ยิ่งมีทุกข์ทรมานมากขึ้น ก็เป็นเครื่องแสดงว่า มีการปฏิบัติผิดต่อทรัพย์ ทรัพย์ไม่เป็นปัจจัยอุดหนุนตามวัตถุประสงค์ของมัน ไม่ช้าสังคมก็จะระส่ำระสาย ในที่สุด
ถ้ามิใช่บุคคลมั่งมีอยู่ไม่ได้ ก็สังคมอยู่ไม่ได้ หรือทั้งสองอย่าง สังคมอาจปลดเขาจากตำแหน่ง แล้ววางระบบวิธีจัดหาทรัพย์ และตั้งเจ้าหน้าที่จัดสรรทรัพย์ใหม่ ซึ่งอาจเป็นผลดีขึ้น หรือเลวลงก็ได้

แต่จะอย่างไรก็ตาม คติก็มีอยู่ว่า ถ้ามนุษย์ปฏิบัติผิด ทรัพย์ที่มีขึ้นเพื่อประโยชน์ ย่อมกลับเป็นโทษ ที่ทำลายทั้งความเป็นมนุษย์ ตัวมนุษย์ และสังคมมนุษย์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค. ในแง่รัฐ พระพุทธศาสนามองเห็นความสำคัญของทรัพย์ในสังคมของชาวโลกว่า ความจนเป็นความทุกข์ในโลก * (*องฺ.ฉกฺก.22/316/393) ความยากไร้ขาดแคลน เป็นสาเหตุสำคัญของอาชญากรรมและความชั่วร้ายต่างๆในสังคม* (ที.ปา.11/39/70; 45/77) (เช่นเดียวกับความโลภ และสัมพันธ์กันกับความโลภด้วย) และ

ถือว่า เป็นหน้าที่ของรัฐ หรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่จะต้องคอยเอาใจใส่ ดูแล จัดสรรปันทรัพย์ ให้แก่เหล่าชนผู้ไร้ทรัพย์ ไม่ให้มีคนจนยากขัดสนในแผ่นดิน * (เช่น ที.ปา.11/35/65 ฯลฯ มุ่งช่วย พร้อมกับส่งเสริมความขยัน ไม่ให้จนเพราะเกียจคร้าน) ซึ่งทั้งนี้ ย่อมต้องอาศัยวิธีการต่างๆประกอบกัน และตามที่เหมาะกับสถานการณ์

เฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดช่องทางสร้างโอกาสให้ทวยราษฎร์ทำมาหาเลี้ยงชีพเจริญก้าวหน้าโดยสุจริต
การส่งเสริมอาชีพ การจัดสรรเกี่ยวกับทุนและอุปกรณ์ ตามหลักสังคหวัตถุ ๔ * (เช่น องฺ.อฏฺฐก.23/91/152 ฯลฯ) และ
การควบคุมป้องกันไม่ให้มีอธรรมการ คือ การทำการและวิธีการทั้งหลาย ที่ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นธรรม มีการเอารัดเอาเปรียบกัน เป็นต้น
โดยที่รัฐควรถือเป็นหลักการว่า การลดหมดไปของคนยากไร้ เป็นเครื่องวัดความสำเร็จได้ดีกว่าการเพิ่มขึ้นของคนร่ำรวย และ ให้การลดหมดไปของความขัดสนนั้น เป็นผลของการจัดการทางสังคม ที่ไม่ละเลยการพัฒนาคน

(ของเราเป็นแบบนี้)

รูปภาพ

แย่งกันเป็นรัฐบาล คือ ฝ่ายบริหาร ไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน เพราะอดอยากปากแห้ง ว่า :b32: บางทีถึงกับไต่ศพคนในชาติเพื่อดำรงสถานภาพพวกตนไว้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2019, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ง. ในแง่ระบบเศรษฐกิจ – การเมือง มักมีคำถามว่า ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง แบบไหน ถูกต้องหรือไปกันได้กับพระพุทธศาสนา เรื่องนี้ อย่างน้อยในขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่เรื่องที่พระพุทธศาสนาจะต้องตอบ หรือหากไม่ถือว่าตีโวหาร ก็อาจต้องย้อนว่า ระบบไหนที่ปฏิบัติได้ตามหลักการของพระพุทธศาสนา ก็ระบบนั้นแหละ

ความจริงระบบต่างๆนั้น เป็นเรื่องในระดับวิธีการ และเรื่องของวิธีการนั้น ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า ย่อมเปลี่ยนแปลง หรือดัดแปลงไปได้ ตามปัจจัยแวดล้อม ทั้งในทางกาละและเทศะ สิ่งที่ต้องพูดก่อนก็คือ หลักการและวัตถุประสงค์

สาระสำคัญของโภคทรัพย์ ก็ดังที่กล่าวแล้วในข้อ ข. คือ เป็นอุปกรณ์ หรือเป็นปัจจัยอุดหนุน ช่วยให้มนุษย์สามารถจัดสรรความเป็นอยู่ของพวกตน ให้สะดวก และเกื้อกูลแก่การที่จะอยู่ร่วมกันโดยสงบสุข และมีความพร้อมยิ่งขึ้น ที่จะทำสิ่งดีงาม บรรลุความดีงามที่ยิ่งๆขึ้นไป เมื่อทรัพย์เกิดขึ้นที่ไหน หรือแก่ใครก็ตาม ก็คือมีปัจจัยอุดหนุนเกิดขึ้นแล้วในสังคม มนุษย์ทั้งหลายควรจะสามารถมีชีวิตที่ดีและเจริญงอกงามยิ่งขึ้น

ระบบวิธีทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง อันหนึ่งอันใดก็ตาม สามารถทำให้สำเร็จผลด้วยดีตามความหมายแห่งหลักการและวัตถุประสงค์นี้ ระบบวิธีนั้น ก็สอดคล้องกับพระพุทธศาสนา

ส่วนที่ว่า ระบบวิธีเป็นสิ่งที่เนื่องด้วยปัจจัยแวดล้อมแห่งกาละและเทศะนั้น มองเห็นได้ง่าย เช่น ในพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตั้งคณะสงฆ์ขึ้น เป็นชุมชนเฉพาะกิจเฉพาะวัตถุประสงค์ ทรงจัดวางวินัยให้พระภิกษุไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว นอกจากบริขาร ๘ แต่ให้ทรัพย์สินเป็นของสงฆ์ คือส่วนรวมหรือของกลางนั้น
ในเวลาเดียวกัน สำหรับสังคมของชาวโลก ซึ่งขณะนั้น มีการปกครองในชมพูทวีป ๒ แบบ ก็ทรงสอนหลักอปริหานิยธรรม สำหรับรัฐที่ปกครองแบบสามัคคีธรรม หรือแบบสาธารณรัฐ และ ทรงสอนหลักจักรวรรดิวัตร สำหรับรัฐที่ปกครองแบบราชาธิปไตย


เรื่องนี้ แสดงลักษณะอย่างหนึ่งของพุทธธรรมด้วย คือ พุทธธรรมไม่ใช่เป็นเพียงปรัชญา หรือเรื่องของนักคิด

แต่เป็นเรื่องของศาสนานักปฏิบัติ ซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับประชาชนผู้ดำรงชีวิตจริง ท่ามกลางสภาพสังคมและสถานการณ์ที่เป็นไปอยู่ในเวลานั้นๆ ต้องสอนสิ่งที่เขาใช้ได้ ปฏิบัติได้ ให้เกิดประโยชน์สุขแก่เขาตั้งแต่ปัจจุบัน
ดังที่เรียกว่า ทรงสอนความจริงที่เป็นประโยชน์ หากจะต้องรอจนกว่าหลังจากสถาปนาระบบที่ว่าดีที่สุด ซึงความจริงก็ยังเป็นเพียงระบบที่หวังว่าดีที่สุด เสร็จแล้ว จึงค่อยใช้ระบบนั้นทำให้ประชาชนประสบประโยชน์สุข อย่างนี้จะพ้นจากความเป็นการปฏิบัติที่เลื่อนลอย และพ้นจากความงมงายได้อย่างไร

ในเมื่อทั้งระบบสามัคคีธรรมก็มีอยู่ ทั้งระบบราชาธิปไตยก็มีอยู่ ในเวลานั้น ก็เป็นอันว่า ประชาชนที่อยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตย พระศาสดาก็ต้องช่วยให้เขาอยู่ดีมีสุข

ประชาชนที่อยู่ภายใต้ระบอบสามัคคีธรรม พระองค์ก็ต้องช่วยให้เขาอยู่ดีมีสุข


@ สำหรับระบอบแรก ทรงเน้นให้ผู้ปกครองมองเห็นยศศักดิ์อำนาจ เป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์สุขแก่ราษฎร มิใช่ เป็นเครื่องมือแสวงหาสิ่งปรนเปรอบำเรอสุขส่วนตน

@ สำหรับระบอบหลัง ทรงแนะนำหลักและวิธีการที่จะดำเนินกิจการให้เข้มแข็งมั่นคงได้ผลดี

ในระยะที่ระบอบราชาธิปไตยเจริญในทางดีงามสูงสุด คติธรรมแนวพุทธนี้ ก็ได้เป็นหลักการปกครองของพระเจ้าอโศกมหาราช ดังดำรัสของพระองค์ในศิลาจารึกว่า

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ไม่ทรงถือว่า ยศหรือเกียรติ จะเป็นสิ่งมีประโยชน์มาก เว้นแต่จะทรงปรารถนายศหรือเกียรติ เพื่อความมุ่งหมายนี้ว่า ทั้งในบัดนี้ และในเบื้องหน้า ขอประชาชนทั้งหลาย จงตั้งใจฟังคำสอนธรรมของข้า ฯ และจงปฏิบัติตามหลักความประพฤติในทางธรรม” * (ดู ธรรมโองการ จารึกศิลา ฉบับที่ ๑๐ ในจารึกอโศก (หนังสือ Asokan Edicts หรือ Asokan Inscriptions ฉบับใดก็ได้)

เมื่อจับสาระที่เป็นหลักการ และความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาในเรื่องนี้ได้แล้ว การที่จะวินิจฉัยว่า ระบบใด ถูกต้องสอดคล้องกับหลักการและความมุ่งหมายนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณารายละเอียดกันยึดยาว ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้รู้เชียวชาญเกี่ยวกับระบบนั้นๆ จะพึงถกเถียงกัน หรือหากจะคิดวางระบบวิธีใหม่ที่ถูกต้องได้ผลดียิ่งกว่าระบบต่างๆเท่าที่มีอยู่ขึ้นมาได้ ก็คงจะยิ่งเป็นการดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 510 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 34  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร