วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2017, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"พิจารณาให้เห็นตามเรื่องของธาตุของขันธ์ว่า
เรามาอาศัยเขาอยู่ ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
เดี๋ยวธาตุก้อนนี้ มันจะแตกสลายแปรสภาพอยู่แล้ว
แต่ในระยะนี้ เราไม่ตื่นตกใจอะไรหรอก
โน้นเวลาเจ็บ เวลาป่วย เวลาไข้ขึ้นมา
ใกล้จะตายขึ้นมานั้นหละ จึงจะรู้สึกตัว จึงกลัว"
-:- หลวงปู่ศรี มหาวีโร -:-




"ได้อะไรมามากมาย ก็เป็นทุกข์ได้
ถ้าหากว่า ใจเรามันอยากได้มากกว่านั้น"
-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-




"คนเรา เวลาตาย
ทำให้คนร้องไห้ เศร้าใจ
แต่เวลาเกิด
ทำให้คนหัวเราะชอบใจ ดีใจ
คนที่หัวเราะ ก็หลง
คนที่ร้องไห้ ก็หลง
ไม่รู้อะไรเป็นเหตุ เป็นผล
ความจริง ตายและเกิด
ก็อันเดียวกันนั่นเอง
เพียงแต่ว่าเขาเปลี่ยนกัน
ทำหน้าที่เท่านั้นเอง"
-:- หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม -:-




คุณยายมาเข้าฝัน
ผู้ถาม :: "นมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าคุณยายชื่อ
ปิ่นเป็นนักเจริญกรรมฐานดีมาก ทำบุญทำกุศลมาตลอดชีวิต
อายุ ๘๘ ปี แม้ก่อนจะตายแกก็ภาวนาว่า สัมมาอรหัง จนหมด
ลมตายไปจริงๆ และที่ประหลาดใจก็คือว่า เวลามาเข้าฝันท่าน
แต่งตัวใส่เสื้อคอกระเช้าบอกกับกระผมว่า "มึงดูสิ ๆ"
.....ผมได้ทำบุญทำกุศลหลายประการ ความฝันก็ยังเป็นเช่น
นั้นแหล่ะ สงสัยว่าบุญของผมก็ดี ความดีของแกได้สร้างสม
มาก็ดี ทำไมไม่แต่งตัวสวยงามเหมือนอย่างนางฟ้าบ้างครับ?"
หลวงพ่อ :: "เขามาเพื่อให้จำได้ ตามธรรมดานะคนเราตายลักษณะ
ไหน จะมาลักษณะนั้น เพื่อให้จำได้อย่างนี้เหมือนกัน ทุกคนนะ
อยากจะเห็นความงาม ก็ต้องเจริญพระกรรมฐานให้ได้ทิพจักขุญาณ
ถ้ามาได้หรือพูดได้แบบนั้นมีความสุขแน่"
ผู้ถาม :: "ขนาดภาวนาจนลมขาดใจ ถ้าไปไม่ดีก็เขกหัวตัวเองล่ะ"
หลวงพ่อ :: "ตายในฌาณ อย่างขี้หมูขี้หมาก้ไปเป็นพรหม ถ้าหาก
พวกที่เป็นพรหมนี่เลื่อนลงได้นะ มีสิทธิ์ที่จะเป็นพรหม แต่พอใจ
สวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งก็พักก่อนได้ อย่างท้าว เวสสุวัณ ท่านเป็น
พระโสดาบันด้วย เวลาตายตายในฌาณ แต่ว่ามีสิทธิ์ที่จะไปเป็น
พรหมได้ แต่ว่าพอเคลื่อนออกจากกาย ท่านมีความรู้สีกว่าก่อนที่
จะมาเกิดเป็นคน เคยอยู่ชั้นจาตุมหาราช เลยแวะอยู่ชั้นจาตุมหาราช
เวลานี้เป้นท้าวเวสสุวัณ"
ผู้ถาม :: "พระเจ้าพิมพิสารกับท้าวเวสสุวัณเป็นองค์เดียวกันใช่หรือ
เปล่าครับ?"
หลวงพ่อ :: "คนละองค์ พระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นคน ท้าวเวสสุวัณ
เป็นเทวดา"
ผู้ถาม :: "แหม..บทหลวงพ่อจะตรงก็ตรงเสียจริงๆ"
หลวงพ่อ :: "อ้าว! ตอบว่าคนคนเดียวกัน เกิดมาแว้งกัดฉันล่ะ"
คัดลอกมาจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ
เล่ม ๘ หน้า ๓๑ - ๓๒






"...คนเราทั้งหมดนี่ เรียกว่าพอเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ไม่มีอะไร มีเวทนาอยู่ ๓ เวทนาเท่านั้น คือ สุข ทุกข์ และอุเบกขา ไม่มีใครจะวิเศษวิโสสักเท่าไร
ใครจะมียศถาบรรดาศักดิ์สักเท่าไร ใครจะยากจน ยาจก วนิพกสักเท่าไร เวทนา ๓ ทั้งนั้น ไปที่ไหนก็จะต้องเอาเวทนา ๓ นี้ไปด้วย
อย่างดูเวทนา ๓ นี่ นึกว่าเป็นธรรมตื้นๆ ที่จริงแล้วเป็นธรรมะของท่านพระอรหันต์ พระสารีบุตรนั่งฟังข้างหลังได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร





ภูมิคุ้มกันทุกข์
"...ครั้งหนึ่ง เคยมีความคิดในหมู่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำว่า มนุษย์สามารถเอาชนะเชื้อโรคทั้งหลายได้ สักวันหนึ่งจะไม่มีใครล้มป่วยเพราะโรคติดเชื้ออีกต่อไป แต่มาถึงทุกวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า นั่นเป็นความฝัน เชื้อโรคจะต้องอยู่คู่กับมนุษย์เราไปตลอดกาล มิใช่อยู่รอบตัวเราเท่านั้น หากยังอยู่ในตัวเราด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันมิให้ล้มป่วยก็คือ การสร้างภูมิคุ้มกันโรค
ภูมิคุ้มกันโรคเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มาจากการที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อโรคจากภายนอก หากเป็นเชื้อโรคที่ไม่แรงถึงกับทำให้ตาย ร่างกายเราจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้นๆ ขึ้นมา ทำให้ไม่ป่วย หากเชื้อโรคนั้นเข้ามาในร่างกายอีก การฉีดวัคซีนมิใช่อะไรอื่น หากเป็นการฉีดเชื้อโรคอ่อนๆ หรือเชื้อที่ตายแล้ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายของเรานั่นเอง
เชื้อโรคฉันใด ความทุกข์ก็ฉันนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่ไม่อาจหนีพ้นได้ ไม่ว่าเราจะมีเทคโนโลยีล้ำหน้า มีความมั่งคั่งและอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องเจอความทุกข์อยู่นั่นเอง ดังนั้นแทนที่จะคิดหนีความทุกข์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) เราจึงควรหาทางรับมือกับความทุกข์ วิธีหนึ่งก็คือ สร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ขึ้นมาในจิตใจ
ชีวิตที่มีแต่ความสะดวกสบาย ได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ไม่รู้จักความผิดหวังนั้น ดูเหมือนเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา แต่แท้จริงเป็นชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เพราะขาดภูมิคุ้มกันความทุกข์ หากวันใดพบกับความผิดหวังหนักๆ ก็อาจเสียศูนย์ หรือถึงกับฆ่าตัวตาย เคยมีมาแล้วที่คนเรียนดีตั้งแต่เล็กจนโตแต่สุดท้ายกลับฆ่าตัวตาย เพราะทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกไม่สำเร็จ หรือลูกที่พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างประคบประหงมกลับฆ่าตัวตายเมื่ออกหัก ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขาเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรือคอขาดบาดตาย แต่เป็นเพราะไม่มีภูมิคุ้มกันความทุกข์มาก่อน จึงโดนความทุกข์ท่วมทับจนไม่เห็นทางออกอย่างอื่นนอกจากความตาย
ดังนั้น ใครที่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ มีชีวิตราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ จึงไม่ควรด่วนดีใจว่าเป็นคนมีโชค เพราะนั่นอาจเป็นเคราะห์ที่แฝงมาในรูปของโชคก็ได้ ส่วนคนที่เจออุปสรรคและความยากลำบากเป็นนิจ ก็อย่าน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ลองสำรวจให้ดีก็จะพบว่าความทุกข์ให้สิ่งดี ๆ แก่คุณ อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณอดทนมากขึ้น และไม่กลัวความยากลำบาก..."
โอวาทธรรมคำสอน..
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล




“...เรื่องนินทาสรรเสริญได้พูดมาแล้วว่าอย่าสนใจเลย เรื่องนินทาสรรเสริญอย่าให้มีในวงของเรา คือหมายความว่าใครเขานินทาอย่าสะเทือนใจ ใครเขาด่าใครเขาว่าก็ช่างเขาเถอะ เราพยายามมองตัวของเราอยู่เสมอว่าเรามันดีหรือมันชั่ว
การนินทานะมันเป็นความเลวของปาก เขานินทาเรามา เราก็นินทาเขาไป ก็เหมือนกับสุนัขเห่าเรา เราก็เห่าสุนัข สุนัขมันกัดเรา เราก็กัดสุนัข ก็เสร็จ อุจจาระมาเปื้อนเรา เรากัดอุจจาระ มันก็พัง...”
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร