วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 11:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2017, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"อาหารที่อยู่ในชามข้าว ของเรานี้
มันก็ดีขณะเวลา ที่อยู่ในปากเท่านั้น
ประเดี๋ยว อีกไม่นานไม่ช้า
มันก็กลับกลาย เป็นของเสียบูดเน่า เท่านั้น
ในโลกไม่มีอะไร ที่น่ายินดี และน่าพอใจ
พอที่จะไปยุ่ง ไปยินดีกับมันนักหนา
สตรีและบุรุษ ที่อยู่ร่วมกันรักกัน
ส่วนมาก เพราะอำนาจกาม
ธรรมชาติของกามใหม่ ๆ ก็มีรสอร่อย
นานไปก็เป็นของบูดเน่าเสีย
เหมือนกันนั้นแหละ"
-:- ท่านพ่อลี ธัมมธโร -:-



"คนที่เกียจคร้าน
ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
สักสตางค์แดงเดียว
คนขยันเท่านั้น ที่มีคุณค่า"
-:- ครูบาเจ้าพรหมา พรหมจกฺโก -:-



"จงทำกับเพื่อนมนุษย์
โดยคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา
ที่ยึดมั่นถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา"
-:- ท่านพุทธทาสภิกขุ -:-




ไม่ให้ยิ่ง ไปกว่าครู
.
ณ เวลานี้พวกเรามีวาสนาแล้วที่ได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา
โดยมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าพาดำเนิน
และมีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์คอยชี้แนะตามแนวทางของพระพุทธเจ้า
ดังนั้นพวกเราจงอย่าหลงกลลวงของกิเลสตัณหาที่มาปิดตาปิดใจของเราจนมืดบอด
กระทั่งข้ามเกินต่อธรรมคำสอนของครูบาอาจารย์ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญไปเสีย
.
คัดจากหนังสือ "คำครู คำว่าเล็กน้อยไม่มี"




ตั้งใจภาวนาเด้ออีปู่ (หลวงปู่เตือนพระผู้เฒ่า) แก่แล้วนะ
หัวหงอกหมดแล้วจะคิดอะไรอีก คิดถึงเขาทำไมลูกหลาน
เราภาวนาของเราดีกว่า คิดถึงเขาทำไม สร้างบารมีตัวเองนั่นล่ะ
บวชเข้ามาแล้ว สร้างคุณงามความดีให้กับตัวเรา
ไม่มีการมีงานอะไร หายากนะวัดที่ไม่มีการมีงานทุกวันนี้
เห็นแต่เขาทำโน่นทำนี่ โอ่ย สร้างโบสถ์สร้างศาลา
กุฏิ วิหารใหญ่โตหรูหรา มันสู้สร้างใจของเราไม่ได้หรอก
เห็นมาวันนี้ ศาลาของท่านใหญ่กว่าของเราหลายเท่า
แต่ไม่มีความเพียร ไม่เอาล่ะ มันทุกข์มาก คิดก่อคิดสร้าง
สร้างบารมีของเราดีกว่า ทำความเพียร..เพียรละความชั่ว
สะสมความดี ไม่ใช่เพียรละความดีสะสมความชั่วนะ
แก้ตัวเราดีกว่า ก็ไม่ต้องแก้ที่ไหน แก้ที่จิตที่ใจตัวเองนั่นล่ะ
บวชเข้ามาแล้วมีโอกาสดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร
ไม่ต้องทำการทำงาน สร้างตัวเองนั่นล่ะ ไม่ต้องหาอยู่หากินกับเขามันทุกข์มาก
สมัยก่อนไม่มีกุฏิดีๆมีแต่กุฏิกำมะลอ ปูพื้นแล้วก็ใช้ใบไม้ใบหญ้าทำฝา
มุงหญ้าพอได้บังฝนบังแดดเท่านั้นล่ะ ไม่เหมือนสมัยทุกวันนี้
กุฏิศาลาดีหมด บวชเข้ามาแล้วตั้งใจทำความเพียร
เดินจงกรม นั่งภาวนา ไม่ต้องคิดอะไร คิดแต่เรื่องของเรานั่นล่ะ
คิดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิด ความดับ
ไม่มีล่ะเกิดแล้วไม่ดับ ดับหมดนั่นล่ะในโลกนี้
ตั้งใจให้มันดี เพียรให้มันได้ ถ้ามันไม่ได้ก็ให้มีนิสัยติดตัวเราไป
ไม่ขาดทุนหรอกถ้าทำจริงๆ ตั้งใจภาวนาดูธาตุดูขันธ์
ดูความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์นะไม่ใช่เป็นสุข
ดูให้มันเห็น พิจารณามันความทุกข์ว่า เราเกิดมาตาย
วันคืนล่วงไปๆ แก่ไปด้วย เฒ่าไปด้วย แก่ไปกับสังขาร
ดูให้มากๆตัวของเรา ความเจ็บความปวด
พิจารณามันเวลาทำความเพียร ว่ามันปวดอะไร
แขน ขา มันปวดอะไรถามมันดู เวลาปวดกายเขาไม่ได้ปวด
มีแต่ใจเท่านั้นล่ะปวด ไปยึดไปมั่นไปหมายว่าเป็นเราเป็นเขา
ดูให้มันเห็นสังขารตัวเอง พากันตั้งใจภาวนา
ฝนตกก็นั่ง ฝนไม่ตกก็เดิน เอามันอย่างนั้นไม่หยุดไม่ถอย
ทำความเพียร..งานการก็ไม่มีเหมือนเขา ทำได้ทั้งวัน เอาล่ะ !
หลวงปู่เพียร วิริโย





"..#ตั้งใจภาวนา
#อย่าให้เสียชาติเกิดนะ
#เกิดเปล่าๆตายเปล่าๆ
#ไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ
เกิดมาทั้งที
#ได้พบพระพุทธศาสนาชั้นยอด
#พบครูบาอาจารย์ชั้นยอด
#บุญสุดๆแล้วจะหาได้ในสามโลกธาตุนี้
วาสนาสุดๆแล้ว
ในบรรดาสัตว์โลกเรา
#อย่าตายทิ้งเปล่าๆเท่านั้น.."
หลวงพ่อวันชัย วิจิตโต




ถ้าหากเป็นดีวิเศษได้เพราะการสรรเสริญของคน
เราก็ไม่ต้องลงมือทำการทำงาน
ไม่ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติ
ไม่ต้องลงมือก่อสร้างอะไรพร้อมกัน
ใครสรรเสริญนี่คนนี้ดีวิเศษ จิตไม่มีกิเลสตัณหา
จิตหมดทุกข์หมดเวรหมดภัย
มีความผ่องใส มีความสงบเย็นทุกอย่าง
มันเป็นไปได้เพราะลมปากที่เขาสรรเสริญ
มันก็ควรไปสรรเสริญเอา ไม่ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติ
นี่หมายถึงอรรถธรรมภายใน
สรรเสริญภายนอกว่านี่สวยมากงามมากเทวดาก็สู้ไม่ได้
ร่างกายมันสวยไปตามคำสรรเสริญของเขา เราก็ควรยินดี ควรปลื้มใจ
แต่เขาสรรเสริญแล้ว เราเป็นอยู่อย่างไรก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น
สรรเสริญว่าเราเป็นคนมั่งมี ร่ำรวย ไม่มีใครไม่มีอะไรจะอดจน
แต่เราเป็นคนอดคนจน มันก็อดจนอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรดีขึ้น
สรรเสริญว่าเราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร
แต่โรคภัยเบียดเบียนเราแทบจะตาย
เราจะไปดีใจอะไรกับคำสรรเสริญของเขา
เขานินทาเล่า? ก็ทำนองเดียวกัน
พระพุทธเจ้าหรือทางศาสนาท่าน
จึงสอนให้ดูภายใน เมื่อดูภายในเข้าใจตามเป็นจริง
มันตั้งมั่น ไม่หลงใหล ไม่เอนเอียงไปตามลมปากของคน
สรรเสริญก็แค่นั้น นินทาก็แค่นั้น มันเป็นลมปาก
เราดีชั่วอย่างไรเราทราบดีกว่าคนอื่นที่จะมาสรรเสริญมานินทาเรา
นี่เป็นทางที่จะทำจิตให้ตั้งมั่น ทำจิตให้ถึงความจริง
ถ้าเรายังหลงตามเรื่องลมปากของเขา
เรายังไม่มั่นคงทางจิตใจ จงพยายามทำให้ถึงเหตุถึงผล
ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อถึงเหตุถึงผลแล้ว
ความวอกแวกเอนเอียง ใจเบา..จะไม่มี
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร




มีชาติหนึ่ง...
#เราเอาลูกแมวไปปล่อยป่า
#เพราะรังเกียจมัน
#ลูกแมวตัวนี้อดข้าวปลาอาหาร
#อยู่ในป่าหลายวัน
จึงมีคนใจดี..
มาพบเอาไปเลี้ยง
#กรรมนี้จึงมาสนองเรา
#ในชาติปัจจุบันเป็นเหตุให้
#ตัวเองหลงป่าอดอาหาร
ขนาดเชี่ยวชาญชำนาญป่า
อย่างเรา ยังหลงทาง
#เพราะกรรมของตน
#ให้จำไว้..
#บุญบาปแม้เพียงเล็กน้อย
#ประมาทไม่ได้
#กรรมเมื่อตามมาถึงแล้ว
#มันแสดงผลทันที
#ช้าหรือเร็วทุกคนต้องได้รับผล
#ของกรรมนั้นไม่มีใครปัด
#เคราะห์สะเดาะกรรมให้กันได้
คนเราถ้าเห็นกรรมเก่า..
ของตนเองเหมือนดูหนังดูละคร
มันจะบ่กล้าทำบาปใหม่
ให้เผาผลาญใจของตนเองดอก
เพราะพ่อแม่..
กิเลสปิดจิตบังใจเอาไว้
พวกลูกกำพร้าธรรม
มันถึงบ่ฮู้ความจริงของ
บาปบุญคุณโทษ.."
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม




โยม : ขอเมตตาหลวงตาเล่าเกี่ยวกับการสวดมนต์ของหลวงปู่มั่น
.
หลวงตา : พวกเรานี้ไม่ต้องเอามากละ พวกเรามันขี้เกียจมาก ให้ภาวนาให้สวดมนต์แต่พุทโธ ๆ ก็เอาแหละนะ เอาละพอ มันก็ต้องอย่างนั้นซิ ให้สวดมนต์พุทโธ ๆ พวกเรามันขี้เกียจมาก ให้ย่อ ๆ มีอะไรอีกล่ะ เอ้า ท่านสวดมากจริง ๆ หลวงปู่มั่น สวดมนต์ โหย เก่ง ที่เราไม่ลืม โอ๋ย พูดแล้วยังสยดสยองนะ แอบเข้าไป คือเซ่อ ๆ คนหนึ่งจอมปราชญ์สวดมนต์ภาวนา เราก็เดินจงกรมอยู่ข้างนอกเงียบ ๆ นะ ท่านอยู่ในศาลา กุฏิเราอยู่อย่างนั้น ตอนกลางคืนเราก็เดินจงกรม ฟังเสียงท่านสวดมนต์พุม ๆ ๆ
.
นี่เราก็เรียนมาเหมือนกันสวดมนต์ คิดดูซิฉบับหลวงเกือบหมด เรียนสวดมนต์นะ แต่นี่พูดตั้งแต่ก่อนนะ เดี๋ยวนี้ลืมหมดไม่มีอะไรเหลือ ท่านสวดมนต์พุม ๆ เอ๊ นี่ท่านสวดอะไรน้า ท่านสวดสูตรไหน ๆ จะคอยไปฟัง ค่อยด้อม ๆ เข้าไป พอเข้าไปจวนจะถึงห้องท่าน ท่านหายเงียบเลย เราก็จ่อฟัง เห็นไม่ได้การแล้วถอยออกมาไปเดินจงกรม สักเดี๋ยวพุม ๆ ก็ด้อมเข้ามาอีก ไม่ได้ความเลยว่าท่านสวดสูตรไหนนะ พอมาครั้งที่ ๒ ก็ยังไม่รู้ตัวนะ เข้ามาแล้วเงียบเลย เอ๊ ยังไงนี่ แล้วถอยออกไป ครั้งที่ ๓ รู้ตัวนะ โอ๋ย.เวลารู้ตัวตัวสั่นเลยเชียวนะ ครั้งที่ ๓ เข้าไปอีกท่านเงียบอีก เงียบก็จ่อคอยฟังท่านจะสวดสูตรไหน มาระลึกได้ เอ๊ นี่ไม่ใช่ท่านรู้เราแล้วเหรอ โอ๋ย เผ่นเลยนะ เผ่นออกไปเลยเชียว ทีนี้ไม่ทราบว่าเข็ดหรือหลาบ ไม่ไปเลย
.
ท่านก็สวดของท่านไปเรื่อยเราก็เดินจงกรม ทีนี้จะคอยจับพิรุธท่านตอนเช้า พอไปเปิดประตู เราก็เข้าเอาของไปเก็บ เอาบริขารท่านออกมา เช่น บาตร กาน้ำบ้างอะไรบ้างอย่างนี้ บริขารท่านออกมา ปรกติเราไปที่ไหนมักจะเป็นอย่างนั้นเรื่องการข้อวัตรปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ รู้สึกมันจะออกหน้า ๆ ไม่ว่าอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดเป็นอย่างนั้น นี่กับหลวงปู่มั่นเราก็เป็น พอเปิดประตูมาเราคอยสังเกตท่านเป็นยังไง อู๊ย น่ากลัวยังใจหายอยู่เดี๋ยวนี้นะ พอเปิดประตูมานี้ แต่ก่อนพอเปิดแล้วท่านจะออกนะ วันนั้นพอเปิดแล้วท่านอยู่ประตู ท่านจ้องเรา นี่แหละตัวสำคัญเมื่อคืนนี้คงว่าอย่างนั้น แต่ท่านไม่พูดนะ ทางนี้มันตัวสั่นแล้ว เปิดประตูออกมาแล้วยืนจ้อ ดูอยู่อย่างนี้ โถ ตัวนี้ละตัวสำคัญเมื่อคืนนี้ คงว่าอย่างนั้น เราก็หมอบเลย พอสักเดี๋ยวท่านก็ถอยมาปุ๊บเข้าไป ตั้งแต่วันนั้นไม่ทำอีกเลยนะ หากจับได้เรื่องที่ว่านี่ เข้าถึง ๓ ครั้งถึงรู้ตัวนะ ครั้งที่ ๓ เป็นครั้งที่รู้ตัว สวดมนต์เก่งหลวงปู่มั่นนะ เสียงพุมๆ ๆ คือสวดมนต์ โอ๊ย ก็พระอรหันต์สวดมนต์วะ พูดตรง ๆ อย่างนี้ละ อะไรมันก็เป็นธรรมหมดแล้ว ทุกอย่างเป็นธรรมหมด ท่านสวดมนต์เก่งจริง ๆ นะ
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน : จาก ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร