วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 20:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2017, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ตั้งใจเลิกเสพเมถุนธรรมหรือกามรสในเรื่องเพศ อสุจิไม่เคลือนออกจากกายมาแล้วเกือ600วัน
รู้สึกสบายๆหายห่วงแล้ว เรารู้ว่าเราพ้นแล้ว


รู้สึกยังงัยครับ..อะไรถึงทำให้อยากกลับมาบอก...

:b9: :b9: :b9:
ทำเป็นเด็กน้อยเหมือนเดิม คำที่คุณสมควรกล่าวดูเม้นข้างบน


:b9: :b9: :b9:

ยังไม่บอกเลย..นะว่า..รู้สึกยังงัย..

กบนอกกะลา เขียน:
รู้สึกยังงัยครับ..อะไรถึงทำให้อยากกลับมาบอก...



ตั้งคำถามไม่เกิดประโยชน์ มันเรื่องส่วนตัวของเขา เขาจะมาจะไป คือเขาก็เป็น สมช.คนหนึ่ง

ถ้ากรัชกายจะถามกบบ้างว่า รู้สึกคือคิดยังไง ทำไมจึงยังไม่ไปจากลานเสียที เอ้าตอบสิ อิอิ


อคติบังใจ....ทำให้ไม่เห็น...จุดหมายปลายทางของคำถาม..

กลับไปท่อง...อคติ4..ที่ตัวเองลงในกระทู้ตัวเอง...ซะ...แล้วอย่าสักแต่ท่องชื่อ...ซะละ..สังเกตสำรวจอาการที่มันเกิด..ด้วยนะ


เอ้า ถึงยังงั้น โปรดบอกจุดหมายปลายทาง อย่าพูดค้างๆคาๆ เหมือนคนฉี่ไม่สุด คิกๆๆ มันปวดนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2017, 06:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ตั้งใจเลิกเสพเมถุนธรรมหรือกามรสในเรื่องเพศ อสุจิไม่เคลือนออกจากกายมาแล้วเกือ600วัน
รู้สึกสบายๆหายห่วงแล้ว เรารู้ว่าเราพ้นแล้ว


กบนอกกะลา เขียน:
รู้สึกยังงัยครับ..อะไรถึงทำให้อยากกลับมาบอก... :b9: :b9: :b9:



bigtoo เขียน:
คันตะงิดตะงิด



กบนอกกะลา เขียน:
รู้สึกตะงิด..ตะงิด..นั้นนะ...ไม่สบายหายห่วง..แล้วละ


ไม่ได้ค้าง....คำถามสุดที่ปลายแล้ว...ชัดเจนแล้วสำหรับ bigtoo

แต่..เอ้..กักกายจะเข้าใจรึเปล่าหนอ? :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2017, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ตั้งใจเลิกเสพเมถุนธรรมหรือกามรสในเรื่องเพศ อสุจิไม่เคลือนออกจากกายมาแล้วเกือ600วัน
รู้สึกสบายๆหายห่วงแล้ว เรารู้ว่าเราพ้นแล้ว


กบนอกกะลา เขียน:
รู้สึกยังงัยครับ..อะไรถึงทำให้อยากกลับมาบอก... :b9: :b9: :b9:



bigtoo เขียน:
คันตะงิดตะงิด



กบนอกกะลา เขียน:
รู้สึกตะงิด..ตะงิด..นั้นนะ...ไม่สบายหายห่วง..แล้วละ


ไม่ได้ค้าง....คำถามสุดที่ปลายแล้ว...ชัดเจนแล้วสำหรับ bigtoo

แต่..เอ้..กักกายจะเข้าใจรึเปล่าหนอ? :b9: :b9:


จัดเจนยังไง รู้สึกคัน คันตะงิดตะงิด นี่น่าหรือปลายทาง คิกๆๆ :b32: :b32:

บอกหลายหนแล้วว่าเสียเวลาเปล่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2017, 19:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นึกแล้ว...ว่า..คงไม่เข้าใจ..

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2017, 05:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
นึกแล้ว...ว่า..คงไม่เข้าใจ..

:b32: :b32: :b32:


เอาอีกแว้ว (แล้ว) พูดให้ตีความเองอีกแล้ว แล้วมันอะไรเล่าที่ว่านั่นน่า บอกชัดๆสิ :b14: :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2017, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา พูดนั่นๆนี่ๆแล้ว ครั้นมีคนถามที่พูดนั่นน่า หมายถึงอะไร ยังไงหรอ กบไม่ตอบทิ้งกระทู้เงียบหายทุกที :b1: เลียนแบบนกแก้วนกขุนทอง พูดภาษาคนได้ แต่มันเองก็ไม่รู้ว่า เขาใช้สื่อถึงอะไร

https://www.youtube.com/watch?v=p287WRzp9wk

ไอ เลิฟ ยู :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2017, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ตั้งใจเลิกเสพเมถุนธรรมหรือกามรสในเรื่องเพศ อสุจิไม่เคลือนออกจากกายมาแล้วเกือ600วัน
รู้สึกสบายๆหายห่วงแล้ว เรารู้ว่าเราพ้นแล้ว


กบนอกกะลา เขียน:
รู้สึกยังงัยครับ..อะไรถึงทำให้อยากกลับมาบอก... :b9: :b9: :b9:



bigtoo เขียน:
คันตะงิดตะงิด



กบนอกกะลา เขียน:
รู้สึกตะงิด..ตะงิด..นั้นนะ...ไม่สบายหายห่วง..แล้วละ


ไม่ได้ค้าง....คำถามสุดที่ปลายแล้ว...ชัดเจนแล้วสำหรับ bigtoo

แต่..เอ้..กักกายจะเข้าใจรึเปล่าหนอ? :b9: :b9:
กบยังเล่นเสียวด้วยมือตนเองอยู่ป่ะ66

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2017, 11:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองทายดู..ซิ...

จะได้รู้ว่า..ทายแม่นมั้ย...มีญาณหรือไม่มีญาณ ....

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2017, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลองทายดู..ซิ...

จะได้รู้ว่า..ทายแม่นมั้ย...มีญาณหรือไม่มีญาณ ....

:b32: :b32: :b32:


พูดอะไรไปแต่ไม่รู้เรื่อง

บอกให้เซ็ตซีโร่แล้วไปเริ่มต้นใหม่ จับเอาแต่ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปิดทองฝังลูกนิมิต ฯลฯ ปล่อยสัตว์น้ำสัตว์บกเอา :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2017, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลองทายดู..ซิ...

จะได้รู้ว่า..ทายแม่นมั้ย...มีญาณหรือไม่มีญาณ ....

:b32: :b32: :b32:
ยังฟุ้งปี๊ดอยู่นะรู้หรอก55 ถ้าสนใจมีเคล็ดลับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2017, 07:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


600 วัน ยังเด็กๆ..

900 วัน..เมื่อไร...ค่อยมาคุย

:b32: :b32: :b32:

แต่..900 วัน..ก็ยังเด็กๆ...

เอากี่วันดี...?? :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2017, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
600 วัน ยังเด็กๆ..

900 วัน..เมื่อไร...ค่อยมาคุย

:b32: :b32: :b32:

แต่..900 วัน..ก็ยังเด็กๆ...

เอากี่วันดี...?? :b9: :b9:
แจ๊วอ่ะ เลิกได้หรือโม้ สาบานว่าเลิกได้เองหรือไปได้ยินคนอื่นเขาบอกมา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2017, 18:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม Bigtoo อุตส่าว่า..พ้นแล้ว..นั้นนะ...ความคิดเก่าที่ว่า..โสดาบันจิบเหล้าเข้าสังคมได้..นั้นนะ..เปลี่ยนไปแล้วรึยัง?...ถ้าเปลี่ยนไปแล้วจะได้อนุโมทนาเอาบุญด้วยหน่อย..

:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2017, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นชาวบ้าน แต่อยากจะเป็นอยู่อย่างพระ เป็นพระแต่อยากจะเป็นอยู่อย่างชาวบ้าน :b1: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2017, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ตัดมาจากพุทธธรรมหัวข้อปฏิจจสมุปบาทหน้า ๑๙๓)

ตามปกติ มนุษย์ปุถุชนทุกคน เมื่อประสบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออยู่ในสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
จะแปลความหมาย ตัดสินสิ่งหรือเหตุการณ์นั้น พร้อมทั้งคิดหมาย เจตจำนง (เจตนา) แสดงออกซึ่งพฤติกรรมและการกระทำการต่างๆ ตามความโน้มเอียง หรือตามแรงผลักดันต่อไปนี้
คือ
๑. ความใฝ่ในการสนองความต้องการทางประสาททั้ง ๕ (กาม)

๒. ความใฝ่หรือห่วงในความมีอยู่คงอยู่ของตัวตน ตลอดจนการที่ตัวตนจะได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และการที่จะดำรงอยู่ในภาวะที่อยากเป็นนั่นยั่งยืนตลอดไป (ภพ)

๓. ความเห็น ความเชื่อถือ ความเข้าใจ แนวคิด ที่สั่งสมอบรมมา และยึดถือเชิดชูไว้ (ทิฏฐิ)

๔. ความหลง ความไม่เข้าใจ คือ ความไม่ตระหนักรู้ และไม่กำหนดรู้ ความเป็นมาเป็นไป เหตุ ผล ความหมาย คุณค่า วัตถุประสงค์ ตลอดจนความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ หรือเหตุการณ์ทั้งหลายตามสภาวะโดยธรรมชาติของมันเอง ความหลงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ หรือเหตุการณ์ทั้งหลายตามสภาวะโดยธรรมชาติของมันเอง ความหลงผิดว่ามีตัวตนที่เข้าไปกระทำและถูกกระทำกับสิ่งต่างๆ ไม่มองเห็นความสัมพันธ์ทั้งหลายในรูปของกระบวนการแห่งสภาวธรรมที่เป็นไปตาม เหตุปัจจัย พูดสั้นๆว่า ไม่รู้เห็นตามที่มันเป็น แต่รู้เห็นตามที่คิดว่ามันเป็น หรือคิดให้มันเป็น (อวิชชา)

โดยเฉพาะข้อ ๓ และ ๔ จะ เห็นได้ว่าเป็นสภาพที่สัมพันธ์ต่อเนื่องกัน คือ เมื่อไม่ได้กำหนดรู้ ไม่เข้าใจชัด หรือหลงเพลินไป ก็ย่อมทำไปตามความเห็น ความเชื่อถือ ความเข้าใจที่สั่งสมอบรมมาก่อน หรือแนวคิด ความประพฤติที่ยึดถือเคยชินอยู่


อนึ่ง ข้อ ๓ และ ๔ นี้ มีความหมายกว้างมาก รวมไปถึงทัศนคติ แบบแผน ความประพฤติต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการศึกษาอบรม นิสัย ความเคยชิน ค่านิยม หรือคตินิยมทางสังคม การถ่ายทอดทางวัฒนธรรม เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ แสดงอิทธิพลสัมพันธ์กับข้อที่ ๑ และ ๒ กลาย เป็นตัวการกำหนด และควบคุมความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล

ตั้งต้นแต่ว่าจะให้ชอบอะไร ต้องการอะไร จะสนองความต้องการของตนในรูปแบบ และทิศทางใด แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างไร คือเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ลึกซึ้งในบุคคล และคอยบัญชาพฤติกรรมของบุคคลนั้น โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัวเลย


ในความเข้าใจตามปกติ บุคคลนั้น ย่อมรู้สึกว่าตัวเขากำลังกระทำกำลังประพฤติอย่างนั้นๆ ด้วยตนเองตามความต้องการของตนเองอย่างเต็มที่
แต่แท้จริงแล้ว นับเป็นความหลงผิดทั้งสิ้น เพราะถ้าสืบสาวลึกลงไปให้ชัดว่า

เขาต้องการอะไรแน่ ทำไมเขาจึงต้องการสิ่งที่เขาต้องการอยู่นั้น ทำไมเขาจึงกระทำอย่างที่กระทำอยู่นั้น ทำไมจึงประพฤติอย่างที่ประพฤติอยู่นั้น ก็จะเห็นว่า

ไม่มีอะไรที่เป็นตัวของเขาเองเลย เป็นแบบแผนความประพฤติที่เขาได้รับถ่ายทอดในการศึกษาอบรม บ้าง วัฒนธรรม บ้าง ความเชื่อถือทางศาสนาบ้าง เป็นความนิยมในทางสังคม บ้าง
เขาเพียงแต่เลือกและกระทำในขอบเขตแนวทางของสิ่งเหล่านี้ หรือทำให้แปลกไปอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเอาสิ่งเหล่านี้เป็นหลักคิดแยกออกไปและสำหรับเทียบเคียงเท่านั้นเอง

สิ่งที่เขายึดถือว่าเป็นตัวตนของเขานั้น จึงไม่มีอะไรนอกไปจากสิ่งที่อยู่ในข้อ ๑ ถึง ข้อ ๔ (ทั้งหมดอยู่ในขันธ์ ๕) เท่านั้นเอง

สิ่งเหล่านี้นอกจากไม่มีตัวตนแล้ว ยังเป็นพลังผลักดันที่อยู่พ้นอำนาจควบคุมของเขาด้วย จึงไม่มีทางเป็นตัวตนเขาได้เลย

ในทางธรรม เรียกสิ่งทั้งสี่นี้ว่า “อาสวะ” แปลตามรูปศัพท์ว่า สิ่งที่ไหลซ่านไปทั่ว

หรืออีกนัยหนึ่งว่า สิ่งที่หมักหมมหรือหมักดอง หมายความว่า เป็นสิ่งที่หมักดองสันดาน คอยมอมพื้นจิตไว้ และเป็นสิ่งที่ไหลซ่านไปอาบย้อมจิตใจ เมื่อประสบอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าคนจะรับรู้อะไรทางอายตนะใด หรือจะคิดนึกสิ่งใด
อาสวะเหล่า นี้ ก็เที่ยวกำซาบซ่านไปแสดงอิทธิพลอาบย้อมมอมมัวสิ่งที่รับรู้เข้ามา และความนึกคิดนั้นๆ

แทนที่จะเป็นอารมณ์ของจิต และปัญญาล้วนๆ กลับเสมือนเป็นอารมณ์ของอาสวะไปหมด ทำให้ไม่ได้ความรู้ความคิดที่บริสุทธิ์ และเป็นเหตุก่อทุกข์ก่อปัญหาเรื่อยไป

อาสวะอย่างที่ ๑ เรียก กามาสวะ
ที่ ๒ เรียก ภวาสวะ
ที่ ๓ เรียก ทิฏฐาสวะ
ที่ ๔ เรียก อวิชชาสวะ

อาสวะ ๔ นี้ เป็นการแสดงตามแนวอภิธรรม ในพระสูตรท่านนิยมแบ่งอาสวะเพียง ๓ อย่าง คือ ไม่มีทิฏฐาสวะ ทั้งนี้ พอจับเหตุผลได้ว่า เป็นเพราะในพระสูตรท่านกำหนเฉพาะอาสวะที่เป็นตัวเจ้าของบทบาทเด่นชัด ท่านไม่ระบุทิฏฐาสวะ เพราะอยู่ระหว่างอวิชชา กับ ภวาสวะ กล่าวคือ ทิฏฐาสวะ อาศัยอวิชชาเป็นฐานก่อตัวแล้วแสดงอิทธิพลออกมาทางภวาสวะ

ส่วนในอภิธรรม ท่านต้องการจำแนกให้ละเอียดจึงแสดงเป็น ๔

จึงเห็นได้ว่า อาสวะต่างๆเหล่านี้ เป็นที่มาแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ปุถุชนทุกคน เป็นตัวการที่ทำให้มนุษย์หลงผิด
มองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวตนของตน อันเป็นอวิชชาชั้นพื้นฐานที่สุด แล้วบังคับบัญชาให้นึกคิดปรุงแต่ง แสดงพฤติกรรม และกระทำการต่างๆ ตามอำนาจของมันโดยไม่รู้ตัว เป็นขั้นเริ่มต้นวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาท คือ
เมื่ออาสวะเกิดขึ้น อวิชชาก็เกิดขึ้น แล้วอวิชชาก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ในภาวะที่แสดงพฤติกรรมถูกบังคับบัญชาด้วยสังขารที่เป็นแรงขับไร้สำนึกทั้งสิ้น


กล่าวโดยสรุป เพื่อตัดตอนให้ชัด ภาวะที่เป็นอวิชชา ก็คือ การไม่มองเห็นไตรลักษณ์ โดยเฉพาะความเป็นอนัตตา ตามแนวปฏิจจสมุปบาท คือ

ไม่รู้ตระหนักว่า สภาพที่ถือกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั้น เป็นเพียงกระแสแห่งรูปธรรมนามธรรมส่วนย่อยต่างๆมากมาย ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยกันเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อกัน โดยอาการเกิดสลายๆ ทำให้กระแสนั้นอยู่ในภาวะที่กำลังแปรรูปอยู่ตลอดเวลา

หรือพูดให้ง่ายขึ้นว่า บุคคลก็คือผลรวมแห่งความรู้สึกนึกคิด ความปรารถนา ความเคยชิน ความโน้มเอง ทัศนคติ ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อถือ (ตั้งแต่ขั้นหยาบที่ผิดหรือไม่มีเหตุผล จนถึงขั้นละเอียดที่ถูกต้องและมีเหตุผล) ความคิดเห็น ความรู้สึก ในคุณค่าต่างๆ ฯลฯ ทั้งหมดในขณะนั้นๆ ที่เป็นผลมาจากการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม การศึกษาอบรม และปฏิกิริยาต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นภายใน และที่มีต่อสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย อันกำลังดำเนินไปอยู่ตลอดเวลา

เมื่อไม่ตระหนักรู้เช่นนี้ จึงยึดถือเอาสิ่งเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นตัวตนของตนในขณะหนึ่งๆ
เมื่อยึดถือสิ่งเหล่านี้เป็นตัวตน ก็คือถูกสิ่งเหล่านั้นหลอกเอา จึงเท่ากับตกอยู่ในอำนาจของมัน ถูกมันชักจูงบังคับเอาให้เห็นว่าตัวตนนั้นเป็นไปต่างๆ พร้อมทั้งความเข้าใจว่า ตนเองกำลังทำการต่างๆตามความต้องการของตน เป็นต้น

ที่กล่าวมานี้ นับว่าเป็นคำอธิบายในหัวข้ออวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ในระดับที่จัดว่าละเอียดลึกซึ้งกว่าก่อน ฯลฯ

ข้ามมาถึงตอนสำคัญอีกช่วงหนึ่ง คือ ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ซึ่งเป็นช่วงของกิเลสเหมือนกัน

ตัณหาทั้ง ๓ อย่างที่พูดมาแล้วนั้น ก็คืออาการแสดงออกของตัณหาอย่างเดียวกัน และมีอยู่เป็นสามัญโดยครบถ้วนในชีวิตประจำวันของปุถุชนทุกคน
แต่จะเห็นได้ ต่อเมื่อวิเคราะห์ดูสภาพการทำงานของจิตในส่วนลึก
เริ่มแต่มนุษย์ไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่รู้จักมองสิ่งทั้งหลายในรูปของกระบวนการแห่งความสัมพันธ์กันของเหตุ ปัจจัยต่างๆ ตามธรรมชาติ จึงมีความรู้สึกมัวๆ อยู่ว่ามีตัวตนของตนอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง
มนุษย์จึงมีความอยากที่ เป็นพื้นฐานสำคัญ คือ ความอยากมีอยู่เป็นอยู่ หรืออยากมีชีวิตอยู่ ซึ่งหมายถึงความอยากให้ตัวตนในความรู้สึกมัวๆ นั้นคงอยู่ยั่งยืนต่อไป

แต่ความอยากเป็นอยู่นี้ สัมพันธ์กับความอยากได้ คือ ไม่ใช่อยากเป็นอยู่เฉยๆ แต่อยากอยู่เพื่อเสวยสิ่งที่อยากได้ คือ เพื่อเสวยสิ่งที่จะให้สุขเวทนาสนองความต้องการของตนต่อไป
จึงกล่าวได้ว่า ที่อยากเป็นอยู่ ก็เพราะอยากได้ เมื่ออยากได้ ความอยากเป็นอยู่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น


เมื่อความอยากเป็นอยู่รุนแรง อาจเกิดกรณีที่ ๑ คือ ไม่ได้สิ่งที่อยากทันอยาก จึงเกิดปฏิกิริยาขึ้น คือภพ หรือความมีชีวิตเป็นอยู่ในขณะนั้น ไม่เป็นที่น่าชื่นชม ชีวิตขณะนั้น เป็นที่ขัดใจ ทนไม่ได้ อยากให้ดับสูญไปเสีย ความอยากให้ดับสูญจึงติดตามมา

แต่ทันทีนั้นเอง ความอยากได้ก็แสดงตัวออกมาอีก จึงกลัวว่า ถ้าดับสูญไปเสีย ก็จะไม่ได้เสวยสุขเวทนาที่อยากได้ต่อไป ความอยากเป็นอยู่ จึงเกิดตามมาอีก

ในกรณีที่ ๒ ไม่ได้สิ่งที่อยาก หรือกรณีที่ ๓ ได้ไม่เต็มขีดที่อยาก ได้ไม่สมอยาก หรือกรณีที่ ๔ ได้แล้ว อยากได้อื่นต่อไป กระบวนการก็ดำเนินไปในแนวเดียวกัน
แต่กรณีที่นับว่าเป็นพื้นฐานที่สุดและครอบคลุมกรณีอื่นๆ ทั้งหมด ก็คืออยากยิ่งๆขึ้นไป


เมื่อกำหนดจับลงที่ขณะใดก็ตาม จะปรากฏว่ามนุษย์กำลังแส่หาภาวะที่เป็นสุขกว่าขณะที่กำหนดนั้นเสมอไป ปุถุชนจึงปัด หรือผละทิ้งจากขณะปัจจุบันทุกขณะ

ขณะปัจจุบันแต่ละขณะ เป็นภาวะชีวิตที่ทนอยู่ไม่ได้ อยากให้ดับสูญหมดไปเสีย อยากให้ตนพ้นไป ไปหาภาวะที่สนองความอยากได้ต่อไป

ความอยากได้ อยากอยู่ อยากไม่อยู่ จึงหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวันของมนุษย์ปุถุชน
แต่เป็นวงจรที่ละเอียดชนิดทุกขณะจิต อย่างที่แต่ละคนไม่รู้ตัวเลยว่า ชีวิตที่เป็นอยู่แต่ละขณะของตน ก็คือ การดิ้นรนให้พ้นไปจากภาวะชีวิตในขณะเก่า และแส่หาสิ่งสนองความต้องการในภาวะชีวิตใหม่อยู่ทุกขณะนั่นเอง


(มีต่อ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร